web stats

ข่าว

 


Pieces Of You Vol.2- ตอนที่ 9 Merci

โพสต์โดย: anhann วันที่: 17 พฤศจิกายน 2017 เวลา 22:45:48 อ่าน: 211



ตอนที่ 9 Merci





เรากลับมากรุงเทพกันวันรุ่งขึ้น  ลงเครื่องที่สนามบินดอนเมือง  และต่อแท็กซี่มาบ้านของคุณชวดของเยล  รุจแอบกระซิบกับเธอว่าที่จริงมีคนบ้านนั้นบอกจะมารับ  แต่รุจกลัวเยลจะไม่ชอบใจจึงปฏิเสธไปแล้วหารถมาเอง  ไม่อยากเชื่อเลยว่ารุจจะตามใจเยลแบบนี้  ยิ่งกว่าแม่ราเชลมากมาย  เอลลี่ก็ไม่ขัดอะไรเลย  ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไว้ใจให้รุจตัดสินใจ  อาจเพราะมันเป็นเรื่องของรุจกับเยล  เอลลี่คงให้สิทธิ์ตรงนี้  --  เป็นผู้หญิงดุที่แฟร์ชะมัด

เยลแบ่งหูฟังไอพอดให้เธอข้างหนึ่งให้ฟังด้วยกันแก้เซ็งระหว่างทางไปบ้านคุณชวดบนแท็กซี่  เอลลี่นั่งอยู่ในเบาะหลังกับเราด้วย  ขณะที่รุจนั่งอยู่บนข้างคนขับ  แท็กซี่เมืองไทยคงคันเล็กไปหน่อยสำหรับพวกเธอซึ่งมีแค่เอลลี่ที่ตัวเล็ก (เล็กแค่ไหนก็ยัง 5 ฟุต 4 นิ้ว) จึงยัดให้ครบสี่คนไม่ได้ในเบาะนี้

บ้านคุณชวดอยู่ในเขตที่เรียกว่า "ทองหล่อ"  อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมที่เรามาพักกันครั้งแรกมากนัก  เธอจึงแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมรุจจึงไม่พาเรามาที่นี่กันตั้งแต่วันแรก  หากพอมานึกทบทวนก็เข้าใจได้  วันแรกที่เรามาถึงเมืองไทยกันนั้น  มีญาติของรุจมารับเราที่สนามบิน  แล้วเยลหงุดหงิด  แปลได้ง่ายๆ ว่าทริปนี้ทุกอย่างแทบจะขึ้นอยู่กับเยลหมด  รุจรักเยลถวายหัวเลยหรือยังไงนะ  หรือแค่อยากจะชดเชยที่ไม่ได้ดูแลลูกตอนเด็กๆ

ตัวเยลก็เหมือนจะรู้ว่าแม่ตามใจมากจึงทำตัวเป็นเด็กดีขึ้น  เถียงน้อยลง  แต่ยังไม่วายงอนถ้ารู้ว่าจะมีใครเพิ่มขึ้นมาในทริปของเรา  นี่แหละเราถึงต้องมานั่งแท็กซี่กัน  เสียเงินค่ามิเตอร์ไม่ใช่น้อย  แม้ว่าเงินบาทจะถูกกว่าเงินดอลลาร์  แต่ถ้าไม่เสียเลยก็จะดีกว่าหรือเปล่าล่ะ  ขืนพูดไปเยลจะโยนสมุดบัญชีใส่หน้าให้น่ะสิ  เธอเคยเห็นนะ  เวลาสองแม่ลูกเขาเถียงกันก่อนเราจะขึ้นเครื่องจากเชียงใหม่มาที่นี่  เธอกับเอลลี่ไปเดินซื้อของในร้านปลอดภาษี  แล้วเธอดันกลับมาทันเห็นพอดี  เอลลี่ไม่รู้เห็นไหม  รายนั้นมัวแต่ก้มหน้าเช็กรายการของในสลิปที่เพิ่งซื้อมาอยู่  เยลถึงขั้นควักบัตรเครดิตที่พ่อจอห์นให้ไว้ใช้ฉุกเฉิน (ที่เคยเล่าให้เธอฟัง) ยื่นใส่หน้ารุจ  ใจเธอหล่นวูบเลยทีเดียว  กลัวใจรุจอยู่เหมือนกันว่าจะโต้ตอบเยลยังไง  แต่รุจกลับแค่ดึงบัตรนั้นมาจากมือเยล  ใช้มันเคาะหัวลูกสาวไปสองที  แล้วลุกเดินไปที่อื่น  หันมาเห็นเธอก็ยิ้มให้  คว้าไหล่เอลลี่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยไปด้วยกันและบอกว่าเดี๋ยวมา  กลายเป็นเธอที่ต้องมาเห็นตาแดงๆ ของเจ้าเด็กตัวแสบ  นั่งรอให้สงบสติอารมณ์เรียบร้อยก่อน  ค่อยชวนคุย  ถึงอย่างนั้นเยลก็ไม่ได้เล่าให้ฟังอยู่ดีว่าทะเลาะอะไรกับแม่  รู้แค่ว่าเธอต้องดึงบัตรเครดิตนั่นมาเก็บไว้ก่อน  ก่อนเยลจะหักมันทิ้ง  อารมณ์วัยรุ่นนี่มันรุนแรงขนาดนี้เลยหรือไง  เธอผ่านมันมานานขนาดนี้เลยหรือ  ถึงจำไม่ได้เลย

"แถวนี้เขาเรียกย่านผู้ดีเก่า"  เอลลี่กระซิบบอกกับอิซซาเบลขณะที่แท็กซี่กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านของคุณชวด  เธอนั่งข้างคนตัวเล็กพอดี  เพราะเยลขอนั่งติดหน้าต่าง  อยากดูอะไรๆ ไปตามประสา

"แบบแถบแมนแฮตตันอะไรแบบนี้เหรอคะ"

"ใช่  ถ้าแอลเอก็คงเป็นเบเวอร์ลีฮิลล์"  เอลลี่บอก  มองไปทางเยลคล้ายจะบอกว่าบ้านเจ้าเด็กนั่นอยู่ที่นั่นแหละ  แต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ

"ฉันอยากไปอยู่ซานฟรานซิสโกมากกว่า"  เยลเอ่ยขึ้นมากลางคัน  อิซซาเบลแทบจะรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าแปลบปลาบแล่นผ่านตรงหน้าตัวเองจากเอลลี่ไปยังเยล  และจากเยลไปเอลลี่  ทั้งสองไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันหรอก  แค่แย่งรุจกันเท่านั้นแหละ  จริงๆ เอลลี่ก็ไม่ได้อะไรมาก  ออกจะเอ็นดูเยลด้วยซ้ำ  คงอยากแกล้งเด็กขี้หวงมากกว่านั่นแหละ

"บ้านฉันอยู่ระแวกเดียวกับบ้านแคลร์นะ"  เอลลี่ว่า  เยลชักสีหน้า  ดูเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าเอลลี่เป็นน้าสาวแท้ๆ ของแคลร์  อิซซาเบลมองทั้งคู่  พลางเหลือบไปหารุจิกานต์  รายนั้นก็มัวแต่บอกทางคนขับแท็กซี่  ซอยนี้เขาคงไม่เคยมา  แท็กซี่สนามบินก็ใช่จะไปมาหมดทุกซอกซอยนี่นา

"เตรียมตัวลงกันได้แล้วค่ะ  เด็กๆ" 

อิซซาเบลแทบจะรู้สึกว่าเธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเลยละ  เสียงของรุจคล้ายเสียงสวรรค์สำหรับเธอจริงๆ  เพราะมันทำให้สองคนที่นั่งประชันสายตาผ่านตัวเธออยู่หยุดชะงักลง  กระแสไฟฟ้าขาดสะบั้น  เยลหันมาขอหูฟังไอพอด (ที่เธอแทบไม่ได้ฟังว่ามันเปิดเพลงอะไรอยู่) คืนไป  เพื่อจะเตรียมตัวลงจากแท็กซี่  เธอไม่รู้เลยว่าเราผ่านประตูรั้วอัลลอยด์ใหญ่โตราวกับรั้วของแมนชั่นหรูในฮอลลีวูดนั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่ตอนนี้พวกเรากำลังยืนเงอะงะอยู่หน้าบ้านเรือนไทยกลางเก่ากลางใหม่ที่ถ้าฝาแฝดมาเห็นจะต้องอยากสเก็ตต์ภาพเอาไว้แน่ๆ

"จริงๆ แล้วคนแถบนี้ไม่ใช่แบบเบเวอร์ลีฮิลล์หรอกนะคะ  คนที่อยู่ที่นี่มานานอย่างบ้านคุณชวดของเยล  ไม่ใช่คนรวยถึงขั้นเศรษฐีแบบนั้น  เราแค่อยู่มานานตั้งแต่ราคาที่ดินที่นี่ยังไม่แพงเท่าปัจจุบันน่ะค่ะ"  รุจิกานต์เล่า  อิซซาเบลจึงเข้าใจว่ารุจฟังสิ่งที่พวกเราพูดกันทุกอย่าง  แต่ไม่ได้เอ่ยขัดทันที

"งั้นก็แปลว่า  ถ้าคุณชวดขายบ้านหลังนี้พร้อมที่ดินก็จะได้เงินเยอะมากเลยสิคะ" 

"ใช่ค่ะ  แต่ท่านไม่ขายน่ะสิ"  รุจบอกด้วยรอยยิ้มแบบไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่  ถ้าเป็นแม่ราเชลของเธอละก็  คงจะหาเรื่องทำอะไรกับบ้านหลังนี้อีกแน่ๆ  รายนั้นน่ะ  คิดอะไรก็เป็นเงินไปเสียทุกอย่าง

เสียงเรียกชื่อของรุจเป็นภาษาไทยชัดเจนดังขึ้นระหว่างที่เราคุยกัน  รุจหันไปมอง  แต่คล้ายจะทันทีนั้นที่รุจเดินผละจากเธอไปอย่างรวดเร็วเพื่อจะไปประคองร่างของหญิงชราผอมบางซึ่งลงบันไดบ้านมาด้วยไม้เท้าเหล็ก  อิซซาเบลกะพริบตาแล้วหรี่มันลงปรับสายตากับแสงแดดที่ส่องกลางหัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ  เธอเห็นรุจกอดท่านซึ่งถ้าเธอเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นคุณยายของรุจและคุณชวดของเยล  รุจทำท่าจะหอมแก้มแต่ถูกมือเหี่ยวย่นบ่งบอกประสบการณ์การผ่านร้อนผ่านหนาวของเจ้าของมันเคาะหน้าผาก  ยั้งเอาไว้  แล้วรุจก็หัวเราะเบาๆ  หันมากวักมือเรียกพวกเรา  ตอนนี้เองที่เธอเพิ่งสังเกตว่ามีใครหลายคนมาช่วยเรายกกระเป๋าเดินทางลงจากแท็กซี่  และกำลังจะลากเข้าไปในบ้าน  เธอได้ยินแว่วๆ ว่ารุจห้ามพวกเขา  คงจะเป็นแบบนั้นแหละ  ถึงเธอจะฟังภาษาไทยไม่ออก  ถึงอย่างนั้นกระเป๋าสี่ห้าใบนั่นก็โดนลากขึ้นบันไดไปอยู่ดี  เป็นไปได้ว่าคุณชวดจะสั่ง  เพราะเด็กหนุ่มคนที่มาช่วยเรายกกระเป๋าสองคนนั้นก็ผงกศีรษะประหลกๆ ก่อนลากมันไป

"ฉันรู้สึกยังไงไม่รู้"  เยลพูดขึ้นขณะมายืนข้างอิซซาเบล  คล้ายจะทำใจก่อนเดินตามเสียงเรียกของคุณแม่  อิซซี่จึงต้องเอื้อมมือไปดึงมือเย็นๆ นั่นมาจับ  เยลคงตื่นเต้นนั่นแหละ

"เธออยากมาเองนะ  รับกรรมไปซะ"  อิซซาเบลพูดทีเล่นทีจริง 

"ฉันเหมือนจะเป็นลมเลยนะ  อิซซี่"

"เว่อร์น่า"  เธอว่า  พลางกระตุกมือเยลให้เดินตามหลังเอลลี่ที่เดินนำไปอย่างกล้าหาญ  เธอเดาว่าเอลลี่รู้จักคุณชวดแน่ๆ  และต้องเคยมาที่นี่

"เธอไหว้เป็นไหม"

อิซซาเบลเลิกคิ้ว  หันไปมองเจ้าของคำถาม  เยลท่าทางจริงจังมาก  เธอจึงตอบตามจริง  "ก็ได้นะ  แต่คงไม่สวยหรอก  ทำไม  เธอจะทำเหรอ"

"อือ"  เยลบอก  กึ่งมั่นใจกึ่งเกร็ง 

"ลองดู  ท่านคงไม่ว่าหรอก  ท่านก็รู้ว่าเราไม่ใช่คนที่นี่"

"โอเค"  เยลตอบ  ยืดตัวขึ้นดูมั่นใจขึ้นมาอีกนิดหน่อย  อิซซาเบลเพิ่งสังเกตว่าเด็กน้อยของเธอตัวโตขึ้นกว่าปีที่แล้วตอนเราเจอกันครั้งแรกเยอะทีเดียว  อาจเพราะอยู่ด้วยกัน  เห็นกันทุกวันจึงไม่ได้มองในจุดนี้  ที่จริงระดับการมองของเราก็เปลี่ยนไปมากอยู่นะ  เธอไม่ต้องก้มหน้ามองเยลแล้ว  ถึงอย่างนั้น  เยลก็ยังเตี้ยกว่ารุจ  น่าจะประมาณสองถึงสามนิ้ว

คุณชวดเขม้นดวงตาสีดำที่มีรอยฝ้าฟางหน่อยๆ หลังแว่นสายตามาหาพวกเราขณะที่รุจยังคงประคองท่านอยู่  เธอได้ยินรุจพูดภาษาไทยกับท่าน  คงจะแนะนำพวกเธอ  เธอเห็นแวบๆ ว่าเอลลี่ก็ไหว้ท่านไปแล้ว  ก่อนจะกอดท่านตามธรรมเนียมเรา  เอลลี่ไหว้สวยมั้ยน่ะหรือ  คงสวยกว่าเธอละ

ไม่ใช่แค่เยลที่ตื่นเต้นจนเหงื่อซึมแบบนี้หรอก  อากาศร้อนน่ะใช่  แต่ความรู้สึกรื่นเริงกึ่งกดดันนี่ต่างหากที่ทำให้เราสองคนรู้สึกแบบนี้  ที่จริงเธอไม่น่าจะเกร็งไปกับเยลด้วยเลย  จะว่าไปมันก็คล้ายกับตอนเจอซิลค์ครั้งแรก  ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธอเป็นแฟนกับพี่เอฟไม่ใช่แคลร์  เธอคงจริงจังเกินไปละมัง

คุณชวดพูดอะไรสักอย่างออกมา  แต่แน่ละ  เราสองคนไม่เข้าใจ  ท่านขมวดคิ้วแต่แทนที่จะหันไปบ่นกับรุจ  ท่านเปลี่ยนเป็นกวักมือเหี่ยวแห้งผอมจนเห็นกระดูกปูดโปนเรียกพวกเรา  เธอดันเยลให้ไปหาท่าน  เพราะคิดไปเองว่าท่านเรียกแต่เยล  กลับเป็นว่าท่านชี้นิ้วมาทางเธอด้วย  และเธอก็เห็นว่ารุจพยักหน้าอยู่ตรงหางตา  ตอนนั้นเธออยากจะบอกท่านว่าเราควรจะเข้าไปหลบร้อนกันที่ไหนสักที่ที่ดีกว่าร่มไม้ของต้นไม้ซึ่งท่านยืนอยู่ใต้มัน  หากเมื่อเธอเดินเข้าไปถึงจุดนั้นก็รู้ว่าเหตุใดท่านจึงยืนอยู่ได้  เพราะใต้เงาไม้มันเย็นมากเลยน่ะสิ 

แหงละ  ต้นไม้ให้อะไรเราหลายอย่างจะตาย  แม้กระทั่งวัชพืช

คุณชวดเป็นหญิงชราร่างเล็ก  เล็กกว่าเอลลี่เสียอีก  หรือเพราะท่านชรามากแล้วและปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันไป  ไม่เหมือนคุณย่าของเธอที่ยังไงก็ไม่ยอมแพ้สังขารง่ายๆ  หากร่างเล็กๆ ของท่านนี่แหละ  เธอกับเยลจึงถูกกวักมือให้ต้องก้มลงจนเกือบจะปวดหลัง  เพื่อให้ท่านได้เห็นหน้าพวกเราชัดๆ  แล้วท่านก็พูดอะไรที่พวกเราฟังไม่ออก  แต่รุจก็ทำหน้าที่ล่ามได้อย่างดีเช่นเคย  ยกเว้นหัวเราะมากไปหน่อยจนถูกท่านดุ (เธอคิดว่าแบบนั้น  ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องสักคำ  นอกจากชื่อรุจ)  ท่านลูบแก้มเยลด้วยมือสั่นเทาจากความชรา  เยลมองท่านแล้วหันมามองรุจซึ่งยืนประกบท่านแทนไม้เท้าไปแล้ว  พอรุจพยักหน้า  เยลจึงไหว้ท่านแบบเงอะงะแต่ดูตั้งใจมากๆ  นำรอยยิ้มสุขใจกับน้ำหยดเล็กๆ มาตรงหัวตาของหญิงชราซึ่งรับไหว้เหลนด้วยการยกมือสั่นเทาข้างเดิมแตะหลังมือของเยล  มันเป็นภาพที่ทำให้เธออึ้งไปหน่อยๆ เพราะไม่เคยเห็น  ญาติผู้ใหญ่ของเธอมีแค่ย่ากับปู่  ตากับยาย  รุ่นชวดกับทวดนี่ไม่มีแล้ว  แถมพวกท่านก็ไม่ได้มีท่าทางซาบซึ้งดีใจอะไรขนาดนี้ด้วย  ย่าของเธอดุและไว้ท่าที  เธอคงฝันไปถ้าจะให้ท่านทำแบบนี้

กว่าเราจะย้ายฉากน่าประทับใจมาอยู่ในบ้านแทนก็ตอนที่แก้มเยลแดงเป็นมะเขือเทศสุก  หน้าเธอก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่  เรานั่งบนพื้นไม้ซึ่งยกระดับสูงขึ้นมาจากทางเดิน  แต่จุดที่คุณชวดนั่งอยู่เป็นเบาะบางๆ สีเข้ม  มีหมอนรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่เอาไว้พิง (เธอจำได้ว่าเคยเห็นภาพที่นั่งแบบนี้ตามหนังสือหรือเว็บไซต์เกี่ยวกับเมืองไทย)  เราได้รับน้ำเปล่าที่เสิร์ฟด้วยขันเงินมีดอกมะลิลอยอยู่  คล้ายกับครั้งที่เธอมาเมืองไทยครั้งแรกแล้วไม่กล้าดื่ม  และปฏิเสธมันไป  เธอจ้องหน้าเยลก่อนน้องจะซดมันไปอึกใหญ่อย่างกล้าหาญโดยไม่สนใจว่ามันจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนหรือเปล่า  เมื่อเธอลองมันบ้าง  กลับพบว่ามันหอมมากและเย็นชื่นใจกว่าน้ำในตู้เย็นปกติ  และรุจก็กระซิบพากย์ให้เธอเข้าใจว่าน้ำแบบนี้มันไม่อันตราย  ยกเว้นว่าดอกมะลิจะฉีดยาฆ่าแมลงมา  ซึ่งของที่นี่รับรองไม่มีแบบที่ฉีดยาแน่  เพราะเด็ดมาจากต้นที่คุณชวดสั่งให้คนสวนปลูกไว้

เราใช้เวลาส่วนใหญ่ที่นี่ไปกับการนั่งฟังการพูดคุยที่เราฟังไม่เข้าใจ  โดยพยายามอย่างมากที่จะไม่นั่งบิดตัวไปมาจากความเมื่อยขบเพราะการนั่งท่าเดียวเป็นเวลานาน  แถมนั่งบนพื้นอีก  และแล้วเวลาแห่งความทรมานของเราก็สิ้นสุดลงเมื่อรุจหันมาบอกเยลว่า  คุณชวดอนุญาตให้ไปเดินเล่นได้  ให้พาเธอไปด้วยก็ได้  เยลจึงไม่รีรอที่จะชวนเธอลงบันไดบ้านมาทันที  ถึงจะทุลักทุเลนิดหน่อย  เพราะขาเราทั้งคู่ชาจนแทบไม่มีความรู้สึก  เมื่อลงมาถึงสวนด้านล่างซึ่งตอนนั้นแดดร่มลมตกแล้ว  เราก็เดินดูต้นไม้ใกล้ๆ บ้านกันคล้ายกับเวลาเราเดินเที่ยวตามที่อื่นๆ  หยอกกันบ้าง  อะไรบ้าง  แต่พยายามจะไม่เล่นอะไรประเจิดประเจ้อ  อย่างเช่น  จูบกัน  ถึงเราจะเป็นคนต่างชาติ  หากเมื่อมาอยู่ในบ้านคนไทยแท้ๆ อย่างนี้  ก็ควรจะเคารพสถานที่สักหน่อย  เรื่องนี้ไม่ต้องให้รุจมาคอยเตือน  พวกเธอก็ไม่ทำอยู่แล้ว

เราเดินกันอยู่สองคนได้พักหนึ่ง  ประมาณสิบนาทีได้  ก็มีเด็กหนุ่มที่เธอจำได้ว่ามาช่วยยกประเป๋าสองคนเดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาด้วยท่าทางอายๆ  แต่ดูคาดหวัง  ซึ่งเธอมองออกว่าพวกเขาคาดหวังอะไร  พวกเขาผลักกันไปกันมาคล้ายจะเกี่ยงกันว่าใครจะเข้ามาก่อน  พอคนหนึ่งจะเดินเข้ามา  เยลก็หันไปพอดี  แล้วก็เป็นไปตามคาด  เยลชูนิ้วกลางให้พวกเขา  หน้าตาบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ  สองหนุ่มยิ้มแหยๆ ทำท่าคล้ายจะยอมแพ้กลับไป  หากคนที่ดูจะกล้ากว่านิดหน่อยก็ถีบอีกคนเข้ามาทางเธอ  แน่นอนว่าเธอต้องหลบได้อยู่แล้วละ  จากประสบการณ์ยี่สิบห้าปีที่เกิดมา  แต่เยลก็ดึงเธอมาข้างตัวด้วยความเร็ว  และจ้องพวกเขาด้วยแววตาดุเดือด  เธอกลัวเหลือเกินว่าเราจะมีเรื่องกัน  แล้วเด็กหนุ่มคนที่ถีบเพื่อน (หรืออาจจะเป็นน้อง) เข้ามาก็ยิ้มขำๆ  พลางยกสองมือยอมแพ้  จากนั้นเขาก็เริ่มต้นพูดภาษาอังกฤษกับเราด้วยสำเนียงของเขาที่ดีใช้ได้เหมือนกัน  สรุปได้ว่าเขาเป็นญาติของเยล  เป็นลูกชายของพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของรุจ  และคนที่เขาถีบเข้ามาก็เป็นน้องของเขา  พวกเขาก็แค่อยากทำความรู้จักกับเราเฉยๆ  แต่พอเห็นเยลทำท่าทีไม่ต้อนรับ  เขาจึงอยากแกล้งสักหน่อย  ฟังดูเป็นคำอธิบายที่ดี  หากจะถามว่าเธอเชื่อไหม  ตอบได้เลยว่า  'ไม่'  จากประสบการณ์ยี่สิบห้าปีนั่นแหละ  เยลก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน  ถึงยังทำหน้าตาไม่รับแขกอยู่  ก่อนพวกเขาจะยอมปล่อยให้พวกเราอยู่ตามลำพังก็ตอนที่เสียงผู้หญิงคนไทยร้องเรียก  เธอได้ยินชื่อพวกเขาที่แนะนำกับเธอจากประโยคภาษาไทยของหญิงกลางคนคนนั้น  แม้จะไกลจากที่พวกเธอยืนกันอยู่  (เป็นบ้านอีกหลังที่อยู่ในเนื้อที่เดียวกัน) ก็ยังพอมองออกว่าพวกเขาคงเป็นแม่กับลูกกัน  แถมสองคนนั่นก็ดูเกรงใจด้วย  ถึงอย่างนั้น  พวกเขาก็ยังไม่วายวางระเบิดทิ้งท้ายไว้ด้วยคำว่า 'I like your girlfriend, she's too pretty to be yours'  เยลนี่กำหมัดแน่นเลย

"ฉันจะฆ่าพวกเขาแน่  ถ้าไม่รีบไสหัวไป"  เยลพูดตาวาววับ  อิซซี่รีบคว้ามือเด็กวัยรุ่นใจร้อนเอาไว้และบีบมันเบาๆ อย่างปลอบโยน  ความโกรธในดวงตาของเยลจึงลดลง  ถึงอย่างนั้นก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี

"ช่างพวกเขาเถอะ  พวกเขาก็แค่อยากแกล้งเธอ"

"ดี  ฉันจะได้แกล้งคืนบ้าง"

"ไม่เอาน่า  เยล  เรามาเยี่ยมชวดเธอนะ  ไม่ได้มาหาเรื่อง  เดี๋ยวเราก็กลับบ้านเราแล้ว"  อิซซาเบลประเหลาะ  ตบท้ายด้วยการชะโงกหน้าไปหอมแก้มหนึ่งที  เยลเกือบจะยิ้มแล้ว  ถ้าไม่มีเสียงโห่ดังขึ้นมาก่อน  วอนแล้วไงล่ะ  เจ้าพวกนั้น

"เยล  ไม่เอานะ  ฉันไม่ชอบอันธพาล"  เธอยื่นไม้ตาย  เยลหยุดทันที  หากยังตวัดดวงตาคมกริบไปทางที่เสียงดังมา  แจกนิ้วกลางยาวนานจนกว่าเธอจะลากกลับมาขึ้นบ้านได้  ตั้งแต่คบกันมายังไม่เคยเห็นเยลเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง  ตอนกับแคลร์ก็ไม่ได้เป็น  หรือเป็นแต่เธอไม่เห็น

"ทำไมถึงกลับขึ้นมาเร็วนักล่ะ"  รุจกระซิบถามเมื่อเด็กๆ เข้าไปนั่งข้างๆ  และเอะใจกับหน้าตาบูดบึ้งของลูกสาว  "ไปเจออะไรกันมาเหรอ"

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ  เรื่องหยอกเล่นของเด็กๆ น่ะ"  อิซซาเบลแย่งเยลพูดจนหมด  หยิกเอวเด็กหน้าบูดไปอย่างไม่แรงนัก  เยลทำหน้าเซ็ง  แล้วขยับไปหาคุณชวดซึ่งดูเหมือนจะคุยกับเอลลี่รู้เรื่องด้วยการใช้มือประกอบ 

"นี่ถ้าพูดไทยได้  คงจะฟ้องอะไรแล้วใช่ไหม"  รุจพูดอย่างรู้ทัน  อิซซี่ยิ้มแหยๆ  แปลได้ว่าตนพูดถูกเป๊ะ  "อาได้ยินนั่นแหละ  แต่หนูรู้ใช่ไหมคะ  ว่าเราไม่ควรมีเรื่องกันที่นี่  เดี๋ยวเราก็ไปกันแล้วและไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มาอีก"

"ค่ะ  ให้ท่านเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้ดีกว่า"  อิซซาเบลเห็นด้วย 

"นี่แหละ  อาถึงไว้ใจหนูนะ  รู้ไหม"  รุจว่า  คนฟังยิ้มประหม่า  รู้สึกคล้ายจะลอยได้อย่างไรอย่างนั้น  "คุณชวดตั้งชื่อไทยให้เยลด้วยละ"

"จริงเหรอคะ"  อิซซี่ถาม  เสียงตื่นเต้นจนเยลหันมามองฉงนใจ  เธอจึงแอบยักคิ้วให้ตอนคุณชวดไม่ได้มองมา  "ชื่ออะไรเหรอคะ  เรียกยากแบบชื่อรุจหรือเปล่า  แล้วชื่อรุจแปลว่าอะไรคะ  หนูถามได้ไหม"

"แปลว่า  'รุ่งเรืองในความรัก' ค่ะ"  รุจบอก  อิซซี่ยิ้มขำ  แต่ดูท่าทางเห็นด้วยมากๆ  "ตลกล่ะสิ"

"ไม่หรอกค่ะ"  อิซซาเบลส่ายหน้า  "แล้วเยลล่ะคะ"

"วรินทร์"

"อะไรนะคะ  วะ...รีน"

"วรินทร์ค่ะ"  รุจิกานต์แก้  ยิ้มขบขันเด็กฝรั่งออกเสียงคำไทยไม่ได้  เธอเองก็ใช่จะสำเนียงดีนักหรอก  แต่ก็ดีกว่านั่นแหละ  "ออกเสียงยากหน่อย  แต่ความหมายก็โอเคนะคะ  แปลว่า  ดีและยิ่งใหญ่"

"ว้าว"  อิซซี่อุทานทึ่งๆ  "แล้วเยลรู้หรือยังคะ  เจ้าตัวจะออกเสียงชื่อตัวเองได้หรือเปล่าก็ไม่รู้  ดีนะ  หนูไม่มีชื่อไทย"

"อยากได้บ้างไหมคะ  จะให้คุณชวดตั้งให้"

"ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ  รุจ"

รุจิกานต์ยิ้มเหมือนขำเธอมาก  อิซซาเบลเขินจนหน้าแทบระเบิด  ไม่อยากเชื่อว่าคนอายุมากกว่าตนจนเกือบเป็นแม่ลูกกันได้จะทำแบบนี้ได้

"คุณชวดอยากให้เราค้าง  แต่อาบอกไปว่าหนูต้องรีบกลับไปทำงาน  อาเองก็มีงานรออยู่ที่ปารีสเหมือนกัน  ท่านก็เลยผิดหวังนิดหน่อย"

"แล้วจะไม่เป็นไรเหรอคะ"

"ไม่เป็นไรค่ะ  ท่านชินแล้วละ"

อิซซาเบลทำหน้าเข้าใจ  พลางเลิกคิ้วให้เยลที่มองมา  ดูเหมือนจะสงสัยว่าเราคุยอะไรกันมากกว่าจะทำท่าหวงแบบทุกครั้ง  ซึ่งมันดีกว่าเดิม  เธอไม่อยากให้เราต้องเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ  มันบั่นทอนกันเปล่าๆ

"ต้องขอโทษหนูด้วยนะ  ที่เยลเอาแต่ใจแบบนี้"

สุ้มเสียงเกรงใจของรุจดึงสายตาเธอกลับไปมองดวงตาคมแบบเดียวกับแฟนตัวเอง  ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นฉบับของมันเลยละ  และครั้งหนึ่งมันก็เคยทำให้เธอหลงเพ้อไปหลายวัน  กว่าจะทุบหัวตัวเองให้จำได้ว่ารุจน่ะแต่งงานแล้ว  อายุมากกว่าเธอเยอะ  ไม่มีทางที่จะชอบเธอแบบนั้นได้  และเธอก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย  ซึ่งตอนนั้นก็คือพี่เอฟ

"มันก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ  รุจ  หนูเข้าใจ  หนูก็เคยเป็น  พอโตกว่านี้ก็หายไปเอง"

"ดีจังเลยเนอะ  ที่เยลไปเจอหนูทันเวลาพอดี"

อิซซาเบลตงิดใจแปลกๆ กับประโยคนี้  แต่ไม่มีเวลาได้ซักไซ้อะไรรุจ  เพราะคุณชวดเรียกเธอเข้าไปหา  พูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจ  แต่รุจแปลให้ว่า  เธอหน้าตาเหมือนสาวฝรั่งโบราณสมัยวิกตอเรียน  พอได้ยินแบบนั้น  เยลก็ร่วมด้วยว่าเหมือนแม่ชีสวยๆ ในโบสถ์  เธอทำใจแข็งไม่แย้ง  หรือเถียงเยลไป  ถึงจะหมั่นไส้น่าดู  ถึงอย่างนั้น  เยลก็คงรู้ละว่าต้องเตรียมตัวรับมือเธอไว้

เรากินมื้อเย็นกันที่บ้านคุณชวดตอนห้าโมงเย็น  ซึ่งถือว่าเป็นเวลาเร็วมากสำหรับเธอกับเยล  รุจกับเอลลี่คงเหมือนกัน  แต่เธอเข้าใจว่าสำหรับคนอายุมากอย่างคุณชวด  นี่ก็ถือว่าค่ำเกินไปแล้วละ

อาหารของคุณชวดเป็นอาหารอ่อนๆ ของคนชรา  แตกต่างจากของพวกเราโดยสิ้นเชิง  เธอนึกดีใจที่ไม่ต้องนั่งกินอาหารกับพื้นเหมือนตอนนั่งคุยกัน  เพราะมันคงลำบากไปหน่อย  เธอไม่ชิน  มันไม่เหมือนนั่งกินขนมไป  อ่านหนังสือไป  แต่คิดอีกที  ถ้านั่งกินกับพื้นในลานกลางบ้านเรือนไทยของคุณชวดอาจจะดีกว่าการมานั่งอยู่ในบ้านของคุณลุงเยล  ที่สองหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเยลหรือแก่กว่านิดหน่อย  คอยส่งสายตาวิบวับมา  โดยที่เยลนั่งหน้าเหมือนยักษ์ไม่พูดไม่จาอยู่ข้างเธอ  และแทบจะไม่แตะต้องอาหาร  ถ้ารุจไม่คอยกระซิบว่า  ห้ามเสียมารยาทในโต๊ะอาหารเด็ดขาด  เยลจึงต้องจำใจกินมัน  ด้วยสัญญาเอาไว้ว่าจะไม่ดื้อ  ถ้าคุณแม่พามาที่นี่

เรารอจนคุณชวดเข้านอนตอนสองทุ่ม  บอกลาท่านกันครบทุกคน  โดยรุจกับเยลอยู่กับท่านนานที่สุดเท่าที่จะทำได้  จนกว่าท่านจะไล่พวกเขาออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เล็กน้อยแต่สดใสแบบที่เธอได้ยินครั้งแรกตอนท่านทักพวกเรา  เธอจำได้ด้วยว่าท่านพูดอะไรกับเธอตอนเธอไปลา  รุจแปลให้ว่า  ท่านขอให้เธอสัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีก  ถ้ามีโอกาสมาเมืองไทย  มาคนเดียวก็ได้ไม่จำเป็นต้องมากับรุจหรือแม้แต่เยล  เธอรับปากท่านพร้อมกับกุมมือผอมแห้งมีแต่กระดูกของท่านเอาไว้  และหวังอย่างยิ่งว่าจะได้มาอีกครั้ง  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป  ตอนเยลออกมาจากห้องนอนของท่านพร้อมกับรุจ  เธอคิดว่าเยลคงรู้สึกไม่ต่างจากเธอ  หรืออาจรู้สึกมากกว่า  เรามองหน้ากันเนิ่นนาน  คล้ายจะบอกกันและกันว่าเราจะมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน  แต่สำหรับเยลคงต้องเพิ่มไปด้วยว่า  ครั้งหน้าจะใจเย็นให้มากขึ้น

"ไง  ไม่อยากกลับบ้านแล้วเหรอ"  เธอถามเมื่อเห็นเยลเหลียวหลังมองบ้านเรือนไทยของคุณชวดด้วยใบหน้าคล้ายคนจะร้องไห้ 

เธอว่าเธอเข้าใจเยลนะ  มันเป็นความรู้สึกที่พูดออกมาลำบาก  เวลาที่เห็นใครสักคนต้องการเรา  รักเราโดยไม่มีเงื่อนไข (อาจมีนิดหน่อย  ตรงที่เราเป็นญาติ)  อยากเจอเราทั้งที่เรายังไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้เลย  เพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

"ขอกอดทีสิ  อิซซี่"  เยลพูด  ทำหน้าตาเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ  แต่ความจริงตัวโตกว่าพวกมันมากทีเดียว  อิซซาเบลไม่ได้มองไปทางเอลลี่ที่นั่งอยู่ข้างเธอเหมือนตอนขามา  และไม่ได้มองรุจิกานต์ตรงเบาะหน้าด้วย  หากเธอรู้ดีว่าพวกเขามองอยู่  ได้ยินอะไรๆ ที่เยลพูดด้วย  ถึงอย่างนั้น  เธอก็จะทำแบบนี้แหละ 

อ้าแขนให้เยลเข้ามาซุกในอ้อมอกของเธอ

นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เยลซุกหน้าอยู่กับซอกคอของเธออยู่เงียบๆ  โดยมีมือของเธอลูบศีรษะกับแผ่นหลัง  แล้วเอลลี่ก็กระซิบเบาๆ ว่าเยลหลับไปแล้ว  เธอก็ยิ้มตอบไป  พลางลูบแก้มที่มีคราบน้ำตานิดหน่อย  เช็ดมันออกให้เยลอย่างเบามือ  ตอนนั้นเองที่เธอสบตากับรุจซึ่งหันมามองจากเบาะหน้า

Merci  [แมร์-ซี] ขอบคุณ

รุจขยับปากแบบไม่มีเสียงมา  เป็นคำพูดสั้นๆ ที่แววตาของดวงตาคมกริบคู่นี้สื่อสารได้มากกว่า 

Avec plaisir  [อา-แวก แปล-ซี-เรอะ] ด้วยความยินดี...เธอตอบ



.........................


ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากอ่านกันเท่าไหร่นะคะ  มันคงน่าเบื่อใช่ไหมล่ะ  ทนๆ เอาหน่อยเถอะ  อีกไม่นานก็จบแล้วละ   :21:

ล้อเล่น  :61:  :27:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

18 พฤศจิกายน 2017 เวลา 07:00:05
ก็แสนจะตามใจเยลกันขนาดนี้โตแล้วก็ไม่หายเอาแต่ใจหรอก
แสดงความคิดเห็น