web stats

ข่าว

 


วิวาห์ร้อนซ่อนรัก บทที่ 5 อุบัติเหตุ

โพสต์โดย: Miray วันที่: 27 เมษายน 2017 เวลา 08:16:30 อ่าน: 516

ปัณรสได้แต่เดินสาละวนกลับไปกลับมา อยู่หน้าห้องพักคุณหมอคนสวย ด้วยไม่กล้าที่จะเคาะประตูห้องเข้าไปกล่าวทักทายอีกคนอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก  ไม่รู้ทำไมพอถึงตรงนี้ทีไรขาเธอมันก็มักจะทรยศตัวเองเสมอ ทั้งๆ ที่อีกคนก็อยู่แค่ตรงหน้า
ห่างกันแค่เพียงประตูกั้นแต่ขาเธอมันดันไม่พาตัวเองไปเสียอย่างนั้น  คิดแล้วก็โมโหให้ตัวเองจริงๆ เมื่อไหร่นะเธอถึงจะกล้าทำอย่างที่ภัควลัญชญ์บอกซักที กล้าที่จะเดินไปบอกความรู้สึกตัวเองให้กับอีกคนได้รู้
เฮ้อ ! ถ้าเธอเกิดเป็นผู้ชายตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาทนอึดอัดใจอยู่แบบนี้ แต่นี่ดันเกิดมาเป็นผู้หญิงแถมยังสวยและรวยมากอีกต่างหาก คิดแล้วก็หนักใจกับเพศของตัวเองจริงๆ ทำไมเธอต้องมารู้สึกอะไรแบบนี้กับมณฑิตาด้วยนะ นี่ถ้าอีกคนรู้เข้าว่าเธอคิดไม่ซื่อคงได้ตัดเธอออกจากสารระบบทันทีทันใดแน่ๆ
"คุณปัณมาหาหมอมณหรือคะ"เสียงคุ้นหูของใครของบางคนร้องถามขึ้นมาจากทางด้านหลัง ให้คนที่ยืนชั่งใจอยู่หน้าห้องได้แต่หันขวับกลับมามองด้วยความตกใจ
"พี่แตงมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
"เพิ่งมาค่ะ พอดีพี่เห็นคุณปัณยืนอยู่หน้าห้องคุณหมอ ก็เลยว่าจะเดินเข้ามาบอกก่อนน่ะค่ะ ว่าหมอมณออกไปทานข้าวเที่ยงกับหมอจักรรินทร์ที่ร้านข้างนอกยังไม่ได้กลับเข้ามาค่ะ"
"อย่างนั้นหรือคะ"ปัณรสฝืนยิ้มออกมาจางๆ ด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในอก เมื่อรู้ว่าอีกคนไปไหนกับใครในตอนนี้ เธอจะไม่คิดมากอะไรเลยหากว่าชายหนุ่มที่ชื่อจักรรินทร์คนนี้จะไม่ใช่เพื่อนชายคนสนิทของมณฑิตา ที่เรียนหมอด้วยกันมาเกือบหกปี แถมความสัมพันธ์ยังคลุมเครือเป็นที่คลางแคลงใจชวนสงสัยในสายตาของใครหลายๆ คนไม่เว้นแม้แต่กับเธอด้วย
"คุณปัณมีธุระด่วนอะไรกับหมอมณรึเปล่าคะ ให้พี่โทรตามให้ไหมคะ" พยาบาลรุ่นพี่เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ เมื่อเห็นท่าทีผิดหวังของคนตรงหน้า
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่จะแวะมาทักทายเท่านั้นไม่ได้มีธุระด่วนอะไร ยังไงขอบคุณพี่แตงมากนะคะที่เดินมาบอกแล้วก็นี่ค่ะขนม พี่แตงเอาไปแบ่งคนอื่นทานแล้วกันนะคะ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้วเดี๋ยวจะเสียเปล่าๆ" หญิงสาวยื่นถุงขนมในมือให้กับอีกคนอย่างนึกขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับออกมาทางเดิมอีกครั้งด้วยสีหน้าผิดหวัง ให้คนที่มองตามหลังได้แต่ยืนงงอยู่กับที่ด้วยความไม่เข้าใจ
"ลัญชญ์แกว่างไหมออกมาเจอฉันที่ร้านกาแฟร้านเดิมหน่อยสิ ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่โอเคยังไงไม่รู้"
"แกไม่ต้องมาทำเสียงเศร้าใส่ฉันเลยนะ คนที่ไม่โอเคน่าจะเป็นฉันมากกว่า เรื่องเมื่อคืนที่ผับฉันยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ"ภัควลัญชญ์ย้อนความกลับมาที่เพื่อนสนิทอีกครั้งด้วยความหมั่นไส้ งานนี้เธอต้องจัดการเพื่อนตัวดีแบบจริงๆ จังๆ บ้างแล้วล่ะจะได้ไม่หักหลังทรยศเธออีก อยู่ดีไม่ว่าดีเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ มันน่าให้เธอโวยวายไหมล่ะ
"แกจะด่าจะว่าฉันยังไงก็ได้ตอนนี้ ฉันจะไม่ตอบโต้แกเลยซักคำ ขออย่างเดียวคือแกช่วยออกมาเจอฉันได้รึเปล่า ตอนนี้ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวจริงๆ"
"ก็ได้ เดี๋ยวอีกประมานสิบนาทีเจอกันที่ร้าน แกอย่าเบี้ยวฉันแล้วกันไม่อย่างนั้น ฉันจะเลิกคบแกแบบถาวร"
"แน่นอน เดี๋ยวฉันไปรอที่ร้านนะ แกรีบๆ มาล่ะ" ปัณรสเอ่ยย้ำกับเพื่อนตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจัดการวางสายโทรศัพท์ไปในทันที ลมหายใจก้อนเล็กๆ ถูกพ่นออกมาเบาๆ ด้วยความหนักอึ้งและหนักใจอยู่ในที เธอต้องทำยังไงกับหัวใจตัวเองดี ต้องใช้วิธีไหนถึงจะเลิกรู้สึกแบบนี้กับมณฑิตาได้
"อ้าว ! คุณหมอกลับมาแล้วหรือคะ แล้วได้เจอกับคุณปัณรึเปล่าคะเมื่อกี้" พยาบาลรุ่นพี่เอ่ยถามคุณหมอคนสวยด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ เมื่อเห็นอีกคนเดินกลับขึ้นมายังห้องพักในเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ปัณรสเพิ่งกลับลงไปเมื่อครู่
"คุณปัณมาที่นี่หรือคะ"มณฑิตาเอ่ยถามรุ่นพี่พยาบาลด้วยสีหน้ามีคำถาม หลังจากได้ยินชื่อของใครอีกคนดังผ่านเข้ามาในสารระบบเมื่อครู่
"ค่ะ มาก่อนหน้าที่คุณหมอจะกลับขึ้นมาไม่กี่นาทีเองค่ะ ไม่สวนทางกันที่ข้างล่างหรือคะ"
"ไม่นะคะ สงสัยจะขึ้นลิฟต์คนละตัวกันเลยคลาดกันน่ะค่ะ แล้วคุณปัณมาทำอะไรที่นี่หรือคะ"
"พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่เห็นมายืนอยู่หน้าห้องคุณหมอพี่ก็เลยเดินเข้ามาถาม กลัวจะมีธุระด่วนอะไรกับคุณหมอแล้วจะรอนานน่ะค่ะ  "
"แล้วคุณปัณว่ายังไงบ้างคะ มีธุระอะไรกับมณรึเปล่า"
"ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แค่บอกว่าแวะมาหาคุณหมอเท่านั้นไม่ได้มีธุระอะไรด่วนค่ะ พี่ก็เลยบอกไปว่าคุณหมอไปทานข้าวข้างนอกกับหมอจักรยังไม่กลับเข้ามาค่ะ" มณฑิตาได้แต่นิ่งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินในสิ่งที่พยาบาลรุ่นพี่เอ่ยบอกออกมา
"แล้วคุณปัณพูดอะไรต่อไหมคะ"
"ไม่ค่ะ พอรู้ว่าคุณหมอไม่อยู่เธอก็กลับลงไปข้างล่างทันทีเลยค่ะ แล้วก็ฝากขนมไว้ให้คุณหมอด้วยนะคะ เดี๋ยวพี่เดินกลับไปเอามาให้ค่ะ พอดีพี่วางไว้ที่เคาน์เตอร์หน้าห้อง"
"ไม่เป็นไรค่ะ พี่แตงเอาไว้ทานเถอะค่ะ มณทานข้าวมาแล้วคงจะทานอะไรไม่ไหวแล้วล่ะค่ะวันนี้"
"เอาอย่างนั้นหรือคะ"
"ค่ะ เดี๋ยวถ้าไม่มีอะไรแล้วมณขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะคะ " หญิงสาวยิ้มเล็กๆ ออกมาด้วยความขอบคุณในน้ำใจของอีกคน ที่คอยดูแลเป็นห่วงเธอในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ อีกคนก็เอาใจใส่เป็นธุระให้เธอเสมอแถมยังไม่เคยบ่นเลยซักครั้ง ช่างเป็นโชคดีของเธอเหลือเกินที่ได้เพื่อนร่วมงานร่วมอาชีพดีๆ แบบนี้
โทรศัพท์เครื่องหรูถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายใบเล็กในทันใด เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาอยู่ในห้องพักเรียบร้อย เธอคงไม่สบายใจเป็นแน่หากว่าไม่ได้พูดอะไรกับคนที่แวะมาหาเธอเมื่อครู่
"หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ The number &^$#@*..." คิ้วเรียวได้รูปแอบขมวดเข้าหากันเป็นปมนิดๆ ด้วยความแปลกใจ เมื่อปลายสายแจ้งกลับมาว่าไม่สามารถติดต่อได้ หรือว่าแบตจะหมดนะ เจ้าของห้องได้แต่คาดคะเนไปตามความคิด เมื่อไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่ติดต่ออีกคนไม่ได้เป็นเพราะอะไร
 ก๊อก ก๊อก ก๊อก? เสียงเคาะประตูดังระรัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ให้เธอจำต้องรีบเดินไปเปิดด้วยความรวดเร็ว เมื่อไม่แน่ใจว่าด้านนอกจะมีเรื่องอะไรเร่งด่วนมาแจ้งรึเปล่า
"มีอะไรหรือคะพี่แตง" มณฑิตาเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆ คล้ายจะตกใจกับอะไรบางอย่างของพยาบาลรุ่นพี่
"คุณปัณค่ะ?"
"คุณปัณเป็นอะไรหรือคะ " คนถามถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นไหวอยู่ในที เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์บางอย่างที่อาจจะเป็นเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับอีกคน
"คุณปัณ..เกิดอุบัติเหตุรถชนอยู่ที่บริเวณทางออกของโรงพยาบาลเมื่อครู่ค่ะ"หัวใจคนฟังหล่นวูบลงมาในอกทันใด หลังจากได้ยินชื่อของคนที่เธอเพิ่งจะโทรติดต่อไปหาเมื่อครู่ เค้าไม่ได้ปิดเครื่องแต่เค้าคงเกิดอุบัติเหตุในตอนนั้น
"แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ"
"ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ เห็นว่ากระดูกที่ไหล่ข้างซ้ายน่าจะเคลื่อนหรือหลุดด้วยค่ะ หมอจักรเลยให้พี่มาตามคุณหมอลงไปดูอาการด้วยอีกคน จะได้วินิจฉัยอาการได้ถูกต้องแม่นยำและรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ" 
"มณจะลงไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ยังไงฝากพี่แตงดูทางนี้ให้ด้วยนะคะถ้ามีอะไรด่วนก็ให้คุณหมอท่านอื่นช่วยรับไปก่อน"
"ได้ค่ะ" มณฑิตารีบเก็บอุปกรณ์สำคัญใส่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องพักด้วยความร้อนใจ ขออย่าให้มีอะไรร้ายแรงไปมากกว่าที่เธอคิดในตอนนี้เลยนะ
เสียงเอะอะโวยวายที่ดังลั่นอยู่บริเวณด้านนอกของห้องฉุกเฉิน สร้างความวุ่นวายเดือดร้อนให้กับเจ้าหน้าที่และคนที่อยู่รอบๆ บริเวณให้ต่างพากันมุงดูด้วยความสนอกสนใจ ตามประสาไทยมุงที่เกิดขึ้นให้เห็นอยู่ทั่วไปในทุกๆ สถานการณ์ ไม่เว้นแม้แต่สถานการณ์ตรงหน้าของเธอตอนนี้
"คุณหมอคะ คุณหมอจักรบอกว่าถ้าคุณหมอลงมาถึงแล้วให้รีบเข้าไปดูอาการคนเจ็บเป็นการด่วนเลยค่ะ เพราะตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรอสอบปากคำคนเจ็บกับคู่กรณีอยู่ค่ะ" พยาบาลประจำห้องรีบเดินเข้ามาบอกคุณหมอคนสวยด้วยความร้อนใจ เมื่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่หน้าห้องตอนนี้มันเริ่มจะบานปลายวุ่นวายมากขึ้นทุกขณะ
"ตอนนี้อาการคนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะ"มณฑิตาสอบถามอาการเบื้องต้นของคนเจ็บไว้เป็นข้อมูลระหว่างเดินตามกันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธออยากไปถึงแล้วสามารถวิเคราะห์อาการและทำการรักษาได้ในทันที โดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์
"อาการเบื้องต้นตอนนี้คาดว่ากระดูกที่ช่วงไหล่ด้านซ้ายจะเคลื่อนค่ะ แล้วก็ที่บริเวณศีรษะมีรอยแตกเป็นแผลกว้างประมาณสี่เซ็น ตอนนี้คุณหมอจักรกำลังทำการเย็บแผลให้อยู่ค่ะ ส่วนบริเวณอื่นๆ ก็เป็นแผลฟกช้ำเพราะถูกกระแทกค่ะ" คนฟังได้แต่แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก เมื่อดูท่าว่าอาการของคนเจ็บจะไม่หนักเท่าที่เธอคิดไว้ในตอนแรก แต่ก็น่าจะเจ็บตัวมากพอสมควรอยู่เหมือนกัน ขนาดว่าไหล่เคลื่อนนี่คงไม่ใช่อุบัติเหตุเบาๆ แล้วล่ะเธอว่า
มณฑิตาได้แต่เงียบไปอีกครั้งเมื่อเห็นร่างของใครบางคนนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยอ่อน ให้เธอรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาในใจอีกครั้ง ที่เค้าต้องมาเจ็บตัวคราวนี้คงไม่ได้มีสาเหตุมาจากเธอใช่ไหม
"หมอมณมาพอดีเลยครับ ตอนนี้คนเจ็บขยับแขนซ้ายไม่ได้เลยเพราะว่าปวดมากผมเลยฉีดยาระงับปวดเอาไว้ก่อน ไม่แน่ใจว่ากระดูกข้อไหล่จะแค่เคลื่อนหรือว่าร้าว ก็เลยอยากให้หมอเฉพาะทางช่วยดูให้ก่อนเบื้องต้นครับ ถ้าจำเป็นต้องเอ็กซ์เรย์ก็คงต้องรบกวนหมอมณเป็นคนดำเนินการต่อจากนี้ครับ"
ปัณรสได้แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมเกินเพื่อนของทั้งสองคนที่แสดงออกมาต่อหน้า ทำไมต้องให้เธอมาเจอภาพบาดตาบาดใจแบบนี้ด้วย แค่เจ็บตัวเท่านี้มันยังไม่พออีกหรือทำไมต้องให้เธอเจ็บใจเพิ่มด้วยเล่า ทำไมนะยาชามันถึงไม่ออกฤทธิ์มาถึงหัวใจเธอด้วยจะได้ไม่ต้องรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ เจ็บตัวเธอยังทนไหวแต่เจ็บใจเธอสู้ไม่ไหวจริงๆ
มณฑิตาค่อยๆ ขยับดูที่ไหล่ของคนเจ็บด้วยความเบามือ พลางมองใบหน้าขาวซีดของอีกคนด้วยความสงสาร แค่แผลที่ศีรษะก็คงหนักมากพอแล้วสำหรับอีกคน นี่ยังต้องมาเจ็บที่ไหล่ด้วยมันคงทรมานน่าดูสำหรับลูกคุณหนูแบบเค้า
"เจ็บมากไหมคะตอนนี้" น้ำเสียงห่วงใยที่ส่งผ่านไปพร้อมกับสายตาอ่อนโยนระคนเป็นห่วงเอ่ยถามคนเจ็บขึ้นมาเบาๆ ให้หัวใจคนฟังไหวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
"ผมฉีดยาระงับปวดไว้คนเจ็บอาจจะไม่รู้สึกอะไรมากในตอนนี้ คงจะไม่แน่ใจว่าจะตอบออกมายังไงน่ะครับ"ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยตอบแทนคนเจ็บขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ตั้งใจส่งผ่านมาถึงคนฟังอย่างต้องการสื่อความหมายอยู่ลึกๆ
"ข้อไหล่ไม่ได้ร้าวค่ะคงแค่เคลื่อนเท่านั้น เดี๋ยวฉันจะดึงให้เข้าที่แล้วหลังจากนี้จะยึดตรึงข้อไหล่ให้นิ่งแล้วให้ใส่ผ้าคล้องแขนเอาไว้ประมาน 2-3 สัปดาห์ หลังจากนี้ก็ทำกายภาพบำบัดและบริหารกล้ามเนื้อรอบๆบริเวณข้อไหล่ เพื่อให้กลับมาเข้าที่และใช้งานได้ตามปรกติเหมือนเดิมค่ะ "
"โชคดีนะครับที่กระดูกไม่ร้าวไม่อย่างนั้นคงจะแย่มากกว่านี้"
"ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ" หญิงสาวพูดขึ้นตามหลังคุณหมอหนุ่มด้วยความโล่งใจ พลางมองไปยังคนเจ็บที่ตอนนี้นอนนิ่งพักสายตาอยู่บนเตียงเงียบๆ เค้าคงจะเจ็บมากจริงๆ ถึงได้ไม่แม้แต่จะมองสบตาหรือว่าเอ่ยทักทายพูดคุยกับเธอเลยซักประโยค
ภัควลัญชญ์ได้แต่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ เมื่อได้รับโทรศัพท์แจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าเพื่อนสนิทเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นที่หน้าโรงพยาบาลเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ให้เธอรีบบึ่งรถออกมาจากร้านกาแฟในทันที
"ขอโทษนะคะฉันเป็นญาติของคนเจ็บที่เกิดอุบัติเหตุรถชนที่หน้าโรงพยาบาลเมื่อครู่ค่ะ"
"รบกวนแจ้งชื่อคนเจ็บด้วยค่ะ"
"นางสาวปัณรส วรกิจกานนท์ค่ะ" เจ้าหน้าที่จัดการตรวจสอบข้อมูลคนเจ็บด้วยความเร่งรีบ แต่นั่นก็ยังช้าไปอยู่ดีในความรู้สึกของคนรอ
"คุณปัณรสตอนนี้อยู่ที่ห้องฉุกเฉินค่ะ" หญิงสาวเอ่ยบอกกับญาติคนเจ็บอย่างไม่รีรอเมื่อได้ข้อมูลจากระบบมาเรียบร้อยแล้ว
"ขอบคุณนะคะ" ภัควลัญชญ์รีบเอ่ยขอบคุณเจ้าหน้าที่ในทันที ก่อนจะรีบตรงไปทางห้องฉุกเฉินด้วยความร้อนใจ เธอน่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนที่อีกคนบอกว่ารู้สึกไม่โอเคแล้ว ไม่น่าพูดไปแบบนั้นกับเพื่อนตัวเองเลยจริงๆ เธอควรจะเป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาให้เพื่อนได้มากกว่านี้ ตอนนี้เธอรู้สึกผิดต่ออีกคนมากจริงๆ
ครืด ครืด ? โทรศัพท์ในมือร้องสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ให้เจ้าของเครื่องรีบยกขึ้นมาดูด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่าเป็นเบอร์ของมารดาเพื่อนสนิทที่โทรเข้ามา
"ฮัลโหลค่ะคุณป้า"
"ลัญชญ์ยัยปัณอยู่ชั้นไหนลูก ตอนนี้ป้ากับลุงอยู่ที่ทางเข้าโรงพยาบาลแล้วกำลังจะขึ้นไปชั้นบน"
"ยัยปัณยังอยู่ที่ห้องฉุกเฉินค่ะ ตอนนี้ลัญชญ์อยู่ข้างล่างกำลังจะไปที่ห้องฉุกเฉินพอดี คุณป้าเดินเข้ามาข้างในเลยค่ะ จะได้ไปพร้อมกันเลยทีเดียว"
"ได้จ้ะ " ปลายสายตอบรับกลับมาในทันใด ก่อนจะรีบพากันเดินเข้ามาด้านในตามที่อีกคนบอกไว้เมื่อครู่
"คุณลุงคุณป้าทางนี้ค่ะ"ภัควลัญชญ์ร้องเรียกผู้ใหญ่อีกสองคนขึ้นมาอยู่เบาๆ พร้อมกับยกมือส่งสัญญาณให้ทราบพิกัดตำแหน่งของตัวเองที่ยืนอยู่ 
นายปราชญ์กับนางรุ้งแก้วเดินตรงเข้ามาหาคนที่ยืนโบกมือเรียกอยู่ด้านในด้วยความรีบเร่ง ตอนนี้ในใจของพวกเค้าเป็นห่วงลูกสาวมากมายเหลือเกิน ไม่รู้อีกคนจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างยิ่งเห็นสภาพรถที่จอดอยู่ด้านหน้าเมื่อครู่นี้แล้วพ่อแม่อย่างพวกเค้ายิ่งรู้สึกเป็นกังวลขึ้นเป็นเท่าทวี
"หนูลัญชญ์มานานรึยังลูก"
"ลัญชญ์เพิ่งมาค่ะคุณป้ากำลังว่าจะไปที่ห้องฉุกเฉิน  พอดีคุณป้าโทรเข้ามาก่อนก็เลยคิดว่ารอไปพร้อมกันน่าจะดีกว่าค่ะ "
"งั้นเราไปกันเลยดีไหม ผมเป็นห่วงลูกมากจริงๆ ตอนนี้" นายปราชญ์เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะพากันเดินตรงไปทางห้องฉุกเฉินตามป้ายที่บอกไว้ตามผนังของอาคาร ขออย่าให้ลูกสาวของพวกเค้าเป็นอะไรร้ายแรงถึงขั้นสาหัสเลย เพราะพวกเค้าคงอยู่ด้วยความทรมานไปจนวันตายหากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับปัณรสในตอนนี้
เสียงเอะอะโวยวายที่ดังลั่นมาแต่ไกลสร้างความสงสัยให้กับอีกสามคนที่เพิ่งมาถึงได้ไม่ยาก เมื่อเหตุการณ์ตรงหน้ามีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลปะปนล้อมรอบกันอยู่เป็นวง ชวนให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจคนมองอย่างช้าๆ
 "สงสัยจะเป็นญาติของทางฝ่ายคู่กรณีค่ะ เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าทางนั้นเจ็บหนักเหมือนกัน คงจะมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากทางเราค่ะ" ภัควลัญชญ์เอ่ยแถลงแจ้งข้อสงสัยให้กับผู้ใหญ่อีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้หายข้องใจสงสัย
 "เดี๋ยวผมจะเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง คุณไปดูลูกกับหนูลัญชญ์ก่อน เดี๋ยวเคลียร์ทางนี้เสร็จแล้วผมจะตามไป"
"มีอะไรก็โทรเข้าเครื่องฉันนะคะ " นายปราชญ์พยักหน้าเบาๆ เป็นอันเข้าใจ ก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องทุกอย่างตามที่ตกลงกันไว้เมื่อครู่ 
"ขอโทษนะคะพอดีเราเป็นญาติของคนเจ็บที่ชื่อปัณรสค่ะ อยากจะทราบอาการตอนนี้ได้รึเปล่าคะ"ภัควลัญชญ์ที่เห็นเจ้าหน้าที่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ ตอนนี้ชีวิตและความปลอดภัยของเพื่อนเธอสำคัญกว่าสิ่งใด
"ตอนนี้คุณหมอมณฑิตากำลังดูอาการอยู่ค่ะ น่าจะอีกซักพักถึงจะทราบอาการที่แน่ชัดค่ะ"
"คุณหมอมณฑิตาหรือคะ"คนฟังถามกลับเอาความด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ มณฑิตาเป็นหมอออร์โธแต่ได้มาดูอาการเพื่อนเธอ แบบนี้ก็แสดงว่าต้องมีกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายถูกกระทบกระเทือนอย่างแน่นอน แต่จะเป็นส่วนไหนนั้นเธอก็ไม่อยากจะคาดเดาเลยจริงๆ
"ใช่ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ"
"เปล่าค่ะไม่มีอะไร ขอบคุณนะคะ"
"ใช่หนูมณไหมหนูลัญชญ์ที่พยาบาลบอกเมื่อครู่ว่ากำลังดูอาการให้ยัยปัณอยู่"นางรุ้งแก้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เธอรู้จักมณฑิตาในฐานะเพื่อนของลูกสาว และก็พอรู้ด้วยว่าหญิงสาวนั้นเป็นหมอที่รักษาด้านกระดูก แล้วมารักษาลูกสาวเธอแบบนี้แสดงว่ามีกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งแตกหรือหักด้วยใช่ไหม  ปัณลูกแม่ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง
 "น่าจะค่ะ ลัญชญ์คิดว่าแบบนั้น" ทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความหนักใจระคนเป็นห่วงคนเจ็บอยู่ในใจลึกๆ หวังว่าเจ้าตัวจะไม่เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่พวกเธอกำลังคิดอยู่ในตอนนี้นะ
"มณดึงข้อไหล่เข้าให้แล้วนะคะแล้วก็ใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงแขนให้แล้ว  ช่วงนี้ก็พยายามอย่าขยับหรือเคลื่อนไหวอะไรมากรอให้ผ่านช่วงสามสัปดาห์นี้ไปก่อนถ้าอาการดีขึ้นมณจะให้ลองขยับทำกายภาพแบบเบาๆดูค่ะ จะได้หายกลับมาเป็นปรกติเร็วๆ "
"ขอบคุณนะคะ" คนฟังยิ้มหวานออกมาในทันทีเมื่อได้ยินประโยคแรกจากปากของคนตรงหน้า เธอนึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงเค้าเสียแล้ววันนี้
"ไม่เป็นไรค่ะมันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว ยิ่งกับเพื่อนยิ่งต้องรักษาให้ดีที่สุดค่ะ" หัวใจคนฟังได้แต่กระตุกขึ้นมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดระคนผิดหวัง เธอก็คงเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นสินะ
"ฉันขอยืมโทรศัพท์โทรหาที่บ้านได้ไหมคะ ป่านนี้คงวุ่นวายกันน่าดู"
"ได้ค่ะ แต่เดี๋ยวบอกเบอร์มาดีกว่านะคะมณจะได้กดให้ ตอนนี้อย่าเพิ่งขยับเขยื้อนร่างกายเลยค่ะ ประเดี๋ยวจะเจ็บขึ้นมาอีกรอบ"คุณหมอคนสวยพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกมาเตรียมกดเบอร์ให้กับอีกคนตามที่เจ้าตัวขอมาเมื่อครู่
เสียงสัญญาณดังอยู่ซักพักก่อนที่ปลายสายจะกดรับด้วยความรวดเร็ว ให้เจ้าของเครื่องรีบยื่นโทรศัพท์ในมือไปแนบที่ข้างใบหูของอีกคนเบาๆ เพื่อให้เจ้าตัวได้คุยกับครอบครัวตามที่ต้องการ
"ฮัลโหลค่ะคุณแม่นี่ปัณเองนะคะ"
"ปัณหรือลูก เป็นยังไงบ้างรู้ไหมว่าแม่กับพ่อเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน "
"ปัณไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วค่ะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วคุณหมอกำลังดูอาการให้อยู่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกนะคะคุณพ่อคุณแม่สบายใจได้ ที่ปัณโทรมาก็แค่จะถามว่าคุณแม่มาถึงที่โรงพยาบาลแล้วรึยังตอนนี้ ปัณจะได้บอกให้มาหาได้ถูกที่"
"แม่อยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินกับหนูลัญชญ์ตอนนี้ ส่วนคุณพ่อไปเคลียร์เรื่องคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ อีกซักพักก็คงจะเสร็จจ้ะ แม่เข้าไปหาปัณข้างในได้ไหมลูก แม่อยากเห็นหน้าลูกอยากแน่ใจว่าลูกไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง"
"เดี๋ยวนะคะ ปัณขอถามคุณหมอดูก่อนว่าจะอนุญาตรึเปล่า" ปัณรสเงยหน้ามองคุณหมอคนสวยที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างช้าๆ ให้อีกคนได้แต่มองสบสายตาอย่างมีคำถาม
"คุณแม่กับยัยลัญชญ์อยู่หน้าห้องฉุกเฉินค่ะ ให้เข้ามาข้างในได้รึเปล่าคะ"
"ได้ค่ะ แต่อยู่ที่นี่ได้ไม่นานนะคะ เพราะเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะพาออกไปพักที่ห้องพักผู้ป่วยปรกติแล้วค่ะ " คนฟังพยักหน้าเบาๆ เป็นอันเข้าใจ ก่อนจะกลับมาพูดกับคนในสายอีกครั้งเพื่อให้ทั้งสองคนเข้ามาหาที่ด้านในตามที่ต้องการ
"ปัณลูก.."นางรุ้งแก้วร้องเรียกชื่อลูกสาวสุดที่รักขึ้นมาด้วยความดีใจและเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกคนอยู่ในสภาพเกือบปรกติไม่ได้มีอะไรหนักหนาร้ายแรงอย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก
"คุณป้าสวัสดีค่ะ "มณฑิตายกมือไหว้มารดาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนด้วยความอ่อนน้อมเคารพ ให้อีกคนรีบรับไหว้อย่างนึกเอ็นดู
"หนูมณเป็นหมอที่ดูอาการให้ยัยปัณใช่ไหมจ๊ะ "
"ใช่ค่ะ พอดีคุณปัณข้อไหล่เคลื่อนน่ะค่ะ มณก็เลยต้องมาดูช่วยคุณหมออีกแรง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วค่ะ จะมีก็น่าจะเป็นหลังจากที่ยาระงับปวดหมดฤทธิ์แล้วเพราะอาการปวดจะกำเริบขึ้นมาอีกรอบ ตอนนั้นอาจจะทรมานนิดหน่อยค่ะ หรือถ้าปวดมากอาจจะต้องฉีดยาให้อีกรอบเพื่อบรรเทาอาการค่ะ"
"ขอบใจนะหนูมณมากนะจ๊ะที่ดูแลยัยปัณเป็นอย่างดี ยังไงระหว่างอยู่ที่นี่ป้าคงต้องฝากให้หนูมณเป็นคนช่วยดูแลให้อีกแรงนะจ๊ะ ยัยปัณจะได้หายกลับมาเป็นปรกติเร็วๆ"
"ได้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของมณอยู่แล้ว คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะมณจะดูแลให้ดีที่สุดค่ะ"
"ขอบใจมากนะจ๊ะ ขอบใจหนูมณจริงๆ"นางรุ้งแก้วยิ้มขอบคุณหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู เสียดายที่เธอไม่มีลูกชายไม่อย่างนั้นเธอจะจีบเอามณฑิตามาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้ ผู้หญิงดีๆ เพียบพร้อมแบบนี้หายากยิ่งนักในสังคมปัจจุบัน
"เป็นยังไงบ้างยังเจ็บตรงไหนอีกรึเปล่า"ภัควลัญชญ์ที่สบายใจขึ้นมาบ้างหลังจากเห็นอาการและสภาพของเพื่อนสนิทเอ่ยถามเจ้าตัวขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
"ตอนนี้ไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้ว สงสัยยาจะยังไม่หมดฤทธิ์มั้ง เลยยังชาๆ ตึงๆ อยู่ตอนนี้ คงอีกซักพักนู้นแหละถึงจะรับรู้ความเจ็บปวด"
"โตแล้วก็ต้องอดทนสิ อยู่มาได้จนถึงขนาดนี้ยังไงก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ เจ็บแค่นี้ยังไกลหัวใจมากแกไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อฉันสิ"
"มันก็ไม่แน่หรอก บางที่อยู่ที่นี่ฉันอาจจะเจ็บที่หัวใจขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้" คำพูดมีนัยแอบแฝงของคนเจ็บ ชวนให้คนฟังแอบสงสัยขึ้นมาในใจอีกครั้ง หรือว่าสาเหตุที่เพื่อนเธอบอกว่าไม่โอเคจะมาจากคนที่อยู่ที่นี่กันนะ
"หมอมณครับเจ้าหน้าที่มาแล้ว จะให้พาคนเจ็บขึ้นไปบนห้องพักตอนนี้เลยไหมครับหรือว่าจะยังไง "นายแพทย์หนุ่มเอ่ยถามอีกคนขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง  เมื่อเห็นญาติของคนเจ็บยืนอยู่ข้างกายของหญิงสาว ให้เค้านึกกังวลใจตามไปด้วย นี่คงจะไม่ได้มาโวยวายเหมือนอย่างกรณีด้านนอกหรอกใช่ไหม
"ให้พาขึ้นไปเลยค่ะ คนเจ็บจะได้พักผ่อนด้วย เดี๋ยวยังไงมณจะขึ้นไปดูด้วยอีกรอบนะคะเผื่อจะมีอะไรนอกเหนือจากนี้ จะได้ดูแลให้คำแนะนำได้ถูก"
"งั้นเดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ หมอจักรอยู่ดูแลทางนี้จะดีกว่าเผื่อมีอะไรเกิดขึ้นอีกเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไม่มีหมออยู่ในห้องฉุกเฉินแล้วจะเป็นเรื่องขึ้นมาอีกรอบ"
"เอาแบบนั้นก็ได้ครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้ได้ทันทีเลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ" มณฑิตาได้แต่ยิ้มบางๆ ด้วยความขอบคุณในน้ำใจของชายหนุ่มที่มีให้กับเธอมาโดยตลอด ตั้งแต่เรียนแพทย์ด้วยกันมาจนกระทั้งเป็นหมอในตอนนี้ อีกคนก็ยังไม่เคยเปลี่ยนนั่นทำให้เธอรู้สึกซึ้งใจและขอบคุณเค้าอยู่ทุกครั้ง
ปัณรสถูกย้ายตัวขึ้นมาพักที่ห้องพิเศษตามความประสงค์ของมารดา ที่มีทั้งเพื่อนสนิทและคุณคุณหมอคนสวยตามขึ้นมาเป็นกำลังใจให้อยู่ไม่ห่าง แต่ทว่าเจ้าตัวนั้นกลับคิดต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เธอไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้และไม่อยากอยู่ใกล้มณฑิตาด้วย เหตุผลก็คงมีแต่เธอกับเพื่อนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้เธอเหนื่อยที่จะโกหกหัวใจตัวเองแล้วจริงๆ
"เดี๋ยวแม่ลงไปดูคุณพ่อที่ข้างล่างก่อนนะลูก เสร็จแล้วจะขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้ก็อยู่กับหนูลัญชญ์หนูมณไปก่อนนะ อยู่ได้ใช่ไหม"
"ขอโทษนะคะที่ปัณทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องมาเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้ "คนเจ็บเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เมื่อได้ยินคำของมารดาเมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะความประมาทของเธอพวกท่านก็คงไม่ต้องมาวุ่นวายแบบนี้ เธอช่างเป็นลูกที่ไม่ดีเอาเสียเลย
"มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่ความผิดของลูกซักหน่อย ไม่ต้องโทษตัวเองเลยนะ แค่ลูกปลอดภัยไม่เป็นอะไรพ่อกับแม่ก็ดีใจที่สุดแล้ว เรื่องอื่นอย่าไปคิดถึงมันเลยนะตอนนี้ที่ลูกต้องทำคือรักษาตัวให้หายเร็วๆ จะได้กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง เข้าใจไหม"
"ค่ะ"
"เดี๋ยวแม่มานะ ฝากดูแลยัยปัณด้วยนะหนูลัญชญ์หนูมณ"
"ค่ะ/ค่ะคุณป้า" ทั้งสองคนตอบรับขึ้นมาพร้อมกันเบาๆ ก่อนจะมองตามหลังมารดาของเพื่อนไปด้วยความชื่นชม นี่สินะความรักของพ่อแม่ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกท่านก็ยื่นมือเข้ามาปกป้องลูกอย่างที่สุดก่อนใคร ช่างยิ่งใหญ่ลึกซึ้งเสียจริงๆ
"วันสองวันนี้อาจจะต้องนอนดูอาการที่โรงพยาบาลไปก่อนนะคะ ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็คงได้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน แต่ก็ต้องมาตามที่หมอนัดทุกครั้งเพราะยังมีเรื่องของข้อไหล่ที่เคลื่อนอยู่ ถ้าไม่ติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิดอาจจะมีปัญหาอื่นแทรกซ้อนเข้ามาได้ค่ะ"
"นานไหมคะกว่าจะหายกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง"ภัควลัญชญ์ถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่เธอเคยเห็นพนักงานที่โรงแรมเป็นดูเหมือนมันจะนานอยู่พอสมควร ชีวิตคงลำบากน่าดูถ้าต้องมาทนอยู่ในสภาพแบบนี้เป็นเดือนๆ
"จะหายช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคนเจ็บค่ะ ถ้าดูแลตัวเองดีๆ ทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัดอาการก็จะดีขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ในตอนนี้ค่ะ แต่ถ้าปล่อยให้หายตามสภาพก็อาจจะนานหน่อย บางคนเป็นปีก็มีค่ะ คืออาการมันจะไม่ใช่หายสนิทในทันทีหลังจากนี้ แต่เราต้องทำกายภาพบริหารกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายมันสมานและกลับเข้าที่ได้เร็วขึ้น ช่วงแรกๆ อาจจะรู้สึกเจ็บๆ ขัดๆ อยู่บ้างแต่นานๆ ไปก็จะกลับมารู้สึกเป็นปรกติเหมือนเดิมค่ะ อยู่ที่คนเจ็บมากกว่าว่าอยากหายช้าหรือหายเร็ว"
"แบบนี้ไม่ลำบากแย่หรือคะ ต้องอยู่ในสภาพนี้ไปเป็นเดือนๆ"
"ลำบากก็ต้องอดทนค่ะ เพื่อตัวเอง "
"แกเข้าใจแล้วนะที่คุณมณพูด ถ้าแกอยากหายกลับมาเป็นปรกติเร็วๆ แกก็ต้องเชื่อฟังคุณมณ ไม่อย่างนั้นแกอาจจะต้องอดและทนไปมากกว่านี้ เข้าใจไหม"
"ฉันเหนื่อยอยากพักผ่อนแล้วตอนนี้ " คนเจ็บพูดตอบคืนมาอีกเรื่องอย่างไม่คิดจะสนใจตอบโต้ในคำพูดของเพื่อนสนิทและคุณหมอคนสวยเลยซักนิด ตอนนี้เธอเหนื่อยและไม่มีอารมณ์จะมาพูดอะไรเกี่ยวกับอาการของตัวเองเลยซักนิด บางทีการที่เธอเจ็บตัวคราวนี้มันอาจจะทำให้เธอมีเวลาคิดอะไรที่เป็นความจริงขึ้นมาได้บ้าง ไม่ใช่เพ้อฝันหวังอะไรลมแล้งๆ อยู่แบบนี้
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขอตัวไปดูคนไข้รายอื่นต่อแล้วกันนะคะ เอาไว้เย็นๆ จะแวะมาดูอาการอีกรอบค่ะ" คุณหมอคนสวยเอ่ยบอกอีกสองคนออกไปด้วยท่าทีเกรงใจ เมื่อเจ้าของห้องแจ้งความประสงค์ชัดเจนว่าอยากพักผ่อน เธอในฐานะหมอก็ควรจะออกไปจากห้องด้วยเหมือนกัน อีกคนจะได้พักผ่อนร่างกายซักที
"ขอบคุณนะคะคุณมณที่ดูแลยัยปัณเป็นอย่างดี"
"มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วค่ะ ยังไงฉันขอตัวก่อนนะคะ" มณฑิตายิ้มบางๆ ให้กับอีกสองคนด้วยความเป็นกันเอง ก่อนจะเดินกลับออกมาด้านนอกพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
 "นี่แกเป็นอะไรทำไมถึงทำตัวเย็นชากับคุณมณนัก หรือว่าไม่ได้ชอบคุณมณแล้ว" ภัควลัญชญ์ตัดสินใจพูดกับเพื่อนตัวเองแบบเตรงๆ หลังจากที่อีกคนเดินหายออกไปจากห้องเหลือไว้แค่พวกเธอสองคนตามลำพัง
"บางทีความจริงกับความฝันมันก็ไม่สามารถจะมาบรรจบกันได้ มันคงถึงเวลาที่ฉันจะต้องตื่นจากความฝันแล้วกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงซักที "
"หมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ"
"ฉันจะตัดใจจากคุณมณ?" คนฟังได้แต่แอบถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความหนักอึ้งเป็นกังวล ถ้าการตัดใจจากใครซักคนที่รักมากๆ มันง่ายดายเหมือนเช่นคำพูด ทุกคนบนโลกใบนี้ก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเพราะความรัก ในเมื่อความรู้สึกมันเกิดขึ้นจากหัวใจและสมองเป็นตัวสั่งการ แล้วจะมีซักกี่ทางที่จะลบล้างความรู้สึกเหล่านี้ไปได้อย่างแท้จริง...

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น