web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 164
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 151
Total: 151

ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ ๔  (อ่าน 1374 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ลำเนา

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 68
ตอนที่ ๔
« เมื่อ: 09 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 21:51:27 »
   ผักปลอดสารพิษที่เรียงรายอยู่เต็มสีเขียวของผักเหล่านี้ได้สร้างความรู้สึกสดชื่นในทุกๆ วันให้กับอักษรา แต่ที่สำคัญก็คือ เธอเคยสัญญาและบอกกับใครบางคนเอาไว้ว่า วันหนึ่งเธอจะปลูกผักที่ปราศจากยาฆ่าแมลงให้ใครคนนั้นได้รับประทานอักษรามองผักปลอดสารพิษจากไร่ของตัวเองแล้วอมยิ้มเมื่อได้นึกถึงและได้ทำตามสัญญาถึงแม้ว่าใครคนนั้นไม่มีโอกาสได้รับประทานก็ตาม แต่เธอก็ได้ทำสิ่งดีดีให้กับเพื่อนมนุษย์ อักษรายิ้มและเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม ดอกไม้แห้ง ช่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหนังสือเล่มที่เธอถืออยู่   

   “อ่ะให้ เราชอบดอกแก้ว อาจจะหอมแปลกๆ ไปสักหน่อยในเวลากลางคืนแต่ดอกเล็กๆ สีขาวสะอาดเวลาอยู่รวมกับใบสีเขียวสดมันทำให้รู้สึกสดชื่นและยิ้มได้อย่างมีความสุขตลอดเวลาที่ได้เห็น ถ้ามีบ้านเล็กๆ สักหลัง ดอกไม้ชนิดแรกที่เลือกจะปลูกก็คงเป็นดอกแก้วนี่แหละ” คำพูดทุกประโยคจากเจ้าของดอกแก้วช่อนี้ยังอยู่ในความทรงจำของอักษราไม่เคยลืมเลือนหรือตกหล่นไปจากชีวิตของเธอ ดอกแก้วที่ถูกทาบทับไว้ในหนังสือถึงแม้จะแห้งเหี่ยวไป แต่มันก็เก็บความทรงจำดีดีของเธอไว้ อักษราหยิบขึ้นมาสูดดมกลิ่นทุกครั้งที่ได้เห็นและนึกถึงผู้ให้

   “คิดถึงนะ” อักษรายิ้มจางๆ กับคำสามคำที่ดังก้องอยู่ในหัวใจของเธออย่างสม่ำเสมอ

   ก๊อกๆ เสียงเคาะเบาๆ ที่ประตูได้ดึงอักษรากลับมาจากความคิดคำนึงถึงใครบางคน ลูกค้าเจ้าประจำที่มาซื้อของสม่ำเสมออาทิตย์ละหลายๆ ครั้ง เธอคนนี้ทำงานอยู่ที่นิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งมักมีหนังสือติดไม้ติดมือมาฝาก แต่วันนี้ดอกแก้วหนึ่งช่อเล็กๆ ถูกยื่นมาให้อักษราซึ่งทำหน้าตาแปลกๆ กับสิ่งที่ได้เห็น แต่รอยยิ้มอันสดใสของผู้ให้ทำให้เธอต้องยื่นมือออกไปรับแต่โดยดี

   “ถ้าอยากได้ความหอมเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ช่อนี้ดีกว่าค่ะ” เจ้าของช่อดอกแก้วสีขาวดอกเล็กๆ ซึ่งดูน่ารักนั้นได้สร้างรอยยิ้มให้กับผู้รับ

   “ขอบคุณนะคะ” อักษราบอกขอบคุณผู้ที่นำดอกไม้มาฝากเธอ แต่ก็มองคนที่ให้ดอกไม้ด้วยความแปลกใจ

   “แอบเห็นพี่บุ๊คดูดอกแก้วในหนังสือนั้นบ่อยๆ ดาเลยคิดว่าพี่บุ๊คน่าจะชอบดอกแก้วเลยเด็ดจากหน้าบ้านมาฝากค่ะ” ดาริกา คือสาวสวยซึ่งเป็นลูกค้า
ประจำคนหนึ่งของร้าน

   “ขอบคุณค่ะ ช่างสังเกตนะคะ” อักษรายิ้มให้พร้อมกับเดินไปหยิบนมสดจากตู้เปิดฝาและส่งให้เป็นการตอบแทน สำหรับดอกไม้สีขาวสะอาดดอกเล็กๆ ที่เธอยังคงถืออยู่

   “ถ้าถือมาให้ทุกวันจะได้ดื่มนมสดทุกวันหรือเปล่านะ” สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน ดาริกาชอบความเป็นกันเองของเจ้าของร้าน ทุกครั้งที่เธอมาจะรู้สึกเหมือนตัวเองได้เติมเต็มพลังแห่งความสุขกลับไปทุกครั้ง รอยยิ้มอันแสนสวยและความจริงใจของผู้หญิงที่ชื่ออักษรานั้น ทำให้เธอยิ้มได้แม้ยามเหนื่อยล้าจากการทำ งานมาตลอดวัน รวมถึงการที่จะต้องขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดกลับมาบ้าน

   “รับอะไรดีคะ วันนี้  มะเขือเทศน่าทานมากค่ะ ถ้าไม่หิวมากนักมะเขือเทศโรยเกลือนิดหน่อย ก็คงเหมาะสำหรับสาวสวยหุ่นดีดีสำหรับมื้อเย็นนะคะ” อักษรายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอกับลูกค้าที่เข้ามาในร้านของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา และลูกค้าเหล่านั้นก็รู้สึกกับเธอไม่แตกต่างกับที่ดาริการู้สึกนัก

   “ก็น่าสนใจนะคะ เพราะได้นมสดดื่มฟรีมาหนึ่งขวดแล้ว ทานมะเขือเทศตามไปก็คงพอ ขอบคุณนะคะ พี่บุ๊ค” ดาริกายิ้มเมื่อเห็นอักษราเดินไปหยิบแก้วเติมน้ำใส่เข้าไปนำดอกไม้ที่เธอนำมาฝากใส่ลงไปที่แก้วใส่ใบนั้น

   “วันนี้กลับเร็วนะคะ” อักษราถามขึ้น

   “ทำงานอยู่บ้านค่ะ เลยมากวนพี่บุ๊คแต่หัววัน” ดาริกาหัวเราะเล็กๆ และได้เห็นรอยยิ้มน่ารักๆ ของเจ้าของร้าน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธออยากเห็นมากที่สุด

   “อยากได้กี่ลูกเลือกได้เลยค่ะ พี่ช่วยถือตะกร้าให้นะคะ” อักษราขยับมายืนใกล้ๆ ดาริกาที่กำลังหันไปสนใจมะเขือเทศสดที่น่ารับประทาน

   “บริการดีขนาด มิน่าลูกค้าถึงได้เดินเข้าเดินออกร้านบ่อยๆ” ดาริกาหันมายิ้มให้กับคนที่ถือตะกร้าอยู่ข้างๆ

   “ลูกค้าไม่ได้เยอะมากนักนี่คะ เข้าร้านมาก็ทีละรายสองรายในฐานะแม่ค้าก็ต้องช่วยเหลือให้ความสะดวกสบาย คนซื้อจะได้มาช่วยอุดหนุนอีก ถือเป็นกลยุทธ์ง่ายๆ ทางการตลาดสำหรับร้านเล็กๆ แบบนี้น่ะคะ” อักษราบอกเล่ากับดาริกา

   สองสาวพูดคุยกันในหลายๆ เรื่องราว ซึ่งบางครั้งดาริกาก็มาบอกเล่าเรื่อง ราวเกี่ยวกับงานของเธอ อักษราก็รับฟังและแสดงความคิดเห็นไปบ้างในบางครั้งการได้พูดคุยกับลูกค้าก็ทำให้อักษราได้ความคิดอะไรใหม่ๆ ดาริกามักจะบอกเธอเสมอเกี่ยวกับการนำผักสดไปทำอาหาร อาจจะเพราะด้วยงานที่เธอทำนั้นเป็นนิตยสารสำหรับผู้หญิงทำงานซึ่งบางครั้งบางคราวก็จะมีเรื่องของพืช ผัก และผลไม้ ดาริกาก็จะต้องหาข้อมูลจากหนังสือและสื่อทางอินเทอร์เนต ถ้าได้ข้อมูลอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับร้านของอักษรา เธอก็นำจะมาบอกเล่าและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดังนั้นเมื่อใดที่มาที่ร้านนี้และไม่มีลูกค้ารายอื่นอยู่ ดาริกาก็จะอยู่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ อยู่กับเจ้าของร้านสักพักใหญ่เธอทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำรวมถึงแอบภาวนาทุกครั้งที่มา ขออย่าให้มีลูกค้ารายอื่นๆ อยู่หรือเข้ามาในร้านซึ่งนั่นทำให้เธอนึกขำทุกครั้งกับความคิดของตัวเอง

   “เอาไว้ถ้าพี่บุ๊คว่าง ลองไปชิมฝีมือแม่ครัวคนกรุงบ้างไหมคะ นะ” ดาริกามองสบตากับอักษราที่ยังคงยืนยิ้ม แต่สายตาที่มองมาที่เธอก็ดูจะแปลกใจกับคำเชื้อเชิญของเธอ

   “เกรงใจค่ะ” อักษรานึกหาคำพูดที่จะปฏิเสธอย่างไรเพื่อที่จะไม่ให้คนชวนรู้สึกไม่ดี

   “ว่าแล้ว ว่าไม่ได้ผล” ดาริกายิ้มจางๆ

   “เกรงใจจริงๆ ค่ะ อีกสองสามวันพี่ก็จะกลับไร่ คงอีกหลายวันกว่าจะกลับมาที่ร้าน อย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณมากนะคะ ถ้าเปลี่ยนเป็นมาทานสลัดที่ร้านแล้วพี่ทำให้ทานดีกว่าไหม หรืออย่างอื่นที่ดาชอบน่าจะดีกว่านะคะ” อักษราพูดเชื้อเชิญด้วยความจริงใจ

   “น่าสนใจแต่เอาไว้พี่บุ๊คกลับจากไร่ก่อนก็ได้ค่ะ วันนี้กวนแค่นี้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวเกิดพี่บุ๊คเบื่อปิดร้านหนีไปแย่แน่ๆ” ดาริกาหัวเราะเล็กๆ

   “อดตายกันพอดีคะ ถ้าปิดร้านหนี ถ้ายังมีลูกค้าที่น่ารักอย่างดา พี่ก็ยังคงปลูกผักขายต่อไปแน่นอน ขอบคุณนะคะที่มาอุดหนุนอยู่เป็นประจำ” อักษราบอกกับดาริกาซึ่งกำลังเดินไปที่ประตูหน้าร้าน จึงเดินไปส่งและส่งถุงของให้ ดาริกายิ้มโบกมือลาเดินออกไปจากร้านและหันมาทำท่าเอามือแตะที่ปากบอกลาด้วยการส่งจูบให้กับอักษราที่ยืนอมยิ้มมองความน่ารักของลูกค้าอีกหนึ่งคนของเธอ

   “น่าจะเป็นนางแบบมากกว่านะคะ” อักษราพูดกับตัวเองแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะเปิดหนังสือเล่มเดิมที่วางอยู่ อักษรามองที่ดอกไม้แห้งและมองไปที่ดอกแก้วสีขาวสะอาดซึ่งเสียบอยู่ในแก้วน้ำใบใส ดอกแก้วแห้งในหนังสือกับดอกแก้วสดที่ปักอยู่ในแก้วน้ำใสๆ มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดอกที่แห้งเหี่ยวเป็นดอกไม้แห่งความทรงจำ ดอกแก้วสดพร้อมใบสีเขียวชอุ่มเป็นดอกไม้แห่งมิตรไมตรี หากแต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ได้สร้างรอยยิ้มให้กับหัวใจของอักษรา

   เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของอักษราดังขึ้น ซึ่งนั่นได้ช่วยฉุดดึงเธอออกมาจากความคิดคำนึง รูปภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ก็ได้สร้างรอยยิ้มที่กว้างขึ้น

   “สวัสดีค่ะ ถึงไหนแล้วค่ะ ไม่ได้เป็นสาวซิ่งตามสัญญาหรือเปล่าคะ” อักษราทักทายคนที่โทรมา

   “แวะพักที่จุดพักรถค่ะ มาได้ครึ่งทางแล้ว เอ่อแต่ว่าเรื่องซิ่งลืมตัวไป เอาเป็นว่าออกจากตรงนี้ไปจะขับให้ช้าลงนะคะ” ศศิมาอมยิ้ม เพราะรู้ว่าปลายสายแสดงความห่วงใยเธอ ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเข้มๆ ไปบ้างในประโยคสุดท้าย

   “ว่าแล้ว บุ๊คว่าพี่ศศิต้องเลิกขับรถสปอร์ตแล้วนะคะ ขับก็เร็วรถก็แรงเกินมันอันตรายรู้ไหมคะ” อักษราพูดด้วยความห่วงใย

   “มันเป็นรสชาติของชีวิตนะคะ คุณเจ้าของไร่ ก็บอกให้มาขับรถให้ก็ไม่ยอม แต่ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยนล่ะก็ จะลองพิจารณาดู” ศศิมาอมยิ้มกับความคิดของตัวเองเรื่องข้อแลกเปลี่ยน และเฝ้าหวังมาตลอดว่าสักวันคนปลายสายจะยอมรับข้อเสนอของเธอ

   “เรื่องเป็นคนขับรถ ตอบไปแล้วนะคะ ว่าอยากเป็นชาวไร่มากกว่า แล้วข้อแลกเปลี่ยนอะไรกันคะ ที่สามารถจะทำให้พี่ศศิขับรถช้าลง น่าคิดนะ อะไรกันที่จะสามารถทำให้สาวรถสปอร์ตมาขับโฟล์คเต่าได้กันนะ” อักษราหัวเราะเล็กๆ พอจะนึกภาพคนที่อยู่ปลายสายออก เพราะเมื่อพูดถึงรถโฟลค์เต่าทีไร ศศิมามักทำหน้าจ๋อยทุกที

   “ไม่เอาดีกว่า ในเมื่อวันนี้เริ่มมีการตอบรับจากสัมผัสเล็กๆ นั้นแล้ว พี่ก็ถือว่าพี่ถือไพ่เหนือบุ๊คอยู่ เพราะฉะนั้นอย่าหวังมาให้สาวซิ่งไปขับรถเต่าเลย ขอเป็นรถญี่ปุ่นป้ายแดงใหม่ๆ ก็ยังดีนะคะ นะ” เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากปลายสายทำเอาอักษราส่ายหน้ากับความดื้อดึงเรื่องขับรถเร็วของศศิมาซึ่งทำให้เป็นห่วงทุกครั้ง

   “ให้คนขับที่รีสอร์ทขับให้ก็ได้ค่ะ ไม่เห็นต้องขับเองเลยนะคะ นะ” อักษราทำเสียงอ้อนล้อเลียนศศิมาที่ยิ้มกว้างออกอาการเขินอายโดยไม่รู้ตัว และแอบคิดว่าถ้าได้ยินคำอ้อนแบบนี้ต่อหน้ามีหวังเธอคงใจละลายแน่ๆ

   “ขอคิดดูก่อน เก่งจริงทำไมไม่อ้อนต่อหน้าล่ะคะ มาอ้อนผ่านโทรศัพท์แบบนี้เชื่อถือไม่ค่อยได้ ลองอ้อนต่อหน้าดูสิคะ เผื่อจะใจอ่อน แค่นี้ก่อนนะบุ๊ค ไว้ถึงรีสอร์ทแล้วจะรีบโทรไปรายงานตัวค่ะ อ้อขออะไรอย่างได้หรือเปล่าคะ” ศศิมาทำเสียงเข้มจนปลายสายนึกขำและส่งเสียงหัวเราะเล็กๆ ออกมาให้ได้ยิน

   “พี่ศศิเวลาทำเสียงเข้มฟังดูตลกนะคะ ลองบอกก่อนค่ะ ว่าจะขออะไร”

   “ห้ามเข้าใกล้สาวสวยวัย 18 ปีขึ้นไป เกินหนึ่งฟุต ตกลงตามนี้นะคะ ไปแล้ว” ศศิมาอมยิ้มกับโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือหลังจากทิ้งท้ายสิ่งที่ขอโดยไม่รอคำตอบตกลงจากอักษรา

   เสียงเปิดประตูหน้าร้านได้ดึงความสนใจจากคำขอตลกๆ ของศศิมาที่ทำให้อักษรายืนอมยิ้มอยู่ได้สักครู่แล้ว

   “พี่ศศิคะ รบกวนขอผักสลัดเพิ่มอีกถุงสิคะ” เสียงฟังคุ้นหูเสียจนอักษราคิดว่าเธอคงหูฝาดไปแน่ๆ หรือบางทีอาจจะเป็นคนที่เสียงคล้ายๆ กันก็เป็นได้ แต่ทำไมหัวใจของเธอถึงได้รู้สึกตื่นเต้นทั้งๆ ก็กำลังบอกกับตัวเองไปว่าคงจะหูฝาดและเสียงที่ได้ยินนั้นก็แค่เพียงเสียงที่คล้ายกันเท่านั้น

   “รอสักครู่นะคะ” อักษราพยายามรวบรวมความกล้าแต่ก็อดที่จะขำตัวเองไม่ได้ที่แอบคิดไปว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของใครคนนั้น แต่เสียงประตูที่หน้าร้านซึ่งมีเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง คงเป็นเสียงของลูกค้าอีกรายที่เข้ามาภายในร้านดังนั้นอักษราจึงเดินไปหยิบผักสลัดที่แช่อยู่ในตู้แช่แล้วจึงเดินออกมาที่หน้าร้าน

   “ได้แล้วค่ะ” อักษราไม่พบใครอยู่ภายในร้านของเธอสักคน จึงเดินออกไปดูที่ด้านหน้าร้านก็ไม่เห็นใคร หรือว่าจะใช่ อักษราคิดรีบเปิดประตูและเดินดูรอบๆ บริเวณด้านหน้าตัวร้านของเธอ รวมถึงบริเวณลานจอดรถเผื่อว่าจะได้พบกับคนที่เธอคิดและหวังว่าจะใช่ใครคนนั้น แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆ

   “เป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาจะกลับมาทำไมกัน” อักษรายิ้มจางๆ กลับมานั่งมองออกไปที่หน้าร้าน ความคิดหนึ่งคิดว่าไม่มีวันที่คนที่เธอหลงรักจะกลับมา แต่อีกความคิดหนึ่งก็ค้านความคิดแรกนั้นว่า บางทีใครคนนั้นอาจจะกลับมาและได้เปิดประตูเข้ามาในร้านแห่งนี้เมื่อสักครู่ก็เป็นได้

   “เพราะเจ้าดอกแก้วนี้แน่ๆ ที่ทำให้หูแว่ว” อักษรารำพึงกับตัวเองและมองไปยังดอกแก้วช่อเล็กๆ ที่ปักอยู่ในแก้วน้ำซึ่งตั้งอยู่ที่โต๊ะของเธอ แต่ดอกแก้วที่เธอหมายถึงน่าจะเป็นดอกไม้แห้งๆ ที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นมากกว่า




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.