web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 240
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 275
Total: 275

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 3  (อ่าน 999 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 3
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 14:59:26 »
ตอนที่ 03

ห้องน้ำหญิงครึ่งปูนครึ่งไม้สภาพเก่าที่ถูกยกเลิกการใช้งานมาแล้วหลายปีดีดัก และมีโครงการว่าจะสร้างเป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำเพิ่มแทนในอนาคต ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างเมื่อไหร่นั้น เด็กนักเรียนเฉกเช่นพวกเธอก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้มันยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ข้างๆ กับน้ำห้องหญิงกลางเก่ากลางใหม่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

แม้จะถูกปิดตายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีพวกมือดีแอบงัดแงะเข้าไปเพื่อทำกิจกรรมที่ผิดระเบียบ เช่น แอบกินเหล้า สูบบุหรี่ โดดเรียน จนกลุ่มนักเรียนที่ไม่ค่อยสำนึกในระเบียบวินัยมักเรียกสถานที่สวยหรูแห่งนี้ซะกิ๊บเก๋ว่า ‘เซ็นเตอร์พ็อยท์ หรือจุดนัดพบศูนย์รวมอบายมุข’

“ไง วันนี้มาคนเดียวเหรอ” สิงห์อมควันนางหนึ่งเอ่ยทักขึ้น เมื่อเห็นผู้มาเยื้อนรายใหม่ผู้คุ้นหูคุ้นตากันดี

“อืม..” ชลธิดาบอกพร้อมกับเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบร่างที่ยืนพิงผนังขวางทางเดินของทั้งสองนาง

ชลธิดาเดินตรงเข้าไปอีกนิดจนถึงห้องที่เป็นเป้าหมาย ห้องที่สองนับจากท้ายสุดฝั่งซ้ายมือ ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากรุ่นพี่คนหนึ่ง คนที่ยื่นบุหรี่ให้เธอลองเป็นครั้งแรก

“สักหน่อยไหม แก้เครียด” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดมัธยมปลาย ยื่นเจ้าสีขาวที่เหลืออยู่ครึ่งมวนส่งให้เธอ เสียงของหล่อนทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย พอมองไปรอบๆ ตัว ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จำได้ว่าจะไปเข้าห้องน้ำหลังใหม่ที่อยู่ติดๆ กันนี่ แล้วไงถึงได้มายืนอยู่ด้านหลังของห้องน้ำหญิงหลังเก่าแห่งนี้ล่ะ

เด็กสาวที่ยืนหน้าเครียด ส่ายหน้ากลมมนไปมาช้าๆ ปฏิเสธน้ำใจจากรุ่นพี่สาวเจ้าถิ่น

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเราเครียดเรื่องอะไร แต่ทุกปัญหามีไว้เพื่อแก้ แต่ถ้ายังแก้ไม่ได้หรือเหนื่อยเกินไปที่จะแก้ ก็พักซะบ้าง จะมาคิดมากจนเดินเหม่อลอยอย่างนี้ไม่ดีหรอกนะ” เธอมองหน้าคนพูดสลับกับมวนบุหรี่ที่อยู่ในมือหล่อน เธอกำลังคิดว่าคำพูดกับพฤติกรรมไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด

“ไม่ได้เครียด แล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น” เธอบอกออกไป แล้วเบนหน้าไปยังทิศอื่นเพราะไม่อยากสนใจหล่อนอีก

“แน่ใจ๊” หล่อนยิ้มที่มุมปาก

“แน่สิ” เธอตอบกลับไปโดยไม่ได้หันมามอง

“แล้วทำไมถึงมายืนตรงนี้ได้ล่ะ แล้วรู้ไหมว่าตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน” น้ำเสียงของหล่อนเหมือนจะเยาะเธอน้อยๆ เรียกความสนใจให้เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง คิ้วบางเริ่มขมวดเข้าหากัน เพราะไม่ค่อยชอบน้ำเสียงของหล่อนเมื่อครู่เท่าไหร่

“ตั้งแต่ก่อนหน้าที่พี่จะจุดบุหรี่ตัวนี้ซะอีก นี่ยังไม่ได้ดูดสักปื้ดเลยนะ”  หล่อนบอกพร้อมกับชูบุหรี่ที่อยู่ในมือขึ้นมา เพื่อบอกเวลาที่เธอใช้ยืนอยู่ตรงนี้

“แถมยังทำหน้ายังกับแบกโลกทั้งใบไว้อีก อะไรมันจะเครียดขนาดนั้น อ่ะๆ ไม่เชื่อล่ะสิ จะดูรูปไหมล่ะ”  หล่อนบอกด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเธอทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“ไร้มารยาท แอบถ่ายรูปคนอื่นได้ยังไง”  เธอต่อว่า แต่หล่อนกลับหัวเราะ

เธอตัดสินใจเดินเข้าไปหา หยิบโทรศัพท์จากมือหล่อนขึ้นมา อยากจะรู้เหมือนกันว่าหน้าตัวเองตอนแบกโลกจะเป็นเช่นไร

“น่าเกลียดชะมัด” เธอว่าหลังจากดูรูปตัวเอง

“แต่พี่ว่าตลกมากกว่า ดูๆ ไปเหมือนหมาอึไม่ออกเลย อิอิ” หล่อนยิ้มขำ

“ลบเลย” เธอว่าพลางทำท่าทางจะกดลบรูป

“เฮ้ยๆ อย่าลบนะ พี่จะเก็บไว้เป็นที่ระทึก เอาไว้ดูตอนเข้าห้องน้ำไง” หล่อนว่าพลางแย่งโทรศัพท์จากมือเธอไป แล้วเอาเก็บไว้ในกระเป๋ากระโปรงเช่นเดิม

“บ้า! ลบทิ้งเดี๋ยวนี้เลยนะ ถือวิสาสะถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต มันผิดกฎหมายฐานละเมิดรู้ไหม” เธอว่าพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนหล่อน หมายจะเอาโทรศัพท์มาลบรูปให้ได้

“เฮ้ๆ แบบนี้ก็ผิดกฎหมายเหมือนกันนะ ฐานลักทรัพย์แถมลวนลามอีกต่างหาก”  หล่อนว่าพลางจับข้อมือเธอเอาไว้ไม่ให้ล้วงลึกเข้าไปมากกว่านี้

“ลวนลามบ้านพี่อ่ะดิ ใครเขาอยากจะไปทำ ผู้หญิงเหมือนกัน”

“ก็น้องนั่นแหละที่เป็นคนทำ หลักฐานยังคามืออยู่เลยดูดิ โดนขาอ่อนพี่จนขนลุกเกรียว เสียวไปหมดแล้วเนี่ย”

“อ้ายยยย ไอ้พี่บ้า ปล่อยมือเดียร์เดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นมีต่อยจริงๆ ด้วยเอ๊า” เธอว่าพลางชูกำปั้นอีกข้างข่มขู่

“ฮ่ะ ฮ่าๆ แหมดุจริงวุ้ย น่าเอาไปเฝ้าบ้านสักตัว” หล่อนว่าขำ แต่พอเธอง้างหมัดขึ้นเตรียมจะทำอย่างที่ขู่ หล่อนก็รีบพูดออกมาซะก่อน

“อ่ะๆ ปล่อยก็ได้ แต่ต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่ลบรูปทิ้ง”

“ไม่ได้! ต้องลบ!”

“พี่ขอแล้วกัน อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก ครั้งแรกที่เราเจอกันไง” เธอพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเขินกับคำพูดของใคร แล้วเสียงกริ่งเข้าเรียนคาบบ่ายก็ดังขึ้น  ดึงสติของเธอให้กลับมา

“ถ้าอยากให้พี่ลบรูปจริงๆ พรุ่งนี้ก็มาหาพี่ที่นี่สิ แล้วพี่จะรอนะคะน้องเดียร์” หล่อนบอก ก่อนจะเดินจากไป

วันรุ่งขึ้นช่วงพักเที่ยง หลังจากที่ทานข้าวกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไปตามนัดบริเวณหลังห้องน้ำหญิงเก่าแสนทรุดโทรม ที่นั้นเธอได้พบกับใครคนหนึ่ง คนที่เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ แต่รอยยิ้มที่หล่อนส่งมากลับทำให้เธอใจเต้น เธอร้องขอให้หล่อนลบรูปนั้นทิ้ง แต่หล่อนก็มักจะเฉไฉวกเข้าเรื่องอื่นตลอด ไม่ก็ค่อยแหย่เธอให้โมโหได้ทุกครั้ง

จากวันนั้นเป็นต้นมา เธอก็มักจะไปหาหล่อนทุกวัน จากแค่ช่วงพักเที่ยงที่โรงเรียน ก็เปลี่ยนเป็นเจอกันตลอดทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และอยู่ด้วยกันทุกครั้งทีมีโอกาส จนความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องร่วมสถาบันกลายมาเป็นคนรัก ตลอดเวลากว่าสามเดือนที่รู้จักกันมา เธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากคนรักมากมาย สูบบุหรี่ครั้งแรก ดื่มเหล้าครั้งแรก จูบแรก รสสวาทครั้งแรก รักครั้งแรก และการจากลาครั้งแรก

มือเรียวแก้เชือกปอสีแดงที่ร้อยและผูกปมเงื่อนกระตุกเอาไว้กับสายยูประตูห้องน้ำ  หลังประตูบานนี้คืออาณาเขตส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้ามาได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ซึ่งนั้นก็คือเธอนั่นเอง

มันคือข้อกำหนด ที่เหล่าบรรดานักเรียนนอกแถวอย่างพวกเธอได้ตกลงกันเอาไว้  ดังนั้น ถ้าไม่อยากถูกตบแบบรุมกินโต๊ะ ก็อย่ายุ่งกับของคนอื่น ของทุกอย่างในนี้แบ่งปันกันได้แต่อย่าขโมย ความเป็นส่วนตัวคือสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการ เพราะถึงจะเกเรแต่ก็ไม่ได้มั่ว

เมื่อเข้ามาถึงดินแดนอันเป็นส่วนตัว ชลธิดาอาศัยร่างกายที่สูงเอื้อมแขนไปยังขื่อไม้ติดกับพนังห้องด้านหลังโถสุขภัณฑ์เก่าที่ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว  ชลธิดาเข้ามาที่ห้องนี้แล้วครั้งหนึ่งเพื่อนำเจ้าสิ่งนี้มาเก็บไว้เมื่อตอนสาย เพราะไม่อยากพกมันไปไหนมาไหนทั่วโรงเรียน  มือเรียวคว้านหาอยู่ไม่นานก็เจอกับสิ่งของที่ตนต้องการ  ‘อ่า...น้องโบโรที่รัก’

มือเรียวแกะกระดาษฟรอยด์ที่พับตามรอยเดิมออกอย่างบรรจง เคาะเบาๆ สองสามครั้งมวนบุหรี่สีขาวก็ออกมาให้ได้ยลโฉม มือเรียวคีบบุหรี่เข้าปากแล้วเม้มปากบางคาบเอาไว้ก่อนจะหยิบไฟแช็ค ขึ้นมาจุดส่งเสียงแชะๆ สองทีเปลวไฟสีส้มร้อนแรงก็พวยพุ่งออกมา

ชลธิดายืนพ่นควันขาวออกจากทางจมูก ปล่อยความคิดของตนให้ลอยล่องออกไป เวลานี้ไม่อยากคิดถึงเรื่องใดๆ ให้ชวนปวดหัว แต่ก็เหมือนว่าสมองเจ้ากรรมมันกลับไม่รักดี สติที่เคยมีอยู่เต็มร้อยกลับเหม่อลอยคิดถึงวันนั้นที่ผ่านมา.........

<

<

<

“จะไปทำงานแล้วเหรอคะพ่อ แล้วทำไมวันนี้ใช้กระเป๋าเยอะจัง ใบใหญ่เสียด้วยสิ”  ชลธิดาที่กลับมาจากโรงเรียน เอ่ยทักผู้เป็นบิดาอย่างอารมณ์ดี อดนึกสงสัยกับสัมภาระที่อยู่ข้างตัวไม่ได้ เพราะปกติบิดามักจะพกเพียงกระเป๋าเจมส์บอนด์สำหรับใส่เอกสารนิดหน่อย และเสื้อผ้าไม่กี่ชุดในการเดินทางไปทำงานเท่านั้น  แต่ว่าครั้งนี้กลับมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่เพิ่มมาอีกหนึ่งใบ 

“จ๊ะ” ผู้ชายวัยสี่สิบต้นๆ ตอบเพียงเท่านั้น เขาจองมองเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังเดินฉีกยิ้มจนแก้มปริ ดวงตาตี่หยีจนแทบมองไม่เห็นนัยน์ตาสีอ่อนข้างในที่กำลังจับจ้องมาที่เขา

ลูกสาวคนเล็กที่เขาอุ้มชูเลี้ยงดูมาตลอดสิบสามปีเต็ม ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะตีลูกคนนี้  ความน่ารักสดใสขี้อ้อนจึงมักเป็นที่รักและเอ็นดูของทุกคนในครอบครัว  แม้จะแก่นแก้วไปบ้างตามประสาเด็กๆ ที่มีเพื่อนเล่นส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชาย แล้วไหนจะลูกชายคนกลางของเขาอีก ที่เล่นกับน้องสาวคนเล็กซะอย่างกับน้องไม่ใช่เด็กผู้หญิง  ของเล่นที่ซื้อให้ก็ต้องเป็นปืนผ่าหน้าไม้เท่านั้น พอลองเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาเจ้าตัวแสบกลับโยนทิ้งไม่ใยดี  เขาจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งไม่รู้สองคนพี่น้องทะเลาะอะไรกัน เห็นเจ้าตัวเล็กวิ่งหนีพี่ชายเสียรอบบ้าน พอจับทั้งคู่มาไถ่ถามถึงได้รู้ว่าเจ้าคนพี่แกล้งทำน้ำลายหยดใส่น้อง เจ้าคนน้องโมโหถึงกับต่อยพี่ชายซะฟันร่วงเลือดกลบปากคิดไปคิดมาเหมือนมีลูกชายเพิ่มมาอีกคน

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นบิดา เมื่อนึกถึงวีรกรรมของลูกสาวตัวน้อยในวันเก่าๆ คงไม่มีอีกแล้วสินะ เหลียวมองหน้ากลมๆ แก้มป่องๆ แล้วก็ใจหาย นี่เขาจะบอกกับลูกสาวคนนี้ยังไงดี เขาหลับตานิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปิดเปลือกตาและโอบกอดลูกสาวไว้ในอ้อมอก

“เดียร์...พ่อมีเรื่องจะบอกฟังพ่อดีๆ นะลูก คือ.....พ่อกับแม่หย่ากันมาสักพักแล้วลูก และพ่อกำลังจะไปอยู่ที่อื่น ส่วนบ้านหลังนี้พ่อยกให้แม่กับลูกทุกคนนะ” บิดาเอ่ยออกมาอย่างอยากเย็น สายตาจับจ้องอยู่ที่ลูกสาวคนเล็กเพื่อจับอาการหลังจากบอกข่าวร้ายไป

“มะ หมายความว่าไง พ่อพูดอะไรหนูไม่เข้าใจ หย่าเย่ออะไรกัน แล้วพ่อจะไปไหน พ่อจะทิ้งหนูกับแม่ไปไหน หนูไม่ให้ไปนะ หนูไม่ให้พ่อไป ฮือๆๆ” สาวน้อยแทบช็อคกับข่าวร้าย พอเริ่มจะเข้าใจกับความหมายที่บิดาบอก ขอบตาเรียวก็ร้อนผ่าว น้ำใสๆ เออคลอก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นหยดน้ำไหลเป็นทางอาบลงที่แก้มนวลทั้งสองข้าง

“เดียร์ๆ ใจเย็นๆ ลูก พ่อไม่ได้ทิ้งหนูไปไหน พ่อแค่ไปอยู่ที่อื่นและพ่อจะมาหาหนูบ่อยๆ ทุกครั้งที่พ่อมาทำงานที่กรุงเทพฯ พ่อจะมาหาหนูนะ” เสียงประท้วงที่สั่นเครือจากลูกสาวทำเอาบิดาถึงกับใจหาย ยิ่งได้เห็นหยาดน้ำใสๆ ไหลลงจากนัยน์ตาคู่นั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี

“ไม่เอา! หนูไม่ยอม หนูไม่ให้พ่อไปๆ ฮือๆๆ”  ชลธิดาปล่อยโฮร้องไห้เสียงดังลั่น อ้อมแขนเรียวเล็กกอดรั้งเอวบิดาไว้เสียแน่น

มารดาที่ได้ยินเสียงร้องของลูกสาวก็ตกใจ จึงรีบรุดออกมาจากครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นภาพลูกสาวคนเล็กกอดพ่อร้องไห้ก็พาให้เข้าใจเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น  จึงรีบเดินมาปลอบขวัญให้ลูกสาวใจเย็นลง

“เดียร์ไม่เอานะลูก อย่าทำแบบนี้หนูโตแล้วไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ มีเหตุผลหน่อยสิลูก ฟังพ่อกับแม่บ้างได้ไหม หืมมม”  มารดาดึงตัวลูกสาวไปกอด พลางพูดปลอบประโลมให้เด็กน้อยตัวสูงรับฟังถึงเหตุผล

“เหตุผลอะไร หนูไม่เข้าใจ แล้วทำไมแม่ไม่รั้งพ่อไว้บ้าง หรือว่าแม่ไม่รักพ่อแล้ว”  เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นถาม เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมารดาถึงเป็นแบบนี้

“รักสิลูก พ่อกับแม่ยังรักกันอยู่ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ในฐานะสามีภรรยาแต่เป็นในฐานะเพื่อนยังไงล่ะลูก”  มารดาส่งยิ้มอ่อนโยนพยายามอธิบายเหตุผลให้ลูกสาวฟัง

“และถึงแม้พ่อกับแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เกลียดกันและยังคงรักลูกทุกคนเหมือนเดิม”  บิดาพูดและขยับมาสวมกอดลูกสาวและอดีตภรรยาของเขาไว้ในอ้อมแขน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”  หลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ ชลธิดาเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับอาการสะอื้นที่ยังคงมีอยู่

“อะไรนะลูก”  ผู้เป็นพ่อไม่เข้าใจคำถาม

“พ่อกับแม่หย่ากันตั้งแต่เมื่อไหร่”  เด็กสาวขยับตัวออกจากอ้อมกอดมารดาและพูดอีกครั้ง เร่งเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิม

“เออ...หนึ่งปีได้แล้วลูก”  บิดาอ้ำอึ้งก่อนจะบอกไปตามจริง

“หนึ่งปี! นี่พ่อกับแม่หย่ากันมาหนึ่งปีโดยที่ไม่บอกลูกๆ สักคำเนี่ยนะ”  บุตรสาวตกใจกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะได้รับรู้

“................”

“แล้วพวกพี่ๆ รู้กันหรือยังคะ” ยังมีอะไรอีกไหมที่เธอไม่รู้สาวน้อยคิด

“ระ รู้แล้วลูก พ่อกับแม่บอกก่อนจะไปหย่ากัน”  มารดาบอก

“ห๊า!! นี่หมายความว่า ทุกคนรู้เรื่องกันหมดยกเว้นหนูที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่คนเดียวงั้นเหรอ พ่อกับแม่ทำอย่างนี้ได้ยังไง หลอกให้หนูอยู่กับครอบครัวจอมปลอมแบบนี้ได้ยังไง ฮือๆ” ชลธิดาแหวกใส่ ความน้อยอกน้อยใจทำให้น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกลับไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง  นี่เหรอครอบครัว นี่เหรอที่บอกว่ารัก ทุกคนรู้เรื่องกันหมดยกเว้นแต่เธอคนเดียวที่เป็นนังเด็กโง่เง่าไม่รู้แม้กระทั้งเรื่องของครอบครัวตัวเอง

“พ่อขอโทษลูก พ่อขอโทษ พ่อคิดว่าจะค่อยๆ บอกลูกแต่...พ่อก็ไม่กล้า”  บิดาถึงกับหน้าซึม นึกโทษตัวเองที่ไม่กล้าบอกลูก

“แล้วทำไมวันนี้ถึงมาบอก แล้วทำไมวันนี้พ่อถึงจะไป”  เด็กสาวยังคงใช้อารมณ์ถามบิดาเสียงสะบัด

“คือ....พ่อ.......” ผู้เป็นพ่อถึงกับหน้าสลด เขาพูดอะไรไม่ออก มันเหมือนก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่ลำคอ

“ทำไมคะแม่ ทำไม!” ในเมื่อบิดาอ้ำอึ้ง เด็กสาวจึงหันมาคาดคั้นผู้เป็นมารดาแทน

“เดียร์..ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก คือพ่อเขา.....” มารดาพยายามปลอบขวัญให้ลูกสาวสงบใจลงบ้าง

“คุณ ให้ผมบอกลูกเองเถอะ.....เดียร์.....พ่อต้องไปดูแลคุณพรนะลูก คุณพรไม่สบายตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลที่ชุมพร คุณพรเขาไม่มีใครดูแล ตอนนี้เขามีพ่อเพียงคนเดียว”

“คุณพรที่ว่าเขาเป็นใครคะ แล้วทำไมพ่อต้องไปดูแลเขาด้วย”  เด็กสาวคิ้วขมวดเมื่อได้ยินชื่อคนที่เธอไม่รู้จัก แล้วบิดาเธอไปเกี่ยวข้องกับคนๆ นี้ได้อย่างไร

“คุณพรเขาเป็น...เป็น...เขาเป็นภรรยาใหม่พ่อเอง”

“คุณพ่อ!!” ชลธิดาถึงกับช็อค

ดวงตาที่เบิกกว้างจ้องมองบิดาอย่างผิดหวัง ความนิ่งเงียบของลูกสาวไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย ให้ร้องไห้ว่ากล่าวเขาเสียยังจะดีกว่า เพราะเขารู้จักนิสัยของลูกสาวคนนี้ดี บทจะดีก็น่ารักน่าเอ็นดูแต่บทจะแข็งขึ้นมาล่ะก็......แค่คิดเขาก็ใจสั่น กลัวจริงๆ กลัวใจลูกสาวตัวเอง  นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยังไม่ยอมบอกเรื่องหย่าจนกระทั้งวันนี้ วันที่เขาจำเป็นต้องไป

“เดียร์ พ่อ...”  บิดาเขยิบเข้าหาลูกสาว กำลังเอื้อมมือมาจะจับที่หัวไหล่บางแต่ก็ต้องชะงัก

“ไปเถอะค่ะ”  เด็กสาวบอกเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีน้ำตาบนใบหน้าเนียนใสอีกแล้ว

“เดียร์”  บิดาเรียกชื่อลูกสาวเสียงแผ่ว

“แล้วกรุณาอย่ากลับมาที่นี่อีก”  เด็กสาวเอ่ยเสียงเย็น สีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“เดียร์!”  มารดาเอ่ยด้วยความตกใจ เธอไม่เคยเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้มาก่อน

“แล้วก็รู้ไว้ด้วย ว่าฉันเกลียดคุณ!”  พูดจบเด็กสาวก็หันหลังเดินขึ้นชั้นสองเข้าห้องตัวเองไปทันที แม้บิดาจะร้องเรียกชื่อเธอแค่ไหน แต่เด็กสาวก็ไม่สนใจและไม่คิดที่จะเหลียวหลังกลับมามองอีกเลย

เธอตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้หล่อนฟัง ก่อนที่หล่อนจะย้ายโรงเรียนหนึ่งวัน แล้วหล่อนก็ได้รู้ว่าทำไมเธอถึงได้เดินเหม่อในวันนั้น หล่อนไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่รับฟังเธออย่างเงียบๆ จนกระทั้งจบ แล้วหล่อนเล่าเรื่องของตัวเองให้เธอฟังบ้าง

พ่อแม่ของหล่อนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อครึ่งปีก่อน หล่อนต้องมาอาศัยอยู่กับญาติซึ่งเป็นพี่สาวของพ่อที่กรุงเทพฯ หล่อนเป็นเพียงเด็กสาวที่มาจากต่างจังหวัดทางภาคเหนือ ที่กำลังเศร้า เหงา และเคว้งคว้าง ด้วยความที่หน้าตาสะสวย เพียงเปิดเทอมวันแรกของชั้นม.4 ก็มีเด็กหนุ่มสนใจและเข้ามาจีบเธอมากมาย หนึ่งในนั้นคือเพื่อนร่วมห้องที่นั่งติดกัน

ผู้ชายคนนั้นชื่อต้น เธอไม่ได้ถามหล่อนหรอกว่าต้นอะไร ต้นไม้ ต้นน้ำ หรือต้นหญ้า แต่จะต้นอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าชักไม่ชอบคนชื่อต้นขึ้นมาซะเฉยๆ หล่อนบอกว่าต้นเป็นผู้ชายใจดี อบอุ่น และสุภาพ แม้หน้าตาจะไม่ได้ดีเลิศเท่าไหร่ แต่ก็พอไปวัดตอนสายๆ ได้เหมือนกัน ต้นเป็นเด็กเรียนเก่งจึงเป็นธรรมดาที่มักจะคอยติวหนังสือให้หล่อนซึ่งเป็นเด็กหัวอ่อนที่มาจากต่างจังหวัดเป็นประจำ และเพราะความสุภาพของต้นทีแสดงออกให้เห็น จึงทำให้หล่อนไว้วางใจในเพื่อนคนนี้ได้ไม่ยาก

อยู่มาวันหนึ่งเขาชวนหล่อนไปร่วมงานวันเกิดที่บ้านของเขา ซึ่งหล่อนก็ตั้งใจเลือกหาของขวัญให้เขาอย่างดี เพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของเขาที่มีให้หล่อนตลอดมา ในงานเลี้ยงวันนั้นมีผู้คนมาร่วมงานจำนวนไม่มากนัก และหล่อนสังเกตว่าในจำนวนนั้นไม่มีคนที่หล่อนรู้จักและไม่มีเพื่อนร่วมห้องอยู่เลย หล่อนถามเขาว่าเพราะอะไร เขาตอบหล่อนว่าเลือกเชิญแต่เฉพาะคนที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้นเนื่องจากไม่อยากให้มีคนมากจนเกินไป หล่อนเห็นด้วยกับเขาเพราะหล่อนเองก็ไม่ชอบคนเยอะๆ อยู่เหมือนกัน แต่อีกใจก็คิดว่าคงจะดีกว่านี้ถ้ามีคนที่หล่อนรู้จักบ้าง

งานเลี้ยงยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ วงสนทนาที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเริ่มมีบรรยากาศที่สนุกสนานคึกคักมากขึ้น เพื่อนของต้นหลายคนเริ่มคะยั้นคะยอให้หล่อนดื่มเครื่องดื่มที่ผสมของมึนเมาด้วยเช่นกัน แม้ใจจะไม่อยากแต่หล่อนก็ไม่กล้าปฏิเสธเพื่อนของต้น ประกอบกับคำพูดของต้นที่คอยบอกหล่อนว่าจะให้เพื่อนของเขาผสมแอลกอฮอล์ให้หล่อนแบบเจือจางมากที่สุดไม่ต้องกลัวเมา แต่ทว่าเมื่อเยอะแก้วเข้าแม้ว่าจะเจือจางแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ลงไปสะสมอยู่ในร่างกายหล่อนอยู่ดี

อาการมึนเมาเริ่มแสดงออก หล่อนเอ่ยขอตัวเพื่อจะกลับบ้าน ต้นเสนอให้หล่อนเข้าไปล้างหน้าล้างตาในบ้านเสียก่อน แล้วเขาจะไปส่งหล่อนที่บ้าน หล่อนเดินตามเขาเข้าบ้านไป โดยมีเขาซึ่งเอ่ยขออนุญาตเพื่อช่วยพยุงตัวหล่อนให้อย่างสุภาพ ต้นจับลูกบิดประตูห้องๆ หนึ่งให้เปิดออก หล่อนชะงักไปเมื่อเห็นเตียงหลังใหญ่แทนที่จะเป็นสุขภัณฑ์ห้องน้ำ

เขาคงรู้ถึงความคิดของหล่อน เขาจึงบอกว่าห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนี้อีกชั้นหนึ่ง เขาชี้ไปที่ประตูที่เปิดอยู่อีกฟากนึงของห้อง หล่อนมองตามมือเขาไปก็เห็นห้องน้ำอยู่ในนั้นจริงๆ แต่หล่อนก็ยังอิดออดที่จะเข้าไปอยู่ดี เขาจึงบอกว่าจะรออยู่ข้างนอก เพื่อความสบายใจให้หล่อนล็อคประตูห้องนอนได้เลย หล่อนทำตามที่เขาเสนอแนะ ล็อคห้องและเข้าไปล้างหน้าจะได้กลับบ้านเสียที แต่เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมา ต้นกลับยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าห้องน้ำนั่นเอง เขาชูลูกกุญแจสีเงินวาววับให้หล่อนดูพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ยิ้มที่หล่อนไม่เคยเห็น ยิ้มที่หล่อนเห็นแล้วรู้สึกกลัว

หล่อนนึกถึงความปลอดภัยในทันที เปรียบเทียบระหว่างปิดประตูห้องน้ำแล้วขังตัวเองไว้ในนั่น กับเสี่ยงวิ่งสวนร่างของต้นออกไปจากห้องนี้ แต่เมื่อเห็นลูกกุญแจสีเงินในมือของเขา หล่อนว่าลองเสี่ยงดูจะดีกว่า เท้าไวเท่าความคิดแล้วหล่อนก็วิ่งออกไป แต่เหมือนต้นจะรู้ทางอยู่แล้ว เขาเบี่ยงตัวหลบก่อนจะจับหล่อนไว้ตรงท่อนแขน

หล่อนพยายามดิ้นรนขัดขืนและส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จนกระทั้งได้หมัดลุ่นๆ กระแทกเข้าที่ท้องเป็นรางวัล หล่อนร้องไม่ออกเพราะจุกจนต้องทรุดลงนั่ง เขายิ้มเย็นก่อนจะพยุงหล่อนและลากไปทีเตียงโดยไม่ได้เอ่ยขออนุญาตแบบครั้งก่อน อยากจะด่ามันอยู่เหมือนกันแต่ตอนนั้นหล่อนยังพูดไม่ออก

หล่อนหัวเราะเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ แต่คนฟังอย่างเธอนี่สิขำไม่ออกเลย เธอกำลังคิดอยู่ว่าควรจะถามดีไหมว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ แต่ยังคิดไม่ทันจบ หล่อนก็เล่าต่อเสียก่อน หล่อนบอกว่าหลังจากที่ถูกลากขึ้นเตียง ไอ้บ้านั่นก็มองหล่อนอย่างหื่นกระหาย ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูบอกว่าจะพาหล่อนขึ้นสวรรค์ หล่อนนึกอยากจะเถียงมันว่ากูยังไม่ตายแล้วจะขึ้นสวรรค์ได้ยังไง หล่อนนอนนิ่งยอมให้มันลูบคลำเรือนร่างอย่างจาบจ้วงเพื่อรอจังหวะหาโอกาสหนี และเหมือนไอ้หื่นต้นมันจะได้ใจที่เหยื่อสงบ จึงนึกเคลิ้มอกเคลิ้มใจอยากจะถอดอาภรณ์ออกจากกาย

ขณะที่มันกำลังง่วนถอดเสื้อยืดออกจากตัว จึงเป็นโอกาสให้หล่อนส่งส้นเท้าเข้าตรงเป้าเป็นการตอบแทน หล่อนรีบลุกขึ้นมาทั้งที่ยังจุก เหลียวมองไอ้ตัวหื่นร้องเสียงหลงกุมเป้าอยู่ที่พื้นตรงปลายเตียง อยากจะตรงเข้าไปซัดอีกสักดอก แต่เปลี่ยนใจขอออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า

คืนนั้นหล่อนกลับบ้านโดยสวัสดิ์ภาพ แต่เช้าขึ้นมาหล่อนไม่อยากไปโรงเรียน หล่อนมาเรียนอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ในวันถัดมา และไอ้ต้นก็เข้าทักทายหล่อนอย่างสนิทสนมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หล่อนไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพียงแต่ขอแลกที่นั่งกับเพื่อนชายอีกคนเท่านั้น

หลังจากนั้นอีกหนึ่งวันต่อมาก็มีข่าวซุบซิบนินทาเกิดขึ้น เพื่อนๆ ในห้องเริ่มมองหล่อนด้วยสายตาประหลาดๆ แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั้งหล่อนได้ยินเพื่อนผู้หญิงร่วมห้องคุยกันในห้องน้ำ ไอ้หื่นต้นเที่ยวประกาศกับใครต่อใครว่ามีอะไรกับเธอไปแล้ว แบบ one night stand เสร็จกิจก็แยกทาง แถมยังมีหน้ามาคุยอวดว่าลีลาของหล่อนนั้นแสนจะเร้าใจ แต่หล่อนคิดว่าสงสัยมันจะติดใจในรสฝ่าเท้ามากกว่า

เสียงซุบซิบและสายตาแปลกๆ ยังคงมีให้หล่อนจวบจนทุกวันนี้ ไม่เคยมีใครมาถามว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะหล่อนเองก็ไม่อยากตอบ หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นทำให้หล่อนเริ่มหัดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ หล่อนไม่ได้ทำเพื่อประชดชีวิต เพียงแต่หล่อนต้องการที่จะเรียนรู้และทำความคุ้นเคยกับมันต่างหาก

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่สองคนเปิดใจคุยกัน เช้าวันนั้นหล่อนมาโรงเรียนสายกว่าที่เคย เพราะรถที่โดยสารมาดันเกิดเสียกลางคัน ทำให้ต้องเสียเวลารอรถคันใหม่แต่ก็ยังทันมาเข้าแถวหน้าเสาธงพอดี หล่อนได้ยินเพื่อนๆ คุยกันในแถวว่าเมื่อเช้านี้ไอ้หื่นต้นมีเรื่องชกต่อยกับเด็กรุ่นน้อง แถมยังโดนฝ่ายนั้นต่อยซะสลบนอนพักฟื้นอยู่ที่ห้องพยาบาล หล่อนไม่รู้หรอกนะว่ารุ่นน้องคนนั้นเป็นใคร แต่ก็แอบนึกสะใจดีเหมือนกัน

จนกระทั้งทำกิจกรรมประจำวันหน้าเสาธงเสร็จ อาจารย์ใหญ่ก็รับไมค์เพื่อจะพูดถึงเรื่องสำคัญในลำดับต่อไป หล่อนได้ยินอาจารย์ใหญ่พูดถึงเรื่องการทะเลาะวิวาทในโรงเรียน ซึ่งก็คงจะหมายถึงเรื่องของไอ้หื่นต้นเมื่อเช้านี้ หลังจากที่อบรมเหล่าเด็กนักเรียนไปได้สักพัก อาจารย์ใหญ่จึงเรียกผู้ก่อเหตุให้ออกมารับโทษทัณฑ์ที่ได้ก่อไว้ สิ้นเสียงเรียก เด็กมัธยมต้นคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา ทันทีที่เห็นหน้ากลมๆ แก้มป่องๆ ซึ่งหล่อนจำได้ดี ก็แน่ล่ะ นั่นมันคนรักของหล่อนนี่ แล้วหล่อนก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาจนเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านหน้าหันกลับมามองอย่างงงๆ หล่อนจึงโบกมือทำนองว่าไม่มีอะไร ก่อนจะมองไอ้ตัวแสบของหล่อนถูกตีด้วยรอยยิ้ม

พักเที่ยงวันนั้นเธอไปหาหล่อนเหมือนเคย แอบเคอะเขินอยู่บ้างเรื่องที่โดนตีเมื่อเช้า แต่หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มมาให้ ยิ้มที่มักจะทำให้เธอละลายได้ทุกครั้งที่เห็น หล่อนบอกกับเธอว่าเราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้ และเสียใจที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะย้ายตามผู้เป็นป้ากลับไปอยู่ที่เชียงใหม่บ้านเกิด เธอเองก็รู้สึกเสียใจเช่นกันแม้จะรักและไม่อยากให้หล่อนจากไปแค่ไหน แต่เธอก็ไม่อาจทัดทานอะไรได้ แม้จะรู้และทำใจล่วงหน้ามาบ้างแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็อดที่จะใจหายไม่ได้อยู่ดี อยากอยู่กับหล่อนให้นานกว่านี้ และแล้วเธอก็ชวนหล่อนทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ‘โดนเรียน’ เพื่อจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันให้มากที่สุดก่อนจะจากกันไปไกล

ความสัมพันธ์และเสียงครางบอกรักครั้งสุดท้ายจบลง เธอมองดวงหน้าสวยที่บัดนี้เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของคนด้านบนอย่างแสนรัก ก่อนจะบรรจงเช็ดหยดน้ำเหล่านั้นให้อย่างเบามือราวกับกลัวว่าใบหน้างามจะบุบสลาย หล่อนส่งยิ้มสวยๆ กลับมาให้ ก่อนจะก้มลงจูบซับน้ำตาให้กับเธอเช่นกัน ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น เพราะทั้งเธอและหล่อนต่างก็ไม่อยากให้อีกคนได้ยินเสียงร่ำไห้ที่อยู่ในใจ

เย็นวันนั้นหล่อนบอกกับเธอว่า คนเราทุกคนนั้นต่างก็มีเรื่องมากมายให้ต้องทำ อาจมีบางครั้งที่คนเราทำผิดพลาดไปบ้างทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ จนกระทั้งมันเกิดเป็นปัญหา ทุกๆ คนในโลกล้วนแล้วแต่ก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่จะมองปัญหาว่าเล็กหรือใหญ่ เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด เพราะฉะนั้น จงเปิดใจให้ใหญ่กว่าปัญหา แล้วปัญหาทั้งหมดก็จะเล็กนิดเดียว

ก่อนจากกันหล่อนยังบอกอีกว่าอยากให้เธอเปิดใจ ทั้งๆ ที่เธอบอกว่าจะรอ แต่หล่อนก็ไม่ยอม หล่อนไม่อยากให้เธอปิดโอกาสตัวเอง และตัวหล่อนเองก็จะไม่ปิดโอกาสด้วยเช่นกัน วันนั้นเราจากกันด้วยรอยยิ้ม ยิ้มที่จะมีแต่เราสองคนเท่านั้นที่ได้เห็นมัน

<

<

<

กลุ่มควันที่สูดเข้าปอดและค่อยผ่อนออกทางจมูกครั้งแล้วครั้งเล่า จนน้องโบโรที่อยู่ในมือมอดไปครึ่งมวน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสติของคนที่เหม่อลอยให้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากนั้นร่างแบบบางของเพื่อนสาวทั้งสองคนก็แทรกตัวเข้ามา ผ่านบานประตูไม้สีหม่น ชโลธรยื่นมือไปรับบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนจากเจ้าของเดิมที่มาก่อนโดยไม่ต้องร้องขอ และก็สูบส่งเจ้าควันเสียอัดเข้าปอดตามไปด้วยอีกคน

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ชลธิดานึกขำอย่างเสียไม่ได้ คนสวยๆ กับมวนบุหรี่นี้มันไม่เข้ากันเลย เห็นแล้วก็เผลอนึกถึงใครอีกคน หากใครมาพบเห็นคงจะมึนงงกันอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมสาวน้อยหน้าคมเรียนเก่งแถมมารยาทดียามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้ ถึงได้มีมุมนี้ให้เห็น

‘แก้เครียด’ คำๆ เดียวที่หลุดออกมาจากปากรูปกระจับที่แสนจะยี่ยวนนั้น ทีแรกที่ได้ฟังเหตุผลจากปากยัยนั้นทำเอาชลธิดาถึงกับหน้ามึน ‘เด็กม.ต้นมันจะเครียดเชี่ยอะไรนักหนาว่ะ’

แต่ก็เอาเถอะ คนเราทุกคนต่างก็มีเรื่องให้ปวดหัว ให้เครียดด้วยกันทุกคนนั่นแหล่ะ ขนาดตัวเธอเองยังมีเรื่องแย่ๆ ที่ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย แล้วนับประสาอะไรกับยัยหน้าสวยคนนี้

ว่าแล้วก็เหลือบหางตาหันไปมองอีกคน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะเข้ามาในนี้ทำไมให้เสียสุขภาพปอด เคยถามอยู่หลายครั้งว่า  ‘แกไม่สูบแล้วจะเข้ามาทำไม’ คำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมทุกครั้ง ‘ก็แค่อยากมา’ และบ่อยครั้งที่ชลธิดาเข้ามาในนี้สาวหมวยตัวเล็กคนนี้ก็จะต้องติดสอยห้อยตามเธอมาทุกครั้งที่มีโอกาส และทุกครั้งที่มาก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนดูพวกเธอพ่นไอ้เจ้าควันพิษนี่ลอยสู่อากาศ

บุหรี่หนึ่งม้วนหมดไปอย่างรวดเร็ว เพียงพอแล้วสำหรับกลางวันนี้ เมื่อเสร็จธุระและเก็บน้องโบโรที่รักเข้าที่เดิมเรียบร้อย สามสาวก็ก้าวเดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที แต่ต้องไม่ลืมทำภาระกิจสำคัญอีกอย่างถ้ายังไม่อยากซวย ‘กลิ่นบุหรี่มันแรง’ สามสาวเดินเข้าห้องน้ำหญิงกลางเก่ากลางใหม่ที่อยู่ด้านข้างๆ อีกครั้ง ล้างหน้าล้างมือด้วยโฟมให้สะอาดหอม บวนปากด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อรสมินท์ดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออก ฉีดสเปรย์โคโลญจ์กลิ่นสปอร์ตเพื่อดับกลิ่นที่ติดกายและเสื้อผ้า และขั้นตอนสุดท้ายคือแกะลูกอมฮาร์ทบีทรสสตอเบอร์รี่สีแดงโยนเข้าปาก ปะแป้งประป๋องเล็กยี่ห้อประจำใช้แล้ววิงค์ให้หน้านวลหอม พร้อมกับป้ายลิปสติกสีอ่อนมันวาว ตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกนิดหน่อย ก่อนออกไปเผชิญโลกในความเป็นจริงอีกครั้ง แต่.....

“อ่า....ลืมเลยขอเข้าไปปลดทุกข์เบาก่อนนะ พวกแกไปรอข้างนอกก่อนล่ะกัน”  ชลธิดาว่ายิ้มเจื่อน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มกราคม 2014 เวลา 19:56:05 ป่านิทรา »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.