web stats

ข่าว

 


BECAUSE OF YOU เป็นเพราะเธอ ตอนที่ 6 บางสิ่งที่เลือนราง

โพสต์โดย: TrueDream วันที่: 27 เมษายน 2017 เวลา 08:34:17 อ่าน: 269

มิรันตีหยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานของนิศากร ตื่นเต้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลายจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าก่อนจะลงมือเคาะประตู ครั้งนี้เธอไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปจึงเอ่ยเรียกเจ้าของห้องก่อน

"พี่น้ำตาลคะ...หนูเข้าไปนะคะ"

หญิงสาวใจหล่นวูบเมื่อพบว่าประตูบานนั้นล็อกเอาไว้...แค่คิดว่าตอนนี้กำลังถูกโกรธเข้าจริงๆ มิรันตีก็ร้อนใจจนคิดอะไรไม่ออก เธอลองบิดลูกบิดอีกหลายครั้งทว่าผลก็ไม่ต่างจากเดิม หญิงสาวไม่เคยร้อนใจขนาดนี้มาก่อน

หลังจากยืนนิ่งอยู่หน้าประตูร่วมสิบนาทีมิรันตีก็เริ่มตั้งสติและบอกให้ตัวเองใจเย็นๆ กว่าอึดใจสมองจึงเริ่มทำงานได้เกือบปกติ เลขาสาวตัดสินใจว่าจะลองดูในสวนก่อน หากไม่พบค่อยเดินกลับไปรวมตัวกับวรนันท์และกลางศึก จะอย่างไรวันนี้เธอต้องได้พูดกับนิศากร

มิรันตีเปิดประตูด้านหลังสุดของตัวตึกด้วยใจที่เต้นรัว ใจหายที่มองไม่ร่างบางของนิศากรในคราวแรก แต่เมื่อพยายามมองหาดีๆ อีกครั้งแล้วพบว่าคนที่ตามหานั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ ใกล้ๆ ต้นดาวเรืองที่ยังคงเบ่งบานสดใส นั่นทำให้สาวน้อยยิ้มกว้างออกมาก

"พี่น้ำตาล" มิรันตีร้องเรียกด้วยความดีใจก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหา คนอายุมากกว่ายิ้มรับบางๆ พร้อมทั้งลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

"มีอะไรคะ" นิศากรถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเหมือนอย่างปกติเวลาคุยกัน ทุกครั้งที่ได้เห็นเด็กคนนี้มันทำให้หัวใจของเธออ่อนโยนลง

"เอ่อ..." คราวนี้เป็นมิรันตีที่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรทั้งที่มายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้วแท้ๆ

"ขอโทษนะคะ...ที่เมื่อครู่ถามอะไรที่ไม่ควร..." ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจพูดเรื่องที่ตั้งใจ

"ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ พี่ไม่ได้โกรธ" นิศากรบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเอ็นดู เธอไม่ได้โกรธอะไรเลยจริงๆ

"ก็แค่...ไม่อยากได้ยินเรื่องที่อยากลืมเท่านั้นเอง" คนอายุมากกว่าพูดต่อเมื่อเห็นว่าอีกคนทำท่าคล้ายจะถามแต่ไม่ถาม

"นั่นล่ะค่ะ...ที่ควรขอโทษ หนูไม่ควรถามเลย" น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนคนฟังแย้มยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู

เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นส่วนตัวแบบนี้คล้ายจะไม่มีอารมณ์ไม่ดีใดๆ ทำร้ายเธอได้เลย มิรันตีเป็นยารักษาจิตใจที่ดีกว่าต้นไม้ทั้งสวนนี่เสียอีก

"ถามได้ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก" กลับเป็นนิศากรที่เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้สภาพจิตใจและอารมณ์ของเธอปกติมาก

"ตอนนั้นแค่ไม่ทันตั้งตัว...เลยรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ ขอถอยมาตั้งหลักหน่อย" คนอายุมากกว่าอธิบาย

ดวงตาคมโตสีดำสนิทคู่นั้นทอดมองมาอย่างอ่อนโยนให้ความรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ และพร้อมที่จะพูดคุยบอกเล่าในทุกเรื่อง

 "อยู่ใกล้ๆ ต้นดาวเรืองแล้ว...มันรู้สึกเหมือนจะไม่มีอะไรทำร้ายจิตใจได้แล้วล่ะ" ไม่รู้อะไรทำให้นิศากรบอกออกไปแบบนั้น

มิรันตียิ้มกว้างด้วยหัวใจที่เต้นรัว ความรู้สึกอันอ่อนโยนบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่มั่นคงและเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่เธอเองยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

"จริงๆ แล้ว...คงเป็นพี่มากกว่าที่ต้องขอโทษ พี่ไม่ควรทำตัวแบบนั้นเลย...ขอโทษนะคะ" คนอายุมากกว่าเอ่ยออกมา

"ไม่เป็นไรค่ะ แค่พี่น้ำตาลสบายใจก็ดีแล้ว" มิรันตียิ้มบอก

"แต่พี่ทำเราไม่สบายใจ พี่ก็เลยไม่สบายใจไปด้วย"

"ตอนนี้หนูสบายใจแล้วค่ะ" มิรันตียิ้มกว้างกว่าเดิม ชอบเวลาที่นิศากรแทนตัวเองว่าพี่แบบนี้ และดูเหมือนจะเป็นแค่กับเธอเสียด้วย

"อยากฟังเรื่องน่ากลัวสักเรื่องไหมล่ะ" นิศากรทอดถอนใจแล้วเอ่ยออกมา

ไม่รู้ทำไมถึงอยากเล่าให้มิรันตีฟัง ทั้งที่เธอคิดว่าคนทั้งบริษัทน่าจะรู้เรื่องกันหมดแล้ว แต่ก็คงต้องยกเว้นสาวน้อยตรงหน้าไว้สักคน ท่าทางจะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลยจริงๆ

"อยากฟังค่ะ" มิรันตีรับคำ

ความจริงแล้วเธอไม่ชอบเรื่องอะไรที่มันน่ากลัว แต่เพราะบางอย่างในแววตาของนิศากรทำให้เลขาสาวไม่อาจปฏิเสธได้...แววตาคู่นั้นมีความเสียใจอยู่ลึกๆ มันไม่มากมายแต่คนมองก็รู้สึกได้ เธอเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะระบายความในใจอยากบอกเล่าเรื่องราวให้ใครสักคนได้ร่วมรับรู้

"เมื่อวันนี้ของปีที่แล้ว... พี่เองก็เพิ่งเข้าทำงานที่นี่ได้ไม่นานน่าจะยังไม่ถึง 2 เดือน ตอนนั้นตึกนี้ยังพอมีคนแวะเวียนมาบ้างด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา ตึกใหม่คนใหม่ๆ ก็มีคนอยากรู้จักเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกสาวๆ หลายคนน่ะ กรี๊ดเจ้าเกมอยู่พักหนึ่งทีเดียว" นิศากรหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ นั้น ตึกนี้ไม่ได้สงบอย่างที่เป็นอยู่ และมันทำให้เธอค่อนข้างหงุดหงิดกับความวุ่นวายแบบนั้น โชคดีที่เพื่อนร่วมงานของเธอเป็นคนประเภทเดียวกัน
ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเนื้อหอมและขี้เล่นกลับไม่ค่อยชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวาย เขาหาทางปฏิเสธเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้ง เมื่อฝ่ายชายไม่เล่นด้วยกับใครทั้งสิ้นก็มีสาวหลายคนที่ยอมแพ้แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังพยายามแต่ก็เป็นส่วนน้อย

ทางด้านเธอและวรนันท์นั้นมีคนที่เข้ามาทำความรู้จักพอสมควร เข้าใจดีว่ามีทั้งพวกที่เข้ามาตีสนิทหาพรรคพวกและก็มีบ้างที่เข้ามาแบบหมาหยอกไก่ เรื่องพวกนี้มันก็แค่เรื่องธรรมดาในสังคมการทำงานเธอเข้าใจดีและไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร แค่ออกจะน่ารำคาญไปบ้างเท่านั้นเอง แต่นิศากรก็รู้ว่าเพียงแค่เธอทำตัวนิ่งๆ เอาไว้ทุกอย่างก็จะเงียบลง

"ตึกนี้วุ่นวายอยู่พักนึงแล้วก็ค่อยๆ ซาลงไปเอง จะเหลือก็แต่สาวๆ ของเกมอยู่ 2 - 3 คนที่ยังมีแวะเวียนเอาขนมผลไม้มาฝากอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งเกิดเรื่อง..." นิศากรทอดถอนใจออกมาแล้วเงียบไปครู่ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

"วันนั้นแฟนเก่าของพี่โทรเข้ามาแต่พี่ไม่ได้รับสาย...ก็เห็นนั่นล่ะแต่ไม่อยากรับ ไม่ใช่ว่าทะเลาะอะไรกันหรอกนะ มันเป็นนิสัยเสียของพี่เอง...ตอนนั้นคิดแค่ว่ากำลังทำงานอยู่ก็เลยไม่อยากรับ ถ้ามีอะไรสำคัญเดี๋ยวคงโทรเข้ามาอีก แต่นั่นเป็นครั้งสุดท้าย..." นิศากรหลับตาลง มิรันตีรู้สึกถึงความเสียใจที่แผ่ออกมา

"เขามาหาพี่ที่ตึกแต่คงไม่เจอใครเพราะพี่ทำงานอยู่ในแล็บ ห้องมันค่อนข้างเก็บเสียงถ้าไม่เคาะประตูจะไม่มีทางรู้หรอกว่าข้างนอกมีอะไรถ้าเสียงมันไม่ได้ดังขนาดเกิดระเบิด และบางทีคนข้างนอกก็อาจจะดูไม่ออกด้วยว่ามีคนอยู่ข้างใน ส่วนเกมกับแววก็บอกว่าอยู่ในห้องของตัวเองตลอดโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครเข้ามา" คนเล่าเว้นช่วงเล็กน้อย กำลังลำดับเหตุการณ์เพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ง่าย

"พี่รู้อีกทีหลังจากผ่านไปร่วมสัปดาห์ตอนที่เห็นโพสต์ของเพื่อนๆ ในเฟซและข่าวในทีวีบอกว่าแฟนเก่าของพี่หายไป 1 สัปดาห์แล้ว..."

มิรันตียกมือขึ้นปิดปากพอจะนึกอะไรบางอย่างออก เมื่อ 1 ปีที่แล้วมีข่าวการฆาตกรรมในบริษัทถึงขนาดมีตำรวจเข้ามาหลายครั้ง แต่เธอไม่ทันได้สนใจว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรเกิดอะไรขึ้นตรงไหน เธอรู้เพียงว่ามันน่ากลัวจนไม่อยากรับรู้

"มันไม่แปลกหรอกที่เพื่อนๆ และคนใกล้ตัวจะรู้ช้าน่ะ เพราะเขาเป็นพวกที่ชอบหายตัวไปเงียบๆ บางทีก็ไม่ติดต่อใครจนเหมือนหายตัว บางทีก็ปิดเครื่องไปดื้อๆ หลายวัน แต่ที่ผิดสังเกตเพราะเขาไม่มาทำงานและไม่มีใครติดต่อได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนเหลวไหลขนาดที่จะขาดงานไปเงียบๆ ทั้งสัปดาห์หรอกนะ" นิศากรเงียบไปครู่ก่อนจะเล่าต่อ

"ตอนนั้นพี่ตกใจและกังวล พี่ลองโทรหาเขาแต่ทุกครั้งก็ปิดเครื่อง พี่คิดนะว่า...บางทีเขาอาจจะโทรหาพี่เป็นสายสุดท้าย...และมันก็เป็นจริงอย่างนั้น ตำรวจสืบพบว่าเบอร์สุดท้ายที่เขาโทรเข้ามาคือเบอร์ของพี่เอง..." หญิงสาวเล่าด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

มิรันตีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านิศากรกำลังเสียใจ หญิงสาวค่อยๆ เอื้อมมือออกไปอย่างลังเลก่อนที่จะกอบกุมมือบางของคนอายุมากกว่าเอาไว้ ใจจริงเธออยากจะเข้าไปกอดร่างสูงแบบบางนั้นเอาไว้ด้วยซ้ำ อยากจะปลอบประโลมให้อีกฝ่ายได้สบายใจ เห็นนิศากรเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบอย่างช้าๆ แต่หนักหน่วงรุนแรง

นิศากรรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือกำลังแทรกซึมเข้ามาในใจจนรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งตัว แววตาอ่อนโยนห่วงใยที่ทอดมองมานั้นทำให้ใจของเธอเต็มตื้นขึ้นมา จนไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเผลอดึงร่างบางมากอดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร ไม่ใช่ว่ารู้สึกเสียใจหรือรู้สึกไม่ดีอะไรทั้งนั้น เธอก็เพียงแค่...อยากกอด...

เมื่อมีร่างบางอยู่ในอ้อมแขนหัวใจของนิศากรก็พลันสั่นระรัว ความอบอุ่นอ่อนโยนบางอย่างกำลังลูบไล้หัวใจเธอ ชอบเหลือเกินที่มีร่างอุ่นนุ่มกับกลิ่นกรุ่นหอมละมุนซุกซบอยู่ในอก นิศากรกดปลายคางลงบนไหล่บาง แนบแก้มเข้ากับซอกคอขาวทำให้รับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของเส้นชีพจรที่รัวเร็วกว่าอัตราปกติอย่างแน่นอน อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้เหลือเกิน

มิรันตีรู้สึกราวกับหัวใจกระตุกและอยู่ดีๆ ก็มีกระแสไฟวิ่งวนไปจนทั่วร่างยามเมื่อตัวเธอถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ แต่เพียงครู่หัวใจที่เต้นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอกนั้นก็ค่อยๆ สงบลงเมื่อร่างกายและจิตใจค่อยๆ ซึมซับความอ่อนโยนจากผู้หญิงคนนี้ มันทั้งอบอุ่นละมุนละไมจนเธอไม่อยากจากไปไหน รู้สึกสุขสงบและปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

เธอชอบ...ชอบอ้อมกอดของนิศากร ผู้หญิงคนนี้ทำให้อุ่นใจ มันกลับกลายเป็นตัวเธอเองที่กำลังได้รับการปลอบประโลม

"ไม่เป็นไรนะคะ...พี่น้ำตาล...ไม่เป็นไรนะ" มิรันตีพูดออกมาทั้งที่กำลังซุกใบหน้าลงถูจมูกและริมฝีปากลงบนไหล่บางนั่นเบาๆ อย่างลืมตัว

"พี่ไม่เป็นไรค่ะ" นิศากรยิ้มออกมา เธอไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ

ทำไมรู้สึกเหมือนน้องกำลังอ้อนมากกว่ากำลังปลอบเธอนะ แต่แบบนี้เธอก็ชอบ ชอบมากเชียวล่ะ แค่รู้ว่ามิรันตีอยากปลอบเธอก็ดีใจแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่หัวใจคล้ายกำลังถูกชโลมด้วยสายน้ำที่นุ่มนวลและอ่อนโยน เวลาที่มิรันตีเหมือนจะอ้อนเธอแบบนั้นมันก็ทำให้คันหัวใจพิกล...แค่อยากจะกอดเก็บเอาไว้อย่างนี้นานๆ มันคือความชื่นใจอย่างประหลาดแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

"ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเมื่อคดีจบลงแล้วตำรวจสรุปว่าเขานั่งวินมอเตอร์ไซค์มาหาพี่ที่นี่ เขาโทรหาพี่แต่พี่ไม่รับสายและจากกล้องวงจรปิดที่หน้าตึกทำให้รู้ว่าเขาถูกอุ้มขึ้นรถตู้บริเวณหน้าตึกนี้ จากคำสารภาพของคนร้ายเขาถูกฆ่าตายบนรถตู้...และนำศพไปทิ้งที่อีกจังหวัด คนฆ่าคือเพื่อนสนิทของเขาซึ่งพี่ก็รู้จัก คนสั่งเป็นภรรยาของเขาเอง..." นิศากรเล่าทั้งที่ยังกอดมิรันตีเอาไว้ รู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบไล้แผ่นหลังของเธออย่างปลอบโยน หญิงสาวหยุดเล่าเพื่อที่จะซึมซับความอบอุ่นนี้

เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้ตึกวิจัยกลายสถานที่ที่ทุกคนในบริษัทหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้...จะอย่างไรมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรม รวมทั้งนิศากรเองก็กลายเป็นบุคคลที่คนอื่นๆ หลีกหนีไปโดยปริยาย แต่นั่นก็ตรงกับความต้องการของเจ้าตัวอยู่พอดีมันจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร และเธอก็ไม่สนใจด้วยว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร จะพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ

"แฟนพี่...มีภรรยา..." มิรันตีชะงักก่อนที่จะยันตัวออกมาอย่างตกใจ แบบนี้ก็หมายความว่า...

แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งจะเผลอคิดไปแล้ว แต่อีกใจหนึ่งกลับแย้งขึ้นมาทันทีว่าเป็นไปไม่ได้มันต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน แม้ว่าสิ่งนี้จะมาจากคำพูดของนิศากรเองแต่มันคงมีอะไรมากกว่านั้น มิรันตีไม่เชื่อว่าพี่น้ำตาลของเธอจะเป็นแบบนั้น

"นี่คิดไปถึงเนี่ย" นิศากรหัวเราะแล้วเคาะหน้าผากสาวน้อยตรงหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดูกึ่งหมั่นไส้ ดูจากแววตาก็รู้ว่ามิรันตีนั้นคิดอะไร คงผิดที่เธอเล่าไม่ละเอียดเองนั่นล่ะ

"ฮือ..." คนอายุน้อยกว่าส่งเสียงร้องเบาๆ ทำหน้างอแงใส่คนที่ทำร้ายร่างกาย

นิศากรยิ้มให้เด็กหน้างอ อยากจับกลับมากอดเสียจริงๆ นี่ตัวเธอเป็นอะไรไปแล้วนะ สงสัยจะเสพติดการกอดสาวน้อยตรงหน้าเสียแล้ว มิรันตีคงเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรงเชียวล่ะ ครั้งเดียวยังติดขนาดนี้

"นั่นแฟนเก่าค่ะ ไม่ใช่แฟน" นิศากรย้ำด้วยรอยยิ้มที่มิรันตีไม่เข้าใจเลยว่าฝ่ายนั้นทำไมถึงได้ดูร่าเริงแบบนี้

"พี่เลิกกับเขามาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ เราคบกันตั้งแต่สมัยเรียนน่ะ แล้วก็เลิกกันก่อนจะเรียนจบซะอีก เขาเป็นแฟนเก่าของพี่ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าพอตายแล้วถึงเรียกว่าแฟนเก่าเสียหน่อย" นิศากรบอกกลั้วหัวเราะ ท่าทางวันนี้เธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจริงๆ

ไม่สิ...ต้องบอกว่าอารมณ์ดีตั้งแต่มีร่างอุ่นๆ ในอ้อมกอดมากกว่า

"แล้ว...ที่ตึกมีเรื่องแบบนี้พี่ไม่กลัวเหรอคะ" มิรันตีเอ่ยถามขึ้น ชักรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ไม่น้อย แต่หากถามว่าต่อไปว่าเธอจะมาอีกไหม ก็ตอบได้เลยว่าจะมาทุกครั้งที่มีโอกาสนั่นล่ะ ความกลัวมันยังน้อยกว่าความอยากเจอคนในตึกมากนัก

"กลัว...ก็กลัวนะคะ ที่ตรงนี้มันเปลี่ยว ถึงจะมีกล้องวงจรปิด แต่กล้องก็มีประโยชน์เมื่อเกิดเรื่องแล้วนั่นล่ะ แต่ว่า...ความกลัวไม่ช่วยอะไรใครทั้งนั้น สำหรับพี่แล้ว...ถ้ากลัวก็ต้องระวังให้มากเท่านั้นเอง" นิศากรเอื้อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน ทั้งบอกกล่าวและสอนมิรันตีไปในตัว

"พี่เสียใจ...ที่ไม่ได้รับโทรศัพท์สายนั้น ถ้าพี่รับสายบางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้น จะอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกัน..." นิศากรทอดถอนใจ ดวงตาคมดูอ่อนลง มันเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ จะบอกว่าเสียใจจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ผิด เสียใจ...แต่ไม่ได้เก็บมาคิดให้เป็นทุกข์ และเธอก็ไม่ชอบที่จะพูดถึงมัน

"เราย้อนเวลาไม่ได้นี่คะ...มันผ่านไปแล้วค่ะ" มิรันตีพยายามปลอบโยน เธอค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปชิดคนตรงหน้าอีกครั้ง และคราวนี้เป็นเธอที่กอดนิศากรเอาไว้

มันรู้สึกดีจริงๆ นะ เวลาที่ได้ใช้ร่างกายถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันแบบนี้...ไม่ได้อุ่นแค่กายแต่มันอุ่นลึกลงไปในใจ

"พี่รู้ค่ะ...พี่ไม่เป็นอะไรหรอก..." นิศากรบอกด้วยน้ำเสียงที่ทอดอ่อน กำลังซึมซับความอบอุ่นที่ถ่ายทอดให้กัน เธอไม่ได้เป็นอะไรกับเรื่องนี้แล้วจริงๆ

"พี่เลิกกับเขามาเกือบสิบปีแล้ว...พี่ไม่มีใครอีกเลยเหรอคะ..." มิรันตีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงถามออกไปแบบนั้น เมื่อพูดไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองจริงๆ วันนี้เธอถามอะไรที่ไม่ควรถามหลายอย่างเกินไปแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะกล่าวขอโทษ ฝ่ายนั้นก็ตอบออกมาเสียก่อน

"ก็แค่...ไม่อยากมีใครน่ะค่ะ" นิศากรตอบหลังจากนิ่งไปอึดใจ

ทำไม...คำตอบนี้มันเสียดแทงใจเธอนัก เจ็บจนจุกไปเลยทีเดียว แทบจะคิดว่าตัวเองหึงคนตายแล้วนะเนี่ย

"พี่คงรักเขามากนะคะ..." เสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นอ่อนแรงจนน่าใจหาย คนพูดเองก็ไม่รู้เลยว่าเธอเผลอส่งเสียงออกไปได้อย่างไร

เจ็บจัง...แค่คิดว่านิศากรรักคนอื่นมากมายขนาดไหนมันก็ทำให้เธอเกิดรอยร้าวลึกในใจ

"ไม่มากพอที่จะทำให้อยากคบต่อหรอกค่ะ"

คำตอบนี้ทำให้แผลในใจของคนฟังพลันสมานตัวอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ หัวใจที่คล้ายจะอ่อนแรงลงไปกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง

"พี่เป็นคนบอกเลิกเองค่ะ มันมากมายหลายเหตุผลที่พี่คิดว่าเราไม่ควรดันทุรังคบเป็นแฟนกันต่อไป เขาเป็นเพื่อนที่ดีกว่าตอนเป็นแฟนเยอะ" ไม่อยากเอ่ยถึงความสัมพันธ์ในอดีตเท่าไรเพราะมันไม่ได้มีอะไรน่าจดจำเลย ที่สำคัญเธอไม่อยากนินทาคนตาย แต่เพราะเห็นท่าทางหงอยเหงาของมิรันตีแล้วมันทำให้อยากอธิบายเรื่องราวต่างๆ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกดีขึ้น

"และที่พี่ไม่ได้คบใครอีกเลยก็เพราะ...พี่ยังไม่เจอคนที่คิดว่าอยากคบหาด้วย บางทีการอยู่คนเดียวมันก็มีความสุขดีนะ พี่ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าไม่เจอคนที่ทำให้พี่มีความสุขกว่าอยู่คนเดียวได้พี่ก็คงจะไม่คบใคร" หญิงสาวเว้นจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

"ถ้าครั้งนี้พี่จะคบใครสักคน...ก็ต้องเป็นคนที่พี่มั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่าคนคนนั้นจะเป็นคนสุดท้ายของพี่ จะเป็นคนที่อยู่ด้วยกันดูแลกันนับจากนี้ไปจนตลอดชีวิต" นิศากรยิ้มออกมา

"การที่คนคนหนึ่งเคยมีแฟนแล้วพอเลิกกันก็ไม่มีแฟนอีกเลยเป็นเวลานาน มันไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นรักแฟนเก่ามากเสมอไป...บางทีมันอาจจะหมายความว่าคนคนนั้นเจอกับความรักที่ล้มเหลวจนรู้จักระวังตัวเมื่อคิดจะเริ่มต้นใหม่...ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ...ก็แค่เรียนรู้และระวังตัวมากขึ้นเท่านั้นเอง" นิศากรสรุป

เพราะความเป็นเด็กในตอนนั้นจึงใช้เพียงอารมณ์และความรู้สึกกับความรักรวมทั้งเรื่องอื่นๆ ในชีวิต ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักคืออะไร ดูคนก็ยังดูไม่ออกประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตก็น้อยนิด มันจึงไม่แปลกเลยที่จะทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดพลาดไปหมด

"ถ้าเจอแล้วช่วยบอกหนูทีนะคะ..." เสียงใสๆ นั้นกลั้นใจเอ่ยออกมา

ไม่อยากได้ยินหรอกว่านิศากรมีใคร แต่ก็ไม่อยากคิดเดาไปเองหากจะมีก็อยากได้ยินจากปากของเจ้าตัว จะเจ็บก็ขอเจ็บกับความจริงไม่ใช่การคิดไปเอง

เดี๋ยวนะ...การที่นิศากรบอกว่ามีใครสักคนที่อยากร่วมชีวิตด้วยมันทำให้เธอเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ...ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ...เธอควรดีใจไม่ใช่หรือ

หากตอบแบบไม่หลอกตัวเอง คงต้องบอกว่าไม่อยากให้นิศากรมีใคร อยากให้ผู้หญิงคนนี้มีแค่เธอ อยากให้ตัวเธอเป็นคนสำคัญที่สุดของนิศากร เพราะตอนนี้สำหรับเธอแล้ว...ผู้หญิงตรงหน้าสำคัญที่สุด...

การที่นิศากรมีคนดูแลมันเป็นเรื่องดี แต่หญิงสาวก็คิดว่าตนสามารถดูแลนิศากรได้ดีไม่แพ้ใครหรอก แค่ให้มีโอกาสเท่านั้นล่ะ เธอจะทำให้ดีที่สุด

เลขาสาวหลับตาลงช้าๆ พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของตนเอง เหมือนจะมองเห็นบางอย่าง  บางอย่างที่เธอไม่แน่ใจเพราะไม่เคยพบเจอมาก่อน

"แน่นอนค่ะ...แล้วพี่จะบอก" คนอายุมากกว่าตอบรับ ความรู้สึกของเธอตอนนี้คล้ายอยู่ท่ามกลางม่านหมอก เหมือนจะเห็นแล้วล่ะคนที่คิดจะร่วมชีวิตแต่มันก็ยังเลือนรางไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง เธอจึงยังไม่สามารถตอบอะไรได้ทั้งนั้น

มิรันตีได้รู้จากการไปค้นหาในข่าวเก่าๆ ว่าแฟนเก่าของนิศากรนั้นชื่อ นายวรวุฒิ ซึ่งจากเนื้อข่าวทำให้เธอคิดว่านายคนนี้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากหน้าที่การงานที่ดูมั่นคง ชีวิตส่วนตัวนั้นเหลวแหลกสิ้นดี ทั้งยาเสพติด ทั้งการพนัน ไหนจะยังเรื่องชู้สาว ประเด็นสังหารนั้นมีมากมายเหลือเกิน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเพื่อนและภรรยาทนนายคนนี้ไม่ไหวอีกต่อไปจึงวางแผนลงมือสังหารแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่าโชคดีแล้ว ที่พี่น้ำตาลของเธอเลิกกับคนแบบนี้ไปได้

เลขาสาวเตรียมตัวเก็บของเพื่อที่จะไปยังตึกวิจัย เดี๋ยวนี้เธอต้องแวะไปที่นั่นในทุกเย็นและหากมีเวลาเธอก็แวะไปในช่วงกลางวัน ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดูเป็นการเป็นงานเลยสักนิด แต่ก็ยังไปเพียงเพื่อจะได้กลับบ้านพร้อมกับนิศากร มันไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าการที่ต่างคนต่างขับรถไปด้วยกันในเส้นทางเดียวกันจนถึงทางที่แต่ละคนจะต้องแยกย้ายเข้าสู่บ้านของตนเอง

เพียงแค่นี้ก็ทำให้มิรันตีแย้มยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงและไม่อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ มันเหมือนต่างคนต่างทำด้วยความเคยชิน แต่ก็เป็นความเคยชินที่เต็มใจทำ แค่รู้สึกว่าอยู่ใกล้ๆ กันไปตลอดทางมันก็ทำให้เธอทั้งอิ่มเอมและอุ่นใจ การได้พบกับนิศากรในทุกๆ วันแทบจะเรียกว่าเป็นความสุขเดียวของเธอในช่วงเวลานี้

นิศากรนั้นค่อนข้างจะกลับบ้านค่ำแทบทุกวันจึงเรียกว่าไม่มีวันไหนเลยที่งานของฝ่ายนั้นจะเสร็จก่อนเธอ ในบางทีเลขาสาวก็ไปนั่งรอที่ห้องของหัวหน้าแผนกวิจัยเพราะทุกคนในตึกนี้มักจะรอออกจากตึกพร้อมกัน หากใครมีธุระจำเป็นต้องไปก่อนก็ต้องมีคนอยู่ภายในตึกอย่างน้อยสองคน เธอเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องของความปลอดภัย หากเป็นที่ตึกใหญ่นั้นถึงอยู่คนเดียวก็ไม่น่ากลัวเท่าอยู่ตึกนี้คนเดียว แม้ว่าจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยแต่ส่วนใหญ่ก็จะประจำอยู่แค่ตรงทางเข้าและมีการเดินตรวจตราตามตึกเป็นกะไป แต่สำหรับตึกวิจัยอย่างไรก็ดูเปลี่ยวจนน่ากลัวอยู่ดีคนที่อยู่ตึกนี้ได้ต้องจิตแข็งใจระดับหนึ่ง

มิรันตีไม่ลืมที่จะพกขนมปังไปด้วยเพราะนิศากรนั้นบางทีก็ทำงานเพลินจนลืมมื้ออาหาร แถมของที่มีติดอยู่ประจำที่ตึกก็เป็นจำพวกโจ๊กกระป๋องและมาม่ากระป๋องซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย

จะว่าไปแล้วก็พอกันทั้งแผนก ไม่มีใครเตือนใครเรื่องอาหารการกินเลย จะบอกว่าเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงและบ้างานกันทั้งตึกก็ว่าได้ เท่าที่สัมสัมผัสมามิรันตีรู้สึกได้ว่าสามคนนั้นเหมือนสนิทกันแต่ก็เว้นที่ว่างให้กันเยอะมากจนแทบจะเรียกว่าไม่สนใจกันเลย แต่พอเวลานั่งอยู่ด้วยกันกลับดูกลมเกรียว




"กำลังจะบอกเลยว่าเดี๋ยววันนี้พี่ไปหา" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างบางเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว เธอเพิ่งปิดคอมพิวเตอร์ไปก่อนที่เลขาสาวจะมานี่ล่ะ

"วันนี้เลิกเร็วเหรอคะ" มิรันตีทัก หากนับจากครั้งที่นิศากรไปช่วยเธอเตรียมการประชุมที่ห้องนั่นก็ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบสี่เดือนเลยทีเดียวที่ฝ่ายนั้นกลับก่อนเธอ

"ไม่เชิงหรอกค่ะ ถ้าทำต่อมันจะยาวไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงได้ เกรงใจคนอื่นเขาน่ะค่ะ" เจ้าของห้องตอบ มิรันตีพยักหน้าเข้าใจก่อนจะถาม

"ทานอะไรกันรึยังคะเนี่ย"

"ทานแล้วค่ะ วันนี้ไม่ค่อยยุ่งกันเท่าไร เราเถอะ ทานรึยัง" นิศากรถามกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากปกติที่ใช้กับคนอื่น

"ทานแล้วค่ะ ขนมปังนั่นล่ะ" มิรันตียิ้มกว้างรู้สึกหัวใจพองฟูทุกครั้งที่ได้รับความห่วงใยจากผู้หญิงคนนี้แม้ว่ามันจะดูเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

"เดี๋ยวพี่บอกพวกนั้นก่อนนะว่าให้กลับก่อนได้เลย เดี๋ยวพี่เก็บของก่อน" เจ้าของห้องยิ้มแล้วหยิบสมาร์ตโฟนของตนเองขึ้นมาส่งข้อความไปบอกผู้ร่วมงานทั้งสองผ่านทาง Line กลุ่ม เธอมีเพื่อนแล้วสองคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอ
เลขาสาวเดินเข้ามามองดูรอบห้องเผื่อว่าจะช่วยจัดเก็บอะไรได้บ้าง นับว่าห้องนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นจากเมื่อ 4 เดือนที่แล้วที่เธอได้มีโอกาสเข้ามาเป็นครั้งแรก

เพราะมีเธอเข้ามาเป็นแขกในทุกวันทำให้เจ้าของห้องดูแลความสะอาดมากขึ้น ในบางวันหากว่ามีเวลาว่างมิรันตีก็จะมากวาดถูห้องให้โดยไม่สนใจที่คนอายุมากกว่าจะห้ามปรามด้วยความเกรงใจ เป็นผลให้เจ้าของห้องกวาดถูบ่อยครั้งขึ้น แต่หากมาวันไหนที่ฝ่ายนั้นยังทำงานอยู่และห้องเริ่มมีฝุ่นเธอก็จะทำความสะอาดให้

ตึกนี้ไม่มีแม่บ้านประจำตึกอย่างตึกอื่นๆ แต่ก็สามารถเรียกมาทำความสะอาดได้เป็นครั้งคราว ทว่าสมาชิกภายในตึกแต่ละคนไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายและไม่ค่อยชอบต้อนรับแขก จะมีก็แต่มิรันตีนี่ล่ะที่พิเศษหน่อย แถมแต่ละคนนั้นยังเป็นพวกที่อยู่กันอย่างง่ายๆ ต่างคนก็ต่างทำงานของตัวเอง ดูแลห้องของตนเองและแล็บที่ตนใช้งานในแต่ละครั้ง หากใครว่างก็หยิบจับทำความสะอาดตามทางเดินบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำกันบ่อยๆ แค่ไม่ให้ดูขัดตาจนเกินไปเท่านั้นเอง การเรียกแม่บ้านจึงหมายถึงการทำความสะอาดครั้งใหญ่

"น้องมด" นิศากรเอ่ยเรียกขณะที่ทำท่าจะออกจากห้องกันอยู่แล้ว

"คะ" มิรันตีชะงักเท้าอย่างงุนงงเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย แต่ในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยและคล้ายมีความลังเล

"ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่ได้นะคะ...บอกได้ทุกเรื่องนั่นล่ะ พี่พร้อมจะช่วยไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ขอแค่น้องมดบอกพี่ก็พอ"

เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความห่วงใยคู่นั้นแล้วมันทำให้หัวใจของคนมองไหวยวบได้ไม่ยากเลย มิรันตีรู้สึกอยากจะเข้าไปกอดแล้วเล่าทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่หญิงสาวยังไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าควรเล่าเรื่องราวในครอบครัวให้นิศากรหรือไม่...มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยได้เลย

คนอายุมากกว่ามองเห็นอย่างชัดเจนว่าในดวงตากลมโตคู่นั้นกำลังไหวระริก ริมฝีปากหยักรั้งเต็มอิ่มได้รูปสวยสีชมพูระเรื่อนั้นสั่นน้อยๆ คล้ายอยากจะพูดอะไรแต่กลับไร้ซึ่งกระแสเสียงที่จะเปล่งออกมา หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะคว้าร่างบางนั้นมากอดเอาไว้แนบกายรู้ดีว่าหากยังมองนานกว่านี้เธออาจจะไม่ใช่แค่กอด กลัวความคิดแปลกๆ ของตัวเองอยู่เหมือนกันแต่ความห่วงใยนั้นมีมากกว่า

อีกอย่างนั้นคือ...เธอกำลังกลัว...กลัวความรู้สึกตัวเองที่มีต่อมิรันตี ที่สำคัญที่สุดเธอกลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะหายไปจากชีวิต...เพราะกลัวจึงต้องระมัดระวัง

แม้หมอกควันจะเริ่มจางลงจนเธอมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร แต่นิศากรก็ยังกลัวเกินกว่าจะยอมรับมัน ทว่าไม่สามารถทำใจปล่อยให้น้องคลาดสายตาได้เลย ทั้งห่วงใยและกังวลในทุกเรื่องราวของมิรันตี จนบางทีเธอก็เริ่มจะไม่ไหวกับตัวเองแล้วเหมือนกันแต่เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรตอนนี้จึงต้องระวังทั้งความคิดและการกระทำยามเมื่ออยู่ใกล้สาวน้อยคนนี้

อย่างน้อยก็ขออยู่ใกล้ๆ คอยดูแลไม่ให้น้องของเธอต้องหมองหม่นแบบนี้ อีกอย่างเธอไม่อยากจะนั่งคิดเดาอะไรไปต่างๆ นานาจึงต้องถามเอากับเจ้าตัวแม้จะรู้ว่ามันอาจจะเป็นคำถามที่ตอบยากอยู่สักหน่อย...เอาเถอะ...ถ้าน้องพร้อมเมื่อไรค่อยเล่าให้เธอฟังก็ได้...พี่คนนี้จะไม่ไปไหน จะคอยดูอยู่ห่างๆ ในระยะที่วิ่งไปช่วยทัน

ช่วงเกือบ 2 สัปดาห์มานี้นิศากรรู้สึกได้ว่ามิรันตีมีเรื่องที่อยู่ในใจ บางวันสาวน้อยของเธอก็ตาบวมจนสังเกตได้ เมื่อประกอบกับโพสต์ต่างๆ ของฝ่ายนั้นในช่วงนี้แล้วยิ่งทำให้มั่นใจว่ามิรันตีกำลังอยู่ในช่วงสภาพจิตใจไม่ดี

อันที่จริงนิศากรเริ่มระแคะระคายได้จากโพสต์ของเลขาสาวตั้งแต่ช่วงเดือนที่แล้ว จนเธอยังแกล้งแซ็วว่าทะเลาะกับแฟนรึไง แต่ฝ่ายนั้นกลับยิ้มแล้วบอกว่า 'โสดค่ะ จะเอาแฟนที่ไหนมาทะเลาะ' คำตอบนั้นทำให้คนถามใจชื้นขึ้นอย่างประหลาด แต่ความห่วงใยไม่ได้ลดลงเลย ในเมื่อไม่ใช่เรื่องความรักคงเป็นเรื่องครอบครัว เพราะจากที่อ่านเธอคิดว่าคนคนนั้นมีผลต่อจิตใจของสาวน้อยมาก

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...หนูไม่เป็นไร..." มิรันตีค่อยๆ พูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย

อ้อมกอดของนิศากรทำให้ใจของเธอสั่นจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง หญิงสาวเลือกที่จะตอบไปแบบนั้นทั้งที่อยากจะซุกอยู่ในอกอุ่นนี้แล้วเล่าทุกอย่างออกไป อาจจะเป็นเพราะว่าเธอยังคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น หากจะเล่าเรื่องราวออกไปก็ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากตรงไหน ตอนนี้เธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น

"ค่ะ..." นิศากรถอนใจ สองแขนยังคงไม่คลายอ้อมกอดแตะมือลงบนแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าอย่างปลอบโยน

อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดในใจเบาๆ เธอรู้ว่าน้องมีเรื่องในใจอย่างแน่นอน แต่คนในอ้อมแขนก็ยังเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้โดยไม่บอกเธอ...มิรันตียังคงเห็นเธอเป็นคนนอกสินะ...อันที่จริงมันก็เป็นแบบนั้นนั่นล่ะ เป็นตัวเธอเองที่พยายามจะทำให้ตนเองมีความสำคัญสำหรับฝ่ายนั้น เอาเถอะ...เราเพิ่งรู้จักกันมา 6 เดือนเท่านั้นเอง...ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน เธอเข้าใจดีว่าเรื่องบางอย่างก็รีบร้อนไม่ได้

ตอนนี้ความรู้สึกของเธอมันมาไกลเกินกว่าจะกลับเสียแล้ว ในเมื่อมันยังไปไม่ถึงเธอก็จะไปต่อจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีทางไปถึง

แม้จะยังไม่กล้ายอมรับและไม่กล้าที่จะค้นหาคำตอบกับความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองในตอนนี้ แต่นิศากรแน่ใจว่าเธอห่วงใยและจะไม่ปล่อยมือจากสาวน้อยคนนี้แน่นอน เท่านี้มันก็มากพอแล้วที่จะขับเคลื่อนทุกอย่างต่อไป

"ถ้าไม่มีอะไรก็ยิ้มนะคะ" นิศากรค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกพร้อมทั้งยิ้มให้อีกคนที่คล้ายจะยังไม่อยากเคลื่อนที่ไปไหน แต่เพียงชั่ววินาทีหลังพูดจบฝ่ายนั้นก็ยิ้มให้จนตาหยี

ถ้ามิรันตีชอบอ้อมกอดของเธอ เธอก็พร้อมจะทำให้สาวน้อยหลงอยู่ในอ้อมแขนนี้จนไปไหนไม่ได้เชียวล่ะ เพราะเธอเองก็ชอบที่จะมีตัวอุ่นๆ หอมกรุ่นละมุนละไมมาซุกซบอยู่แบบนี้

"กลับบ้านกันค่ะ" เจ้าของห้องยิ้มแล้วถอยห่างออกมาทั้งที่ใจยังอาวรณ์ร่างอุ่นๆ ของคนตรงหน้า

มิรันตียิ้มรับอีกครั้ง เธอชอบรอยยิ้มของนิศากร อีกคนจะรู้หรือไม่ว่าคำว่า 'กลับบ้านกันค่ะ' ที่ฝ่ายนั้นเอ่ยออกมานั้นให้รู้สึกชุ่มชื่นในใจราวกับเราจะไปด้วยกัน

มันมีแค่ช่วงเวลาแบบนี้ล่ะที่เธอรู้สึกดีกับคำว่ากลับบ้าน แต่พอถึงบ้านของตัวเองจริงๆ แล้วมัน...ยากขึ้นทุกทีกับการทำใจก้าวขาเข้าไป...

ตอนนี้แม่เลี้ยงของเธอท้องได้ 7 เดือนแล้ว ทั้งพ่อของเธอและผู้หญิงคนนั้นยิ่งมองมิรันตีราวกับเป็นตัวอันตราย สถานการณ์ของเธอกับคนเป็นพ่อเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จากคนไม่รู้จักตอนนี้ใกล้จะกลายเป็นศัตรู คนคู่มองว่าตัวเธอเป็นภัยต่อครอบครัวของเขา ยิ่งนานวันหัวใจก็ใกล้จะสลายลงไปทุกที หญิงสาวไม่อยากทนเป็นส่วนเกินที่น่ารังเกียจแบบนี้ แต่เธอ...ไม่มีที่ไป นี่คือครอบครัวของเธอแล้วจะให้เธอไปไหนได้...

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ตอนนี้มันคือความเลือนรางที่ชัดเจนค่ะ พี่น้ำตาลเธอเริ่มชัดในความรู้สึกของตัวเองแล้วแน่นอน แต่น้องมดผู้ไม่เคยมีความรักยังมึนงงว่านี่คืออะไร น้องจะแค่ไม่รู้ตัวหรือว่าไม่มีใจกันล่ะที่นี้ หุหุ

พบกันวันจันทร์นะคะ พี่น้ำตาลคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ปัญหาชีวิตของน้องมดก็เยอะเหลือเกิน :43:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น