web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 437
Most Online Ever: 437
(วันนี้ เวลา 21:24:59)
Users Online
Members: 0
Guests: 395
Total: 395

ผู้เขียน หัวข้อ: นกของทิฆัมพร บทที่ 7  (อ่าน 735 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
นกของทิฆัมพร บทที่ 7
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 00:00:29 »
บทที่ 7

ตอนแรกทิฆัมพรจะชักมือออกด้วยความไม่เคยชินแล้ว แต่เธอฉุกคิดได้ว่าการจับมือไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรสำหรับคนที่เป็นเพื่อนกัน หล่อนเคยเห็นเพื่อนผู้หญิงจูงกันไปที่นู่นที่นี่อยู่เสมอ

หญิงสาวได้ยินเสียงก่อนจะเดินถึงสถานที่ตั้งไกล เพลงลูกทุ่งดังเป็นจังหวะชวนเต้น ดูเหมือนว่าคนข้างๆ จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มือที่เกาะกุมหล่อนแกว่งไปมาตามจังหวะ

“อยากยิงปืน เผื่อจะได้ตุ๊กตาไปฝากหลาน” จู่ๆ พรรณรายก็เปรยขึ้นมา

หล่อนนึกถึงแฟนสาวทันที ไม่รู้ว่าอยากได้ตุ๊กตาบ้างรึเปล่า เธอถอนหายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียวเพราะฝากธนาคารจนหมด คงต้องถอนเงินในวันอื่นแล้วมาเล่นดู

“อ้อยอยากทำอะไรบ้างล่ะ” เสียงติดห้าวหันมาถาม

“เดินเล่น” เด็กสาวไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เพราะทุกอย่างล้วนใช้เงินไปหมด

“มางานวัดทั้งทีไม่อยากเล่นอะไรเลยเหรอ” คนข้างๆ ประหลาดใจไม่น้อยที่ได้รับคำตอบเช่นนั้น

“ไม่รู้สิ” เธอไม่ได้มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว งานวัดเป็นแค่ความทรงจำรางเลือนในความคิด

“งั้นเดี๋ยวหนูพาอ้อยไปเล่นเอง รับรองสนุก” ยิ้มจริงใจถูกส่งมาให้

พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้วเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าประตูวัด ซึ่งภายในลานดินข้างในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องเล่นหลายชนิด รวมถึงร้านค้าเล็กๆ ที่ขายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มด้วย

“หาอะไรกินกันก่อนไหม เดินมาไกลชักหิวแล้ว” อีกฝ่ายชักชวนพยักหน้าไปทางร้านขายหมูปิ้ง

“กินเถอะ อ้อยไม่หิว” หล่อนจะพูดได้อย่างไรว่ากินอาหารแค่วันละมื้อ

“อ้อยผอมจะแย่ ไม่กินอะไรแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่มีแรงทำงาน” คนผิวคล้ำตำหนิที่เธอปฏิเสธ

“ยังอิ่มเมื่อกลางวันอยู่” สาวร่างบางบอกนิ่งๆ

“จริงเหรอ ป่านนี้ย่อยไปหมดแล้วมั้ง” คำพูดคนข้างๆ เหมือนจับผิด เธอหน้าร้อนวูบวาบคล้ายคนโดนจับได้

“อ้อยไม่กิน” คนตาสีเข้มย้ำประโยคเดิม หล่อนไม่ต้องการคุยเรื่องนี้อีกต่อไป มีความไม่พอใจก่อตัวขึ้น เพื่อนใหม่ช่างซอกแซกเรื่องส่วนตัวของหญิงสาวเสียจริง ไม่รู้ว่าปกติเพื่อนกันเขายุ่งแบบนี้ไหม

“ตามใจๆ” สาวผมยาวมองหน้าเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา



“ไปดูหนังกันไหม” ปรางเอ่ยชวนเมื่อทั้งสี่คนเดินผ่านช่องขายตั๋วหนังในห้างสรรพสินค้าที่มาเดินเล่นกัน

“เอาสิ” คนสวยเอ่ย เธอไม่ค่อยได้มาดูเองสักเท่าไหร่ เพราะเวลาทั้งหมดก็ทุ่มเทให้กับการเรียน หล่อนไม่อยากให้พ่อเสียใจ และเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์

“จันทร์ว่าไง” เสียงแหบของหนุ่มเพิ่งแตกพานถามด้วยรอยยิ้ม

“ยังไงก็ได้” คำตอบเดิมๆ ที่วรดาได้ฟังมาเสมอ ปพิชญาไม่ใช่คนเรื่องมาก เป็นประเภทไปไหนไปกัน ไม่ค่อยชอบออกความคิดเห็น

“โอเคงั้นเดี๋ยวเก่งไปจองตั๋วให้รอตรงนี้นะ” อภิชัจอาสา ดูเหมือนว่าพักนี้จะเข้ากับรักษณาลีได้ดีผิดปกติ

“ข้าวมีแฟนรึยัง” เพื่อนสาวโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย

“มีแล้ว” เธอตอบเขินๆ

“จริงเหรอ” ปรางถามต่ออย่างไม่อยากเชื่อ สีหน้าตกใจสุดขีด

“อือ” หล่อนพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่ได้พูดออกไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง หญิงสาวภูมิใจในตัวของคนรัก และยินดีจะบอกให้ทุกคนได้รับรู้ยกเว้นที่บ้าน หล่อนกลัวว่าพ่อจะรับไม่ได้

“ได้ตั๋วมาแล้ว” เก่งชูบัตร 4 ใบโบกไปมา แต่เมื่อเห็นทุกคนทำหน้าคล้ายมีอะไรผิดปกติสักอย่างจึงเอ่ยปากถาม

“มีอะไรกันเหรอ” เขามองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีหวังว่าจะได้คำตอบ

“ปรางถามข้าวว่ามีแฟนรึยัง ข้าวบอกว่ามีแล้ว” สาวนิ่งตอบรวบรัดเข้าใจง่าย

“จริงเหรอ” ชายหนุ่มถามซ้ำเหมือนที่ปรางได้ถามมาแล้ว

“จริง ทำไมเหรอ” หล่อนแปลกใจในท่าทีของทั้งสองคนจนต้องถามกลับไปบ้าง

“เอ่อ...เปล่า” อีกฝ่ายพูดตะกุกตะกัก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่เธอก็ไม่ได้เค้นถามอะไรออกไปอีก คิดว่าตัวเองสามารถหาคำตอบของเรื่องนี้ได้

“เข้าโรงกันเถอะ” เป็นปพิชญาที่ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด



“อ้อยจะไม่เล่นอะไรจริงๆ เหรอ” เพื่อนใหม่ถามหลังจากที่เจ้าตัวเล่นเกมยิงปืนไป 2 รอบ แถมด้วยปาเป้าอีก 3 ครั้ง แถมยังดูเหมือนอยากจะซื้อตั๋วชมมอเตอร์ไซต์ผาดโผนอีกด้วย

“อือ” เธอตอบเสียงเรียบเช่นเคย ความต้องการหล่อนมีเพียงสองอย่าง หนึ่งคือไปจากที่นี่ และสองคือได้อยู่กับข้าวหอม ได้เห็นรอยยิ้มสวยๆ น้ำเสียงใสหวาน และฟังคำบอกรักที่เอ่ยออกมาจากใจจริงทุกวัน

คนข้างๆ ถอนหายใจ ความสนุกเหมือนจะลดลงไปทันทีที่ได้ยินคำตอบของทิฆัมพร หล่อนรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้อีกฝ่ายหมดสนุก แต่ก็คิดว่าเธอไม่ได้ขอร้องให้พรรณรายมาเป็นเพื่อนเสียหน่อย ไม่ได้เป็นฝ่ายชวนมาเที่ยวงานด้วยซ้ำไป คนผิวคล้ำควรรับให้ได้กับนิสัยของเธอ

“ไปดูมอเตอร์ไซต์กันเถอะ จะถึงโชว์รอบถัดไปแล้ว” เพื่อนสาวตัดบท เหมือนไม่อยากจะพูดมากไปกว่านี้

“อ้อยจะรอตรงนี้” หญิงสาวรีบบอก รั้งตัวเองจากแรงฉุด

“ไปน่า” กำลังแขนของอีกฝ่ายมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเพราะคนตรงหน้าตัวโตกว่าก็เป็นได้

พรรณรายฉุดเธอไปจนถึงโต๊ะเล็กๆ ซึ่งขายตั๋วจนได้ ราคา 20 บาท หล่อนแอบคิดว่าซื้อแสตมป์ส่งไปหาข้าวได้ตั้งหลายดวง

“ซื้อตั๋วสิ” เมื่อเห็นหญิงสาวยืนนิ่งหลังจากที่ตัวเองซื้อเรียบร้อยแล้วจึงพูดออกมา

“เอ่อ...” ทิฆัมพรอึกอัก

“อ้อยไม่มีเงิน” เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วพูดเสียงเบาด้วยความอับอาย

“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก” พรรณรายส่ายหัวจากนั้นซื้อตั๋วอีกใบให้ทันที

“เงินออกจะใช้คืน” หล่อนบอก ไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใครทั้งนั้น



คนผิวคล้ำกลืนไปกับความมืดจูงมือหล่อนเงียบๆ จริงๆ แล้วอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ออกเงินให้เธอ เสียงแมลงร้องดังเป็นระยะ มือใหญ่ยังคงกุมมือของเธอไว้เช่นเดิม

ข้างทางวังเวงเปล่าเปลี่ยว หล่อนลืมไปเสียสนิทว่าต้องกลับบ้านโดยการเดินไปตามทางมืดๆ คนเดียว ปกติเธอไม่เคยต้องเดินในความมืดขนาดนี้ ขนาดที่มองไม่เห็นมือตัวเอง

“เดี๋ยวไปส่งนะ” เสียงนั้นดูอ่อนโยนกว่าปกติ

“อย่าเลย” หญิงสาวปฏิเสธเพราะถ้าให้คนข้างๆ ไปส่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับบ้านยังไง

“เถอะน่า เดินคนเดียวเดี๋ยวก็โดนฉุดหรอก” ท้ายประโยคของคนผมยาวดูจะเป็นห่วงและเป็นกังวลเอาจริงๆ จังๆ

“แล้วหนูจะกลับยังไง” ร่างบางถามกลับ

“ก็ขี่รถกลับเหมือนทุกวันไง” พรรณรายตอบสบายๆ

“รถไหน” เธอขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ

“รถจักรยาน จอดอยู่ข้างรั้วไร่ไง ไม่เห็นเหรอ” เด็กสาวเดาว่าเพื่อนสาวคงทำหน้างุนงงที่เธอไม่รู้อะไรเป็นแน่ เพียงแต่มันมืดเกินกว่าหล่อนจะพิสูจน์ได้ว่าตัวเองคิดถูก

“อ่อ” สาวตาเข้มพยักหน้ารับรู้ เธอไม่ได้สังเกตจริงๆ ว่ามีรถจอดอยู่ ที่แท้แล้วหล่อนเพิ่งจะคิดได้ว่าตัวเองแทบจะไม่เคยมองอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำ ปกติที่เป็นแบบนั้นเพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่น่าสนใจ และดึงดูดให้อยากมอง

“ดีนะรถติดไฟฉายไว้ ดึกๆ แบบนี้อันตราย” คนข้างๆ ดูจะเป็นคนรอบคอบไม่น้อย อีกทั้งยังไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กๆ ไม่โกรธด้วยซ้ำที่หล่อนบ่ายเบี่ยงหลายครั้งในวัด ถ้าไม่ติดว่าหนูชอบถามนู่นนี่ เธอว่าอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนที่ไม่เลวนัก

เสียงจักรยานดัง ‘กึก กึก’ เป็นระยะ เธอเดาว่าเพราะอายุการใช้งานที่ยาวนาน หล่อนไม่มีปัญหา เพราะถือว่าได้นั่งรถที่มีไฟฉายก็ดีมากแล้ว ดีกว่าเดินดุ่มๆ กลับบ้านในความมืดสลัวไร้แสงของพระจันทร์

“ขอบคุณ” เธอเอ่ยคำนั้นหลังจากรถจอดหน้าบ้าน ในบ้านไม้หลังโย้มืดสนิท ทิฆัมพรเดาว่าแม่คงหลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหล่อนอาจจะโดนว่าหรือตีก็เป็นได้ แม่ไม่เคยถูกใจอะไรเลยที่เธอทำ

“ไม่เป็นไร อ้อยควรจะซื้อจักรยานสักคันนะ พันสองพันสามร้อยบาท ก็แพงอยู่แต่คุ้ม” เพื่อนสาวบอก ความคิดนี้ก็แวบขึ้นมาวูบหนึ่งเช่นกัน แต่หล่อนปัดทิ้งไปเพราะถ้าซื้อหมายถึงเธอนำเงินที่เก็บได้ทั้งเดือนไปใช้ แม้แต่เงินแค่บาทเดียวหญิงสาวก็ไม่อยากจะถอนออกมาเลยด้วยซ้ำ อ้อยต้องการเก็บทุกบาททุกสตางค์เพื่อให้มากพอจะออกไปจากบ้านหลังนี้ได้

“จะคิดดู” คนผมประบ่าแบ่งรับแบ่งสู้รู้ว่าคนตรงหน้าหวังดี

“ไปล่ะ” มือใหญ่โบกไหวๆ ก่อนจะขี่รถจากไป



วรดากระสับกระส่าย ในความฝันซึ่งไม่อาจตื่นได้นั้นเธอเห็นคนรักทรมานเจ็บปวด หล่อนพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยแต่ก็โดนลูกหลงจนแสบไปหมด

หญิงสาวร้องไห้ พูดจาอ้อนวอนอย่างไม่อาย ใบหน้าของอ้อยไม่มีแม้เพียงหยดน้ำตา มันมีแต่ความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ปากบางนั้นเชิดอย่างไม่ยอมแพ้

“อ้อย” เธอร้องเรียกหวังให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเธอมองอยู่ตรงนี้

ดูเหมือนว่าทิฆัมพรจะไม่ได้ยิน เนื้อตัวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยแผล เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เลือดซึมออกมาเป็นดวงๆ แต่ไร้ซึ่งเสียงร้อง

“ไม่” หล่อนตะโกนก้อง ก่อนจะพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในห้องกลางดึก น้ำตาซึม

ลมหายใจหญิงสาวหอบกระชั้น หวังว่าความฝันนั้นจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่เธอไม่มั่นใจเอาเสียเลยมันเหมือนเป็นลางร้าย หล่อนเคยเห็นรอยแผลตามตัวของคนร่างบางมาแล้ว มันมากมายเต็มไปหมด วรดารู้สึกไม่สบายใจนอนไม่หลับจนกระทั่งรุ่งเช้า



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.