web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 109
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 101
Total: 101

ผู้เขียน หัวข้อ: What a Coincidence! Chapter 1  (อ่าน 2340 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 1
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 23:38:12 »
Writer's talk

There is no accident (ความบังเอิญไม่มีในโลก) คำๆ นี้ผุดขึ้นมาในหัวขณะที่กำลังนั่งรถกลับบ้าน และคำๆ นี้ก็กลายมาเป็นพล็อตเรื่อที่ทุกๆ ท่านอ่านอยู่ พร้อมฮาขี้แตก

ความบังเอิญของเพื่อสมัยเด็กสองคน บวกกับความเข้าใจผิด และความเอาแต่ใจ กระเทาะออกมาเป็นตัวละครอย่าง เรียว ฟาง รวมไปถึงตัวละครเสริมที่เข้ามาสร้างความสนุกสนานอย่างหยางและหยก รวมถึงโต้ง แนน และเคียว

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่บังเอิญได้เข้ามาอ่านเรื่องบ้าๆ รั่วๆ ของอิคนเขียนนะคะ

(ผลงานยูริลำดับที่ 3)

Chapter 1

ท่ามกลางสายลมที่พัดเอื่อยๆ ที่ทำให้รู้สึกเย็นสบายจนเกือบหนาวทำให้ฉันต้องลืมตาตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับอันแสนสบาย

“อ้ะ... ดาวสวยจังเลย” ฉันอุทานกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ดาวนับร้อยทั้งเล็กและใหญ่ส่องแสงระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้าเคียงคู่กับพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ไม่ไกลนัก สายตาของฉันในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นสายตาแบบ

พาโนรามาที่มองเห็นได้ถึง 180 องศา ท่ามกลางความมืดมิดและสายลมที่พัดผ่านไป

แต่... เดี๋ยวก่อน! นี่กูอยู่ไหนวะเนี่ย!

ไม่ทันขาดคำฉันก็ทะลึ่งตัวขึ้นมาจากท่านอนแล้วสอดส่ายสายตาไปรอบๆ

มืด... มืด... และมืด

เบื้องหน้าของฉันเป็นหุบเหวอันเว้งว้าง มันทำให้ฉันตกใจแต่แล้วก็มีสิ่งที่มากระตุ้นความทรงจำของฉันท่ามกลางความมืดมิด มันคือไฟฉายขนาดกลาง 1 อัน ฉันกดนาฬิกาข้อมือระบบดิจิตอลที่บ่งบอกว่าตอนนี้เวลา 19.30 น.

“เอ้อ... ให้มันได้อย่างนี้สิ” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วล้มตัวลงนอนกับก้อนหินแข็งๆ ต่อ

ฉันชื่อเรียวจันทร์ อิทธิไกรฤกษ์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ผานาน้อย อุทยานแห่งชาติ

ภูกระดึง ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ก็เป็นเพราะพี่ชายฝาแฝดตัวดีของฉัน นายคมเคียว...

...

 “ไอ้เรียว แกต้องไปภูกระดึงกับฉันนะเว้ย” พี่ชายฝาแฝดของฉันตะโกนขึ้นมาหลังจากที่ก้าวเข้ามาในบ้านไม่ถึง 10 วินาที

“ไปทำไมวะ”

“พวกพี่ภูมิจัดทริปเข้าป่าปิดกันก็เลยชวนไปด้วย”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไป อยากนอนอยู่บ้าน”

“เฮ้ยยย ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยเถอะ” ด้วยความสนิทกันมากคำแทนตัวเองและสรรพนามก็เริ่มออกบ่งบอกถึงอารยธรรมสมัยพ่อขุนรามฯ

“ทำไมต้องไปวะ” ฉันพูดพลางรวบผมหยักศกที่ยาวระบ่าขึ้นมามัด

“ก็พี่ภูมิเขาจะพาสาวๆ ไปด้วยน่ะสิ”

“อ่อ จะเอากูไปเป็นไม้กันหมาใช่มะ”

“เออ”

“อีกและ”

ด้วยความที่ว่าพี่ชายของฉันหน้าตาดี ที่มีคนบอกว่าหล่อเหมือนเคน ธีระเดช บวกกับโดม ปกรณ์ ลัม (แต่ฉันยังไม่เคยเห็นว่ามันหน้าตาดีสักครั้ง) ชอบดูแลตัวเองแบบหนุ่มเมโทรเซ็กชวล แถมหน้าที่การงานก็เป็นถึงสถาปนิกมือหนึ่งของบริษัทในเครือห้างสรรพสินค้าชื่อดัง สาวๆ ก็เลยมาตอมเหมือนแมลงวันตอมอุนจิ และฉันซึ่งเป็นน้องสาวก็มักที่จะเป็นหน้าด่านคนสำคัญในการกันทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ สาววัยรุ่น สาวประเภทสอง กะเทยหัวโปก ฯลฯ หรือใครต่อใครที่หวังจะกินพี่ชายของฉันให้ออกห่างในระยะที่ไม่น่าเกลียดมากนัก เนื่องจากว่าพ่อของพวกเราเป็นทหารที่ค่อนข้างเข้มงวด ท่านจึงไม่ค่อยอยากให้ลูกทั้งสองของท่านออกนอกลู่นอกทาง เรื่องมีแฟนน่ะเหรอรอไว้สามสิบค่อยคิด อันนี้พ่อบอกมา ส่วนแม่ของพวกเราเสียไปนานแล้ว

“ไปคราวนี้น้องคนไหนของมึงอีกล่ะ กูละเบื่อจริงๆ เลย ไอ้คราวที่แล้วทำระบมไปหมด ทำเลนส์กล้องแตกด้วย” ฉันเท้าความถึงการไปเป็นไม้กันหมาของพี่ชายในงานเลี้ยงวันวาเลนไทน์ได้ มีสาวๆ มารุมล้อมหมอนี่จนแทบไม่เห็นหัว และฉันก็ตกเป็นเหยื่อของการรุมทึ้งเพื่อที่จะเอาอกเอาใจน้องสาวฝาแฝดที่หน้าตาคล้ายกันอย่างฉันจนได้แผลมาเต็มตัว

“เอาน่าก็จ่ายค่าซ่อมไปให้แล้วไง คราวนี้มึงไปฟรีก็ได้ กูออกให้”

“แล้วนี่มีใครไปมั่งอ่ะ”

“พี่นพ พี่ภูมิ พิม แอม ใบเฟิร์น ฝ้าย แล้วก็ซี”

“เฮ้ย พี่นพ พี่ภูมิ พิม แอม ยังพอว่า แต่อีชะนีสามตัวข้างท้ายจะเอาไปทำไมวะ” ฉันถามด้วยเสียงอันดัง เนื่องจากว่าเลเวลในการเดินของสามสาวนั้นไม่สามารถที่จะขึ้นภูกระดึงได้ หรือแม้แต่เดินเจเจ ความสามารถของพวกหล่อนทำก็เพียงได้แค่เดินดูของในสยามพารากอน หรือห้างใหญ่ๆ ที่มีแอร์เย็นฉ่ำได้เท่านั้น

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แค่อยากขึ้นไปดูว่ามันมีอะไรแตกต่างจากตอนหน้าหนาว พูดแค่เนี้ยะพวกนี้ก็เลยตามมาด้วย”

“ไม่รู้แหละ กูไม่ดูแลนะเว้ย ดีไม่ดีรำคาญมากๆ เตะตกเขาซะเลย”

พี่ชายฉันยิ้ม “พูดงี้แสดงว่าไปด้วยใช่มะ”

“เออ ฟรีนะเว้ย ไม่ฟรีไม่ไป แล้วก็ไม่นอนเต้นท์เดียวกับพวกนั้นด้วย ขอนอนแยก”

“เออ ได้ คุณน้องขอมา คุณพี่ก็จัดให้”

...

และแล้วฉันก็ได้มายืนอยู่บนยอดภูกระดึงท่ามกลางเสียงบ่นแง้วๆ ของยัยชะนีทั้งหลายที่ตามพี่ชายฉันมาเป็นกระพรวน

“พี่เคียวขา... น้องฝ้ายเนื้อยเหนื่อยค่ะ นวดขาให้น้องฝ้ายหน่อยสิคะ” สาวหมวย ขาว อึ๋ม นามว่าฝ้ายร้องเรียกพี่ชายของฉันที่กำลังถ่ายรูปป้ายภูพิชิตภูกระดึงอยู่

‘จะเรียกทำไมวะ เรียกคนนึงเดี๋ยวก็ส่งเสียงร้องขอส่วนบุญกันอีกเป็นห่าใหญ่’ ฉันคิด

ไม่ทันที่จะขาดคำเสียงที่น่ารำคาญก็ดังขึ้น... เรื่องแบบนี้ทายได้แม่นแต่ทำไมกูซื้อหวยไม่เคยถูกฟะ

“ใบเฟิร์นร้อนอ่ะเคียว เหนื่อยด้วย เดินไม่ไหวแล้ว เคียวอุ้มใบเฟิร์นไปได้มั้ยคะ” เสียงกระเง้ากระงอดของสาวตาโต ผมยาวสลวยเคลียไหล่ ปากรูปกระจับดังขึ้นมาไม่ไกลจากฉันมากนัก

“ไม่ได้หรอกย่ะ เคียวต้องอุ้มฉัน” เสียงเล็กๆ แทรกขึ้นมา เป็นเสียงของซี สาวไทยที่มีใบหน้าคล้ายฝรั่งที่นั่งพับเพียบข้างๆ ต้นไม้ที่แห้งกรอบที่ไร้ใบ

พี่ชายของฉันก็ได้แต่หันมาส่งยิ้มแบบละลายใจสาวให้แล้วพูดว่า “แหม... ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ เอาเป็นเวลาพวกเราค่อยๆ เดินกันไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวกันดีกว่า เดี๋ยวผมจะช่วยถือกระเป๋าให้”

หมดคำพูดนี้ทำเอาสายตาของสาวๆ ส่องประกายระยิบระยับราวกับบอกว่า ‘แมนจังเลยค่ะพี่’

จะมีใครรู้บ้างมั้ยว่านรกกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อไอ้พี่ชายฝาแฝดตัวดีพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวผมขอให้เรียวคอยเดินพยุงใบเฟิร์นก็แล้วกันนะครับ เห็นว่าเดินไม่ไหว”

ฉันมองไปที่ไอ้หน้าเกือบหล่อทันที (เรียกมันอย่างนี้ก็แล้วกัน) พลางส่งสายตาเปรี๊ยะๆ ว่า ‘อย่านะมึง’ แต่มันกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ก็ได้ค่ะ” สาวตาโตพูด “เรียวช่วยพยุงเราหน่อยดิ”

แหน๊ มาทำเป็นสั่ง

“ลุกเองไม่ได้หรือยังไง เราก็เหนื่อยนะ” ฉันพูด

 “ก็เคียวบอกให้ช่วยเรานี่นา”

“เคียวบอก... แต่ฉันไม่ทำมีอะไรป่ะ”ฉันพูดและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วออกเดินไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย แต่ก็แอบจับพลังได้ว่ายัยนี่ส่งสายตาอำมหิตให้ฉันอยู่

“เรียว...” อยู่ๆ สาวหมวยอึ๋มก็วิ่งมาหาพร้อมๆ กันคล้องแขนของฉันให้ไปถูกับโนตมของเธอ เดินขึ้นมาเหงื่อก็ออก ยังจะมาเข้าใกล้อีก อย่านึกนะว่าชอบ กูเหนียวตัว นี่มันอะไรก๊านนนนน

“ว่า...” ฉันตอบด้วยเสียงขรึมๆ

“เราเดินไปด้วยกันน้า”

 “อื้อ”

ฝ้ายชวนฉันคุยเรื่องนู่น นี่ นั่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพี่ชายตัวดีของฉัน อ๋อ... นี่หล่อนตีสนิทฉันเพื่อเข้าถึงตัวไอ้เคียวใช่มะ

เมื่อเดินไปได้สักพักฉันก็เริ่มรำคาญยังหมวยนี่เต็มทน ก็เลยแอบชะแว้บตัวออกมาทำทีว่าจะถ่ายรูปดอกไม้ที่ขึ้นข้างทาง แกล้งทำเป็นปรับโฟกัสเลนส์หามุมถ่ายรูปจนยัยฝ้ายขี้เกียจรอและเดินตามคนที่เหลือไป ซึ่งทำให้ฉันสามารถสลัดยัย

หมวยอึ๋มคนนี้หลุดออกจากวงโคจร แต่แล้ว...

“ถ่ายรูปสวยจังเลยเรียว” เสียงแหลมเล็กดังอยู่ทางด้านหลัง ยัยซีมาแล้ว

“ขอบใจนะ”

แล้วหลังจากนั้นคุณเธอพูดไม่หยุดเลย พูดเป็นต่อยหอย พูดจนลิงหลับ พูดชักแม่น้ำทั้งห้าสาย สิบสาย ร้อยแปดสิบสาย พูดน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงอะไรก็ตามที่คุณเธอสามารถจะหยิบยกมาเล่าได้ เธอพูดหมดค่ะ พูดจนคนฟังอย่างฉันไม่ได้เปิดปากเลยสักนิดและเริ่มปวดที่กกหู เหมือนตอนที่คุยโทรศัพท์มือถือนานๆ

“เหนื่อยมั้ยเนี่ย พูดเก่งขนาดนี้” ฉันถามกลับเมื่อได้โอกาสเปิดปากพูด

“ไม่หรอก”

“แล้วเดินไปพูดไปไม่เหนื่อยเหรอ”

“ไม่ มันเป็นความสามารถพิเศษของเค้า”

เป็นความสามารถที่น่าซื้อทิ้งจริงๆ เลยพับผ่า

“เค้าร้อนอ่ะ” หยุดพูดได้ไม่ถึงสองวินาทีก็เริ่มบ่นอีกแล้ว

“ร้อนแล้วมาทำไมอ่ะ”

“เค้าอยากมาเที่ยวกับเคียวนี่นา เออใช่ ตัวเองห้ามเรียกเค้าว่าซีเฉยๆ นะ ต้องเรียกเค้าว่าพี่ซี เพราะอีกหน่อยเค้าก็จะมาเป็นพี่สะใภ้ตัวและ”

กรุณาถามสักคำได้มั้ยคะว่าคุณเห็นดิฉันเรียกไอ้หน้าเกือบหล่อว่า “พี่” สักคำหรือยัง จะให้กูมาเรียกว่าพี่สะใภ้เนี่ยนะ ไม่อาวววววววว

ฉันมองหน้าสาวเสียงเล็ก แล้วหันกลับไปมองไอ้คุณพี่ชายที่หอบหิ้วกระเป๋าถือของนางชะนีทั้งหลายอย่างพะรุงพะรังโดยที่มียัยใบเฟิร์นคอยวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังเช็ดเหงื่อให้ประหนึ่งสาวในหนังแขกที่วิ่งตามหาแฟนอย่างปลงๆ

และเมื่อซีกำลังจะเปิดปากพูดประโยคต่อไปเพื่อต้องการจะนินทายัยสาวตาโตอันเป็นสิ่งที่ฉันเดาทางถูก เพื่อไม่ให้กกหูของฉันต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉันจึงพูดประโยคเหล่านี้ใส่เธอเป็นชุด ประหนึ่งเพลงแร๊พของไทเทเนียมที่ประกอบไปด้วยภาษาสเปน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เยอรมัน รัสเซีย จีน และตบท้ายด้วยเกาหลี ภาษายอดนิยมในยุคปัจจุบัน

“Deja de hablar, Arrêter de parler, Hanashi o yameru, Aufhören zu redden, перестать говорить, Zhùkǒu, Heos-soli geuman”

สาวเสียงเล็กทำหน้าเอ๋อไปพักใหญ่ ซึ่งเหลือเวลาพอให้ฉันออกตัววิ่งไปข้างหน้าเป็นระยะทาง 50 เมตร

“มันแปลว่าอารายยยย เค้าไม่เข้าจายยยย” ซีตะโกนออกมา

“SHUT UPPPPPPP” ฉันตะโกนตอบออกไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของผู้ร่วมก๊วนอีก 4 คน คือ พี่นพ พี่ภูมิ พิม แอม ซึ่งซี้กับฉันพอสมควร

...
เมื่อมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และรับของจากลูกหาบแล้วก็เป็นเวลาที่ต้องกางเต้นท์ ชะนีสาวทั้งหลายถึงกับรับไม่ได้ที่ต้องมานอนเบียดกันสามคนในเต้นท์ขนาดกลาง ส่วนฉันได้นอนเดี่ยว คนเดียวในเต้นท์ขนาดเท่ากันทำเอาสาวตาโตรับไม่ได้

“ทำไมเรียวได้นอนคนเดียวล่ะ แล้วทำไมใบเฟิร์นต้องมานอนเบียดกับฝ้ายแล้วก็ซีด้วยละคะ” เสียงยัยใบเฟิร์นแหววใส่ไอ้หน้าเกือบหล่อ

“ก็ทำไงได้ละครับ เรียวเค้าเอาเต้นท์มาเองนี่นา ในเมื่อมันเป็นของๆ เค้า ผมก็ทำอะไรไม่ได้” ดีมากไอ้พี่ชาย อย่าให้ชะนีหน้าไหนได้มานอนกับกูเชียว

ยัยสาวตาโตยังคงงอแงไม่ยอมต่อไปจนอีกสองคนงอแงตามไปด้วย สมาชิกที่เหลืออย่างฉัน พี่นพหนุ่มใหญ่ผิวคล้ำรวยอารมณ์ขันวัยสี่สิบ พี่ภูมิหนุ่มหน้าตี๋เจ้าของ

ทริป พิมสาวอวบ และแอมสาวที่มีตัวสูงโย่งมองหน้าและส่ายหน้ากันไปตามๆ กัน

“เอามาทำไมอ่ะพี่ น่ารำคาญโคตรๆ” ฉันพูดกับหนุ่มตี๋

“เฮ้ย เราว่าเอาพวกนี้มาก็ดีนะ สนุกดีออกเหมือนได้ดูตลกเลยว่ะ ไม่แน่อาจได้ดูมวยด้วยนะเว้ย” สาวอวบพูดพลางหัวเราะคิกคัก

“อีกอย่างถ้าไม่เอาพวกนี้มานะ ทริปเราค่าใช้จ่ายคงบานเลยล่ะ ดีแล้วแหละได้มีคนช่วยหาร” สาวโย่งพูดขึ้นมาบ้าง

พี่นพตบไหล่ฉันเบาๆ “เอาเถอะเว้ยเรียว ไหนๆ ไอ้เคียวพี่ชายแกมันก็ไม่เลือกพวกนั้นเป็นแฟนอยู่แล้ว แกไม่ต้องไปคิดอะไรมากหรอก ถือซะว่านั่งดูตลกอย่างที่ไอ้พิมมันว่าก็แล้วกัน เผลอๆ จะตลกกว่าไปดูที่ร้านหมูกะทะอีกนะมึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ก็ดีนะพี่ แต่ผมว่าดูไปดูมาก็สงสารไอ้เคียวมันเหมือนกันนะที่ต้องมารับมือกับสาวๆ พวกเนี้ยะ เมื่อไหร่มันจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกะเค้าซะที”

“ลองถามน้องมันดูดิ” อ้าวพี่โบ้ยเฉยเลย

ฉันทำหน้าเซ็งๆ “อยากจะรู้เหมือนกันอ่ะพี่ว่าเมื่อไหร่มันจะมี หนูจะได้ไม่ต้องลำบากปุเลงๆ ไปไหนมาไหนกับมันแบบนี้ ถูกคนล้อมหน้าล้อมหลัง มาบอกว่าให้เรียกว่าเป็นพี่สะใภ้แบบนี้ หนูรับไม่ได้ว่ะ ถึงจะเป็นแฝดกันก็เถอะ ไม่รู้ว่ามันจะเรื่องมากไปถึงไหน”

“แกก็หาให้มันสักคนดิ” แอมพูด “เอาที่แกโอเคด้วย ถ้าแกเลือกให้ ฉันว่าเคียวกะพ่อแกก็จะโอเคด้วยนะ”

“ที่ทำงานแกไม่มีมั่งหรือไงวะ ไอ้ที่สาวๆ สวยๆ นิสัยดีๆน่ะ” พิมพูดพลางแกะลูกอมกิน

ฉันนั่งนึกคนที่รู้จักแต่ละคนในที่ทำงานของฉัน “เห็นทีคงยากอ่ะพี่ พี่ก็รู้ว่าหนูทำงานที่ไหน และคนระดับพวกนี้น่าจะเป็นยังไง”

ทุกคนเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดพร้อมกันว่า “เออ ใช่ว่ะ”

ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าฉันทำงานอยู่ที่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียแปซิฟิก หรือเรียกว่า UNESCAP นั่นเอง คนที่ทำงานที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหัวกะทิจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วเอเชียและแปซิฟิค ฉันจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานในนั้นได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เลยทีเดียวเชียวล่ะ คนทำงานที่นี่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นผู้หญิง (เอาเฉพาะคนไทย) มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีอายุ แต่งงานแล้ว ถ้าเป็นสาวๆ หน่อยก็จะมีแฟนแล้ว หรือถ้ายังโสดก็มักจะเป็นพวกเรื่องมาก ช่างเลือก เด็กเนิร์ด เรียนเก่งจนผู้ชายไม่กล้าจีบ ชอบเที่ยวจนไม่มีเวลาหาแฟน อุปนิสัยรักคานยิ่งชีพ รวมถึงมีโลกส่วนตัวสูง ซึ่งฉันจัดเป็นพวกสุดท้าย พวกชอบอยู่กับตัวเอง...

“เอาเว้ย เดี๋ยวมันก็คงหาได้เอง หรือไม่แน่แกอาจจะหาแฟนได้ก่อนมันซะด้วยซ้ำ” หนุ่มใหญ่พูด

“ไปถามพ่อหนูก่อนละกัน” ฉันว่า

“เหอเหอ ถ้าถึงกับให้ท่านนายพลต้องออกโรงเอง กระผมคงมิอาจไปยุ่งกับลูกสาวของท่านได้ กลัวโดนยิง”

พี่นพพูดล้อและพาดพิงไปถึงพ่อของฉันและเคียวที่เป็นพลเรือตรีที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ ผู้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเฮี้ยบและความดุอันเป็นที่เล่าลือของเพื่อนๆ ทั้งของฉันและพี่ชาย พ่อเคยเอาปืนออกมาขัดๆ ถูๆ ต่อหน้าหนุ่มใหญ่คนนี้หลังจากที่พบว่าเขาเมาแอ๋กลับมาพร้อมไอ้หน้าเกือบหล่อและนอนแผ่หราอยู่กลางบ้าน

“อย่าเพิ่งคุยกันเลยพี่ เรากางเต้นท์ให้เสร็จก่อนดีกว่า” แอมส่งเสียงเตือน ฉันและหนุ่มใหญ่จึงเดินไปจัดการกางเต้นท์ของตนเอง

พอกางเต้นท์เสร็จได้สักพัก พิมและแอมก็ขนเครื่องอาบน้ำเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนหนุ่มๆ ก็ไปนั่งดูทีวีที่ร้านอาหารใกล้กับจุดกางเต้นท์ โดยกระเตงสามสาวน่ารำคาญไปด้วย ก็เลยเหลือแต่ฉันที่ยังนอนอยู่ในเต้นท์

“ทำอะไรดีวะ น้ำก็ยังไม่อยากอาบ” ฉันบ่นพึมพำพลางมองไปที่ข้างตัวก็พบแผนที่ของอุทยาน

“ไปดูพระอาทิตย์ตกดีกว่า” มือไวเท่าความคิด ฉันฉวยกระเป๋ากล้องและไฟฉายขึ้นมาทันทีและเดินออกไปด้านนอก

ยังไม่ทันก้าวขาออกจากจุดกางเต้นท์ดี ไอ้หน้าเกือบหล่อก็ตะโกนเรียก “จะไปไหนวะ!”

“ไปไหนก็ได้!”

“เออ กลับมาให้ทันกินข้าวก็แล้วกัน อย่าไปไหนไกลนะเว้ย”

“เออ”

แล้วฉันก็สาวเท้าตรงไปทางเดินที่มุ่งไปสู่ผานาน้อย

...

ฉันยังคงนอนบนก้อนหิน และดูดาวอยู่อย่างนั้นด้วยอารมณ์ที่ยังไม่อยากกลับไปที่จุดกางเต้นท์ หมู่ดาวนับล้านดวงส่องประกายระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิด มีเสียงคนเดินผ่านไปมาประปรายหลังจากที่ได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักแล้ว เนื่องจากว่าจุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องเดินผ่านเพื่อกลับเข้าไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอันเป็นจุดกางเต้นท์และที่พัก
“อยากให้มีดาวตกจังเลย” ฉันพึมพำพลางเอามือชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่งแล้ววาดนิ้วลากลงมายังด้านล่าง

ฉับพลันนั้นราวกับเวทมนต์มีจริง! ดาวดวงที่ฉันวาดเมื่อครู่ก็กลายเป็นดาวตกขึ้นมาจริงๆ!

“เฮ้ย!” ฉันสะดุ้งตัวพรวดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ พร้อมๆ กับเสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ดังขึ้นมา

“อุ้ย! ดาวตก พี่เมคะดาวตกค่ะ!”

ฉันหันหลังกลับไปก็พบชายหญิงคู่หนึ่งเดินใกล้เข้ามาตรงที่ฉันนั่งอยู่ ในมือของชายคนนั้นมีโคมไฟที่ทำมาจากขวดน้ำพลาสติก ข้างในใส่เทียนเล่มน้อยที่ดูเหมือนว่ามันกำลังจะมอดดับลงในไม่ช้านี้ ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังหลับตาอธิษฐานกับดาวตกที่ฉันวาดเองกับมือ

เมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นมา เทียนเล่มเล็กที่อยู่ในโคมไฟก็ดับลง ความมืดมิดเข้ามาเยือนทั่วบริเวณ

“พี่เม...... ทำไมเทียนดับล่ะ ไม่เอานะ ฟางกลัว”

“เทียนมันหมดแล้ว เดี๋ยวนะพี่ขอหาอันใหม่ก่อน” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ควานหาเทียนในกระเป๋าเป้

เสียงนาฬิการะบบดิจิตอลของฉันส่งเสียงร้องออกมา ทำให้สองหนุ่มสาวสะดุ้งตัวโหย่งเพราะไม่คิดว่าจะมีคนอยู่แถวนี้ ส่วนฉันก็ยกไฟฉายขึ้นมาดูที่นาฬิกา ตัวเลขบนหน้าปัดบ่งบอกว่าเป็นเวลา 20.00 น. แล้ว มันคงจะถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปอาบน้ำสักที ว่าแล้วฉันก็ชันตัวให้ลุกขึ้นมายืนบนก้อนหิน

“ขอโทษนะครับ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นมา

“คะ” ฉันขานรับ

“พอดีว่าเทียนดับอ่ะครับ แล้วก็ไม่มีเทียนสำรองมาด้วย คือ... ขอไปด้วยได้มั้ยครับ” เขาพูดพลางมองไฟฉายที่อยู่ในมือของฉัน

“อ๋อ ได้ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ/ ขอบคุณครับ”

ฉันออกเดินพร้อมคู่รักคู่นี้ไปสักพักหนึ่ง การทำความรู้จักก็เริ่มขึ้น   “ผมชื่อเมครับ ฟังดูเหมือนชื่อผู้หญิงอันนั้นเป็นชื่อเล่น ชื่อจริงผมชื่อนทีครับ” ชายหนุ่มที่มีใบหน้าคมเข้ม จมูกโด่ง ปากบางๆ รูปร่างสมส่วนแนะนำตัวเอง

ส่วนสาวสวย ตาโต จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่ม หน้าตาเธอดูค่อนข้างแรงประหนึ่งนางร้ายที่สวยกว่านางเอกในละครน้ำเน่าหลังข่าวแนะนำตัวเองเช่นกัน “ชื่อฟางค่ะ ชื่อจริงชื่อทิฆัมพร นามสกุลประสิทธิพงศ์” ถามแค่ชื่อบอกมาซะเต็มยศเลยนะ แต่เอ... ชื่อนี้มันคุ้นๆ แฮะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

“แล้วคุณละคะ” เธอคนนั้นถามฉัน

“เรียวจันทร์ค่ะ จริงๆ แล้วไม่มีชื่อเล่น แต่เพื่อนๆ เรียกกันว่าเรียว” ฉันตอบบ้าง

“เรียวจันทร์เหรอ...” เธอคนนั้นลากเสียงยาว “ใช่เรียวจันทร์ อิทธิไกรฤกษ์หรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ”

“อ๊า... เรียว... จำเราได้มั้ย ฟางไง ที่เรียนด้วยกันตอนประถมไง” สาวหน้าแรง (ไปตั้งชื่อให้เค้าอีกและ) เขย่ามือฉันอย่างดีใจ

“ฟางเหรออออ” ฉันนึก “ฟางที่เป็นนางรำใช่มั้ย”

“อื้อ” เธอพยักหน้าอย่างกระตือรือล้น

“ฟางที่ตอน ป. 2 ยกมือตอบอาจารย์ว่าโตขึ้นอยากเป็นนางสาวไทยใช่ป่ะ”

“ใช่ๆๆ” เสียงแอบหัวเราะของหนุ่มหน้าคมดังขึ้นเล็กน้อย จนโดนสาวสวยทุบไปหนึ่งตุ้บ

“อ๋อ จำได้แล้ว ฟางเองเหรอ” และแล้วฉันก็ระลึกชาติจำเพื่อนในสมัยประถมได้สำเร็จ ฉันหันไปยิ้มกว้างๆ ให้เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“ไม่คิดเลยนะว่าจะได้เจอกันที่นี่” ฉันพูด “มาฮันนีมูนเหรอ” ด้วยความเซ่อเลยแอบถามเพื่อนและชายหนุ่มที่คาดว่าจะเป็นแฟนเพื่อน

“บ้า... มาเที่ยวกันต่างหากล่ะ” ฟางตอบแบบเขินๆ “พอดีพี่เมเค้ามีเวลาว่างเลยพามาเที่ยว”

“แต่เที่ยวภูกระดึงกับแฟน ตอนกลับลงไปไม่เลิกกันก็แต่งกันเลยนี่นา ฟางจะเป็นแบบไหนล่ะ” ฉันถามต่อ เล่นเอาฝ่ายชายหน้าแดง

“ก็หวังว่าคงจะเป็นอย่างหลังละครับ” ชายหนุ่มตอบแบบเขินๆ ส่วนสาวเจ้าไม่ได้ตอบว่าอะไร

“แล้วเรียวมาได้ยังไงล่ะ” เพื่อนสาวถามบ้าง

“มากับไอ้เคียว พี่ชายฝาแฝดของฉันไง จำได้ป่ะ พอดีมันจะมาเที่ยวแล้วพวกสาวๆ ที่ทำงานตามมาด้วย ฉันก็เลยต้องมามาด้วย”

“มาคุมพี่ชายเหรอครับ”

“เปล่าค่ะมาคุมสาวๆ พวกนั้นต่างหาก”

“ไหงงั้น”

“ก็คอยจ้องจับพี่ชายฉันไง หมอนั่นก็ไม่ยอมเลือกใครสักทีทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเทคแคร์ทุกคน พอดูแลได้ไม่หมดก็เอาฉันมาบังหน้าว่าต้องดูแลฉัน ก็เลยทำให้ฉันตกเป็นเป้าทำคะแนนของพวกนั้น”

“โห... ไม่เจอกันตั้งนายเคียวนี่เสน่ห์แรงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ไม่รู้สิ”


ฉากดาวตก ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงนี้


บทสนทนาของฉันและคู่รักก็ดำเนินต่อไปจนถึงจุดกางเต้นท์ ซึ่งฉันได้ข้อมูลมาว่าทั้งสองคนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้ทั้งๆ ที่เพิ่งจะมาถึงภูกระดึงเมื่อวาน เหตุผลที่ต้องเดินทางกลับก่อนก็คือเพื่อนของฉันงอแงอยากกลับและพี่เมเองก็มีงานด่วนที่ต้องไปทำ ฉันจึงชวนคู่รักคู่นี้ไปกินข้าวกับกลุ่มของฉันเพื่อเป็นการเลี้ยงส่ง ทั้งสองคนเข้ากับพวกเราได้ดีเลยทีเดียว พี่นพกับพี่ภูมิจ้องมองสาวหน้าแรงด้วยสายตาที่ส่องประกายวิบวับ ส่วนยัยชะนีสามตัวก็จ้องไอ้หน้าเกือบหล่อพี่ชายของฉันกับหนุ่มหน้าคมอย่างไม่วางตาเช่นเดียวกัน แถมยังส่งสายตาจิก กัด ตบให้กันเองอีกต่างหาก

“เคียวก็หล่อ พี่เมก็หล่อ ฝ้ายเลือกไม่ถูกเลยค่ะ” สาวอึ๋มพูดด้วยสีหน้าที่ออกแดงๆ

สาวเสียงเล็กก็ส่งเสียงพูดไม่หยุดปากเพื่อเอาใจสองหนุ่ม “อันนี้อร่อยนะคะเคียว อุ้ย! อันนี้ก็น่าทานค่ะพี่เมขา เดี๋ยวซีตักให้นะคะ อร้อยอร่อย ป้าคนนี้เค้าทำกับข้าวเก่งค่ะ ซีรับประกัน” เอ็งไปรู้จักป้าเค้าตอนหนายยย ได้ข่าวว่าเพิ่งจะเคยมา

“เคียวกับพี่เมช่วยส่งจานไข่เจียวให้ใบเฟิร์นหน่อยได้มั้ยคะ วันนี้เดินขึ้นมาเหนื่อยค่ะ อยากโด๊ปของที่ให้พลังงาน” สาวตาโตพูดด้วยเสียงกระเส่าและความหมายของประโยคนั้นสามารถตีความได้หลายประการ พลางถลึงตาโตๆ ให้โตขึ้นไปอีก รวมทั้งทำปากเจ่อๆ ให้ดูเซ็กซี่เหมือนอั้ม พัชราภา แต่ฉันเห็นว่ามันออกแนวเซ็กส์เสื่อมมากกว่า

สักพักสามชะนีสาวก็ส่งสายตาฆ่ากันเอง เมื่อสองหนุ่มเอาใจและดูแลอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม โดยไม่ได้ให้ความสนใจคนหนึ่งคนใดอย่างออกหน้าออกตา

‘คนนี้ของฉันย่ะ ฉันจองงง’ สายตายัยซีบอกขณะที่จ้องไปที่พี่ชายของฉันสลับกันพี่เม

สาวอึ๋มไม่สนใจมองข้ามหัวเพื่อนชะนีอีกคนสองแบบเฉยเมย ‘คนอื่นหลบไป ฝ้ายขอสองค่ะ น่ากินทั้งคู่เลย’

‘คนไหนก็ได้ แต่ฉันต้องได้ก่อนพวกหล่อน’ ตาโตๆ ของยัยใบเฟิร์นบอกขณะที่กัดริมฝีปากอิ่มๆ เล็กน้อยราวกับว่ากูจะแด๊กพวกมึงในวันนี้แหละ

“แม่ง... เห็นสายตาพวกนั้นแล้วสยองว่ะ” แอมพูดกับฉันเมื่อเห็นท่าทีบนโต๊ะอาหาร

“กูก็ว่างั้น” พิมเสริม เธอหันไปมองเพื่อนเก่าของฉันที่นั่งดูทีวีอยู่กับพี่ภูมิและพี่นพ “แต่เพื่อนแกนี่สวยจริงๆ เลยนะไอ้เรียว หุ่นก็ดี เอวเป็นเอว สะโพกเป็นสะโพก แถมอึ๋มอีกต่างหาก เห็นแล้วอิจฉาว่ะ มองดูไกลๆ นึกว่าเป็นดารามาจากไหนซะอีก”

“เหรอ ตอนเด็กๆ ก็ดูเฉยๆ นะ” ฉันว่า

“นี่ถ้าเค้าไม่ได้มากะแฟนนะ กูจะยุให้เป็นแฟนกับไอ้เคียว” สาวอวบพูดต่อ

“โห... จะให้เอาเพื่อนกูมาเป็นพี่สะใภ้กันเลยเหรอ”

“เออดิวะ ดูดิ ทั้งหล่อ ทั้งสวย เข้ากั๊น เข้ากันอย่างกับกิ่งทอง...” พิมกำลังจะพูดต่อแอมก็ขัดขึ้นมา

“กับใบตำแย”

“โห... อีนี่ กิ่งทองกับใบหยกเว้ย... แกว่าไงวะเรียว”

“ไม่รู้ดิ ไปอาบน้ำดีกว่า” ฉันพูดพลางลุกขึ้นยืนจากโต๊ะอาหาร

ก่อนที่ฉันจะเดินก้าวขาออกไปเสียงเรียกก็ดังขึ้น

“ไปไหนอ่ะเรียว” ฟางนั่นเอง

“ไปอาบน้ำ”

“ขอไปด้วยคนสิ ไม่อยากไปคนเดียว เค้ากลัว”

“อื้อ เอาดิ งั้นไปเอาของที่เต้นท์แกก่อนละกัน”

เต้นท์ของสาวหน้าแรงอยู่ห่างจากเต้นท์ของฉันไปประมาณ 3 – 4 แถว ฟางเข้าไปหยิบเครื่องอาบน้ำและเสื้อผ้าอยู่พักหนึ่งพอเสร็จแล้วก็เดินไปที่เต้นท์ของฉัน

“เรียว... แกนอนกับใครเหรอ”

“นอนคนเดียว”

“คืนนี้เค้ามานอนกับแกได้มั้ยอ่ะ”

“อ้าว ทำไมไม่นอนเป็นเพื่อนพี่เมล่ะ”

“เค้ากลัวพี่เมทำมิดีมิร้ายอ่ะ” เฮ้ย สาวหน้าแรงอย่างหล่อนเนี่ยกลัวผู้ชายทำมิดีมิร้ายด้วยเหรอ แล้วไอ้ผู้ชายคนที่ว่ามันแฟนหล่อนไม่ใช่หรือไง

“แฟนกันไม่ใช่หรือไง แล้วทำต้องกลัวล่ะ”

“เค้าแอบแม่มาเที่ยวน่ะ แม่ไม่ชอบให้เค้าไปไหนมาไหนกับผู้ชายด้วย” โฮ่ แล้วจะมาเที่ยวทำไมมิทราบ

“แล้วเมื่อคืนก็นอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ หรือว่าโดนอะไรมาแล้ว”

“เปล่านะๆ พี่เมยังไม่ได้ทำอะไรเพราะว่าเดินขึ้นมาก็เหนื่อยแล้ว พี่เมหลับเป็นตายเลยล่ะ ส่วนเค้าก็นอนแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะยังกลัวอยู่ เนี่ยเค้ายังกังวลอยู่เลยว่าคืนนี้จะเป็นยังไง พี่เมคงไม่ปล่อยเอาไว้แบบนี้แน่เลย”

สาวหน้าแรงพูดเสียงอ่อยพลางส่งสาวตาอ้อนวอนมาให้ฉัน ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ห้องอาบน้ำ

“นะๆๆๆ เรียวนะ” ฉันมองเรือนร่างที่อุดมไปด้วยเนื้อ นม ไข่ อันน่าอิจฉาของเพื่อน พลางคิดในใจว่ารูปร่างแบบนี้มันชวนให้หนุ่มหน้าคมอยากจะทำมิดีร้ายจริงๆ ด้วย

“เออๆๆ ก็ได้ๆ แล้วจะไปบอกพี่เมว่าอะไรล่ะ”

“ก็ไปบอกว่าอยากจะนอนคุยกับแกไง ไม่ได้เจอมาตั้งนานแล้วมีเรื่องคุยเยอะแยะเลย” เสียงสดใสขึ้นมาเชียว แล้วไอ้เสียงสลดๆ เมื่อกี้มันหายไปไหนวะ

“ตามใจ” ฉันพูดแล้วปิดประตูห้องอาบน้ำ

...

หนุ่มหน้าคมอนุญาตให้ฟางมานอนที่เต้นท์ของฉันอย่างผิดคาด เหมือนเขาจะไม่ได้สนใจอะไรแฟนตัวเองสักเท่าไหร่ ฉันเห็นสายตาของเขาจ้องไปยังที่หน้าอกของยัยฝ้าย ส่งยิ้มหวานๆ ให้ยัยซี รวมทั้งส่งสายตาวิบวับๆ ให้ยัยใบเฟิร์น ความรู้สึกแปลกๆ ชะรอยว่าเมื่อคู่รักคู่นี้กลับลงไปจากภูกระดึงคงจะเป็นการเลิกรามากกว่าการแต่งงานก็เข้ามาในความรู้สึกของฉัน ก่อนที่ฉันจะเดินเข้าเต้นท์เขาก็ได้แต่บอกกับฉันว่าให้ปลุกแฟนสาวของเขาด้วยเพื่อที่จะลงจากยอดภูประมาณ 08.30 น.

สาวหน้าแรงนอนอยู่ในเต้นท์ของฉันอย่างสบายอารมณ์โดยไม่รู้สึกและสังเกตถึงพฤติกรรมของแฟนหนุ่มเสียด้วยซ้ำ แถมยังชวนฉันคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฉันรู้มาว่าฟางทำงานเป็นหน้าห้อง (เลขา) ที่กระทรวงศึกษาธิการ ใกล้กับที่ทำงานฉันมากๆ

“หน้าห้องของฝ่ายไหนอ่ะ” ฉันถาม

“ไม่บอก”

“อะไรว้า”

“บอกแล้วเดี๋ยวตามมายืมเงิน” เพื่อนสาวพูดไปเอาผ้าเช็ดผมไปแบบไม่ระวังตัว เผยให้เห็นร่องอกเล็กน้อย

“ใครเขาอยากจะไปยืมเงินแกวะ”

“มีก็แล้วกัน พอรู้ว่าเค้าเป็นข้าราชการก็ชอบมายืมเงินแถมให้เซ็นค้ำประกันนู่นนี่ เบื่ออ่ะ”

“แล้วทำไมเป็นข้าราชการล่ะ อย่างแกน่าจะเหมาะกับงานเอกชนมากกว่า”

“แม่อยากให้เป็นไง เห็นว่ามันมั่นคง แต่เค้าก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หรอก แล้วเรียวล่ะ”

“ทำงานที่ห้องสมุด UN”

“UN เหรอ เก่งจัง แถมใกล้ที่ทำงานเค้าด้วย” ฟางพูดด้วยเสียงสดใสเหมือนดีใจ “แต่เอ... ทำงานที่ห้องสมุด... เรียวเป็นบรรณารักษ์เหรอ”

เฮ้ออ พอบอกว่าทำงานที่ห้องสมุดทีไร มีแต่คนหาว่าเป็นบรรณารักษ์ทุกทีเลยให้ตายเหอะ

“ไม่ใช่เว้ย! Information Officer ต่างหาก”

“เหมือนๆ กันแหละน่า” พูดไปก็ยังไม่ระวังตัว แถมยังถลกขากางเกงนอนขึ้นมาโชว์น่องขาวๆ อีกต่างหาก

“เฮ้ย! ระวังตัวหน่อยดิ อย่ามาอ่อยแถวนี้ เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปนอนกับกวางข้างนอกเต้นท์เลยหนิ”

“ผู้หญิงด้วยกันจะกลัวอะไรวะ หรือว่าแกจะมาปล้ำฉัน” โอ้วว คุยไปคุยมาคำพูดเริ่มฮาร์ดคอร์ขึ้นแล้ว

ฉันมองเพื่อนสาวอย่างปลงๆ “ใครเค้าอยากจะปล้ำแกวะ”

“มีก็แล้วกัน”

“งั้นไปนอนกะคนที่อยากจะปล้ำแกเลยละกัน” พูดคำนี้จบอยู่ๆ เพื่อนสาวหน้าแรงก็ทำหน้าจะร้องไห้

“เรียวไล่เค้าอ่ะ ไล่เค้า ฮึกๆๆๆ ฮืออ” แล้วเธอก็เอามือปิดหน้า

“เฮ้ยๆๆ อย่ามาร้องไห้แถวนี้ดิ”

“ก็... เรียวไล่เค้าอ่ะ ฮือออออ” เอาเข้าไปร้องหนักยิ่งกว่าเก่าอีก

ฉันขยับตัวเข้าไปใกล้ฟางที่ยังคงเอามือปิดหน้าอยู่ “เอ้อ... ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นไม่ระวังตัว นอนเต้นท์ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ใครเปิดเข้ามาก็ได้ ฉันแค่อยากให้แกระวังตัวหน่อยก็เท่านั้นเอง”

มือของฉันพยายามยื่นเข้าไปจับตัวของเพื่อนสาว แต่แล้ว...

“แบร่!”

“เฮ้ยยยยยยยยยย!”

สาวหน้าแรงแกล้งฉันโดยเอาไฟฉายส่องคางตัวเอง ประหนึ่งเป็นผีนางตะเคียนมาหลอกคนอย่างฉัน ด้วยความตกใจฉันล้มลงไปที่พื้นเต้นท์ หัวโขกกับกระติกน้ำแสตนเลสใบน้อยเข้าอย่างจัง

“โอ้ยยยย”

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ฟางเข้ามาดูฉันใกล้ๆ

“เจ็บดิ อย่างนี้ต้องเอาคืน” ฉันยื่นมือไปบีบแก้มของเพื่อนสาว และแล้วสงครามย่อยๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อสาวหน้าแรงแกล้งฉันคืนบ้าง

แล้วเราสองคนเล่นกันจนเหนื่อยแล้วก็ผล็อยหลับไป โดยไม่สนใจเลยว่าสมาชิกที่ตามมาด้วยจะเป็นอย่างไร




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.