web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 389
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 385
Total: 385

ผู้เขียน หัวข้อ: ดอกคาร์เนชั่นต้องห้าม (ฉบับปรับปรุง) บทที่ 6  (อ่าน 920 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
บทที่ 6

อรสารู้สึกตัวเวลาที่ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง หญิงสาวรับรู้ถึงความอุ่นจนเกือบร้อน เธอพลิกผ้าห่มออกจากตัวด้วยความเคยชินทั้งที่ตายังคงปิดอยู่

ความร้อนไม่ได้หายไป เธอสงสัยจึงเปิดตาขึ้นมามองหาสาเหตุ แล้วก็พบว่าคนตัวเล็กขดตัวแนบชิดติดกับเธอ หล่อนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนได้ว่าเป็นคนรั้งร่างบางเข้ามาเอง

ก่อนหลับในสติที่เลือนลางระหว่างการตื่นและหลับใหลหล่อนได้ยินเสียงแว่วแผ่วเบาแทรกเข้ามา หนึ่งรักพี่แล้วทำไมหนึ่งต้องขอโทษ เป็นความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาก่อนที่เธอจะลืมเลือนไปในไม่ช้าแล้วจมสู่ความมืดอันว่างเปล่า

คนตัวสูงไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นหล่อนคิดไปเองหรือคนในอ้อมกอดพูดออกมาจริงๆ กันแน่ ถ้าเกิดขึ้นจริงคนตัวเล็กขอโทษเธอเรื่องอะไร แต่ในเมื่อไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน สาวสวยก็คิดว่าจะลืมไปเสีย เพราะคิดไปก็ไม่สามารถหาคำตอบอะไรได้อยู่ดี

ร่างอรชรลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่มุมห้องใกล้หน้าต่าง ก่อนจะเปิดสวิตช์ไฟเพื่อให้เครื่องทำงาน เธอรอเพียงอึดใจเดียว จากนั้นก็เข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลของสถานที่ในวันนี้ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะมีทุกอย่างละเอียด มีกระทั่งบอกระยะทางของเส้นทางในแต่ละจุด หล่อนจดลงกระดาษA4เพื่อกันพลาด แม้สมองจะจำเส้นทางคร่าวๆ ได้แล้วก็ตามที

หลังจากนั้นจึงเก็บกระดาษใส่กระเป๋าสะพายและไปปลุกคนขี้เซาที่นอนบนเตียงอย่างสบาย ริมฝีปากค่อนข้างบางแย้มยิ้มนิดๆ เหมือนคนฝันดีมีความสุข

"หนึ่งตื่นได้แล้ว" เธอวางมือลงบนหัวไหล่เล็กแล้วเขย่าเบาๆ ให้รู้สึกตัว

"อือ" หน้าหวานเปลี่ยนเป็นง้ำงอ ตาสีสวยหรี่มองเล็กน้อย

"ตื่นค่ะจะได้ออกแต่เช้า ออกสายแดดร้อนนะ" หล่อนบอกเหตุผลให้ฟัง แต่คงไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ สาวน้อยทำท่าคล้ายอยากนอนต่อมากกว่า

"ค่ะ" เสียงใสเปลี่ยนเป็นเกือบแหบเมื่อพูดออกมา ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่มองรอบห้อง เมื่อเห็นประตูจึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าและเดินสะเปะสะปะออกไป เธออดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้า



"จะทานข้าวเช้าที่บ้านหรือข้างนอกคะ" สาวสวยถามด้วยรอยยิ้มหวาน เธอรู้สึกขัดเขินเมื่อได้เห็นยิ้มแบบนี้ ไม่นับว่าเมื่อคืนหล่อนพูดสิ่งน่าอายออกไปด้วย

"เอ่อ...ข้างนอกก็ได้ค่ะ พี่อีฟจะได้ไม่ต้องลำบากทำ" เด็กสาวตอบตะกุกตะกัก ตามองพื้นไม่กล้ามองตาสีอ่อนแสงนุ่มนวลคู่นั้น

"จริงๆ ก็ไม่ลำบากนะ พี่เต็มใจทำให้อยู่แล้ว อย่าคิดมากเลยค่ะ" มือขาวลูบหัวอย่างอ่อนโยน หัวใจดวงน้อยเต้นแรง รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา รู้แก่ใจดีว่าความรักที่มีให้กันเป็นคนละรูปแบบ และคนตรงหน้าก็คิดเพียงหล่อนเป็นน้องสาว ไม่ใช่เรื่องผิดเลยที่อีกฝ่ายคิดเช่นนั้น คนทั่วไปย่อมไม่รู้สึกอย่างนี้กับคนที่เป็นสายเลือดเดียวกัน เธอมันบ้า...

"เป็นอะไรรึเปล่าคะ" เสียงหวานถามด้วยความเป็นห่วง นิ้วเรียวเชยคางที่ก้ม

"หนึ่งไม่สบายรึเปล่า ไปหาหมอไหม" คิ้วเรียวขมวดด้วยอย่างไม่สบายใจ

"เปล่าหรอกค่ะ หนึ่งไม่ได้เป็นอะไร ไปกันเถอะค่ะ" เธอตัดบท พยายามจะเก็บกักความรู้สึกที่มีเอาไว้ข้างในลึกๆ เด็กสาวคิดว่านับแต่นี้ไปหล่อนต้องตัดใจให้ได้ ต้องเปลี่ยนจากความรักที่ไม่เหมาะสมเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง



รถแล่นไปบนทางด่วน แสงอาทิตย์ไม่แรงนักแต่สีส้มจัดจ้าน สาวน้อยมองใบหน้าด้านข้าง พี่สาวเธอดูสมบูรณ์แบบ

เสียงเพลงจากวิทยุดังเบาๆ เป็นเพลงเก่าที่นันทวรรณจำได้เพราะหล่อนก็ชอบเพลงนี้มาก แล้วไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้ใจรวดร้าวได้ถึงเพียงนี้

'มอง มองเธอมาแสนนาน
ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ
กลัวว่าวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน
ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้

ความลับที่ฉันซ่อนไว้
ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว

ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ
เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว มันยากเหลือเกิน
จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้
และความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม

โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ
เก็บเอาคำพูดของเธอ มาคิดมาก
แอบคิดไปเองอยู่อย่างนี้
ก็เธอ เธอช่างดีแสนดี คำว่ารักเธอ
จะต้องเก็บไว้อีกนานแค่ไหน' *



"ถึงแล้วค่ะ" อรสาบอกเรียบๆ หล่อนลอบมองคนตัวเล็กมาตลอดทาง เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมน้องสาวถึงดูซึมเศร้าขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ก่อนนอนยังสดใจขี้อ้อนอยู่แท้ๆ

"ใหญ่จังค่ะ" เสียงใสพูดเมื่อเห็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่บริเวณหน้าวัดพระประปฐมเจดีย์ฯ ในจังหวัดนครปฐม เธอเลือกที่นี่เพราะมีสวนกุหลาบไม่ไกล จะได้ออกมาทีเดียวไม่ต้องวนกลับไปกลับมา หรือไปจังหวัดไกลๆ เพราะการเที่ยวครั้งนี้เป็นแบบไปเช้าเย็นกลับไม่ใช่ค้างคืน

สาวสวยจอดรถที่ลานกว้างหน้าเจดีย์ใหญ่ ผู้คนยังไม่มากเพราะยังเช้าอยู่ จากกรุงเทพฯ มาที่นี่ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้นเอง

"ไปไหว้พระก่อนแล้วค่อยหาอะไรทานนะคะ" หล่อนบอกพร้อมจับมือแมวน้อยขึ้นบันไดสูงไป จากนั้นก็ซื้อดอกไม้ธูปเทียนซึ่งถูกจัดไว้เป็นชุดๆ และหยอดแบงค์ลงในตู้ที่ใส่ได้ตามศรัทธา

หล่อนถอดรองเท้าออกเพื่อขึ้นไปยังฐานของพระพุทธรูปจากนั้นจึงวางดอกไม้ จุดธูป และอธิฐานในใจว่า ขอให้เธอและน้องสาวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อรสาคิดว่าคำขอนี้ครอบคลุมดีแล้ว ส่วนเด็กน้อยยังคงหลับตานั่งพับเพียบนิ่งไม่ไหวติง



นันทวรรณไม่รู้จะขอในเรื่องอะไรดี เมื่อนึกว่าจะพูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น มันก็ช่างเจ็บปวดเกินกว่าจะขอให้ท่านช่วยให้หล่อนตัดใจได้ หล่อนจึงตัดสินใจว่า ท่านคะ หนึ่งขอให้พี่อีฟมีความสุข มีแต่เรื่องดีๆ ในชีวิตนะคะ เพราะความรักจึงทำให้เธอขอไปเช่นนี้ คนร่างบางไม่อยากขออะไรเพื่อสักเองสักอย่างเดียว เธออยากจะมีชีวิตที่ดีด้วยตัวเองมากกว่า

เมื่อเสร็จแล้วคนตัวสูงจึงจูงมือให้เดินอ้อมไปปิดทองพระพุทธรูปซึ่งสูงพอๆ กับคนจริง เธอเลือกปิดบริเวณซึ่งไม่ค่อยมีทองถมอยู่ อยากให้ทั่วทั้งองค์สว่างไสวเสมอกัน พี่สาวหล่อนก็ทำไม่ต่างกัน แต่ค่อนข้างลำบากอยู่สักหน่อยเพราะส่วนที่ว่างเปล่านั้นเป็นบริเวณที่เข้าถึงยาก



ร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจากวัดนัก เป็นร้านข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ธรรมดาซึ่งซ่อนตัวอยู่ในตึกแถวเรียงรายกันเป็นพรืด หล่อนไม่ได้อยากอาหารนักจึงทานอย่างช้าๆ

"หนึ่ง" เสียงนุ่มเรียก ใบหน้าของคนพูดดูเหมือนจะมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ

"คะพี่อีฟ" เธอขานรับ

"หนึ่งเป็นอะไร ทำไมดูไม่มีความสุขเลย" อีกฝ่ายถามอย่างตรงไปตรงมา ถ้าหล่อนตอบแบบเดียวกันออกไปพี่สาวคนนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

"หนึ่งพูดไม่ถูกค่ะ" เด็กน้อยบอกด้วยความคลุมเครือ ไม่อาจพูดความจริงออกไปได้โดยไม่ทำให้อีกคนเสียความรู้สึก และเสียใจที่เธอคิดแบบนั้น

"ใจเย็นนะคะ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เรียบเรียงให้พี่ฟัง" อรสาพูดช้าๆ เหมือนผู้ใหญ่ปลอบใจเด็กที่กำลังสับสน

"ถ้า...พี่อีฟคิดอะไรไม่ดีสักอย่างหนึ่ง แต่...พี่อีฟก็เลิกคิดมันไม่ได้ พี่อีฟจะทำยังไงคะ" หล่อนเปลี่ยนคำเสีย กลัวว่าสาวสวยจะล่วงรู้ถึงความลับที่เก็บไว้ในใจ

"อืม...ถ้าเลิกไม่ได้ก็ไม่ต้องเลิกค่ะ เพียงแค่อย่าทำก็พอ ความคิดของคนเรามันเป็นเรื่องที่ควบคุมกันลำบากนะคะ พอๆ กับความรู้สึก แต่ตราบใดที่เรายังไม่ได้ลงมือทำ มันก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไรหรอกค่ะ" คนตัวสูงตอบค่อนข้างละเอียดและเข้าใจง่าย

คนผมประบ่าพยักหน้าด้วยความเข้าใจ มันจริงอย่างที่พี่อีฟว่าทุกอย่าง แต่ถึงแม้มันจะเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้แสดงออกไป แต่หล่อนก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรงเกินกว่าจะยอมรับได้

"แล้วถ้ามันเป็นความคิดที่แย่เอามากๆ ล่ะคะ ยังจะเมินเฉยมันได้อยู่เหรอคะ" เสียงใสถามพลางขมวดคิ้ว

"คนเราทุกคนย่อมเคยคิดอะไรที่แย่และเลวร้าย ใช่ พี่คงต้องบอกว่าเราไม่ต้องสนใจมัน" คนหน้าสวยพูดย้ำ

"หนึ่ง แค่น้องทำทุกอย่างโดยที่ไม่มีใครเดือดร้อนและทำให้ตัวเองมีความสุขก็ทำไปเถอะค่ะ อย่าคิดมาก อย่าลังเลอะไรทั้งนั้น" เสียงนุ่มนวลพยายามช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น

สาวน้อยพึงพอใจกับคำตอบ แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้แค่ไหน คนร่างบางถอนหายใจ คิดว่าจะพยายามตัดใจให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็จะไม่ทำอะไรไม่ดีออกไป



"ขอบคุณค่ะพี่อีฟ" เสียงใสพูดออกมา สีหน้าดีขึ้นกว่าเดิม

"มีอะไรให้บอกพี่รู้ไหม ทำหน้างอน่ะไม่น่ารักนะ" หญิงสาวบีบจมูกรั้นอย่างเอ็นดู หล่อนคลายความกังวลลงไปมากพอสมควร เหลือเพียงความอยากรู้เล็กน้อยเท่านั้น ว่าความคิดที่น้องสาวว่านั้นคืออะไร มันแย่ขนาดที่ทำให้คนตัวเล็กเป็นกังวล สิ่งนั้นน่าจะสำคัญ แต่คนตรงหน้าเพิ่งดีขึ้น สาวสวยไม่อยากไปเค้นถามให้แย่ลงไปอีก

"อิ่มยังคะ" หล่อนถามเมื่อกวางน้อยทานข้าวเกือบหมดจาน ส่วนตัวเองนั้นอิ่มนานแล้วตั้งแต่ก่อนถามออกไป

"ค่ะ" คนอายุน้อยกว่าตอบ ยิ้มน่ารัก

"ไปซื้อส้มโอกับข้าวหลามกันดีกว่า ของขึ้นชื่อนะคะ พี่เคยทานเมื่อนานมาแล้วตอนเพื่อนเอามาฝาก อร่อยค่ะ เนื้อส้มโอสีชมพู ว่ากันว่าเป็นส้มโอที่อร่อยที่สุดในโลก ส่วนข้าวหลามก็นุ่มหอมกะทิมากค่ะ เนื้อข้าวไม่แข็งกำลังดีเลย สนไหม" เธอบรรยายยั่วน้ำลายแมวน้อย

"ไปค่ะ" หน้าเรียวพยักเร็วๆ หลายครั้งติดกันอย่างกระตือรือร้นเต็มที่

"ของกินนี่ไม่ได้เลยนะคะ รีบเชียว" หญิงสาวส่ายหน้าขำกับอาการที่คนตัวเล็กแสดงออกมาชัดเจนไม่ปิดบัง



ช่วงเดือนนี้พอดีกับที่ส้มโอออกวางขาย เป็นส้มโอในฤดู แม่ค้าปอกให้ซิมกลีบหนึ่ง มันหวานอร่อยจนคนตัวเล็กทำหน้าปลื้ม เธอจ่ายเงินซื้อมาสามลูก กะว่าจะให้เพื่อนรักเสียลูกหนึ่ง มาเที่ยวแล้วไม่มีของฝากถ้าอีกฝ่ายรู้คงโวยวายเป็นแน่ จากนั้นก็เด็กไปที่ประตูอีกฝั่งแล้วเลือกข้าวหนามกระบอกใหญ่หนามาสองกระบอก เธอเคยไปเชียงใหม่อยู่ครั้งหนึ่งตอนค่ายอาสา ข้าวหนามที่นั่นกระบอกเล็กนิดเดียว เอาสามกระบอกมารวมกันเพิ่งได้ของที่นี่อันเดียวเท่านั้น

"เอากี่กระบอกดีคะ" หล่อนถามนันทวรรณ

"อืม อันเดียวก็พอค่ะ หนึ่งอิ่มแล้วให้พี่อีฟกิน" เสียงใสตอบเรียบๆ

"ไม่ทานแน่นะ" หญิงสาวหันไปมองถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

"ใครบอกล่ะคะ" สาวน้อยยิ้มกว้าง หล่อนหัวเราะเจ้าตัวเล็กต้องมาแย่งแน่นอนเมื่อยิ้มแบบนี้

เธอบอกแม่ค้าให้ผ่ากระบอกออกเป็นสองซีก คนขายทำให้อย่างรวดเร็วด้วยความชำนิชำนาญเนื่องจากทำเป็นประจำทุกวัน

"พี่ขับรถ หนึ่งป้อนพี่ละกัน" หล่อนบอกยิ้มๆ เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กแย่งเต็มที่

มือเล็กบางหยิบข้าวเหนียวตรงส่วนปลายที่มีกะทิชุ่มช่ำส่งมาที่ริมฝีปาก เธออ้าปากรับเข้าไปสัมผัสกับความหอมหวาน และเผลอเลียนิ้วอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ

"อุ้ย" เสียงใสอุทานและชักนิ้วกลับไป

"พี่ขอโทษ เผลอไปหน่อยน่ะ" เธอบอกยิ้มๆ ไม่ได้คิดจะแกล้งแมวน้อยเลย



เมื่อลิ้นนุ่มสัมผัสกับปลายนิ้วหล่อนรู้สึกเหมือนไฟฟ้าแล่นไปทั่ว เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่เป็นแบบนั้นจึงชักกลับมา หล่อนไม่กล้าส่งข้าวหลามให้คนข้างๆ อีก เพราะกลัวใจตัวเองเอง

"ไม่ให้พี่ทานบ้างเหรอคะ" อีกฝ่ายถามเมื่อเธอทานเงียบๆ อยู่พักใหญ่

"เอ่อ...ค่ะ" เสียงหล่อนสั่นทันที มือบางแบ่งข้าวจากกระบอกซึ่งถูกผ่าครึ่งนั้นอย่างเก้ๆ กังๆ เธอพยายามไม่ให้ผิวโดนเหมือนเมื่อสักครู่อีก

"ไกลไปหน่อยนะคะ พี่ทานลำบาก" เสียงนุ่มท้วงติง เด็กสาวเม้มปากอย่างจำใจ และขยับมือให้เข้าไปใกล้ขึ้นอีก

'จุ๊บ' ริมฝีปากอิ่มสวยทำอย่างจงใจ

"พี่อีฟ" หล่อนร้องเสียงหลงดัง

"อะไรคะ" อีกฝ่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ชวนหมั่นไส้

"งอนแล้ว" เด็กสาวเบะปาก ไม่รู้ทำไมอรสาถึงได้ชอบแกล้งหล่อนนัก



"โอ๋ๆ พี่ขอโทษ แกล้งแค่นี้เอง อย่างอนเลยนะคะ" สาวสวยพูดเสียงอารมณ์ดี

น้องสาวเธอน่ารักขนาดนี้ไม่อยากแกล้งก็แปลกแล้ว ปากบางๆ ที่ชอบยื่นออกมาเวลาไม่พอใจกับคิ้วเรียวบางที่ขมวดนั้นก็น่าเอ็นดูซะไม่มี

"พี่อีฟใจร้ายชอบแกล้งหนึ่ง" คนร่างบางไม่ยอมหายงอนง่ายๆ ต่อว่าต่อขานเธอไม่จริงจังนัก

"ก็หนึ่งน่ารักนี่คะ พี่เลยอดไม่ได้ พี่ไม่ผิดนะ" หล่อนแอบแหย่ต่ออย่างมีความสุข

"โทษหนึ่งอ่ะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย" คนตัวเล็กยังคงงอนต่อเนื่อง

"เปล่าซะหน่อย พี่ไม่ได้โทษหนึ่ง พี่แค่บอกว่าพี่ไม่ผิด ไม่เคยได้ยินเหรอคะ น่ารักน่าแกล้งน่ะ มันมาคู่กันนะ" เธอโมเมทันที โยงให้เข้ากันจนได้

"พี่อีฟก็ใจร้ายอยู่ดี" แก้มใสนั้นป่องขึ้นเพิ่มระดับการงอน

"อ่ะ พี่ผิด พี่จะ...พยายามไม่แกล้งละกันนะคะ ดีไหม" สาวผมยาวยอม ถ้ายังต่อความยาวสาวความยืดอยู่อย่างนี้มีหวังเธอง้อไม่ไหวแน่

"ดีค่ะ" คนหน้าหวานยิ้มทันที หายง่ายจริงน้องสาวคนนี้ ไม่มีวางท่าเสียบ้างเลย แต่หญิงสาวก็ชอบความตรงไปตรงมาแบบนี้ เพราะไม่ต้องเหนื่อยที่จะมานั่งเดาว่าคนข้างๆ รู้สึกยังไงกันแน่ ผู้หญิงส่วนมากก็มักจะปากไม่ตรงกับใจอยู่แล้ว ขนาดเพื่อนกันเองบางทีเธอยังสับสนว่าต้องการอะไรถึงแสดงออกแบบนี้แบบนั้น

"อีกไกลไหมคะ" สาวน้อยถามเมื่อรถอยู่บริเวณรอยต่อของจังหวัดนครปฐมและราชบุรี

"ไม่ไกลหรอกค่ะ ชั่วโมงนิดๆ ได้ ถ้าไม่หลงนะคะ" เธอนึกถึงระยะทางในอินเทอร์เน็ตที่ดูเมื่อเช้า ประมาณ 90 กิโลเมตร จากนี่ไปถึงไร่

"อ้าว พี่อีฟไม่เคยไปเหรอคะ" คนตัวเล็กหน้าซีดไปเมื่อได้ยินคำว่าหลง

"ไม่เคยค่ะ แต่พี่ดูแผนที่คร่าวๆ มาแล้ว ไม่ต้องกลัวนะคะ" หล่อนปลอบใจยิ้มๆ

คนตัวเล็กเงียบคิ้วขมวดด้วยความไม่แน่ใจนัก เธออดหัวเราะไม่ได้ หล่อนเผลอแกล้งนันทวรรณโดยไม่ตั้งใจอีกแล้วถึงได้พูดไปอย่างนั้น

"คิดมากทำไมคะ พี่เก่งอยู่แล้ว ถนนหลักก็ขับธรรมดา เดี๋ยวมีซอกซอยค่อยถามคนแถวนั้นเอา ไม่หลงหรอกค่ะ เมื่อกี้พี่พูดเล่น" เธอแจกแจงให้เกิดความมั่นใจ คนอายุน้อยกว่าทำหน้ายังกับหล่อนจะพาไปขายอย่างไรอย่างนั้น



อรสาขับรถจนมาถึงไร่โดยสวัสดิภาพไม่หลงอย่างที่ขู่เจ้าตัวเล็กแต่อย่างใด คนข้างๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนชื่อไร่ไว้อย่างชัดเจนด้วยอักษรสีขาวตัวโต ทางเข้าไม่ได้ลาดยางหรือปูน แต่เป็นดินและกรวดธรรมดา ซึ่งให้ความรู้สึกว่าได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างเต็มที่

ข้างในเต็มไปด้วยกุหลาบหลากหลายพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลก ที่นี่อากาศเย็นกุหลาบจึงออกดอกตลอดทั้งปี และจะสวยที่สุดในปลายปี หล่อนมาก่อนแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา แค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้วสำหรับดอกไม้ในฤดูฝน

"สวยจังค่ะ หนึ่งไม่ค่อยได้เห็นกุหลาบสีอื่นๆ เลย" แมวน้อยเดินไปตรงนู้นตรงนี้อย่างมีความสุข นัยน์ตาแพรวพราวระยิบระยับ

"เห็นไหม ถ้าพี่บอกก่อนก็ไม่ดีใจอย่างนี้หรอก" เธอเอ่ยถึงการออดอ้อนเมื่อคืน

"ดีใจนะคะ แต่อาจไม่ตื่นเต้นเท่านี้เฉยๆ" กวางน้อยเชิดจมูกรั้นๆ อย่างดื้อดึงนิดๆ

"จ้า" เธอยอมแพ้ง่ายๆ

"ไปตรงนู้นกันค่ะ" คนสูงน้อยกว่าชักชวนพร้อมชี้ไปที่สวนกุหลาบอีกแห่ง

"ระวังค่ะ" หล่อนบอกเมื่อเห็นก้อนหินอยู่ตรงปลายเท้าเล็กๆ นั้น

"ว้าย" เสียงใสร้องดังขึ้น เธอเข้าไปประคองร่างบางที่กำลังจะล้มหน้าคว่ำเข้าหาพื้นดิน

"พี่เพิ่งบอกให้ระวังอยู่แหมบๆ" เสียงหวานดุเล็กน้อย หลังจากรับอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด

"หนึ่ง" ทั้งสองสบตากัน

อรสาชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มชวนมองมีความเสียใจ เธอถอนหายใจ ลูบผมสลวยเส้นเล็กบางอย่างขอโทษ หล่อนไม่ควรจะใช้น้ำเสียงแบบนั้นเลย มันทำให้คนในอ้อมกอดเสียใจ

"ไม่เป็นไรนะ" น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

"ค่ะ" เสียงใสตอบเบา ตาไม่ยอมละออกจากใบหน้าของเธอ หญิงสาวจึงมองตอบและความรู้สึกเหมือนเมื่อวันนั้น ในห้องน้ำก็กลับมา มันเชื้อเชิญอย่างยวนใจให้อรสาทำแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.