web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 110
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 102
Total: 102

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 7  (อ่าน 1784 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 7
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:26:29 »
Chapter 7

โยมิและไอที่กำลังเดินทางด้วยรถโดยสารไปยังดอยเสมอดาวก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนซึ่งก่อนที่สาวตาหวานจะนอนหลับไปเธอได้ขออนุญาตจับมืออีกฝ่ายโดยบอกว่า

“I’m scare (ฉันกลัว)”

“Scare? About what? (กลัว... กลัวอะไรเหรอ)”

ไอถอนหายใจแล้วสบตาสาวญี่ปุ่น “Everything (ทุกอย่าง)” ดวงตาเศร้าๆ ของเธอที่มองคนที่นั่งข้างๆ นั้นเต็มไปด้วยความกังวล

“This is my first time to travel by myself, I only go to study and back home for a year after I recovered from the accident. Everyone helps me but… I felt not good… (นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเดินทางแบบนี้ด้วยตัวเอง หลังจากรักษาตัวจากอุบัติเหตุฉันก็ทำได้แค่เดินทางไปกลับบ้านและที่มหา’ลัยเท่านั้น ทุกคนช่วยฉันนะ แต่... ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย...)

ก่อนที่สาวตาหวานจะพูดจบสาวร่างสูงก็คว้ามืออีกฝ่ายเข้ามาจับแล้วพูดสั้นๆ ว่า “I understand (ฉันเข้าใจ)”

ใบหน้าของไอดูตกใจแต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อโยมิพูดต่อว่า “I’m scare too when I travel alone (เวลาที่เดินทางคนเดียวฉันก็กลัวเหมือนกัน)”

มือของสองสาวจับกันแน่น สาวญี่ปุ่นหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ที่กำลังหลับ เธอใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ค่อยๆ แตะไปที่ศีรษะของสาวตาหวานแล้วดันให้พิงกับพนักเก้าอี้หลังจากที่เห็นว่าศีรษะของอีกฝ่ายชนกับขอบหน้าต่าง สาวร่างสูงมองไออยู่พักหนึ่งแล้วหลับตาลง

“Omai wa mu kachida! Atchi e ike! (แกมันไร้ค่า! ออกไป!) เสียงดุดันของชายวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิดของโยมิ เสียงนั้นทำให้เธอต้องลืมตาทันที

“Yume ga… (ฝันเหรอเนี่ย...)” สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นมาเบาๆ แล้วถอนหายใจออกมา

เสียงฝนที่ตกกระทบบนหลังคารถทำให้สาวร่างสูงสะดุ้ง เธอปล่อยมือคนข้างๆ แล้วโน้มตัวไปปิดหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย ไอลืมตาขึ้นมานิดหนึ่งแล้วยิ้มให้ แต่แล้วเธอก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้อง

“I’m ok (ฉันโอเค)” สาวตาหวานตอบเสียงสั่นๆ

“But your voice seemed not ok (แต่เสียงคุณไม่เห็นบอกว่าโอเคเลย)” โยมิตอบ

ไอหัวเราะออกมาเล็กน้อย “As I know, Japanese people don’t play a joke like that with strangers (เท่าที่ฉันรู้ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยจะเล่นมุกตลกแบบนั้นกับคนแปลกหน้านี่คะ)   

สาวญี่ปุ่นยิ้ม “I’m not typical Japanese (ก็ฉันไม่ใช่คนญี่ปุ่นทั่วไปนี่นา)”

“So… what are you? (แล้วคุณเป็นยังไงละคะ)” สาวตาหวานถาม

“A weird Japanese (คนญี่ปุ่นประหลาดๆ คนนึง)”

เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากของไออีกครั้ง รอยยิ้มและเสียงนั้นทำให้สาวร่างสูงรู้สึกดีและหัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ

“I think you are, a weird Japanese (ฉันก็คิดว่าคุณเป็นคนประหลาด)”

“Hey… you’re so mean (เฮ้... ใจร้ายนะเนี่ย)” โยมิตอบด้วยเสียงงอนๆ แล้วใช้มือดึงแก้มอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

แรงดึงด้วยนิ้วมือนุ่มๆ ที่แก้มของสาวตาหวานนั้นให้ใบหน้าของเธอร้อนขึ้น ไอแกล้งร้องว่าเธอเจ็บแต่เสียงร้องของเธอนั้นก็ไม่อาจให้อีกฝ่ายปล่อยมือได้ เธอจึงรีบยกมือของตัวเองขึ้นมาดึงมือของสาวญี่ปุ่นออก

“It’s hurt (เจ็บนะ)”

“But your face doesn’t show any pain. You said hurt but you smile. So, I assume that you’re a weirdo like me too (แต่หน้าคุณไม่เห็นบอกว่าเจ็บเลย คุณบอกว่าเจ็บแต่คุณดันยิ้ม งั้นฉันสรุปว่าคุณเป็นคนประหลาดเหมือนกับฉันก็แล้วกัน)”

สาวตาหวานแกล้งทำเสียงไม่พอใจในคอแต่ก็ยิ้มให้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า “You aren’t a stranger to me (สำหรับฉัน คุณไม่ใช่คนแปลกหน้านะ)”

“Really? (งั้นเหรอคะ)”

“Yeah, because we’re weirdo (ใช่ ก็พวกเราเป็นพวกประหลาดเหมือนกันไง)”

ไอหัวเราะแล้วมองสบตาสาวร่างสูงที่ยิ้มให้เธอ ถึงแม้จะรู้สึกกังวลใจกับการเดินทางแต่ตอนนี้เธอรู้สึกดีใจที่ได้รู้จักและเดินทางกับคนๆ นี้เสียแล้ว

เมื่อทั้งสองลงจากรถที่ตลาดสดบริเวณสามแยกบ้านใหม่ ไอลองเดินถามเส้นทางจากคนที่อยู่แถวนั้นเกี่ยวกับการเดินทางไปยังดอยเสมอดาวที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน โดยได้รับข้อมูลว่าต้องหาซื้อของกินขึ้นไปบนดอยด้วย เพราะด้านบนนั้นไม่มีของขาย ส่วนเรื่องของการเดินทางนั้นต้องเหมารถขึ้นไป และสาวตาหวานก็พบกับกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงานกลุ่มหนึ่งประมาณ 5 คน ที่ต้องการจะเดินทางขึ้นไปบนดอยเช่นเดียวกัน ดังนั้นไอจึงตอบตกลงที่จะเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาหลังจากนั้นก็เดินมาหาโยมิ

“Alright, I’ll follow your plan (ก็ได้ ฉันจะทำตามแผนของคุณ) สาวญี่ปุ่นตอบ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสบอารมณ์นักกับสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด

สาวตาหวานรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ดูท่าทางสาวร่างสูงจะหัวเสียกับอะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้สาเหตุ เธอได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเท่านั้น

การเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงที่ขึ้นดอยเสมอดาวทำให้ไอรู้สึกแย่ ด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยวผนวกกับถนนที่ยังคงเปียกจากสายฝนที่เพิ่งหยุดลงไปทำให้การขับรถเป็นไปด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ทางขึ้นที่หวาดเสียวและชวนอาเจียนทำให้เธอต้องนั่งหลับตาแล้วกอดแขนโยมิแน่น ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงนั่งรถมองทางไปเฉยๆ โดยพูดคุยกับคนอื่นๆ น้อยมากและแทบจะไม่พูดเลยเสียด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงยอดดอย ผู้ร่วมทางก็รีบลงไปถ่ายรูปกับหมอกยามเย็นโดยทันที ส่วนสองสาวก็เดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อจองเต็นท์

“เป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้นหรือยัง” นักท่องเที่ยวสาวผมสั้นที่ดูท่าทางอายุมากกว่าสาวตาหวานเดินเข้ามาทักขณะที่เธอกำลังยืดเส้นยืดสายอยู่หน้าเต็นท์หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว

“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ พี่...”

“เมย์ค่ะ พี่ชื่อเมย์”

“ค่ะพี่เมย์ ไอค่ะ”

“แล้วเพื่อนน้องอีกคนละคะ” สาวผมสั้นถาม

“อ๋อ ยังเก็บของอยู่ข้างในค่ะ เค้าชื่อโยมิ”

“ค่ะ... เอ้อ! พวกพี่จะไปซื้อข้าวที่ผาชู้กัน เดินไปจากตรงนี้ประมาณสองกิโลครึ่ง น้องไอกับเพื่อนจะไปด้วยกันมั้ยคะ”

สาวตาหวานยิ้ม “แป๊บนึงนะคะ ขอถามโยมิก่อน”

ไอมุดเข้าไปในเต็นท์แล้วเล่าให้สาวญี่ปุ่นฟัง ดูท่าทางอารมณ์ของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าตอนขึ้นมา สาวร่างสูงตอบรับพร้อมกับกระเป๋าคาดเอวและกล้องออกมาด้วยเพื่อแวะถ่ายรูประหว่างทาง เมื่อสองสาวออกมาจากเต็นท์แล้วก็พูดคุยกับเมย์ โดยที่ไอเป็นคนคุยเสียส่วนใหญ่เพราะอีกฝ่ายพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ หลังจากนั้นก็เดินไปรอที่หน้าสำนักงานของเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อไปที่ผาชู้

สมาชิกที่เดินทางไปซื้อเสบียงนั้นมี 3 สาว กับ 1 หนุ่มร่างใหญ่ผิวคล้ำที่ชื่อมีว่าโจ แฟนของสาวผมสั้น ส่วนคนที่เดินทางมาด้วยที่เหลือนั้นฝากซื้อของแล้วบอกว่าจะอยู่เฝ้าเต็นท์ให้ บรรยากาศโดยรอบๆ ของดอยเสมอดาววันนี้จัดได้ว่าเงียบ เนื่องจากเป็นวันธรรมดาจึงมีเพียงแต่พวกเธอเท่านั้นที่ขึ้นมาเที่ยว ระหว่างทางที่กำลังเดินไปผาชู้ทุกคนคุยกันอย่างสนุกสนาน ยกเว้นโยมิที่เดินไปและแวะถ่ายรูปข้างทางไปเงียบๆ เท่านั้น บางครั้งก็จะหันมาคุยกับไอบ้างเป็นบางครั้ง

“เพื่อนน้องไอไม่ค่อยคุยเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” โจถาม

“สงสัยคงไม่ชินมั้งคะ ก็พวกเราเล่นคุยเป็นภาษาไทยหมดเลย เค้าคงฟังไม่รู้เรื่อง” สาวตาหวานตอบ

อยู่ๆ หนุ่มร่างใหญ่ก็เร่งฝีเท้าเดินไปข้างๆ สาวญี่ปุ่นแล้วพูดว่า “ I’m Otaku (ผมเป็นโอตาคุ)”

สาวร่างสูงสะดุ้งเมื่อมีคนมาเดินข้างๆ แล้วถามกลับว่า “Otaku? Do you really know the meaning of that word? (โอตาคุเหรอ... คุณรู้หรือเปล่าว่าความหมายจริงๆ ของโอตาคุคืออะไร)”

“Yeah, I love reading and watching cartoons (รู้สิ ผมชอบอ่านแล้วก็ชอบดูการ์ตูน)”

โยมิขมวดคิ้ว “That wasn’t close, the things you mentioned. I think you’re misunderstood about it (สิ่งที่คุณพูดมันไม่ได้ใกล้เคียงเลยนะ ฉันคิดว่าคุณกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับโอตาคุ)”

โจกวักมือเรียกไอและเมย์เข้ามาหาทันที “น้องไอๆ เพื่อนน้องไอพูดเร็วมากเลย พี่ฟังไม่ทัน”

สาวตาหวานให้อีกฝ่ายทวนคำพูดอีกครั้งแล้วแปลให้หนุ่มร่างใหญ่ฟัง โจถามกลับถึงความหมายจริงๆ สำหรับคนญี่ปุ่นว่าโอตาคุคืออะไร

“Various types of Otaku, but they’re have same point are cannot attach with society and weird personality like high personal space, anti-social… So for Japanese, Otaku is approaching in negative way (ก็มีหลายแบบนะ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือไม่เข้าสังคม แล้วก็มีบุคลิกลักษณะแปลกๆ เช่น มีโลกส่วนตัวสูง แล้วก็ต่อต้านสังคม... สำหรับคนญี่ปุ่น โอตาคุจะถูกจัดอยู่ในทางลบ)

“What do you think about them? (แล้วคุณคิดยังไงกับพวกเค้าล่ะ)” สาวผมสั้นขอให้ไอแปลคำถามของเธอให้สาวญี่ปุ่นฟัง

“I feel nothing about them neither positive nor negative way. I only impress that they can show what they love and act what they want without caring others’ eyes… (ฉันไม่รู้สึกถึงด้านบวกหรือด้านลบกับพวกเค้า แต่ฉันรู้สึกประทับใจที่พวกเขาสามารถโชว์ว่าเค้ารักและแสดงออกถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่ต้องแคร์กับสายตาของคนอื่นๆ...)

“Which I can’t do like that (ซึ่งฉันทำแบบนั้นไม่ได้)” สาวร่างสูงพูดออกมาเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเองแล้วเดินนำหน้าไป

สาวตาหวานขมวดคิ้ว เธอไม่ได้แปลประโยคสุดท้ายให้โจและเมย์ฟัง เธอเร่งฝีเท้าไปเดินข้างๆ โยมิที่เดินก้มหน้าอยู่ สองสาวเดินเคียงคู่ไปแบบเงียบๆ จนกระทั่งถึงที่ร้านอาหาร

เมื่อได้ของครบแล้วทั้งสี่คนก็ต้องรีบจ้ำกลับที่พักเนื่องจากใกล้ค่ำแล้ว โยมิดึงไฟฉายกระบอกเล็กออกมาจากกระเป๋าคาดเอวมาเตรียมไว้แล้วก็รีบออกเดินทาง ไอที่ไม่ชินกับการเดินนานๆ และการเดินระยะทางไกลก็เริ่มออกอาการเหนื่อยและล้าอย่างเห็นได้ชัดจนสาวญี่ปุ่นต้องรีบจับมือเพื่อช่วยให้เธอเดินได้สะดวกมากขึ้น

“Sorry (ขอโทษนะคะ)”

“I think when someone help you ‘Thank you’ is more proper to say (ฉันว่าเวลาที่มีคนช่วยคุณคำว่า ‘ขอบคุณ’ น่าจะเป็นคำที่พูดออกมามากกว่านะ)” สาวร่างสูงพูดแล้วกดสวิทช์ไฟฉาย

“Arigatou (ขอบคุณค่ะ)” สาวตาหวานพูดออกมาเบาๆ เธอเห็นรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายท่ามกลางแสงสลัวของยอดดอย



สองสาวนั่งกินข้าวและคุยอยู่กับกลุ่มที่เดินทางมาด้วยพักใหญ่แล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำและพักผ่อน ไอนั่งนวดขาที่ปวดระบมของตัวเองในเต็นท์ โดยมีโยมินั่งอ่านไกด์บุ๊คอยู่ข้างๆ เมื่อสาวญี่ปุ่นเห็นอาการของอีกฝ่ายเธอก็เอ่ยปากถาม

“Feel not good? (รู้สึกไม่ดีเหรอ)”

“Yes, they’re pain (ค่ะ ปวดทั้งสองข้างเลย)”

สาวร่างสูงลากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเธอออกมาแล้วค้นหาของอยู่พักหนึ่งแล้วหยิบสเปรย์กระป๋องเล็กออกมา เธอเขย่าแล้วฉีดไปตามน่องและข้อเท้าทั้งสองข้างของสาวตาหวาน

“Your ankles are cold, do you still hurt or numb (ข้อเท้าคุณเย็นมากเลยนะ ยังปวดอยู่หรือเปล่า หรือว่าชา)”

“Numb (ชาค่ะ)”

โยมิเขยิบเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้ววางเท้าของไอบนตักของเธอ หลังจากนั้นก็ถูมือไปมาแล้วนวดไปที่ข้อเท้าของอีกฝ่าย สาวตาหวานรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นจากการกระทำของอีกฝ่าย

“Thank you (ขอบคุณค่ะ)”

สาวญี่ปุ่นยิ้ม แล้วนวดเท้าของอีกฝ่ายต่อไป

“You’re so kind to me (คุณใจดีกับฉันจัง)”

“Am I? (ฉันน่ะเหรอ)” สาวร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาถาม และได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยการพยักหน้า “I think I can’t be a kind person like you said so (ฉันคิดว่าฉันไม่ใช่คนใจดีอย่างที่คุณพูดหรอก)”

“Why? (ทำไมละคะ)”

โยมิเงียบ... ไม่ตอบ บรรยากาศน่าอึดอัดปกคลุมเข้าในเต็นท์ทันที ทั้งสองนั่งนิ่งไปได้พักใหญ่ไอก็เปลี่ยนคำถาม

“Why do you come to Thailand? (ทำไมคุณถึงมาเที่ยวเมืองไทยละคะ)”

“Humm… here isn’t difficult to travel. Many guidebooks talk about Thailand, nice people, nice food, many interesting places. And… (ฮืมม์ ก็ที่นี่มาเที่ยวได้ไม่ยาก มีไกด์บุ๊คเยอะแยะที่พูดถึงประเทศไทย ผู้คนใจดี อาหารอร่อย ที่เที่ยวเยอะ แล้วก็...)”

“And… (แล้วก็...)”

“No, I won’t tell. It’s embarrassing to say… (ไม่บอกเอาดีกว่า มันน่าอาย)”

ใบหน้าของสาวญี่ปุ่นดูเขินอาย ซึ่งใบหน้าแบบนั้นก็ทำให้คู่สนทนาอมยิ้มแล้วอ้อนเพื่อขอให้อีกฝ่ายพูด สาวตาหวานทำหน้าอ้อนๆ แล้วพูดขอร้องด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานพลางนวดไหล่สาวร่างสูงไปด้วย ซึ่งก็ทำให้หน้าของโยมิแดงขึ้นด้วยอาการเขินพ่วงกับขำเพราะท่าทางของอีกฝ่าย

“Alright alright I tell you, please stop massaging me. It’s ticklish (ก็ได้ๆ บอกก็ได้ หยุดนวดฉันทีเถอะ มันจั๊กจี้นะ)”

“Well… speak (งั้น... พูดออกมาสิคะ)”

“When I was in High School, there was an exchange student from Thailand. He was so cool and everyone liked him. I accidentally talked with him while we attended P.E. class, he talked a lot about Thailand. You know at that time I think I fell in love with him. (ตอนที่ฉันอยู่ ม.ปลาย มีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศไทย ฉันได้คุยกับเข้าโดยบังเอิญตอนที่พวกเราเรียนวิชาพละ เค้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยมากมายเลยล่ะ แล้วตอนนั้นฉันก็คิดว่าฉันตกหลุมรักเค้าให้แล้ว)”

“Wow… that’s so interesting. Did you go out with him? (ว้าว น่าสนใจมาก แล้วคุณได้เป็นแฟนกับเค้ามั้ย)

“Not a chance, but we talked via e-mail a lot. He inspired me to visit Thailand, the country that I must go in the list (ไม่มีโอกาสเลยล่ะ แต่เราก็ได้คุยกันทางอีเมล์นะ เค้าเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันมาเที่ยวเมืองไทย ประเทศที่ฉันต้องมาในลิสต์เลยล่ะ)”

“That’s nice, isn’t it. You came here b’cos of these kinds of thing. But why you said embarrassing? (ก็ดีนี่นาที่คุณมาเที่ยวเพราะเรื่องอะไรแบบนี้ แล้วทำไมคุณถึงบอกว่ามันน่าอายล่ะ)” 

สาวญี่ปุ่นหัวเราะแล้วหยิบรูปใบหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้ไอดู รูปใบนั้นเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่สวยมาก ดวงตาคมๆ กับริมฝีปากอิ่ม ดูแล้วเธอคนนี้น่าจะไปเป็นนางแบบหรือดาราได้เลยทีเดียว สาวตาหวานรับมาดูแบบงงๆ แล้วก็มองไปที่อีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

“That’s him, he sent me a few years ago. Now he stays in the Australia (นั่นละเค้า เค้าส่งรูปนี้มาให้ฉันเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน ตอนนี้เค้าอยู่ที่ออสเตรเลีย)”

สิ้นเสียงสาวร่างสูงไอก็อ้าปากค้างแล้วดูรูปสลับกับมองหน้าของโยมิหลายต่อหลายรอบ แล้วจากนั้นก็หัวเราะออกมา

“Hey… you’re laughing too loud (เฮ้... คุณหัวเราะเสียงดังเกินไปแล้วนะ)” สาวญี่ปุ่นพูดแล้วก็หัวเราะตามอีกฝ่าย

สาวตาหวานถามหลังจากที่หยุดหัวเราะว่า “You didn’t notice about him? I mean his type, his action when you talked with him (คุณไม่เคยสังเกตเลยเหรอ ฉันหมายถึงสิ่งที่เค้าเป็น หรือสิ่งที่เค้าแสดงออกมาตอนที่คุณคุยกับเค้า)”

“No, I didn’t. I could say never notice about it. He’s so kind, understand about girl’s stuffs and please to everyone. Many girls liked him too, someone sent love letter to him. But I had no idea he would become like this. Poor me, my love life (ไม่เลย จะบอกว่าไม่เคยก็น่าจะได้ซะด้วยซ้ำ ก็เค้าใจดี เข้าใจผู้หญิงทุกอย่าง ช่างเอาอกเอาใจ สาวๆ ทุกคนชอบเค้าทั้งนั้นแหละ บางคนถึงกับส่งจัดหมายรักหาเค้าเลยนะ ใครจะไปคิดว่าเค้าจะกลายมาเป็นแบบนี้ สงสารตัวเองชะมัด ชีวิตรักของฉัน)” สาวร่างสูงพูดขำๆ หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมา

“Come on, now you’re here. I think you can fine your soul mate. As for me, I hope I could find someone who can accept what I was and what I am (เอาน่า ไหนๆ คุณก็อยู่ที่นี่แล้วนี่นา ฉันว่าคุณก็หาคู่แท้ของคุณได้อยู่น่า เหมือนกับฉันไง ฉันหวังว่าฉันจะได้พบใครสักคนที่ยอมรับในสิ่งที่ฉันเคยเป็นและสิ่งที่ฉันเป็น)”

โยมิมองหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน “I see, someone who can accept what I was and what I am (งั้นเหรอ คนที่ยอมรับในสิ่งที่ฉันเคยเป็นและสิ่งที่ฉันเป็น)”

ไอสังเกตจากใบหน้าของอีกฝ่ายที่เจื่อนลง และเสียงของสาวญี่ปุ่นดูเหมือนจะสิ้นหวังและตัดพ้อกับตัวเองก็ทำให้เธอไม่อาจที่จะพูดอะไรออกมาอีก

...

“Kimi wa jibungatteda! (พี่มันเห็นแก่ตัว!)”

เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิดของโยมิ คำพูดคำนี้เป็นคำพูดเดียวกับที่เธอเคยพูดกับยูคาริ พี่สาวของเธอช่วงที่ทั้งสองทะเลาะกันตอนที่อยู่อเมริกาด้วยกัน แต่เสียงที่เธอได้ยินในความคิดตอนนี้คือเสียงของโยชิอากิ น้องชายของเธอเอง

“ทำไมพี่ถึงเป็นแบบนี้... พี่จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน!” โยชิอากิ หนุ่มร่างสูงที่มีผมสีดำสนิท จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มเหมือนกับเธอกำลังยืนต่อว่าพี่สาวของตัวเองที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโดยไม่สนใจว่าตอนนี้ที่บ้านกำลังวุ่นวายกับการต้อนรับญาติๆ ในช่วงเทศกาล

“ปัญหาแค่นี้ทำไมถึงต้องหยุดเรียนด้วย” หนุ่มผมดำพูดต่อเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย

“มันไม่ใช่ปัญหาแค่นี้สักหน่อย” สาวร่างสูงตอบออกมาเบาๆ

“แล้วพี่จะอยู่แบบนี้อีกเมื่อไหร่กัน! พี่ไม่ใช่เด็ก ม. ปลาย ที่จะทำอะไรตามใจตัวเองได้สักหน่อย! พวกเค้าพูดกันว่าพี่กลายเป็นนีท*ไปแล้ว!” โยชิอากิขึ้นเสียง

*นีท (NEET) หมายถึง Not in Education, Employment or Training (บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างการศึกษา ถูกจ้างงาน หรือฝึกฝน) NEET จะอยู่กับครอบครัว และออกนอกบ้านไปเที่ยวเล่นได้ แต่จะไม่เรียน ทำงาน หรือทำอย่างอื่นนอกจากใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ และเป็นปัญหาของสังคมญี่ปุ่น (และจีน) เพราะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคนญี่ปุ่นเรียกพวกนีทว่าเป็นกาฝากสังคม (Social Parasite) ซึ่งครอบครัวจำเป็นต้องรับเลี้ยงไว้ เพราะถ้าตัดออกจากครอบครัวไปจะทำให้สังคมเดือดร้อน โดยมีรายได้จากการรับเงินสวัสดิการจากเบี้ยเลี้ยงว่างงาน (สำหรับคนที่เคยทำงานมาก่อน) หรือใช้เงินจากครอบครัวเป็นหลัก

“พวกเค้าเหรอ... หึ... พูดออกมาแบบนี้ นายก็กลายเป็นหนึ่งในพวกนั้นไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“นี่พี่พูดอะไรน่ะ!”

“ต้องทำอะไรทุกอย่างให้เพอร์เฟ็ก เหมือนกับพ่อไม่มีผิด คำพูดของนายก็เหมือนกับคำพูดของพ่อไม่มีผิด เฮอะ นายมันก็เป็นเหมือนกับพวกนั้นแหละ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งๆ ที่มีคนในบ้านหายไป”

“พี่เองต่างหากที่ทำตัวไม่รู้สึกรู้สาอะไร! พี่ยูคาริตายไปแล้วนะ! พี่เองก็เห็นกับตา! ให้ตายเถอะ ทุกคนมองว่าพี่เป็นตัวประหลาดไปหมดแล้วนะ!”

“ก็ช่างเค้าสิ ใครจะมองฉันยังไงฉันไม่สนหรอก ฉันเป็นของฉันแบบนี้”

“แต่ผมทนไม่ได้ที่เห็นพี่เป็นแบบนี้!” หนุ่มผมดำเดินเข้ามาแตะตัวพี่สาว “ทั้งพี่ยูคาริ แล้วก็พี่ พวกพี่เป็นพี่ของผม พี่ดูแลผม เล่นกับผม สอนผม ตอนนี้พวกเราไม่มีพี่ยูคาริแล้ว แต่พวกเรายังมีพี่นะ!”

โยมิเงียบ ไม่ตอบ

“พวกเราต้องการพี่... พ่อกับแม่ก็ต้องการพี่...”

สิ้นคำพูดของโยชิอากิ สาวร่างสูงปัดมือน้องชายออกแล้วพูดว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน!”

หนุ่มผมดำนิ่ง เขามองพี่สาวด้วยดวงตาที่เศร้าหมองระคนกับความไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องของอีกฝ่ายไปเขาก็พูดออกมาเบาๆ ว่า

“พี่มันน่าสมเพช!”

“Kimi wa nasakenai! (พี่มันน่าสมเพช!)”

โยมิลืมตาขึ้นเมื่อคำพูดสุดท้ายในความฝันนั้นจบลง เธอสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เห็นเพดานเต็นท์ และเมื่อมองไปทางด้านซ้ายก็เห็นไอที่กำลังนอนหลับอยู่ด้วยอาการทรมาน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา สาวญี่ปุ่นชันตัวขึ้นมาดูอีกฝ่ายทันที

“Ai… Are you OK? (ไอ... คุณโอเคมั้ย)”

เมื่อสาวร่างสูงแตะที่หน้าผากของอีกฝ่ายเธอก็ขมวดคิ้ว “Netsu ga… (มีไข้นี่นา...)”

“Ai… Ai… (ไอ... ไอ...)” โยมิเรียกสาวตาหวานอีกครั้ง

ไอลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย “โยมิ...”

“How do you feel? (คุณเป็นยังไงบ้าง)”

“I’m cold (ฉันหนาว)”

สาวญี่ปุ่นถอนหายใจ เธอลืมไปว่าอีกฝ่ายไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้มาก่อน อากาศบนภูเขาตอนเช้าและตอนกลางคืนจะหนาวจัด แถมไอยังมีอาการไม่ค่อยดีเพราะปวดกล้ามเนื้อจากการเดินอีกต่างหาก จึงทำให้มีอาการไข้ขึ้นได้ง่ายๆ สาวร่างสูงรีบค้นกระเป๋าหายาลดไข้ให้อีกฝ่ายหนึ่งทันที

“Take this (กินนี่นะ)” โยมิป้อนยาให้สาวตาหวานทันที

เมื่อไอกลืนยาลงไปแล้วสาวญี่ปุ่นก็หาเสื้อแจ็คเก็ตจากกระเป๋าของตัวเองใส่ให้ทันที เธอนั่งดูอาการของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งและเมื่อเห็นว่าสีหน้าของสาวตาหวานดีขึ้นแล้วก็ถอนหายใจออกมา

“Yokatta (โล่งอกไปที)” สาวร่างสูงพูดออกมาเบาๆ แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

โยมินอนไม่หลับจนถึงเช้า เธอนอนมองเพดานเต็นท์เงียบๆ สลับกับดูอาการของไอเป็นพักๆ ไข้ของอีกฝ่ายลดลงแล้ว แต่ดูท่าทางจะฝันร้ายเพราะมีน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของอีกฝ่ายเหมือนกับวันที่เธอพบกับสาวตาหวานบนรถเมล์ไม่มีผิด

“Itai dake no hibi (วันวานที่มีเพียงความเจ็บปวด)” สาวญี่ปุ่นพูดออกมาเบาๆ พลางปัดผมที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่าย

“Kimi ga nozomu mono wa nani? (อะไรคือสิ่งที่เธอต้องการงั้นเหรอ)” สาวร่างสูงพูดออกมาอีกครั้งราวกับพูดอยู่กับตัวเองพลางลูบผมไออย่างใจลอยเหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“Mou wakannai yo (ฉันเองไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้วเหมือนกัน)” โยมิพูดออกมาหลังจากที่นั่งคิดอยู่นานเกือบชั่วโมง

...

ไอตื่นขึ้นมาราว 7 โมงเช้า เมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่พบโยมิ แต่เธอก็เห็นกระดาษโน้ตเล็กๆ เขียนเอาไว้ว่า

“Meet me at Mountain’s sign (ไปเจอฉันที่ป้ายของดอยนะ)”

สาวตาหวานรีบแต่งตัว แต่ก็ค่อนข้างช้าเนื่องจากอาการปวดระบมจากการปวดกล้ามเนื้อ และพิษไข้ที่ลดลงจนเกือบเป็นปกติ ไอรูดซิปเสื้อฮู้ดดี้ของสาวญี่ปุ่นที่สวมให้เธอเมื่อคืนขึ้นมาจนสุด สวมรองเท้าแล้วค่อยๆ เดินออกมาจากลานกางเต็นท์จนกระทั่งมาพบกับสาวร่างสูงที่ยืนถ่ายรูปอยู่ที่ป้าย

“Ohayo Gozaemasu (อรุณสวัสดิ์)” โยมิร้องทักเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตรงมาหาเธอ

“Ohayo (อรุณสวัสดิ์ค่ะ)”

“Do you wanna take photo with the sign? (คุณอยากจะถ่ายรูปคู่กับป้ายมั้ย)” สาวญี่ปุ่นบอก “I actually don’t know what it say, but everyone does (ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเขียนว่าอะไร แต่เห็นใครๆ ก็ถ่ายกัน)

สาวตาหวานหัวเราะ “Sure, would you like to join? (แน่นอนสิคะ คุณจะถ่ายรูปกับฉันด้วยมั้ย)”

ตากล้องทำท่าคิด “Do you really want me to join? (คุณอยากจะถ่ายรูปคู่กับฉันจริงๆ เหรอ)”



“Sure, why not (แน่นอนสิ ทำไมเหรอ)”

“Nothin’ (เปล่า ไม่มีอะไร)” สาวร่างสูงพูด “I’ll take yours first (งั้นถ่ายรูปคุณก่อนก็แล้วกัน)”

สองสาวยืนถ่ายรูปคู่กันอยู่ตรงจุดถ่ายภาพอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ชวนกันเดินไปชมวิวตามจุดต่างๆ ไอที่ยังรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เดินๆ อยู่ก็เข่าอ่อนขึ้นมาเสียดื้อๆ จนโยมิเดินเข้ามาหา

“Sorry (ขอโทษนะ)”

“About what? (เรื่องอะไรเหรอคะ)”

“I forgot that you aren’t familiar on traveling. I took you here, climbing mountain, walking, staying in a tent, these things made you sick. After we go back to town, I’ll find good accommodation for you to stay, I promise (ฉันลืมไปว่าคุณไม่ชินกับการเดินทาง ฉันพาคุณมาที่นี่ เดินขึ้นเขา เดิน นอนเต็นท์ จนทำให้คุณป่วย ถ้าเรากลับไปที่ตัวเมืองแล้ว ฉันสัญญาว่าฉันจะหาที่พักดีๆ ให้กับคุณนะ)”

สาวตาหวานทำหน้างงแต่แล้วก็ยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าคนๆ นี้จะใจดีกว่าที่เธอคิด ใจดีกว่าท่าทางที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น ท่าทางที่เงียบๆ ขรึมๆ และทำตัวขัดกับคนอื่นที่ดูเหมือนเป็นเกราะป้องกันภายนอกให้กับตัวเองกับลักษณะนิสัยและพฤติกรรมเวลาอยู่กับเธอที่คนอื่นไม่เห็น ทำให้เธอรู้สึกสนใจสาวญี่ปุ่นคนนี้มากขึ้นไปอีก... และมากกว่าวัตถุประสงค์ที่เธอเดินทางตามคนๆ นี้มา นั่นก็คือการรักษาโรคของตัวเองและหาว่าใครเป็นคนจ้างให้สาวร่างสูงคนนี้ส่งโปสการ์ดมาให้กับเธอ

------

กลับมาอีกครั้งหลังจากดอง และอาจจะหายไปอีกเพราะงานยุ่ง แฮะๆ

อาการที่มีปัญหาทางสายตาดีขึ้นแล้วค่ะ เข้าผ่าตัดเล็กรักษาเรียบร้อย เกิดจากขนตา (ที่มีอยู่น้อยนิด) เข้าไปขูดกับตาดำทำให้เกิดรอยถลอก --> ตาพร่ามัว --> เจ็บตามาก --> อาจทำให้ตาบอดได้ (เพราะเป็นมาหลายปีแล้วแต่ไม่คิดจะรักษา)

ตอนนี้ก็ลัลล้าได้ ลุยงานได้ตามปกติแล้วค่ะ แต่เนื่องด้วยประสิทธิภาพในการทำงานลดลงตอนที่เจ็บตา เลยทำให้ตอนนี้ต้องลุยงานเยอะค่ะ

สรุป เป็นนินจาผลุบๆ โผล่ๆ ในบอร์ดนิยายเหมือนเดิม

ในตอนนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก แต่ขอตั้งฉายาให้โยมิว่าเป็น Mysterious Girl ก็แล้วกันนะคะ ความลับเยอะเหลือเกินคนนี้




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.