web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 104
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 92
Total: 92

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่องานเยอะ ฉันจึงหนีเที่ยว เวียนนา- รัสเซีย เมื่อกลับมางาน(แม่ง)ก็เยอะเท่าเดิม  (อ่าน 2933 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • นักเขียน
  • ขาจร
  • ****
  • กระทู้: 93

เมือง/ ประเทศ:
-   เวียนนา (ออสเตรีย)
-   เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย)
-   มอสโค (รัสเซีย)

ภาษาของประเทศที่ไป/ ความสามารถทางภาษาของ Nuffy:
-   เวียนนา ภาษาเยอรมัน/ ความสามารถทางภาษาเยอรมัน = 0
-   รัสเซีย ภาษารัสเซีย/ ความสามารถทางภาษารัสเซีย = 0

สมาชิก 2 คน: Nuffy และ รุ่นพี่ (คนพิการนั่งวีลแชร์)

อากาศ: หนาว – หนาวมาก
-   เวียนนา: 3 – 7 องศา + ลมแรง
-   เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: ลบ 2 – 4 องศา + หิมะและฝน
-   มอสโค: ลบ 2 – 4 องศา + ลมแรง

ลักษณะการเดินทาง: Backpack

งบประมาณ: สองประเทศรวมกันเสียไปประมาณคนละ 40,000 กว่าบาท

First Round: เวียนนา (Vienna/ Wien)

เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย (ไม่ใช่ออสเตรเลียนะ และไม่มีจิงโจ้) ไปแบบเบลอๆ ไม่มีอะไรในหัว ข้อมูลทั้งหมดที่มีคือแผนที่รถไฟ และแผนที่จากสนามบินไปโรงแรมเท่านั้นเองจริงๆ นอกนั้นไปหาเอาดาบหน้า มีอ่านรีวิวจาก pantip มาเพียงเล็กน้อย แผนที่ไปหยิบเอาที่โรงแรม สถานที่เที่ยวอ่านรีวิวของ tripadvisor ตอนกลางคืน ตอนเช้าออกเที่ยว

เอาตรงๆ ว่าไปเวียนนาได้ไปเฉพาะแลนด์มาร์กคือ คือ

-   Stephansplatz ที่อยู่กลางกรุงเก่าเวียนนา เต็มไปด้วยโบสถ์และสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บาโรคและร็อคโคโค่มากมาย รวมไปถึงพระราชวังฮอฟบวร์ก ศูนย์กลางของราชวงศ์ออสเตรียที่เคยเป็น 1 ในราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป พิพิธภัณฑ์ซีซี่ (Sisi Museum สมเด็จพระจักรพรรดินีอลิซาเบธแห่งออสเตรีย-ฮังการี ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นจักรพรรดินีที่สวยที่สุดในโลก) และศาลาว่าการเมือง



ประวัติพระจักรพรรดินีอลิซาเบธ (ซีซี่)
สมเด็จพระจักรพรรดินีอลิซาเบธ (ชื่อเล่น ซีซี่) เดิมคือดัชเชสอลิซาเบธแห่งแคว้นบาวาเรีย เยอรมันนี เป็นพระญาติและพระสหายของกษัตริย์ลุดวิกที่ 2 ในวัยทรงพระเยาว์นั้นโปรดเล่นผาดโผน ปีนป่ายต้นไม้ ทรงม้า ล่าสัตว์ ผิดวิสัยเจ้าหญิงทั่วๆ ไป จึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้มาเป็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างออสเตรีย-ฮังการี แรกเริ่มนั้น จักรพรรดิฟรานซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ในวัย 23 ชันษา ทรงกำลังหาคู่ครองโดยมีอาร์คดัชเชสโซฟี พระมารดาเป็นแม่สื่อ ซึ่งเล็งเป้าไปที่ดัชเชสเฮเลน พระภคินี (พี่สาว) ของดัชเชสอลิซาเบธ แต่กลายเป็นว่าจักรพรรดิทรงเลือกดัชเชสผู้น้องแทน ทั้งที่ตอนนั้นพระชันษาแค่ 15 ปีเท่านั้น

พระองค์เจอมรสุมชีวิตในรั้วในวังค่อนข้างจะเยอะ เนื่องจากอาร์คดัชเชสโซฟี พระสัสสุ (ภาษาชาวบ้าน = แม่สามี และมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ อีกด้วย) ไม่โปรดพระนางเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นถึงจักรพรรดินี แต่ก็มีความกดดันต่างๆ นาๆ ทั้งเรื่องในราชสำนัก หรือแม้แต่ไม่ให้พระนางเลี้ยงพระธิดาหรือโอรสเลย จึงโปรดเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอ บ่อยสุดคือเกาะคอร์ฟู ประเทศกรีซ ในปี 1889 พระจักรพรรดินีทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดดำล้วน เนื่องจากพระราชโอรสเพียงองค์เดียว มกุฎราชกุมารรูดอล์ฟ ปลิดพระชนม์ชีพพระองค์เองด้วยพระแสงปืน เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1889 เนื่องจากทรงช้ำรักกับนางสนม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉลองพระองค์ทุกชุดคือชุดดำ และแทบจะไม่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันใดอีกเลย

สมเด็จพระจักรพรรดินีอลิซาเบธถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1898 พระชนมพรรษา 61 พรรษา โดยถูกมีดแทงกลางหน้าอก ณ เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ชายผู้หนึ่งนามว่า ลุยจิ ลูเชนี่ ชาวอิตาลี ซึ่งมีเป้าหมายจะปลงพระชนม์เจ้าชายแห่งฝรั่งเศส พอทราบข่าวพระนางเสด็จฯ ก็มีการเปลี่ยนเป้าหมาย ดักซุ่มรอใกล้ๆ โรงแรมที่ประทับ เมื่อได้ทีจึงเข้าไปแทงพระองค์ระยะประชิด ขณะที่พระองค์กำลังทรงพระดำเนินออกจากโรงแรมไม่นาน พระบรมศพถูกเคลื่อนจากโรงแรมที่ประทับกลับสู่เวียนนาทันที ส่วนฆาตกรนั้นถูกพิพากษาจำคุกและรอยื่นอุทธรณ์แต่ได้ฆ่าตัวตายในห้องขังในเวลาต่อมา


-   สวนสาธารณะดานูบ และหอคอยดานูบ (Danube Tower): หอคอยสร้างใหม่ สามารถเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบของเวียนนา ก็นะ คือ ลมแรงมาก หนาวสุดๆ ยืนอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็โบกมือลา มือแข็งปากแข็งไปหมด ที่นี่ไอติมวอลล์ขายด้วย แต่ที่นี่เรียก Eskimo ไม่รู้เพราะอะไร ในขณะที่เยอรมันเรียกว่า Langnese

-   Stadtpark: ไปดูรูปปั้นของ Johann Strauss, Jr. ซะหน่อย เจ้าพ่อแห่งเพลงวอลซ์ (ไปแค่นั้นแหละ)


-   สุสานกลางเวียนนา (Central Cemetery Vienna - Musicians' Grave) คาราวะหลุมศพ Beethoven, Mozart และ Schubert (ไปไกล แล้วก็ดูแค่นี้แหละ)


-   พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn) สถานที่แปรพระราชฐานฤดูร้อนของราชวงศ์ออสเตรีย ประเด็นคือค่อนข้างตกใจว่า มาเรีย อองตัวเนต ราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ของฝรั่งเศสมาจากราชวงศ์ออสเตรีย (ตรูไปอยู่ไหนมา) ที่นี่จะเน้นที่ประวัติของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซ่า ประมุขแห่งออสเตรีย ฮังการี โบฮีเมีย โครเอเชีย และสลาโวเนีย ถือว่า พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในพระประมุขผู้ทรงอำนาจที่สุดในทวีปยุโรปเลยทีเดียว อุทยานของพระราชวังสวยมาก มีสวนสัตว์ด้วย แต่แพงเลยไม่ได้เข้า (แอบกรี๊ดเจ้าหน้าที่แจก Audio Guide น่ารักโคตร สเป็คอย่างรุนแรง)


รัสเซีย
เป็นประเทศอันดับ 1 ในใจที่อยากมามากกกก (อันดับสองคือญี่ปุ่น: ไปมาแล้ว อันดับสามคือไอซ์แลนด์: ยังต้องเก็บตังค์ไปอีกนาน) ข้อดีของการเที่ยวรัสเซียในปีนี้และปีหน้าคือ
1.   ไม่ต้องใช้วีซ่า
2.   ราคาค่าเงินถูก ถ้ามาเที่ยวเอง (ย้ำว่าเที่ยวเอง) ค่าใช้จ่ายลดลงถึง 50% (ไม่แนะนำให้มากะทัวร์นะจ้ะ)

มาที่นี่ประเทศเดียวได้ประสบการณ์เยอะมากกก และก็เหมือนเดิมคือ ข้อมูลทั้งหมดที่มีคือแผนที่รถไฟ และแผนที่จากสนามบินไปโรงแรมเท่านั้นเอง นอกนั้นไปตายเอาดาบหน้า!

Second Round: เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg/ Санкт-Петербург)
ก่อนที่จะเดินทางมาถึงคิดว่าน่าจะใช้บริการรถไฟใต้ดินได้ (ที่มีสถานที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลก) แต่ในความเป็นจริง เมื่อไปกับวีลแชร์ ไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินได้ค่ะ ไม่ได้เด็ดๆ

เจ้าหน้าที่รถไฟ Aeroexpress (เหมือน airport link บ้านเรา) น่ารักมากนะ พูดอังกฤษไม่ได้ ก็เพียรพยายามหาคนที่พอจะอธิบายได้ว่าทำไมถึงเดินทางโดยรถใต้ดินไม่ได้ให้เข้าใจ โดยการลาก Nuffy ไปหาพนักงานในบูธขายแผนที่คนหนึ่งในสถานีที่พอจะพูดอังกฤษได้ (แต่ไม่มาก) สื่อสารโดยใช้ google translate คุยจนโทรเรียกรถแท็กซี่ให้ พร้อมกับให้มินิไกด์บุ๊คมอสโค (ที่เอาไว้ขาย) ให้มาเลยฟรีๆ สองเล่ม! เจ้าหน้าที่รถไฟ Aeroexpress ก็ยังคงยืนรอช่วยเราอยู่แบบไม่หนีไปไหน (เป็นประเทศอื่นคนปล่อยทิ้งไปแล้ว)

เดินทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ด้วยรถไฟตู้นอนใช้เวลา 9 ชม. ทุกตู้ของรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่สาว (ใหญ่) ประจำรถ พวกนางจะยืนเรียงแถวกันแบบเท่โคตร ยูนิฟอร์ม เสื้อโค้ตเป๊ะมากกกก เตียงสองชั้นไว้สำหรับนอนจะสูงหน่อยๆ แอบเสียวแต่โดยรวมโอเค มีกล่องของว่างและอาหารเช้าบริการด้วย

เที่ยวในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

-   ใช้ถนน Nevsky Prospekt เป็นสายหลักในการเดินทาง ถนนสายนี้มีสถานีรถไฟใต้ดินมากมายและสถานที่ท่องเที่ยว เช่น อนุสาวรีย์ Catherine ที่ 2 Kazan Cathedral และ The Church of the Saviour on Spilled blood สุดสายของถนนคือ The State Hermitage Museum หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพงษ์ เคยประทับอยู่ที่นี่ในฐานะโอรสบุญธรรมของพระเจ้าซาร์นิโรลัสที่ 2 ด้วย)

-   Catherine Palace พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ผู้บุกเบิกนครหลวงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นเพื่อพระราชทานให้แก่พระมเหสีแคทเธอรีนที่ 1 ในช่วงปี ค.ศ. 1724 เพื่อใช้เป็นที่ประทับในฤดูร้อน ต่อมาพระราชวังแห่งนี้จึงตกทอดมาสู่พระราชธิดา จักรพรรดินีอลิซาเบธ และได้มีการออกแบบและต่อเติมครั้งใหญ่อีกครั้งเพื่อให้ยิ่งใหญ่และสวยงามขึ้นอีกในสมัยของพระจักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2 ไฮไลท์คือห้อง ballroom ที่ใครเคยดูเรื่อง Anastasia ช่วงที่เป็นฉาก flashback ในงานเต้นรำ ก็คือห้องนี้นี่แล


Amber room (ห้ามถ่ายรูป) หรือห้องอำพันเป็นห้องที่ทำมาจากอำพันทั้งห้อง และประดับด้วยทองคำเปลวและกระจก ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก ที่จริงแล้วห้องอำพันจริงๆ นั้นถูกสร้างขึ้นครั้งแรกที่พระราชวังชาร์ลอตต์เตนบวร์ก ในปรัสเซีย (เยอรมันนี) แต่เนื่องจากพระจักรพรรดิปีเตอร์มหาราชได้ไปเห็นและพอพระทัยเป็นอย่างมาก กษัตริย์แห่งปรัสเซียในสมัยนั้นจึงทรงถวายห้องอำพันดังกล่าวให้แก่ซาร์ปีเตอร์มหาราช ในสมัยของพระจักรพรรดินีอลิซาเบธจึงได้ย้ายห้องอำพันดังกล่าวมาไว้ที่พระราชวังแคทเธอรีนโดยใช้อำพันถึง 6 ตัน

สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีของเยอรมันบุกโซเวียต ในครั้งนั้นโซเวียตพยายามที่จะย้ายทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดหนีจากการถูกทำลายโดยนาซีรวมถึงห้องอำพันแห่งนี้ด้วย แต่เนื่องจากอำพันนั้นเปราะบางมากบวกกับเมื่อสัมผัสกับอากาศพอพยายามจะแกะออกมาอำพันก็จะสลายกลายเป็นผง ผลสุดท้ายโซเวียตจึงต้องเลิกล้มความพยายามที่จะแกะอำพันออก และเปลี่ยนเป็นใช้วิชาพรางตัวอำพันโดยเอาวอลเปเปอร์มาทำเนียนปิดทับผนังอำพันทั้งหมดนี้แทน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พ้นสายตาของทหารนาซี ห้องอำพันแห่งนี้จึงถูกแกะออกไปได้สำเร็จด้วยผู้เชี่ยวชาญของเยอรมัน และนำกลับไปตั้งแสดงที่พระราชวังเคอนิกสบวร์กที่ปรัสเซียแทนในปี 1941

ไม่กี่ปีภายหลังจากการบุกรัสเซียของกองทัพนาซี ทหารโซเวียตก็ได้บุกเข้าไปในเยอรมันบ้าง ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์ต้องรีบสั่งการให้เอาของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนและนับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครได้เห็นห้องอำพันนั้นอีกเลย ห้องอำพันที่อยู่ในวังนี้เป็นการบูรณะขึ้นใหม่โดยอิงจากภาพของห้องอำพันเก่าสีขาวดำที่ยังหลงเหลืออยู่ ด้วยการร่วมทุนของบริษัทพลังงานในเยอรมันนี และเพิ่งจะแล้วเสร็จในปี 2003 เพื่อเฉลิมฉลอง 300 ปีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ประวัติสมเด็จพระจักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2 (ซาริน่าแคทเธอรีนที่ 2)
สมัยทรงพระเยาว์ ทรงเป็นแค่พระธิดาของกษัตริย์แคว้นเล็กๆ ในเยอรมันนีซึ่งไม่ได้ร่ำรวยหรือมีชีวิตที่หรูหราแต่อย่างใด ไม่ได้มีพระสิริโฉมที่งดงามเลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าหญิงหางแถวก็ว่าได้ ในช่วงเวลานั้น รัสเซียปกครองโดยซาริน่าอลิซาเบธผู้ทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะสงครามมานานหลายปีจนถึงช่วงกลางคริสตวรรษที่ 18 ก็เริ่มคิดได้และอยากจะฟื้นฟูประเทศให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหลังยุติสงคราม จึงได้คิดแผนการอภิเษกสมรสระหว่างแกรนด์ดยุคปีเตอร์ซึ่งเป็นหลานชายของตนกับเจ้าหญิงซักพระองค์จากเยอรมันเพื่อยกสถานะรัสเซียให้มั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยความที่ปรัสเซีย (เยอรมันนี) ในสมัยนั้นซึ่งปกครองโดยพระเจ้าเฟเดอริกเรียกได้ว่ามีอานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเมื่อเทียบกับรัสเซีย พระองค์ทรงไม่ได้เห็นความสำคัญของรัสเซียที่กำลังอ่อนแอแม้แต่น้อยแต่เพื่อการรักษาสัมพันธไมตรีไว้ไม่ได้อยากจะมีเรื่องบาดหมางใจกัน สุดท้ายพระเจ้าเฟเดอริกก็เลยตัดสินพระทัยให้เจ้าหญิงโซเฟีย (ซึ่งเป็นพระนามเดิมของซาริน่าแคทเธอรีน) ไปสมรสกับหลานชายของซาริน่าอลิซาเบธแทน

ชีวิตสมรสของพระนางเหมือนฝันร้าย เนื่องจากเจ้าชายปีเตอร์กลับมีอุปนิสัยที่ทรงเอาแต่พระทัยตัวเอง โปรดปรานการเล่นตุ๊กตาทหารกับมหาดเล็กถึงกับเอาตุ๊กตามาเล่นบนเตียงบรรทมในช่วงคืนอภิเษกสมรสจนหลับไป ไม่มีความสนพระทัยหรือเอาใจใส่ในแคทเธอรีนแม้แต่น้อย แถมต่อมาก็ยังเอานางสนมมากหน้าหลายตามาพรอดรักด้วยกันเสมอ เมื่อพระนางแคทเธอรีนเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตสมรสก็ทรงทุ่มเทเวลาให้กับการหาความรู้ หมั่นศึกษาภาษารัสเซีย เรื่องการบ้านการเมือง จนเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของซาริน่าอลิซาเบธ ในขณะที่เจ้าชายปีเตอร์กลับทำตัวเรื่อยเปื่อย ไม่สนใจบ้านเมือง และเริ่มไม่พอพระทัยที่เห็นเจ้าหญิงแคทเธอรีนทรงพระปรีชาสามารถและทำได้ดีกว่าตนเองในทุกๆ ด้าน และสุดท้ายแกรนด์ดยุคกับแกรนด์ดัชเชชทั้งสองพระองค์นี้ก็หลงเหลือไว้แต่ความเกลียดชังซึ่งกันและกัน

แม้จะรักษาความเป็นหญิงพรหมจรรย์ไว้ได้ถึง 8 ปีภายหลังการอภิเษกสมรส ในที่สุดแกรนด์ดัชเชชแคทเธอรีนก็ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกที่มีต่อมหาดเล็กรูปหล่อนายหนึ่งที่ชื่อว่า แซร์แก วาลติดอฟ ได้ และทั้งสองก็ได้ทำเรื่องต้องห้ามจนเป็นขี้ปากของคนในวัง แต่บางคนก็พอเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่พระนางต้องเป็นแบบนี้ ในที่สุดพระนางก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายซึ่งก็กลายมาเป็น แกรนด์ดยุคปอล (Paul) ซึ่งแม้ต่อมาพระนางแคทเธอรีนจะได้ยอมรับว่า ปอล (ภายหลังคือจักรพรรดิพอลที่ 1 พระบิดาของพระจักรพรรดิอเล็กซ์ซานเดอร์ที่ 1) เป็นบุตรที่เกิดจากตนกับวาลติดอฟ แต่ซาริน่าอลิซาเบธก็ได้นำไปเลี้ยงดูเองในฐานะทายาทสายพระโลหิต ส่วนพ่อของเด็กก็ไปไม่กลับเลยหายไปจากวงจรชีวิต หลังจากนั้นพระนางแคทเธอรีนก็ทรงมีพระสวามีนู่นนี่นั่นเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะฐานันดรของพระนางที่ช่างดึงดูดเย้ายวนต่อชายทุกคนที่อยากจะขึ้นมาเป็นซาร์คนใหม่แห่งจักรวรรดิรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ซาริน่าอลิซาเบธเสด็จสวรรคต แกรนด์ดยุคปีเตอร์หลานชายก็ทรงขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อมาแทน แต่คงจะเรียกได้ว่า ซาร์ปีเตอร์ที่ 3 พระองค์นี้ไม่ได้เป็นที่รักใคร่ยอมรับจากประชาชนมากนัก เนื่องจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่างๆ ของพระองค์เอง ตั้งแต่ในช่วงงานพระศพของซาริน่าอลิซาเบธ พระองค์ก็ไม่ได้เข้าร่วมในการไว้ทุกข์หรือแม้แต่จะแต่งชุดดำแต่กลับจัดงานรื่นเริงอย่างไม่แยแส รวมถึงกิริยาท่าทางการแสดงออกต่างๆ ที่ดูจะไม่เข้าคุณลักษณะที่ดีของการเป็นกษัตริย์เลย ทั้งการชอบทำท่าทางที่น่าเกลียด ยักพระคิ้วหลิ่วพระตา เสวยเละเทอะ รวมถึงมีพระวาจาที่หยาบคาย และยังฝักใฝ่เยอรมันและพระเจ้าเฟเดอริกจนถึงขั้นที่ไม่เหลือศักดิ์ศรีแห่งจักรวรรดิรัสเซียที่เคยยิ่งใหญ่

สุดท้าย ในปี ค.ศ.1762 ก็เกิดการรัฐประหารขึ้น โดยก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นการกระทำภายใต้พระบัญชาของพระนางแคทเธอรีน และในวันรุ่งขึ้นพระนางเจ้าแคทเธอรีนก็ได้กลายมาเป็น ซาริน่าแคทเธอรีนที่ 2 แห่งจักรวรรดิรัสเซียอย่างสมบูรณ์ ในการปกครองประเทศนั้น ต้องถือว่าท่านทรงเป็นจักรพรรดินีที่ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิรัสเซีย ทรงเจริญรอยตามซาร์ปีเตอร์มหาราช (พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1) ในการสร้างความยิ่งใหญ่และเข้มแข็งให้แก่จักรวรรดิและกองทัพรัสเซีย ทรงทำสงครามและมีชัยเหนือเยอรมันได้ในที่สุด จนเป็นที่เล่าขานว่าพระเจ้าเฟเดอริกซึ่งเคยเป็นโจทก์เก่าผู้ส่งตัวแคทเธอรีนให้ต้องมาเผชิญชะตาชีวิตลิขิตเองนี้ถึงกับต้องตรอมใจตายจากการแพ้สงครามกับพระนาง นอกจากนี้ ซาริน่าแคทเธอรีนยังส่งเสริมและพัฒนาระบบภายในของรัสเซีย ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และด้านต่างๆ ให้เจริญก้าวหน้ากลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจในยุโรป จนได้รับการขนานนามให้เป็น สมเด็จพระจักรพรรดินีแคทเธอรีนมหาราช


-   พระราชวัง Peterhof
พระราชวังแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านสวนน้ำพุ ในช่วงฤดูร้อนจะมีนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาจากทั่วโลกเพื่อมาชมความสวยงามอลังการของสวนน้ำพุแห่งนี้ แต่เผอิญว่า มาเที่ยวหน้าหนาวเนอะ น้ำพุเลยแห่งเป็นน้ำแข็งแบบในเรื่อง Frozen

พระราชวัง Peterhof แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1714 เพื่อให้เป็นพระราชวังในฤดูร้อน ในช่วงเริ่มต้นของคริสศตวรรษที่ 18 หลังจากที่พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 หรือพระเจ้าปีเตอร์มหาราชซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ได้ทรงศึกษาแบบอย่างความเจริญจากประเทศตะวันตกต่างๆ ก็ทรงมีพระราชดำริว่า หากรัสเซียมีอาณาเขตที่ติดทะเลซึ่งสามารถติดต่อค้าขายกับต่างชาติได้ก็ย่อมจะทำให้ประเทศทวีความเจริญเพิ่มขึ้นอีก พระองค์จึงทรงขยายอาณาเขตพระราชอำนาจออกไปเรื่อยๆ จนไปถึงเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งมีอาณาบริเวณใกล้กับทะเลบอลติก และตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวงจากมอสโคมายังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

พระองค์ก็ทรงเดินทางมาถึงตำแหน่งที่ตั้งพระราชวังแห่งนี้ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ห่างจากตัวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปประมาณ 29 กิโลเมตร ทรงเห็นว่าตำแหน่งที่ตั้งนี้มีชัยภูมิที่ดีสามารถมองเห็นภูมิประเทศได้โดยรอบ และยังมีพื้นที่ติดกับอ่าวฟินแลนด์ที่สามารถรับอาคันตุกะเข้ามาเทียบท่าได้โดยสะดวกจากหน้าพระราชวังเลย พระองค์จึงได้เริ่มเสก็ชภาพพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาด้วยพระองค์เองก่อนแล้วจึงเรียกตัวสถาปนิก วิศกวร รวมถึงศิลปินที่มีชื่อเสียงต่างๆ มาช่วยกันรังสรรค์พระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาอย่างวิจิตรตระการตา และออกแบบสวนแห่งนี้ตามสไตล์ของVersailles แห่งฝรั่งเศส


Final Round: มอสโค (Moscow/ Москва)

อย่างที่บอกว่าการเดินทางไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นัก เนื่องด้วยไม่สามารถใช้งานรถไฟใต้ดินได้ อีกทั้งถนนในกรุงมอสโคนี่เห็นแล้วบอกเลยว่า “ท้อแท้” มาก อันเนื่องมาจากการจัดผังเมืองเป็นลักษณะแบบมีกำแพง 3 ชั้น และทำถนนวงกลมล้อมรอบกำแพง ซึ่งเป็นถนนขนาด 10 เลน การข้ามถนนจึงจำเป็นต้องใช้ทางข้ามใต้ดิน ซึ่งก็ไม่สามารถข้ามได้อีก ทางม้าลายก็หายาก รถแท็กซี่ก็หายาก #ร้องเหี้ยหนักมาก #กลับมาน้ำหนักลง

หลังจากเดินขาลากจนเกือบจะถึงพระราชวังเคลมลิน (แต่หาที่ข้ามถนนไม่ได้) จึงใช้บริการ Hop on Hop off ที่เป็น sight-seeing tour bus ของที่นี่ซึ่งมีสองเส้นทางให้เลือก ซื้อตั๋ว one day trip แล้วก็ลงและขึ้นรถตรงไหนก็ได้ โดยเส้นทางสีแดงจะเป็นการวิ่งวนรอบมอสโคชั้นใน ส่วนเส้นทางสีเขียวเป็นการวิ่งรอบมอสโคชั้นนอก วนได้ประมาณสองรอบก็ลงเที่ยวที่จัตุรัสแดง (เนื่องจากเคลมลินปิดวันพฤหัสบดี)


- จุดกิโลเมตรที่ 0 เข้าไปยืนตรงกลาง อธิฐานแล้วโยนเหรียญข้ามหัว จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

- จตุรัสแดง เป็นลานกว้างที่ตั้งของพระราชวังเคลมลิน และวิหารเซนต์บาซิล สร้างในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 มหาราช ใน ศต. 18 - 19 คำว่าแดงของจตุรัสหมายถึงความสวยงามและการรื่นเริง

- วิหารเซนต์บาซิล (St. Basil Cathedral) สร้างในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 4 มาหาราช (ฉายาอีวานผู้โหดเหี้ยม) ใน ศต. ที่ 16 เพื่อเป็นการฉลองชัยที่รบชนะพวกตาตาร์ (มองโกล) และคาซาน เมื่อสร้างเสร็จพระองค์สั่งให้ควักลูกตาทั้งสองข้างของสถาปนิกที่สร้างออกเพื่อจะได้ไม่ไปออกแบบวิหารใดให้สวยเท่าที่นี่อีก


- วิหารเซนต์ เดอ ซาร์เวีย (Cathedral of Christ the Savior) เป็นวิหารหลักของนิกายรัสเซียนออโธด็อกซ์ ใช้ประกอบพิธีใหญ่ๆ ระดับชาติ สร้างเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ผู้ขับไล่กองทัพนโปเลียน ในสมัยโซเวียต เลนิน การสั่งให้ทุบทิ้งเพื่อสร้างวังของตนเอง แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะคำสาปของคุณแม่อธิการที่ดูแลวิหารว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นศาสนสถานเท่านั้น ในปี 1990 ประชาชนชาวรัสเซียร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ โดยแล้วเสร็จในปี 2000

- พระราชวังเคลมลิน เป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ ปัจจุบันเป็นที่ทำการของรัฐบาลรัสเซียรวมทั้งที่ทำการประธานาธิบดี


การหลงทาง ที่มาพร้อมกับมิตรภาพ


เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก จึงทำให้การเดินทางหลักๆ นั้นคือการเดินและการขึ้นรถแท็กซี่ แต่รถแท็กซี่ที่มอสโคหายากมากกก ถึงหาได้ก็แพงมาก (โดนฟันค่าแท็กซี่เละในวันสุดท้าย คิดกิโลเมตรละ 153 รูเบิ้ล = 127 บาท) และการคำนวนเวลาผิดพลาดเพื่อที่จะขึ้น Hop on Hop off กลับไปยังเขตที่อยู่ใกล้กับโรงแรม (โรงแรมที่พักนี่ถือว่าเป็นเขตเมืองเก่า และเป็นตึกที่ทำการรัฐบาลเก่าสมัยโซเวียต) เพราะใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์การต่อสู้แห่งโบโรดิโน (สงครามระหว่างรัสเซีย สมัยพระเจ้าอเล็กซ์ซานเดอร์ที่ 1 กับนโปเลียน โบนาปาร์ตแห่งฝรั่งเศส) นานเกินไป เลยต้องทำให้ต้องเดินข้ามแม่น้ำมอสโควาไปยังอีกฝั่งนึงของเมือง (ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร) เพื่อหารถแท็กซี่ ซึ่งไม่มีคันไหนไปเลย แถมตอนนี้ก็ดันไม่รู้แล้วด้วยว่าอยู่กันตรงส่วนไหนของเมือง จะหันไปถามใครเค้าก็โบกมือไม่คุยด้วยและหันหน้าหนี

ช่วงระหว่างที่ยืนโก๊ะกังบนขอบถนน (ตรงทางม้าลายที่แสนจะหายาก แต่ตรงนี้ทำไมมีถี่จังเลยวะ) แล้วเดินขึ้นมาบนฟุธบาทอีกครั้งก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดเป็นภาษาอังกฤษความว่า

“ฉันกำลังจะบอกให้คุณขึ้นมาอยู่พอดีเลย เพราะมันอันตราย” โอ้วว นั่นภาษาอังกฤษใช่มั้ย!? มันคือเสียงสวรรค์ (เว่อร์ๆ)

หันไปเจอฝรั่งผู้หญิง หน้าตาดี ผมดำคนหนึ่งยิ้มให้ ก็เลยขอบคุณแล้วก็ทำท่าน่าสงสารขอให้เค้าช่วยเรียกรถแท็กซี่ให้หน่อย ซึ่งเธอก็ใจดีมากรีบควักมือถือออกมาเพื่อเปิดแอพเรียกรถแท็กซี่ทันที แต่ด้วยความที่ว่ามุมที่ยืนอยู่นั้นเป็นมุมอับสัญญาณอินเตอร์เน็ตเธอคนนั้นจึงบอกว่าให้ไปที่ร้านคอฟฟี่ช้อปที่อยู่ไม่ไกล ที่ตรงนั้นมี free wifi ซึ่งพวกเราไปกะเค้าแบบง่ายๆ (ฮา)

เมื่อถึงหน้าร้านก็เปิดแอพเรียกแท็กซี่ให้ทันที พร้อมกับโทรตามให้ด้วย พวกเราก็เกรงใจที่รบกวนเวลาแต่เธอกลับบอกว่าไม่เป็นไรเพราะบ้านเธออยู่ด้านหลังของคอฟฟี่ช้อปนี่เอง แล้วถามว่าจะขึ้นไปพักในบ้านของเธอช่วงระหว่างที่รอแท็กซี่มั้ย (คือน่ารักมาก โคตรเฟรนด์ลี่) พวกเราก็ได้แต่ปฏิเสธไป ช่วงระหว่างที่รอก็คุยกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอมากกว่า จบลงด้วยการถ่าย Selfie ร่วมกัน เป็นโมเม้นท์ที่โคตรประทับใจในเวลา 30 นาที ท่ามกลางอากาศหนาวๆ ที่อยู่ตรงนั้น ^^

เอาจริงๆ แล้วขอบอกว่าคนรัสเซียน่ารัก มีน้ำใจ และมีความรับผิดชอบสูงมาก ผิดกับสิ่งที่เคยได้ยินมาว่าเป็นพวกดุ โหดร้ายและหน้านิ่ง ไอ้คำว่าหน้านิ่งนี่ไม่เถียงนะ เพราะนิ่งจริง เวลาดุนี่โคตรกลัวเลย (โดนเจ้าหน้าที่ในวัง Peterhof ดุ)  แต่ใจดีมาก บางคนเข้ามาช่วยเลยโดยไม่ต้องขอ แต่ส่วนใหญ่ต้องเอ่ยปากขอให้ช่วยนะ ถ้าขอแล้วพวกเขาก็จะเข้ามาช่วยทันทีแบบไม่มีอิดออด มีโมเม้นท์ตลกๆ ตรงที่ว่าพอคุ้นเคยกันไปสักพักทางนั้นก็เริ่มอยากชวนคุย แต่ด้วยความที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็แอบเห็นพวกเขาอมยิ้มหรือหัวเราะกับตัวเอง ประมาณว่า “พยายามแล้วนะเห้ย แต่ตรูคุยกะอีพวกนี้ไม่รู้เรื่องจริงๆ”

ช่วงสาววายตอบคำถาม (ใครถามเอ็ง?)

จริงหรือไม่ที่ผู้หญิงรัสเซียสวย?

คำตอบ: จริง ส่วนใหญ่สวยค่ะ ตัวไม่ใหญ่มาก หุ่นดี มีหลายเชิ้อชาติ ส่วนใหญ่โครงหน้าจะค่อนข้างสั้น แต่มีตาคมๆ  จมูก และปากที่รับกับใบหน้ากันหมด ขาเรียว แถมหุ่นดีด้วยนะ คือแบบจะอวบจะผอม จะว่าไงดีคือทุกคนมีทรงอ่ะ อก เอว ตูด แบบแยกกันแบบชัดเจน ขนาดใส่เสื้อกันหนาวแบบนวมๆ ก็ยังเห็นสัดส่วนของสาวๆ ได้ แถมเราสามารถหาสาวๆ ที่มีเบ้าหน้าแบบมาเรีย ซาราโปว่า/ แอนนา คูร์นิโควา/ มาเรีย คิริเลนโก้ (เอ้ะ! ทำไมมีแต่นักเทนนิส) ซาบีนา อัลตึนเบโควา (นักวอลเล่ย์บอลทีมชาติคาซัคสถาน) นาตาเลีย ปอกลอนสกายา (อัยการสูงสุดแคว้นไครเมียในยูเครน) ได้ตามท้องถนนทั่วไป

พูดถึงผู้หญิงแล้วก็เล่าถึงผู้ชายบ้างดีกว่า จะว่าไปผู้ชายรัสเซียนี่สุภาพบุรุษใช้ได้ ตัวจะใหญ่ๆ แต่แอบมีพุง (ทั้งหนุ่มทั้งแก่) ส่วนเรื่องหน้าตาก็โอนะ หน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้างสลับกันไป แต่จะมองไม่เห็นชัดเหมือนผู้หญิง

ตอนอยู่ที่สนามบิน เจ้าหน้าที่ชายเข้ามาช่วย และพยายามจะถามว่ากระเป๋ามีกี่ใบ แต่ด้วยความที่พูดอังกฤษไม่ได้ และไม่รู้จะเรียกเรายังไง ฮีใช้หลังมือสะกิดไหล่เบาๆ ค่ะ แล้วมองหน้าแบบอายๆ แล้วทำท่าว่ากระเป๋า มันฮาดี แถมมีแอบแซวตอนที่ Nuffy คุยกับรุ่นพี่วีลแชร์เป็นภาษาไทย ด้วยการพูดภาษาไทยตามด้วย

จากประสบการณ์ที่ได้รับทำให้คิดว่า

ออสเตรีย: เมืองสวย คนเฟรนด์ลี่ สะอาด และปลอดภัย

รัสเซีย: คนรัสเซียเหมือนถั่วลิสง ที่ข้างนอกอาจจะดูไม่สวยงาม แต่หากได้กระเทาะเปลือกถั่วออกแล้ว ก็จะได้เห็นเนื้อเมล็ดถั่วสีชมพูที่น่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง

อยากจะไปเยือนรัสเซียอีกครั้ง คราวหน้าขอตะลุยรถไฟใต้ดินละนะ!

-จบ-

ปล. ภาพทั้งหมด (ยกเว้นพระนางซีซี่ พระนางแคทเธอรีน และ hop on hop off) ถ่ายเองด้วยกล้องมือถือล้วนๆ[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มีนาคม 2015 เวลา 22:28:45 nuffy »




ออฟไลน์ Rosie

  • หน้าใหม่
  • *
  • กระทู้: 6
บรรยากาศดี น่าเที่ยวมากค่ะ ^^

ออฟไลน์ Yanoka

  • หน้าใหม่
  • *
  • กระทู้: 1
อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลย ดีมากเลยครับถ้ามีเรื่องอื่นอีกเอามาลงอีกนะครับ

ออฟไลน์ Namman

  • หน้าใหม่
  • *
  • กระทู้: 2
อ่านแล้วรู้ความรุ้มากครับ

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.