web stats

ข่าว

 


MISTAKE ไม่คิดว่าเป็นเธอ ตอนที่ 13 Reaction

โพสต์โดย: TrueDream วันที่: 20 มกราคม 2019 เวลา 15:15:40 อ่าน: 53

นักศึกษาสาวได้แต่มองดูประตูห้องปิดสนิทที่เพิ่งเดินออกมาด้วยแววตาละห้อยหาอย่างที่เจ้าตัวแทบไม่เคยใช้กับใครมาก่อน

ทำไมกันนะ...ทั้งที่เรื่องต่างๆ มันเกือบจะดีอยู่แล้ว เวลาของเธอก็ใกล้จะหมดลงทุกที หากถึงเวลาที่เธอสิ้นสุดการฝึกงานคงไม่โอกาสได้พบเจอใกล้ชิดกันอีกแล้ว จะได้พูดคุยกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขนาดแชทยังแทบจะไม่ตอบกัน
หากว่าเธอได้ความชัดเจนได้ความสนิทสนมมากพอ หากคิดว่ามีโอกาสสานต่อความสัมพันธ์เธอย่อมไม่กลัวอย่างนี้...ขนาดใกล้กันยังเป็นแบบนี้ ถ้าไกลกว่านี้คงเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว นี่เธอหวังได้แค่ไหนกัน หรือมันถึงเวลาต้องตัดใจ แม้จะยากแต่เธอต้องยอมรับการตัดสินใจของอีกคน จะอย่างไรก็ขอพยายามเฮือกสุดท้ายก่อนก็แล้วกัน...

แค่คิดว่าถึงเวลาต้องตัดใจหัวใจก็พลันร้าวรานจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดดำมืดแบบที่แทบจะหายใจไม่ออก แต่หญิงสาวต้องกล้ำกลืนทั้งหมดเอาไว้บอกตัวเองว่านี่คือที่ทำงานเธอจะแสดงความพังทลายของจิตใจออกมาไม่ได้ นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่มืออาชีพต้องทำให้ได้ 'ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องไม่มีผลกระทบกับงาน' นี่คือสิ่งประภัสสรเฝ้าสอน

แม้จะพยายามพร่ำบอกตัวเองให้เข้มแข็งและทั้งหมดที่คิดมานั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง สงครามยังไม่จบจะรีบนับศพทหารไปไย...ยังตายได้มากกว่านี้...แต่ไม่ได้หมายความว่าจะพ่ายแพ้ ทว่าสุดท้ายแล้วกว่าจะทำใจให้กลับเข้าใกล้ภาวะปกติได้เธอต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง ที่สำคัญสติของเธอยังไม่กลับมาเต็มร้อยนัก ทำงานไปแก้ไปจนเรียกว่าวันทั้งวันแทบไม่มีอะไรคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย




เป็นอีกวันที่ประภัสสรเดินออกมาจากห้องทำงานของตนเองแล้วพบว่านริศรายังคงไม่ไปไหน ผิดก็แต่วันนี้เจ้าเด็กแสบดูจะนิ่งเงียบกว่าทุกวัน และเมื่อพบว่าเธอเดินออกมาแล้วฝ่ายนั้นก็เพียงเก็บของเงียบๆ นั่นทำให้คนอายุมากกว่าเผลอทอดฝีเท้าให้ช้าลงคล้ายเป็นการรอโดยที่อีกคนไม่ต้องร้องขอ

นริศรารีบเก็บของอย่างรวดเร็วเหมือนทุกวันเพื่อจะได้ตามประภัสสรให้ทัน แต่ปกติแล้วเธอจะพูดคุยพัวพันฝ่ายนั้นเอาไว้ แม้ว่าคนอายุมากกว่าจะเหมือนไม่สนใจจะตอบนักแต่ก็มีมารยาทมากพอที่จะพูดคุยกับเธอ นั่นทำให้เธอเก็บของได้ทันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเดินออกไปทุกครั้ง

นักศึกษาสาวเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าประภัสสรคล้ายจะเดินช้าลงกว่าปกติมากเหมือนตั้งใจจะรอกันอย่างนั้นล่ะ ตกลงแล้วเธอยังมีความหวังหรือไม่กันนะ คิดเสียว่ายังพอมีก็แล้วกัน

"พี่เค้กรอครีมเหรอคะ" นริศราทักขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสขณะกำลังวิ่งให้ทันก่อนที่คนขายาวจะพ้นประตูออกไป ยอมรับว่าวันนี้เธอค่อนข้างหม่นหมองจนไม่มีแรงทักประภัสสรจริงๆ

"ฉันจะให้นักศึกษาฝึกงานกลับบ้านหลังสุดได้อย่างไร" หัวหน้าแผนกการเงินเพียงตอบกลับมาเรียบๆ ทำเอาคนฟังซึมลงไปอีกครั้ง หากเป็นปกติมันคงไม่มีผลอะไรมากนักเมื่อคนอายุน้อยกว่าเต็มเปี่ยมด้วยความหวังและความมุ่งมั่น พร้อมที่จะคิดว่าคนพูดเพียงแค่ทำเป็นขรึมไปอย่างนั้น แต่วันนี้จิตใจของนริศราอ่อนแอกว่าปกติมากจริงๆ

"ปิดไฟด้วยค่ะ" ประภัสสรสั่งขณะยืนรอที่หน้าประตู มองดูอีกคนหันกลับไปปิดไฟเงียบๆ

น่าแปลกที่นริศราไม่พูดอะไรสักคำ...แต่แววตาคู่นั้นช่างสื่อความรู้สึก เมื่อรวมกับท่าทีเซื่องซึมเศร้าสร้อยมันทำให้คนมองรู้สึกเจ็บเสียดในใจเบาๆ เมื่อเห็นความหม่นหมองของอีกคน

'ทำไม...อยู่ดีๆ ถึงอยากกอด อยากปลอบ...' หญิงสาวได้แต่ถามตัวเอง รู้สึกร้อนรนจนเริ่มวางตัวไม่ถูก ไม่เคยเห็นอีกคนเศร้าซึมขนาดนี้

ขณะที่ประภัสสรยังคงสับสนจนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่เธอยืนนิ่งแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเมื่อนริศรามาหยุดอยู่ข้างกาย

"กลับกันเถอะ หรือว่าลืมอะไร" หลังจากยืนนิ่งมองหน้ากันอยู่กว่าอึดใจก็เป็นคนอายุมากกว่าที่เอ่ยทำลายความเงียบ

นริศราส่ายหน้าแต่ยังไม่ยอมก้าวเดินไปไหน

"อย่างนั้นก็กลับบ้าน"

ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ไม่มีใครก้าวเท้าไปไหน

"หัวหน้าก็ไปสิคะ" เป็นคนอายุน้อยกว่าที่เอ่ยขึ้นหลังจากพากันเงียบไปอีกกว่าอึดใจ

ประภัสสรชะงัก นานแล้วที่นริศราไม่ได้เรียกเธอแบบนี้เวลาอยู่ด้วยกันสองคนหรือพิมพ์ข้อความหากัน

ทำไมรู้สึกห่างเหิน ทำไมมันให้ความรู้สึกคล้ายมีหลุมลึกเกิดขึ้นภายในใจ และมันทำให้เธอเจ็บเสียดขึ้นมาอย่างรุนแรง

นี่ใช่หรือไม่ที่นริศรารู้สึกยามเมื่อเธอทำตัวห่างเหินออกไป...ฝ่ายนั้นจะรู้สึกแบบที่เธอกำลังเป็นอยู่หรือเปล่า แล้วมันรุนแรงแค่ไหน

คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจ แต่จะให้ขบคิดตอนนี้คงไม่เหมาะนัก

"เธอเดินไปก่อน" ประภัสสรสั่ง แม้จะลังเลเล็กน้อยแต่นริศราก็ยอมที่จะออกเดินไปก่อน โดยมีอีกคนเดินตามออกมา

'ฉันไม่อยากให้เธอคลาดสายตา...ฉันแค่อยากจะมองเธอเท่านั้นเอง...นริศรา' มันคือความรู้สึกรุนแรงที่เพิ่งเกิดขึ้น

หญิงสาวมองดูจนกระทั่งอีกคนออกรถไปแล้วนั่นล่ะ เธอจึงออกรถตามไป...แม้จะอยากใช้ความคิดและอยู่กับตัวเองแต่วันนี้ยังไม่อยากเข้าบ้านเลย...มันเป็นอารมณ์หลากหลายที่กำลังตีกันอยู่ภายใน เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่รู้เลยว่าต้องควบคุมและจัดการมันอย่างไร

สุดท้ายแล้วประภัสสรก็เลือกที่จะขับรถเอื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน นอกจากอารมณ์อยากเดินทอดน่องแล้วเธอเองก็มีของที่อยากซื้อเข้าไปอยู่พอดี




ประภัสสรเดินเอื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ ไม่ได้มีสมาธิในการเลือกสิ่งของมากนัก เธอไม่สามารถสลัดเรื่องของนริศราออกไปได้เลยทั้งที่บอกตัวเองว่าให้วางเอาไว้ก่อน ต้องมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า ถึงการมาซื้อของจะไม่ได้ใช้สมองมากนักแต่ก็ไม่ควรเหม่อจนเกินไป

"อ้าว เค้ก" เสียงเรียกที่ดังขึ้นไม่ไกลทำให้หญิงสาวหันไปมองขณะที่วางนมพาสเจอร์ไรส์ลงในรถเข็น

เมื่อหันไปมองจึงพบว่าเป็นนิศากรและมิรันตี ประภัสสรยิ้มให้ทั้งคู่เล็กน้อยเป็นการทักทาย ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยิ้มรับบางๆ

"แมวทานเยอะเหมือนกันนะ" นิศากรทักเพราะขวดที่ซื้อไปนั้นน่าจะ 1 ลิตรได้ แถมคนซื้อก็หยิบลงรถเข็นไป 2 แกลลอนเลยทีเดียว

"แมวอะไรล่ะคนนี่ล่ะ แมวกินนมวัวได้ที่ไหนเอาให้กินก็ตายพอดี"

คนถามทำเสียงตกใจเมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้

"กินรึอาบเนี่ย" ถ้าบอกว่าอาบก็เชื่อนะ

"กินสิ" ประภัสสรตอบนิศากรก่อนจะหันมาทักทายอีกคนที่เอาแต่ยืนเงียบ

"น้องมดสวยขึ้นนะ มีน้ำมีนวลขึ้น น้ำตาลเลี้ยงดีล่ะสิ" หัวหน้าการเงินทักยิ้มๆ รู้สึกว่าคนตรงหน้าดูสวยผุดผาดขึ้นจากเมื่อก่อนจนสังเกตเห็นได้

"ขอบคุณค่ะ" มิรันตีตอบรับ รู้สึกเขินชอบกลที่มีคนสวยกว่ามาชมกันต่อหน้าแบบนี้

"แน่นอนสิ เด็กฉันฉันก็ต้องเลี้ยงดีอยู่แล้ว"

ประภัสสรเลิกคิ้วใส่คนที่อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ในขณะที่ 'เด็ก' ยืนหน้าแดงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

มิรันตีนั้นคงไม่รู้ตัวหรอกว่าตนเองดูสวยขึ้นจากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สวยแบบมีน้ำมีนวล จนตอนนี้เริ่มมีข่าวลือว่าเลขาสาวท้องและไม่รู้ว่าท้องกับใคร กระทั่งประภัสสรต้องออกโรงปกป้องและห้ามไม่ให้ใครเอาข่าวลือแปลกๆ มาเข้าหูตนอีก เธอรู้ว่าเรื่องแบบนี้คงห้ามไม่ได้ แต่หวังว่าคำพูดของเธอที่แสดงความคิดเห็นไปจะมีคนที่มีสติขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าเธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนิศากร เพราะแค่ตัวเธอเองยังรำคาญข่าวลือเหล่านี้จนเกือบจะเข้าขั้นหงุดหงิด
 
"ไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้" ประภัสสรกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจะพูดกันแล้ว

หญิงสาวยังคงเลือกของต่ออีกสักพักก่อนที่จะไปยังเคาน์เตอร์จ่ายเงิน แอบเห็นด้วยหางตาว่าคนที่เพิ่งทักกันเมื่อครู่อยู่ใกล้ๆ เคาน์เตอร์ข้างๆ นี้เอง คล้ายว่ากำลังจะเข้าต่อแถวแต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเจอคนรู้จักเสียก่อนเลยยืนคุย
เนื่องจากวันนี้แถวยาวพอสมควร ระหว่างรอเธอก็อดหันไปมองทางนิศากรกับมิรันตีอีกครั้งไม่ได้ ดูเหมือนคนที่กำลังคุยด้วยจะเป็นชายวัย 40 กลางๆ ที่ยังดูหนุ่มแน่นและหล่อเหลาตามวัยที่ยืนอยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นคนที่เธอไม่รู้จักจึงระบุได้ว่าไม่ใช่คนในบริษัทอย่างแน่นอน ขณะที่กำลังจะดึงสายตากลับมาก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของมิรันตีที่ยืนนิ่งกำรถเข็นแน่นจนเกร็ง

แม้จะไม่ได้ยินเนื้อหาที่คุยกันแต่ประภัสสรก็ยังคงมองดูอย่างสนใจ พร้อมกับนึกห่วง ในเมื่อยอมรับนิศากรเป็นเพื่อนแล้ว อีกทั้งยังเอ็นดูมิรันตีไม่น้อย เธอจึงไม่อาจมองผ่าน แต่เมื่อยังไม่กระจ่างว่าเป็นเรื่องอะไรหญิงสาวก็ยังไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจึงทำได้เพียงคอยมอง

จนเมื่อผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาต่อแถวที่เคาน์เตอร์ใกล้ๆ ทว่าสองสาวยังคงยืนนิ่ง นิศากรนั้นดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัดแต่คงไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร ขณะที่มิรันตียังคงยืนนิ่งด้วยสีหน้าที่พร้อมจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา

แล้วเวลานั้นก็ไม่นานเลย...เมื่อสาวน้อยกำลังร้องไห้ออกมาจริงๆ

เห็นแบบนั้นประภัสสรก็ไม่อาจทนอยู่เฉยอีกต่อไป เธอพาตัวเองออกจากแถวที่ต่ออยู่ แล้วเดินตรงไปยังสองคนนั้นในทันที

"ห้องลองเสื้อใกล้ๆ นี่น่าจะใช้ได้นะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อมาถึงเป้าหมาย

รู้ดีว่าเธอคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ในเมื่อตนเองนั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย จะให้มัวแต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็ใช่ที่ สิ่งที่มิรันตีต้องการตอนนี้คงเป็นการหาที่อันเป็นส่วนตัวแล้วระบายออกมากับคนที่ไว้ใจ แน่นอนว่าไม่ใช่เธอ หวังว่าเรื่องแค่นี้นิศากรคงทำได้หรอกนะ

นิศากรหันมาพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณให้ประภัสสรที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร แล้วรีบพาทั้งคนทั้งรถเข็นไปในแผนกเสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกลในทันที

หัวหน้าแผนกการเงินมองดูคนทั้งคู่จนลับสายตาแล้วจึงเดินกลับเข้าไปต่อแถวอีกครั้ง ค่อนข้างมั่นใจว่ามิรันตีนั้นสำคัญต่อนิศากรมาก...หรือจะเป็นเหมือนเธอกับนริศรากันนะ...

วนกลับมาคิดเรื่องนี้อีกจนได้สิน่า...

ประภัสสรได้แต่ถอนหายใจกับตนเอง ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่นักศึกษาฝึกงานในความดูแลของเธอ อะไรๆ มันจะง่ายกว่านี้หรือไม่นะ

เธอยอมรับแล้วว่าชอบนริศรามาก แม้จะบอกไม่ได้ว่ามากแค่ไหน จะรักหรือจะหลงก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจได้คือมันมากพอที่เธอจะเปิดใจคบหาเป็นแฟนกับอีกฝ่าย ถ้าหาก...ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่ใช่นักศึกษาฝึกงานของเธอเธอคงทำไปแล้ว...

สำหรับคนอื่นจะคิดอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับเธอแล้ว 'สมภารต้องไม่กินไก่วัด' นั่นคือสิ่งที่ยึดถือ แม้ว่าตอนนี้ความตั้งมั่นของเธอจะสั่นคลอนแต่ก็อยากจะพยายามรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับตัวเอง

'ก็แค่อดทนให้ผ่านการฝึกงานของนริศราไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน' ประภัสสรสรุปกับตนเอง ทำให้อารมณ์ต่างๆ สงบลงจนเกือบปกติ




ประภัสสรเดินเข้ามาภายในห้องประชุมใหญ่ที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยบรรยากาศงานเลี้ยงกลางคืน ภายในนั้นเริ่มมีผู้คนที่ทยอยมานั่งตามโต๊ะที่จัดไว้ โดยงานนี้ทุกคนอยู่ในธีมชุดราตรี เมื่อไม่ได้อยู่ในชุดที่เห็นกันในเวลาปกติเสียงทักทายจึงออกไปทางสวยหล่อจนจำไม่ได้เลย

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองดูสมาร์ทโฟนในมือที่ยังคงสั่นเป็นระยะ แม้ไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านแต่เธอก็อ่านตัวอย่างข้อความทุกครั้ง

"ถึงงานหรือยังคะ ครีมนั่งที่โต๊ะแล้วนะคะ" หัวหน้าแผนกการเงินอ่านข้อความคร่าวๆ แล้วเลิกสนใจ ก็ตัวเธออยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวก็คงเห็นกันเองนั่นล่ะ ไม่ใช่เด็กหลงทางเสียหน่อย

อีกอย่างฝ่ายนั้นก็บอกแล้วว่าอยู่ที่โต๊ะ เธอก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว เพราะอย่างไรแต่ละคนก็รู้หมายเลขโต๊ะที่นั่งของตัวเองอยู่แล้ว แม้ว่าอาจจะมีการย้ายโต๊ะกันบ้าง แต่ทุกครั้งจะเป็นหลังจากพิธีเปิดไปสักพักแล้วนั่นล่ะ

เพียงไม่นานประภัสสรก็มองเห็นร่างเล็กบางในชุดนักศึกษาเหมือนดังเช่นทุกๆ วันที่ทำงาน นั่นทำให้เธอยิ้มออกมา เป็นเด็กที่เชื่อฟังดีนี่นา ตอนแรกก็แค่อยากจะแกล้งปนโมโหหน่อยๆ แต่ตอนนี้ความรู้สึกเอ็นดูกลับเข้ามาแทนที่ทั้งหมด และมันทำให้เธออารมณ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะของตนเองหญิงสาวก็ได้เห็นนิศากรและมิรันตีที่น่าจะเพิ่งมาถึง ทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่นัก และน่าจะยังไม่ทันเห็น ประภัสสรยิ้มบางๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินไปทักทายเพื่อนเสียหน่อย ก็วันนี้หัวหน้าแผนกวิจัยและคุณเลขาหน้าห้องนั่นดูสวยผิดหูผิดตาทีเดียว

"ตอนเดินมานี่สวยตะลึง พอเจ๊นั่งและเปิดปากพูดเท่านั้นล่ะ..."

ประภัสสรได้ยินที่ชายหนุ่มหนึ่งเดียวของแผนกวิจัยพูดแซ็วหัวหน้าของตัวเองก็อดยิ้มขำไม่ได้

"ทำไม" นิศากรถามเสียงเข้มส่งสายตาคมดุไปหาคนพูด

"เปล๊า ไม่ทำไมครับ" ชายหนุ่มรีบกลับลำเมื่อสบเข้าสายตาของคนที่ตนพูดถึง

"มันดูสก๊อยทันทีน่ะสิ" ประภัสสรเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงโต๊ะของแผนกวิจัย

"บางทีฉันก็สงสัยนะว่าเธอโตมาขนาดนี้ได้ยังไง" ฝ่ายนั้นโต้กลับในทันที แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าใคร กวนมาก่อนตัวเชียว

"ฉันสิที่ต้องประหลาดใจว่าปากแบบนี้รอดมาได้ยังไงจนป่านนี้" ประภัสสรเลิกคิ้ว ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มยียวน

วันนี้หัวหน้าแผนกการเงินดูสวยผุดผาดในชุดราตรีสีขาวงาช้าง ทั้งที่เจ้าตัวคล้ายจะไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวอะไรมากนักยังออกมาดูดีดึงดูดสายตาจนคนอื่นในงานดูจืดสนิทได้ในทันที

แต่สำหรับนิศากรแล้วความกวนประสาทของฝ่ายนั้นทำให้มองข้ามความสวยไปได้เลย

"วันนี้สวยนะ ทำตัวให้เข้ากับชุดหน่อยก็ดี" เป็นประภัสสรที่เปลี่ยนเรื่องไป จนคนฟังได้แต่กระพริบตาด้วยตามอารมณ์ไม่ทัน

วันนี้นิศากรนั้นอยู่ในชุดราตรีสีแดงเลือดนกเปิดไหล่เสริมให้ร่างสูงบางดูสวยสง่า ผมยาวสวยนั้นถูกถักเกล้าขึ้นไปดูเรียบร้อยสวยงามเข้ากับชุดทำให้ดูสวยสะดุดตาไม่น้อยทีเดียว

"ต้องชมคืนไหมเนี่ย" นิศากรบอกหลังจากเริ่มตั้งสติได้ ยอมรับว่ารู้สึกเขินขึ้นมาจริงๆ เมื่อมีคนชมต่อหน้าแถมฝ่ายนั้นยังเป็นสาวสวยขนาดนั้น

"ไม่ต้องก็ได้ ฉันรู้ว่าฉันสวย ได้ยินมาเยอะแล้ว"

นิศากรได้แต่ส่งเสียงอย่างหมั่นไส้ เป็นผู้หญิงที่คุยด้วยแล้วเส้นประสาทจะแตกจริงๆ

"แล้วเจอกันนะ แวะมาทักทายเฉยๆ" หัวหน้าการเงินบอก ก่อนจะหันไปยิ้มทักทายมิรันตีและคนอื่นๆ ในโต๊ะ

"วันนี้น้องมดก็น่ารักนะคะ" ประภัสสรยิ้มชมอย่างเป็นมิตร อดไม่ได้ที่จะชมมิรันตีที่อยู่ในชุดเดรสสีชมพูอ่อนดูน่ารักอ่อนหวาน

เมื่อทักทายกันเรียบร้อยประภัสสรก็ขอตัวแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะแผนกการเงินซึ่งตอนนี้นั่งกันครบทั้งแผนก จะเหลือก็แต่เธอนี่ล่ะ

ประภัสสรไม่ชอบที่จะมาสาย แต่งานนี้หากดูตามเวลาเธอก็ไม่ได้สายออกจะตรงเวลา หญิงสาวไม่อยากมานั่งเป็นเป้าสายตาตั้งแต่หัววัน จึงเลือกที่จะมาในเวลานี้

"สวัสดีค่ะหัวหน้า" ทั้งโต๊ะแทบจะประสานเสียงกัน ประภัสสรรับไหว้และทักทายตามมารยาท ก่อนจะเลือกนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือเพียงที่เดียวข้างนริศรา

โต๊ะนี้ประกอบไปด้วยพนักงานแผนกการเงินทั้ง 3 คนได้แก่ ธัญลักษณ์ ทิวา และกังสดาล จะมีคนที่มาจากต่างแผนกคือนิตยาจากแผนกพัสดุ ซึ่งก่อนจะเกิดเรื่องเมื่อเดือนที่แล้วเคยอยู่แผนกการเงินมาก่อน โดยทั้ง 4 คนใส่ชุดราตรีสีทองเป็นธีมเดียวกัน คิดว่าคงมาจากร้านเดียวกันอย่างแน่นอน

อันที่จริงทั้ง 4 คนก็ไม่ได้สนิทกันนัก ธัญลักษณ์อยู่แผนกการเงินมานานและนิตยาที่เพิ่งย้ายไป ทิวานั้นเพิ่งย้ายมาจากพัสดุ และกังสดาลก็ย้ายมาจากงานวางแผน

ประภัสสรดึงสายตากลับมายังคนที่ใส่ชุดนักศึกษาข้างๆ เธอ แม้สีหน้าจะยังเรียบเฉยแต่แววตานั้นฉายรอยยิ้มออกมา ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกว่านริศรานั้นสวยน่ารักกว่าคนทั้งหลายในงานนี้นะ หรือเพราะชุดที่แตกต่างเลยดูโดดเด่น
ทว่าคนถูกมองกลับนิ่งและเสมองไปทางอื่น แม้เจ้าตัวจะไม่ได้แสดงออกมากนักแต่คนมองก็รู้สึกได้ว่าเด็กน้อยกำลังหงุดหงิด นั่นทำให้คิ้วของคนอายุมากกว่าขมวดลงเล็กน้อย

หรือจะโมโหที่เธอให้ใส่ชุดนี้มากันนะ

เมื่อคิดแบบนั้นประภัสสรจึงแค่ระบายลมหายใจอย่างเอ็นดู อยากจะหยอกอยากจะง้อแต่ติดที่คนในแผนกอยู่กันเต็มโต๊ะและในระยะประชิดขนาดนี้ไม่มีทางที่จะไม่มีคนได้ยินหากเธอพูดอะไรไป

"ชุดนี้ก็สวยดีนะ เด่นดี" สาวสวยเลือกที่จะพิมพ์ข้อความลงไปในโปรแกรมแชทยอดนิยมหลังจากนั่งทนความเงียบของคนข้างๆ ไม่ไหว

นริศราเหลือบตามองเครื่องมือสื่อสารของตนเองเมื่อเห็นว่ามันสั่นเตือน ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่พอเห็นว่าเป็นใครส่งมาทำให้เธอต้องตั้งใจอ่านอีกครั้ง

ไม่คิดว่าคนที่นั่งใกล้กันจนแค่กระซิบยังได้ยินจะใช้วิธีส่งข้อความมาหา หากเป็นยามปกติเธอคงยิ้มกว้างอย่างยินดีหลังจากไม่ค่อยได้คุยกันมานาน นี่ประภัสสรขนาดส่งข้อความมาก่อนแถมยังชมเธอเชียวนะ ทว่าเวลานี้หญิงสาวยังอารมณ์ครุกรุ่นเหนือความดีใจทั้งปวง จึงเลือกที่จะพิมพ์ประชดกลับไป

"ไม่สู้สาวชุดแดงมั้งคะ"

ประภัสสรแทบหลุดขำเมื่อเห็นข้อความที่ตอบกลับมา ตกลงนี่งอนเธอเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย

"คนละรุ่นค่ะ ไม่เทียบ" คนอายุมากกว่าหยอกกลับ

คราวนี้นริศราไม่ตอบอะไรกลับไป ด้วยกำลังข่มความน้อยใจและอารมณ์หวั่นไหวทั้งหลายทั้งปวงเอาไว้ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนอ่อนไหวขี้น้อยใจหรืออะไร แต่นี่เป็นผลจากการเก็บสะสมความรู้สึกเหล่านี้มานาน อีกทั้งความ

เปลี่ยนแปลงของประภัสสรในช่วงนี้จะให้ใจบางๆ ไม่รู้สึกอะไรเลยก็เกินไป แค่ปกติประภัสสรก็มีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึกของเธอมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ทนมาได้ถึงวันนี้ก็นับว่าเก่ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบโต้แถมไม่มองหน้ากันทำให้ประภัสสรรู้ว่าเด็กน้อยกำลังโกรธเธอจริงๆ แต่มันใช่เรื่องไหมเนี่ย ตอนนี้คนอายุมากกว่าก็ชักหงุดหงิด มันเป็นความอึดอัดที่เธอไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าหงุดหงิดเด็กหรือหงุดหงิดตัวเองมากกว่ากัน

หลังจากนั่งเงียบกันไปอึดใจใหญ่นริศราก็เป็นคนแรกของโต๊ะที่คว้าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์บนโต๊ะมารินใส่แก้วของตนเอง เรียกให้ทุกสายตาหันมามอง แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่มีอารมณ์สนใจใครแล้ว

"โห น้องครีมดื่มด้วยเหรอคะ" ธัญลักษณ์ถามขึ้น ก็ที่รินลงไปไม่ใช่น้อยเลย ขนาดพวกผู้ชายเธอยังไม่ค่อยเห็นใครรินหนักขนาดนี้ นอกจากพวกที่ตั้งใจท้าทายกัน

"ค่ะ" คนอายุน้อยกว่ารับคำ ทำเอาคนอื่นๆ ในโต๊ะอดไม่ได้ที่จะมองดูประภัสสรด้วยสายตาหวาดๆ นับว่าน้องนักศึกษาคนนี้กล้ามากที่ทำต่อหน้าหัวหน้าแผนกของตน

ประภัสสรเพียงมองดูเด็กของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนแทบจะฉาบด้วยน้ำแข็ง ทุกคนรู้สึกได้ว่านั่นมันน่ากลัวมาก หัวหน้ากำลังไม่พอใจอย่างรุนแรง

"น้องครีมคะ...พี่ว่า..." ธัญลักษณ์ทำท่าจะเตือนพร้อมทั้งเหลียวมองหัวหน้าของตนเองอย่างหวาดๆ นี่ขนาดไม่ใช่คนถูกมองยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ จนปากสั่นแล้ว

"ช่างเถอะ ถือว่าปล่อยไปสักวัน ไม่ใช่เวลางาน" ประภัสสรบอกเรียบๆ แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าคนพูดเกือบจะหมดความอดทนแล้ว

คนที่เหลือทั้ง 4 จึงได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ รู้สึกเก้าอี้ร้อนขึ้นมาทันทีกับบรรยากาศแบบนี้ แอบตกลงกันทางสายตาว่าถ้ามีโอกาสต้องย้ายโต๊ะแล้วล่ะ แล้วคงต้องสวดมนต์ขอพรให้นริศราอยู่รอดปลอดภัยจนฝึกงานจบก็แล้วกัน เพราะพวกเธอไม่เคยเห็นประภัสสรโมโหขนาดนี้มาก่อน แม้มันจะเป็นการโมโหเงียบๆ ทว่ากลับให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นกว่าการโดนดุตรงๆ เสียอีก ขนาดตอนเกิดเรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว หรือกระทั่งตอนที่หัวหน้าปรามเรื่องการนินทาของพวกเธอก็ยังไม่รู้สึกว่าประภัสสรโมโหเท่านี้

++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน เราพบกันอีกแล้วนะคะ ^_^

ตอนนี้พี่เค้กเริ่มมีความง้อเด็กตามเด็ก เริ่มเจ็บๆ จุกๆ ไปบ้างกับอาการของเจ้าไก่น้อย หนูมาถูกทางแล้วลูก!! แต่มันต้องมากกว่านี้!!

ตอนหน้าเจ้าไก่วัดตัวแสบจะวิ่งเข้าหาฝูงไก่แจ้ไก่อูประชดสมภาร จนสมภารคนสวยต้องวิ่งตามบ้างแล้วล่ะ มาชมความเกรี้ยวกราดที่ฟาดใส่กันเบาๆ สงสารสาวๆ ร่วมโต๊ะนะคะ 555

ตอนหน้า?กับชื่อตอนว่า?ฉันก็หวงของฉัน?

พบกันวันพฤหัสนะคะ ขอให้มีความสุขในการอ่านค่ะ ^_^


Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น