web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 389
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 344
Total: 344

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 2  (อ่าน 891 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 2
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 14:56:56 »
ตอนที่ 02

พักกลางวัน

ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้งที่โรงอาหาร เสียงดังเอะอะโว้ยวายของเหล่าบรรดานักเรียนชายจริง  หญิงแท้  ลิง  คาง  บ่าง  ชะนี  เกย์ ตุ๊ด และสาวหล่อต่างแข่งกันแหกปากตะโกนเสียงดังเซ็งแซ่ บ้างก็วิ่งไล่ บ้างก็นั่งจับกลุ่มกินข้าว พูดคุยเมาท์มอยหัวเราะสนุกสนานส่งเสียงหึ่งๆ อย่างกับผึ้งแตกรัง

“กินไรกันดีว่ะพวกแก” มิ่งขวัญที่เดินนำหน้ากลุ่มเพื่อนเอ่ยขึ้น พลางเอี้ยวตัวหันกลับมามองหันซ้ายหันขวาขอความคิดเห็นจากบรรดาเพื่อนสาว six girl ของเธอที่ถือวิสาสะตั้งชื่อขึ้นมาเอง  แต่นู๋เดียร์บอกว่าเหมือนพวกติ๊งต๊องเรนเจอร์มากกว่า ฮ่าๆๆ  ขอจองสีชมพูด้วยแหว๋วซะไม่มีอ่ะ

“ข้าวแกงป้าน้อย เร็วดีไม่ต้องคอยนาน อร่อยด้วย” ชลธิดาตอบทันทีไม่ต้องคิดนาน ยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงอาหารจานอร่อยเจ้าประจำ

“กูกินก๋วยเตี๋ยว ใครจะเอามั่ง” มิ่งขวัญส่ายหน้าปฏิเสธข้าวแกงป้าน้อยไป วันนี้เธออยากจะซดน้ำร้อนๆ ล้างคอซักหน่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเหนียวเล็กๆ จุกอยู่ที่ลำคอ กลืนน้ำลายก็ยากลำบากสงสัยจะไม่ค่อยสบาย

เมื่อจัดแจงเรื่องของกินกันเป็นที่เรียบร้อย ต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยทัศนีย์เป็นคนไปจองโต๊ะ มิ่งขวัญไปซื้อก๋วยเตี๋ยวของตัวเองและชโลธร ชลธิดากับนุชนารถไปที่ร้านข้าวแกงและไม่ลืมที่จะสั่งข้าวให้ทัศนีย์และหนึ่งฤทัยด้วย ส่วนชโลธรและหนึ่งฤทัยแยกตัวไปซื้อน้ำดื่มตามออเดอร์ที่เพื่อนสั่งมา แล้วจึงค่อยไปรวมฝูง ‘ไม่ใช่’ รวมตัวกันที่โต๊ะอีกที

“เดียร์ๆ” เสียงเรียกที่คุ้นเคยทางด้านหน้า ทำให้ชลธิดาที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากชะงักลง เหลือบตาขึ้นมองมายังต้นเสียงก็เห็นณัฐกานต์ เพื่อนร่วมห้องที่ค่อนข้างสนิทสนมกับกลุ่มของตน กำลังมองสบตาจ้องมาที่ตนเองยิ้มๆ

ถึงจะอยู่กันคนละกลุ่มแต่ทุกคนในห้องก็สนิทสนมกันทั้งนั้น เพราะเรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ชั้น  ม.1 โดยเฉพาะกับกลุ่มของณัฐกานต์ที่มักจะมีเหตุไม่คาดฝันให้ต้องโดนเรียนไปด้วยกัน หรือไม่ก็มีกิจกรรมทางการกีฬาซึ่งมักจะมีเงื่อนไขติดปลายนวมอยู่เสมอด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้สนิทกันเข้าไปใหญ่

“มีไรเหรอนัท” อ้าปากถามพลางส่งข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มป่องเห็นแล้วน่าหมั่นเขี้ยวนัก

“เราไม่มี แต่คนอื่นมี” ณัฐกานต์บอกพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่มเหมือนกับมีนัยอะไรสักอย่าง  พลางยื่นมือมาหมายจะหยิกเข้าที่แก้มขาวให้หายหมั่นเขี้ยวซะหน่อย แต่ก็ถูกมือเรียวของชลธิดาปัดออกไปซะก่อน

“ใคร? อะไร? ที่ไหน? บอกมาเลยไอ้นัท   ริอาจมีจะมีเรื่องกับเพื่อนกู เดี๋ยวแม่จะจัดให้หนักเลย” ทัศนีย์พูดโพล่งออกมากลางวง พลางทำท่าถลกแขนเสื้อนักเรียนอวดเรียวแขนผอมแห้งเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ ‘เพื่อนข้าใครอย่าแตะเว้ยยยยย’

“เก่งจริงๆ เล๊ยยยย ทำท่าทำทางอย่างกับนักเลงหญ่ายย...นี่ถ้าเกิดมีเรื่องขึ้นมาจริงๆ แกจะเอาอะไรไปสู้กับเขาห๊ะ! ผอมกระหร่องเป็นไม้เสียบผีอย่างเนี๊ย โดนตบทีเดียวก็ลงไปนอนกลิ้งแล้วมั้ง” ชโลธรปรามาสเพื่อนสาวร่างผอม พลางส่ายหน้าระอากับความใจกล้าโดยไม่ดูสารรูปตัวเองจนอีกฝ่ายหน้างอ

“ไอ้อ้อม แกอย่าไปดูถูกมันนะโว้ยยย เห็นมันอย่างงี้ แต่มันมีของดีมีกระดูกเป็นอาวุธ แทงคู่กรณีตายมาหลายศพแล้ว ฮี่ๆ” ชลธิดาพูดกลั้วหัวเราะ พยายามกลั้นขำเมื่อเห็นทัศนีย์ทำปากพะงาบๆ เหมือนกำลังคิดสรรหาคำด่าเพื่อมาต่อว่าตน แต่ก็หามีคำพูดใดๆ ออกมาไม่ มีเพียงใบหน้าที่งอง้ำมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมของมัน

คำแซวของชลธิดาสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในโต๊ะอาหารได้ในทันที เพื่อนๆ ต่างขำก๊ากหัวเราะชอบใจกับมุขกวนบาทาของสาวร่างสูง แล้วไหนจะหน้างอๆ ชวนหัวร่อของทัศนีย์อีก

“อิเดียร์ อิเวร กูอุตส่าห์เป็นห่วงกลัวมึงจะไปมีเรื่องกับใคร เสือกย้อนมากัดพวกเดียวกันซะงั้น เดี๋ยวแม่ก็ตบกระบาลฉลองต้อนรับเปิดเทอมซะหรอก” ทัศนีย์ว่าอย่างมีอารมณ์ พลางทำท่าวาดมือไปบนอากาศกะจะแบบเบิรด์ๆ ลงบนหัวไอ้คนปากปีจอนี่สักทีให้หายแค้น

“เดี๋ยวๆ ไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีตงไม่มีตบอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้ที่ฉันจะมาพูดกับไอ้เดียร์เนี่ยคือเรื่องไอ้ก้อย เด็กห้องสิบนะมันแอบชอบแก มันเลยให้ฉันมาถามว่าแกมีใครหรือยัง ถ้ายังมันจะได้จีบแกมาทำเมียยย” ณัฐกานต์รีบเบรกก่อนที่ฝ่ามืออรหันต์ของทัศนีย์จะกระทบลงบนหัวชลธิดา  แล้วอธิบายเหตุผลที่มาหาในครั้งนี้ แถมยังเน้นประโยคสุดท้ายซะชัดเจน

ปู๊ดดดดดดด.....แค่กๆๆๆๆๆๆ

“ห๊ะ! แกว่าไงนะ” ชลธิดาเบิกตากว้างร้องอุทานด้วยความตกใจ (แต่มันก็ยังตี่อยู่ดี อิอิ)

ส่วนคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มก็พ่นน้ำมนต์สีแดงออกมาเป็นสาย ดีนะที่ไม่มีใครนั่งตรงข้ามมัน ไม่อย่างนั้นเสื้อนักเรียนสีขาวคงจะถูกย้อมเป็นสีแดงแน่ๆ ดูสิ ไอจนหน้าแดงเถือกไปหมดแล้ว

“เอมๆ เป็นไรไหม แหม...ได้ยินคำว่า 'เมีย' แค่นี้ถึงกับสำลักน้ำเลยรึไงแก”  ชโลธรยิ้มขำ พลางเอามือลูบหลังให้เพื่อนสาวตัวเล็ก ก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน

นุชนารถได้ยินประโยคขัดใจผสมกับน้ำเสียงล้อเลียน จึงตวัดสายตาพิฆาตส่งมาให้คนพูดได้รู้ว่าตอนนี้หมวยน้อยไม่สบอารมณ์อย่างหนัก กรุณาอย่าเอ่ยอะไรให้ขัดใจ ทำให้ชโลธรต้องรีบเม้มปากรูปกระจับเพื่อซ่อนรอยยิ้มกลั้นขำเอาไว้คนเดียว

“ก็อย่างที่บอกนั้นแหล่ะ ฉันก็บอกมันไปแล้วว่าแกยังโฉด เอ๊ย! โสด แต่มันก็ยังเซ้าซี้ให้ฉันมาถามกับแกให้แน่ๆ แล้วตกลงแกมีใครแล้วหรือยัง ฉันจะได้ไปรายงานมันถูก” ณัฐกานต์พูดเสียงเรียบเฉยไม่ได้สนใจอาการตกอกตกใจของเพื่อนร่วมห้องเลยซักนิด แต่กลับหยักคิ้วข้างเดียวส่งซิกให้หนึ่งฤทัยแบบรู้กันซะงั้น

“เรื่องอะไรจะบอก เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ หนังหน้าก็ไม่เคยเห็น อยู่ดีๆ ก็มาบอกว่าชอบแถมให้คนอื่นมาบอกอีกต่างหาก เชอะ!”  ชลธิดาเชิดหน้าว่าเข้าให้

“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น มันแค่ให้ฉันมาถามแกเฉยๆ มันจะได้รู้ว่ามันจีบแกได้หรือเปล่า อีกอย่างหน้ามันแกก็เคยเห็นแล้ว เพียงแต่แกไม่รู้จักชื่อมันเท่านั้นเองแหละ”

“เคยเห็นตอนไหนว่ะ” ชลธิดาทำหน้ามึนเพราะนึกไม่ออก

“ก็แถวหน้าห้องน้ำหญิงหลังตึกวิทย์อ่ะ เป็นทอมตัวสูงๆ แต่เตี้ยกว่าแกหน่อย ยิ้มเก่งๆ ชอบมาคุยกับแกที่หน้าห้องน้ำไง มันบอกว่าเคยขอน้องโบโรแกดูดด้วยนะ” หนึ่งฤทัยพูดขึ้นบ้างหลังจากเงียบมานาน

“....อืม...ทอม..น้องโบโร...อืมๆ อ๋อออ...ขี้เอาะแร่ะ” ชลธิดานั่งกอดอกลูบคางตัวเองไปมาเพื่อขุดคุ้ยภาพความทรงจำที่แสนจะอยู่ลึก (ลึกมากกก...เพราะนางเป็นคนจำหน้าคนไม่เก่งซะด้วย)

“หน้าตาเป็นไง” นุชนารถพูดแหวกออกมากลางวง สีหน้าบ่งบอกว่าอยากรู้จนปิดไม่มิด ช่วยไม่ได้อยากรู้นี่หว่า ทำเอาชโลธรลอบยิ้มที่มุมปากที่เพื่อนเธอออกอาการซะขนาดนี้

“เป็นทอม” สั้น ง่าย แต่กวนสุดตรีน

“ไอ้เดียร์!” สี่สาวที่ไม่เคยเห็นหน้าบุคคลดังกล่าว พูดขึ้นพร้อมกันอย่างกับนัดกันไว้แหนะ ส่วนหนึ่งฤทัยกับณัฐกานต์ได้แต่นั่งส่ายหัว

“แหะๆ ล้อเล่นน่า..หน้าตาเป็นไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าแกกลับไปบอกผู้ทอมเพื่อนแกละกันว่าฉันโนเคเข้าใจป่ะ”

“อ้าว ทำไมอ่ะ หรือแกมีแฟนแล้ว” หน้าเหวอเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้ แต่ยังยิงคำถามสวนกลับไปทันที ‘ก็ไหนอิหนึ่งบอกว่ายังไม่มีนี่นา’

“เปล่า ยังไม่มี” ชลธิดายักไหล่ขึ้นลง ลอยหน้าลอยตาตอบอีกคนโดยไม่สนใจหน้าเหวอๆ ของมัน

“แล้วทำไมปฏิเสธ” หัวคิ้วของณัฐกานต์หักลงเล็กน้อย ‘อินี่จะกวนตรีนไปถึงไหนว่ะ’

“เพราะฉันไม่ชอบทอมไงจบป่ะ!” สบตามองคู่สนทนาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเพื่อยุติการสนทนาในหัวข้อนี้

“เออ..จบก็จบ..ไปล่ะ” ณัฐกานต์ถอดใจเบาๆ ยอมรับกับคำตอบของสาวตรงหน้า เหลือบหันไปมองหนึ่งฤทัยนิดหนึ่งก็เห็นเธอส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้

ณัฐกานต์ทำท่าจะลุกออกไปจากโต๊ะเพื่อไปแจ้งข่าวกับเพื่อนผู้โชคร้าย แต่ก็ชะงักเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วหันกลับมามองหน้าชลธิดาซักถามข้อข้องใจอีกครั้ง

“หรือว่าแกเป็นทอม”

‘อ๊าวไอ้นี่ ทำไมมันขี้สงสัยจริง แล้ววันนี้กูจะได้กินข้าวไหมว่ะเนี่ย’ ชลธิดาหน้าเริ่มมุ่ย ไม่ยอมตอบคำถามแต่ตักข้าวคำโตใส่ปากแทน

ยิ่งชลธิดาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้ณัฐกานต์อยากรู้มากขึ้นเท่านั้น ‘ชิส์! ถามแค่นี้ทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมบอก’ ก็รู้ๆ กันอยู่เรื่องรสนิยมทางเพศของเพื่อนร่างสูงคนนี้ว่าเป็นอย่างไร ผู้ชงผู้ชายตัดทิ้งไปได้เลยนางไม่เคยชายตาแล แต่เวลาเห็นสาวๆ สวยๆ ซิ she มองตามคอแทบหักแล้วยังเงี้ยจะไม่ให้คิดได้ยังไงว่ามันเป็นทอม ท่าทางก็ออกห้าวหน่อยๆ แต่ไอ้นิสัยรักสวยรักงามชนิดหาตัวจับยากนี่ซิคิดแล้วยังงงๆ ตกลงว่ามันจะเมะหรือเคะกันแน่

อีกอย่างวีรกรรมเรื่องผู้หญิงของมันก็ใช่ย่อย ปีที่แล้วก็เล่นเป็นข่าวซุบซิบในหมู่นักเรียนด้วยเหตุที่ปีนเกลียวจีบรุ่นพี่ ม.3 สาวเปรี้ยวดีกรีดัมเมเยอร์สีแดง แถมยังทะลึ่งไปแอบซัมติงกับสาวหน้าหวานเพื่อนพี่เขาที่อยู่ห้องเดียวกันอีก เห็นบ้าๆ บอๆ แต่ร้ายนักนะ

เมื่ออีกคนไม่ยอมตอบดีๆ ก็ต้องใช้วิธีทางจิตวิทยาบังคับกัน ณัฐกานต์นั่งนิ่งๆ จ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่อย่างนั้น ‘เอาซิว่ะ ทนได้ทนไปกูจะมองกดดันมึงอยู่อย่างเนี๊ย ดูซิมึงจะทนได้ซักกี่น้ำ ยังไงซะวันนี้กูต้องรู้ให้ได้ว่ามึงเป็นทอมหรือเป็นดี้’ ณัฐกานต์นึกในใจ

‘แมร่ง มองหน้าหาแฟนรึไงว่ะ จ้องจนแทบจะทะลุเข้าไปในหัวอยู่กูแล้วเนี่ย นั่งจ้องกันขนาดนี้ใครมันจะไปกินข้าวลงกันฮึ’ หัวคิ้วของชลธิดาหักกดลงมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเหลือบตาตี่ของตัวเองขึ้นมามองหน้าไอ้คนไร้มารยาทอย่างเอาเรื่อง ก่อนโต้ตอบกลับไปด้วยอารมณ์ขุนเคือง

“ฉันชอบผู้หญิงก็จริง แต่ฉันไม่ใช่ทอมว้อยยย หายสงสัยหรือยังฉันจะได้กินข้าวซะที”

“เออๆ หายก็ได้ว่ะ แค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย ไปล่ะ” สถานการณ์ชักไม่ค่อยดีชิ่งหนีก่อนดีกว่า

“เฮอ~~~ หมดอร่อยเลยกู” ชลธิดาถอนหายใจหนัก รวบช้อนเข้าหากันแล้วเลื่อนจานออก หมดอารมณ์ไม่ต้องกงไม่ต้องกินมันแล้ว

“กินๆ เข้าไปเถอะนา เพิ่งกินไปได้นิดเดียวเอง พอถึงคาบบ่ายจะหิวเอานะ” นุชนารถเห็นอย่างนั้นก็เลื่อนจานกลับมาที่เดิม และบอกให้เพื่อนสาวข้างตัวกินข้าวกลางวันเพิ่มอีกซักหน่อยด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เอา ไม่อยากกินแล้ว รมณ์เสีย” ชลธิดาหน้ามุ่ย กอดอกส่ายหน้าไม่กินท่าเดียว

“ไม่ได้ต้องกิน! เอา! อ้าปาก...อ้าเร็วๆ เข้า” นุชนารถตวาดเสียงดัง ตักข้าวจ่อปากแม่จอมดื้อพูดเชิงบังคับให้ร่างสูงอ้างปากกินข้าวไวๆ

ชลธิดาสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆ สาวน้อยร่างเล็กข้างกายทำเสียงดุใส่เธอ คนตัวโตกว่ากำลังจะอ้าปากเถียง เป็นเหตุให้สาวหมวยได้จังหวะส่งช้อนเข้าปากอีกคนอย่างง่ายดาย

ในเมื่อข้าวเข้ามาอยู่ในปากแล้วก็จำใจจะต้องเคี้ยวๆ เสร็จยังไม่ทันกลืนดีช้อนคันเดิมก็กลับมาจ่อที่ตำแหน่งปากบางอีกครั้ง ไอ้ครั้นจะดื้อแพ่งไม่ยอมกินอีก แต่พอประสบกับสายตาดุเข้า ปากที่กำลังจะเม้มเข้าหากันก็พลันอ้าออกในทันที

กินไปกินมาชักเริ่มรู้สึกดีที่จู่ๆ ก็มีคนป้อนข้าวให้ ความรู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อสักครู่จึงค่อยๆ สลายไป กลายเป็นยอมอ้าปากรับข้าวไปเคี้ยวตุ้ยๆ แต่โดยดี  ‘เออดี ได้ฟิลลิ่งไปอีกแบบดีเหมือนกัน’

“โอ้ย..หมั่นไส้จริ๊งๆ สาธุขอให้ข้าวมันติดคอตาย” ชโลธรอดรนทนไม่ไหว กับฉากหวานที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า นึกหมั่นไส้ไอ้ตาตี่หน้าบาน นั่งยิ้มจนตาปิดเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนคนอีกก็ทำเป็นเก็กหน้านิ่งแต่จริงๆ คิดอะไรอยู่เค้ารู้นะต๊ะเอง ตั้งใจป้อนซะเหลือเกิ๊นนนนน

“อ้าว...ไอ้นี่พูดจา..อิจฉาอ่ะซิ ไม่มีใครป้อนข้าวให้” ชลธิดาเอี้ยวตัวหันกลับมามองชโลธรที่ยืนกอดอกมองอยู่ข้างหลัง ก่อนจะยักคิ้วให้หนึ่งทีลืมอารมณ์ขุ่นมัวที่ณัฐกานต์ก่อไว้เมื่อครู่จนหมดสิ้น ก่อนจะหันหน้ากลับไปเตรียมอ้าปากรอรับข้าวคำใหม่อีก

“หวานออกสื่อ เดี๋ยวก็ได้เป็นข่าวอีกหรอกแก แบบว่าเพื่อนกันกินกันเองอะไรอย่างเนี่ย” หนึ่งฤทัยพูดพลางส่ายหน้า

“อย่าได้แคร์ เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง อ่ะ! แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าทำตัวน่ารักอาจจะขยับฐานะให้ก็ได้ สนมั้ยจ๊ะๆ” ชลธิดาทำท่ายักไหล่อย่างไม่สนใจ ก่อนจะหันมาเอานิ้วเชยคางพร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่ให้นุชนารถได้ตาโต จนเผลอแอบเคลิ้มไปนิดๆ หลังจากตั้งตัวได้ก็รีบเสก้มหน้าตักข้าวในจานต่อ พยายามอย่างเต็มที่ๆ จะไม่ให้ใบหน้าแสดงอาการใดๆ ออกมา

“ไอ้มุขจีบสาวเที่ยวให้ความหวังเขาไปทั่วเนี่ย พอสักทีเถอะว่ะ ฟังแล้วจะแจกมะแหงก” ชโลธรว่าพลางง้างมือจะเขกกระโหลกเพื่อนสาว

“เฮ้ยๆ ไอ้อ้อม นี่แกจะซีเรียสไปทำไมว้า....ก็แค่พูดเล่นเฉยๆ อีกอย่างฉันไม่ได้แกล้งพูดจีบแกซะหน่อย ฉันแกล้งยัยเอมนี่ต่างหาก” ชลธิดารีบเบรก ก่อนที่มะแหงกจะลงมาเขกจริงๆ

“กับใครก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แกก็เป็นซะอย่างเงี่ย พูดจาไม่คิดหน้า คิดหลัง ทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย”

“ถึงฉันจะเป็นคนไม่คิดหน้า คิดหลัง แต่เวลารักใครก็คิดถึงกันเสมอนะว้อยยย จริงไหมจ๊ะเอมจ๋า”

“แหวะ” ชโลธรเบะปากใส่กับประโยคที่แสนจะเสี่ยว เอาเหอะ ปล่อยไปก่อนขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันแหล่ะ เพราะอย่างน้อยก็มีคนหนึ่งล่ะที่มีความสุขกับเหตุการณ์นี้  ชโลธรยกยิ้มที่มุมปาก ดูสาวตัวเล็กป้อนข้าวใส่ปากเด็กตัวโตต่อไป

<

<

เมื่อจัดการอาหารมื้อกลางวันเสร็จเป็นที่อิ่มหน่ำสำราญบานลงพุงแล้ว สถานที่สิงสถิตประจำกลุ่มต่อไปก็คือโต๊ะม้าหินข้างตึกวิทย์ ที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจในยามว่างจากวิชาเรียน

“พวกแก ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ” ชลธิดาขอแยกตัวออกไปทันทีที่มาถึงโต๊ะม้าหิน

“เฮ้ย ฉันไปด้วยกำลังปวดพอดีเลยว่ะ” ชโลธรวางถ้วยขนมหวานเย็นที่ซื้อติดมือมาจากโรงอาหาร แล้วเดินตามชลธิดาไป

“อ้อมรอด้วยดิ” นุชนารถรีบเรียกเพื่อนแล้วถลาเข้าหา พลางเกาะแขนเดินขนาบข้างเคียงคู่ไปกับชโลธร

ตาโตคู่สวยจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงกว่า ที่เดินนำหน้าออกไปไม่ไกล อดคิดถึงคำพูดที่ชวนใจเต้นเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ เล่นเอาอึ้งกิมกี่ไปเลยทีเดียว พอคิดขึ้นมาหน้าขาวใสก็เริ่มร้อนผะผ่าวความรู้สึกเคอะเขินเมื่อกี้ยังคงอยู่

ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นแค่เพียงคำหยอกล้อตามประสาเพื่อนฝูง ไม่ได้จริงจังหรือแฝงความหมายอะไรทั้งนั้น แต่สาวหมวยก็อดไม่ได้ที่จะหลงเข้าข้างตัวเองว่ายังพอมีสิทธิ์ สิทธิ์ที่จะคิดเกินกว่าคำว่าเพื่อน

“ดีจังเลยน๊า....วันนี้ได้ป้อนข้าวให้กันด้วย อย่างกับแฟนกันแหน่ะ สวีทกันซะไม่มีอ่ะ” ชโลธรใช้ไหล่บางกระแทกเข้ากับไหล่อีกคนเบาๆ พูดยิ้มๆ ทำแววตาล้อเลียนใส่อาหมวยน้อยให้ได้หน้าแดงเขินหนักเข้าไปอีก

“บ้า! สะวง สวีทอะไรกัน พูดจาเลอะเทอะ” นุชนารถทำตาโต พลางง้างมือตีเข้าที่ไหล่บางเบาๆ ของเพื่อนสาวที่ขึ้นชื่อว่ารู้ใจเธอมากที่สุดในกลุ่ม แถมยังเป็นผู้กุมความลับสุดยอดของเธอไว้อีกต่างหาก นึกกระดากอายกับคำกล่าวแซวที่ถูกอกถูกใจเธอยิ่งนักของชโลธร แต่ก็ต้องแสร้งวางฟอร์มไว้ก่อนเพราะไม่อยากถูกล้อไปมากกว่านี้

“แหมๆ ทำเป็นฟอร์มนะแก จริงๆ แล้วก็ชอบใจใช่ไหมล่ะ ดูซิหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ยังจะทำเป็นวางมาดอยู่อีก”

นุชนารถไม่ตอบ ได้แต่เดินฉีกยิ้มกว้างไปทั้งหน้า ดวงตาโตทอประกายแสงแห่งความหวัง

“เอม...ถามจริงๆ เถอะ ทำไมแกไม่บอกไอ้เดียร์มันไปเลยว่ะ ว่าแกรู้สึกยังไงกับมัน มัวแต่ทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงอยู่ได้ ระวังนะโว้ยยยย...เดี๋ยวใครมันมาสอยไปกินก่อนไม่รู้ด้วย แล้วจะหาว่าสวยไม่เตือน”

“แล้วแกจะให้ฉันบอกกับมันยังไง อยู่ๆ จะให้ไปบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นแฟนได้ไหมอย่างนั้นเหรอ แกก็เห็นว่ามันเคยมองฉันแบบนั้นซะเมื่อไหร่ อีกอย่าง ถ้าฉันบอกไปแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันหวัง ความรู้สึก ความสนิทสนมที่เคยมี มันก็จะไม่เหลือแถมมองหน้ากันไม่ติดอีกต่างหาก”

“เฮอ~~~แล้วจะเอายางงงงายยย จะตัดใจเลยไหมหรือจะรักเขาข้างเดียวเหนียวนึ่งอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะว่า ไม่ว่าทางไหนแกก็ไม่มีทางได้มันมาเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าแกยังคงอมพะนำอยู่อย่างนี้ ฉันจะบอกให้นะว่า บางครั้งคนเราก็มักจะมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากๆ  นอกเสียจากจะมีสิ่งกระตุ้น ตัวแกก็เหมือนกันมัวแต่เดินตามหลังแล้วเมื่อไหร่มันจะมองเห็นแกว่ะ ชีวิตคนเรามันสั้นนะว้อยยย รักก็บอก ชอบก็พูด โกรธก็รีบเคลียร์”  ชโลธรร่ายยาว ระอากับอาการใจป๊อดของเพื่อนสาวตัวเล็ก แม้ลึกๆ จะเข้าใจและกังวลกับปัญหาที่จะตามมาอย่างที่สาวหมวยว่า แต่ถ้าจะปล่อยให้เพื่อนเธอจมอยู่กับความรักที่ไม่สมหวังแบบนี้ สู้เธอหาวิธีกรุยทางให้เพื่อนสาวไปถึงเส้นชัยดีกว่า และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ไหล่ของเธอก็พร้อมเสมอที่จะเป็นที่พักซับน้ำตาให้กับเพื่อนสาวคนนี้

“แต่ว่า......” นุชนารถยังคงลังเลใจ ใช่ว่าเธอไม่อยากบอก แต่ก็อดที่จะกลัวกับสิ่งที่จะตามมาไม่ได้

“ไม่มีแต่ ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ ค่อยๆ รุกคืบเข้าไปมันไม่ทันรู้ตัวหรอก แกไม่เคยได้ยินรึไง ที่เพลงเขาว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แล้วหัวใจอ่อนๆ ของไอ้เดียร์มันจะทนได้ซักแค่ไหนกัน ยิ่งน่ารักๆ อย่างแก ผสมกับความหน้าม่อของมันด้วยแล้วยิ่งง่ายใหญ่เลย อ่อยมันทุกวันเดี๋ยวปลาก็ติดเบ็ดเอง”

“ห๊า!! ถึงกับต้องอ่อยเลยเหรอ” นุชนารถเบิกตาโตร้องเสียงหลง ดังไปถึงหูคนที่เดินนำหน้าให้หันกลับมามอง
เมื่อรู้ตัวว่าเสียงดังเกินไปก็รีบยกมือเล็กขึ้นมาปิดปากอิ่มทันที แต่ก็สายไปเสียแล้วเมื่อคนเดินนำจนไปถึงหน้าห้องน้ำแล้วย้อนกลับมาถาม ถึงประเด็นร้อนที่เจ้าตัวเพิ่งหลุดปากพูดเสียงดังไปเมื่อกี้อย่างใคร่รู้

“อะไร ใครอ่อยใครงั้นเหรอ? บอกมั่งดิอยากรู้อ่ะ” ชลธิดายื่นหน้ายื่นตาเข้าไปหาสาวหมวย สอบถามด้วยความอยากรู้เต็มที่ แหม..เรื่องแบบนี้ใครๆ ก็อยากรู้นะขร้า

“เปล๊า...ไม่มีอะไร ใครอ่อยใครไม่มี๊ไม่มีเนอะ” นุชนารถปฏิเสธเสียงสูง เบี่ยงหน้าหันไปหาชโลธรพลางทำท่าพยักพเยิดให้ ‘ก็จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าฉันนี่แหละที่จะอ่อยแก เหอๆ’

“จริงอ่ะ” ชลธิดาหรี่ตาที่แสนตี่หันไปถามชโลธรที่ยืนยิ้มแป้นพยักหน้าให้ เรียวปากรูปกระจับที่ยกยิ้มของยัยนี่ยามนี้ดูแล้วช่างน่าหมั่นไส้เสียจริง ดูก็รู้ว่าอินี่โกหกชัวร์!!!!!

ชลธิดาส่งเสียงจิจ๊ะในลำคออย่างขัดใจ ถามหน่อยก็ไม่ได้ ความลับเยอะกันจริงนะพวกมึง อย่าให้ถึงที่กูบ้าง แม่จะอมพะนำไม่ยอมบอก ให้อยากรู้จนอกแตกตายกันไปเลย

ในเมื่อไม่มีใครยอมปริปาก ชลธิดาเลยเป็นฝ่ายถอดใจหันหลังเดินต่อไป โดยมีสองสาวถอนหายใจเบาๆ เดินตามมา

“ไม่เข้าห้องน้ำหรือไงแก” นุชนารถที่กำลังก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดน ‘สุขา’ วดีหันมาถามอีกคนที่เดินเลยตรงไปยังบริเวณห้องน้ำเก่าที่ถูกปิดตาย

“แกเข้าไปก่อน ฉันไปหาน้องโบโรแป๊ป” ชลธิดาบอกพลางโบกมือไปมาโดยไม่ได้หันหน้ามองกลับมาที่คนถามสักนิด

“อืม” นุชนารถตอบรับสั้นๆ มองดูอีกคนเดินเลี้ยวหายไปที่มุมอาคารห้องน้ำเก่าอีกหลังซึ่งอยู่ติดกัน




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.