web stats

ข่าว

 


บทที่ 1 สละโสด

โพสต์โดย: Miray วันที่: 01 ตุลาคม 2020 เวลา 20:15:25 อ่าน: 371

Click Society ?

ดา..ตกลงจะให้เวย์ใส่ชุดนี้เข้าผับจริงๆหรือ..? " เจ้าของร่างเหลือบสายตามองต่ำสำรวจดูชุดตัวเองอีกครั้งตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะด้วยสีหน้าหดหู่ไม่มั่นใจ นี่เธอต้องเดินเยื้องย่างผ่านสายตาผู้คนตั้งมากมายในสภาพนี้จริงๆ

หรือ กลับมาจากเมืองนอกทั้งทีแทนที่จะได้ขนเสื้อผ้าแฟชั่นดีๆมาใส่ แล้วนี่อะไรเสื้อยืดกางเกงยีนส์เธอล่ะอยากจะบ้าตาย


"อืม ดาว่าชิวดีออกหรือว่าเวย์มีปัญหา" ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังคนข้างๆอย่างต้องการคำตอบ ให้เจ้าตัวค่อยๆส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆก่อนจะฉีกยิ้มบางๆออกมาเอ่ยอ้างแทนคำตอบ


"ไม่มีจ้ะ.. ชุดนี้ก็ดีสบ๊ายสบายไม่หนาวด้วย " เจ้าของชุดกัดฟันพูดออกมาด้วยความเกรงใจ นี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทนะจ้างให้เธอก็ไม่ยอมหรอก


"ดาก็ว่าอย่างนั้น มาเที่ยวที่แบบนี้ไม่ต้องแต่งตัวเซ็กซี่มากก็ได้มันอันตราย ดาเป็นห่วงนะถึงให้เวย์เปลี่ยนมาใส่ชุดนี้แทน เห็นไหมใส่แล้วดูดีออกดูสบายๆไม่หวือหวาแถมยังมีเสน่ห์น่าค้นหาอีกด้วย ตอนอยู่อเมริกาดาเห็นเวย์ชอบ

แต่งสไตล์นี้ไม่ใช่หรือ กลับมาเมืองไทยทำไมต้องอยากเปลี่ยนด้วยล่ะ"


"เวย์ไม่ได้อยากเปลี่ยนแค่อยากใส่อะไรที่มันดูดีเข้ากับสถานที่กว่านี้หน่อย  ไม่ใช่เหมือนเด็กปีหนึ่งที่กำลังจะปั่นจักรยานไปซดเหล้าหลังมอแบบนี้ "


"ไม่เห็นจะเหมือนตรงไหนเลยค่ะ ดาว่าสูงๆผอมๆแบบเวย์ใส่อะไรก็ดูดีนะเหมือนพวกนางแบบมากกว่าไม่เหมือนเด็กนักศึกษาหรอกค่ะ เชื่อดาสิว่าสไตล์นี้เวย์ใส่เหมือนที่สุดแล้ว" หญิงสาวยิ้มหวานออกมาอีกครั้งอย่างต้องการ

สนับสนุนความคิดของตัวเอง มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะใส่เสื้อผ้าธรรมดาแล้วดูไม่ธรรมดาแบบนี้ได้ เวธกาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ


"จริงสิ.." คนถูกชมได้แต่ยิ้มร่าออกมาด้วยความมั่นอกมั่นใจอีกครั้ง เมื่อได้ฟังคำยอและเหตุผลของเพื่อนสนิท ที่ดูจะชื่นชอบกับแฟชั่นสบายๆสไตล์ฝรั่งของเธอเหลือเกิน ถึงได้ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการแบบนี้


"ดาเคยโกหกเวย์ด้วยหรือ" ลิลลดาเอ่ยถามกลับออกมาด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ


"ก็..ไม่เคย"


"ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปข้างในกันได้รึยังคะ ปล่อยให้พวกนั้นรอนานๆระวังคืนนี้จะไม่ได้กลับบ้านนะ "


"ถ้าเวย์ไม่ได้กลับดาก็ไม่ได้กลับเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวย์ไม่หวั่นอยู่แล้วยังไงซะดาก็ไม่ทิ้งให้เวย์อยู่ที่นี่คนเดียวแน่ๆ จริงไหม" เวธกาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจให้คนฟังได้แต่อมยิ้มออกมาน้อยๆเหมือนเช่นทุกครั้ง เรื่องแบบนี้

ทำมาเป็นรู้ดีแต่กับเรื่องอื่นล่ะก็ไม่เห็นจะฉลาดแบบนี้เลย


มือบางคว้าจับเข้าที่ข้อมือเล็กๆของคนข้างๆอย่างอัตโนมัติ เมื่อพากันเดินเบียดแขกในร้านเข้ามายังชั้นล่างของผับด้านใน ที่ตอนนี้บรรยากาศกำลังเมามันได้ที่ทั้งเสียงดนตรีทั้งไฟเธคเลเซอร์เปิดตีสลับกันอยู่คับร้าน ให้บรรดาขา

เที่ยวทั้งหลายได้วาดลวดลายลีลากันแบบเต็มเหนี่ยว ชนิดที่ว่าแขนขาไร้ซึ่งกระดูกกันเลยทีเดียว


มือเรียวขยับเปลี่ยนมาเป็นสอดประสานเข้ากับฝ่ามือบางๆของคนด้านข้างด้วยความคุ้นชิน ให้เธอได้แอบอมยิ้มออกมาอีกครั้งกับความห่วงใยและใส่ใจของอีกคน ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังมีให้เธออยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งนานวันมันก็

ยิ่งจะส่งผลต่อหัวใจของเธอมากขึ้นๆ จนเธอก็เริ่มจะไม่แน่ใจตัวเองแล้วเหมือนกันตอนนี้ว่าจะสามารถซ่อนความรู้สึกที่อยู่ภายในใจเอาไว้ได้ถึงเมื่อไหร่ หวังว่ากำแพงหัวใจที่ถูกกั้นไว้ด้วยสายใยระหว่างเพื่อนมันจะยังหนักแน่น

มั่นคงไม่ล้มครืนลงมาในเร็ววันนี้นะ เพราะเธอยังไม่พร้อมจะเสียอะไรไปในตอนนี้ โดยเฉพาะกับเจ้าของมืออุ่นๆคู่นี้


ทั้งสองคนเดินผ่านขึ้นมาบนชั้นสองของร้านที่เป็นห้องไว้สำหรับรับรองแขกวีไอพีด้วยความคุ้นชิน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังห้องด้านในสุดบนชั้นที่เป็นห้องวีวีไอพีมีไว้สำหรับเจ้าของร้านเท่านั้น และนั่นก็เป็นห้องที่พวกเธอสองคน

กำลังจะก้าวเข้าไปในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ห้องของชาลิสาเพื่อนซี้ที่เป็นทั้งเจ้าของผับและกำลังจะได้เป็นเจ้าสาวในอีกไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้


แกร๊ก ? !


"ยัยเวย์  ยัยดา?" เสียงแหลมปรี๊ดของใครบางคนร้องดังขึ้นมาลั่นห้องด้วยความดีใจ เมื่อเห็นร่างของเพื่อนสนิ๊ทสนิทอีกสองคนโผล่พรวดเข้ามาในห้องแบบเงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าวไม่เคาะประตูให้พวกเธอรู้ตัวก่อนเลยซักนิด นี่ดี

นะว่าเป็นเพื่อนรักถ้าเป็นคนอื่นนี่เธอจะสัมมนาคุณให้ชุดใหญ่เลยคืนนี้


"นี่กะจะมาเซอร์ไพรส์เลยใช่ไหมถึงได้ไม่โทรขึ้นมาบอกกันก่อนแบบนี้ นี่ดีนะที่ยัยสายังมีสติคิดได้ว่าเป็นแกสองคน มันถึงได้ไม่คว้าเอาขวดเหล้าบนโต๊ะฟาดใส่หัวพวกแกเมื่อกี้" ชนิษฐาหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นดั่งอนาคตของ

กลุ่ม ผู้มีญาณหยั่งรู้ดวงชะตาชีวิตของผู้คน เอ่ยแซวขึ้นมาอย่างไม่จริงจังให้คนโดนพาดพิงได้แต่มองจิกด้วยหางตาพร้อมกับเบ้หน้าใส่อย่างนึกหมั่นไส้ เธอยังไม่ได้เมาซักหน่อยเรื่องอะไรจะจำเพื่อนตัวเองไม่ได้


เวธกากับลิลลดาได้แต่พากันหัวเราะออกมาเบาๆอย่างนึกขัน เมื่อเห็นอาการของเพื่อนแต่ละคน ที่คงจะตึงๆได้ที่กันบ้างแล้วตอนนี้ ถึงได้ทั้งจิกทั้งกัดแสดงความรักความสามัคคีกันดีแบบนี้


"ก็อยากจะให้เป็นเซอร์ไพรส์อยู่หรอก แต่ดูเหมือนว่าคนที่ต้องตกใจคือฉันกับดามากกว่า กลับมาบ้านยังไม่ถึงเดือนก็ได้การ์ดเชิญมางานแต่งเสียแล้ว ร้ายกาจมากนะแกยัยสา" เวธกาพูดแกมหยอกเป็นเชิงไม่จริงจังให้คนฟังได้

แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมาแทนคำขอโทษ อย่าว่าแต่คนอื่นเลยที่ตกใจเธอก็ไม่ได้ต่างกันซักเท่าไหร่หรอกนะ


"แหม ! แค่นี้ไม่เห็นต้องประชดกันเลยนี่นา มามะมาให้เค้ากอดให้หายคิดถึงหน่อยทั้งสองคน ไม่เห็นหน้าแค่ปีสองปีดูซิขี้เหร่ขึ้นตั้งเยอะ" เจ้าของผับรีบสลับหัวข้อเรื่องเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นด้วยคำพูดติดตลกอย่างคนอารมณ์ดี

ก่อนจะเดินปรี่เข้ามาสวมกอดเพื่อนรักด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง ให้อีกสองคนที่ยืนล้อมวงอยู่ข้างๆต่างพากันเดินตามเข้ามากอดสำทับรวมกลุ่มกันอย่างอบอุ่นรักใคร่  ชวนให้บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนมาเป็นตลบอบอวนไป

ด้วยความรักและความทรงจำเหมือนเมื่อครั้งสมัยมหาวิทยาลัยอีกครั้ง


"ยินดีต้อนรับกลับบ้านอย่างเป็นทางการนะจ๊ะเพื่อนรัก" ศศิหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นตัวแม่แห่งการให้คำปรึกษาของกลุ่ม เอ่ยบอกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงตื้นเต้นดีใจ ให้ทั้งลิลลดาและเวธกาต่างก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข ใน

ที่สุดพวกเธอก็ได้กลับมาอยู่รวมกลุ่มกันอีกครั้งตามคำสัญญา


"ทีมงานพร้อมแบบนี้เห็นทีต้องฉลองกันข้ามคืนแล้วล่ะ จะได้รำลึกความหลังสมัยมาหาลัยให้หนำใจ"


"แกถามยัยสารึยังว่ามันอยากจะอยู่ข้ามคืนเพื่อรำลึกความหลังกับแกรึเปล่า เพื่อนจะมีสามีทั้งทีก็ให้มันดูดีมีชาติตระกูลหน่อย ไม่ใช่ใส่ชุดเจ้าสาวเดินเมาเหล้าเข้าไปในงานเป็นลำยองปีสองพันสิบเจ็ดแทนพี่นุ่น


วรนุชให้อับอายขายขี้หน้าเค้าไปทั้งงาน แกต้องการให้เพื่อนแกเป็นแบบนั้นใช่ไหม"


"แค่แกบอกว่ามันอยู่ดึกไม่ได้แค่นั้นก็จบแล้ว ไม่ต้องสาธยายพาดพิงไปถึงละครช่องสามหรอกย่ะ พูดสั้นๆฉันก็เข้าใจ ฉลาดน่ะเข้าใจไหม"


"แน่ใจว่าฉลาด..?" ศศิถามกลับด้วยสีหน้าหมั่นไส้อย่างสุดฤทธิ์ ถ้ามันบอกว่าฉลาดน้อยเธอยังจะรู้สึกดีกว่านี้หน่อย นี่อะไรมาบอกว่าตัวเองฉลาดเนี่ยนะแต่งเรื่องชัดๆ


"แกสองคนเลิกกัดกันได้แล้วนี่มันปาร์ตี้สละโสดของฉันนะ ไม่ใช่แข่งโต้วาทีไม่ต้องกัดกันมากก็ได้ นี่ถ้ายัยศิเป็นผู้ชายนะฉันว่ามันต้องชอบแกแน่ๆเลยฐา เห็นชอบแหย่ชอบหยอกแกอยู่เรื่อยตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะไม่เบื่อบ้างรึไงกัด

กันไปจิกกันมาอยู่แบบนี้ เดี๋ยวก็ท้องหรอก"


"อื้อหือ ! เล่นแรงนะยะรอบนี้ ฉันกับยัยฐาแค่จิกกัดกันตามประสาเพื่อนไม่ได้มีนัยแอบแฝงอะไรมากไปกว่านั้น แต่..ถ้าเป็นยัยดากับยัยเวย์ก็ไม่แน่ อาจจะมีอะไรในกอไผ่ก็ได้?" ศศิแอบยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กๆเป็นเชิงรู้กันกับ

เพื่อนอีกสองคน ให้คนที่โดนพาดพิงได้แต่นั่งนิ่งมองหน้ากันเหลอหลาอย่างเขินๆ


"กอไผ่บ้านแกสิยัยศิ เพื่อนกันทั้งนั้นอย่ายุให้มากเดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก"


"กลัวเป็นเรื่องหรือว่ากลัวใจตัวเองสั่นกันแน่ยะ ยัยดาสวยซะขนาดนี้ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะไม่เคยคิดอะไรเลย ถึงจะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็เถอะแต่เล่นนอนเตียงเดียวกันทุกวันทุกคืนแบบนั้น มันต้องมีซักครั้งแหละที่พวกแกจะแอบ

หวั่นไหวแอบคิดอะไรบ้าง" ทั้งกลุ่มพร้อมใจกันเงียบกริบขึ้นมาอีกครั้งหลังจบประโยคชวนคิดลึกของเพื่อนตัวดี ที่นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้วยังสร้างความแตกแยกอีกต่างหาก

จำเลยทั้งคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีได้แต่เหลือบมองหน้ากันอย่างขัดๆ เขินๆ เมื่อโดนเพื่อนในกลุ่มแซวแรงไปถึงเรื่องบนเตียง ให้เริ่มจะมองหน้ากันไม่ติดขึ้นมาจริงๆ ถึงจะเป็นแค่การหยอกเย้าเพื่อความสนุกสนานก็ตามทีแต่

เล่นใหญ่ขนาดนี้เธอก็ชักจะไม่สนุกด้วยแล้วนะ


"ใช่ฉันคิด.. คิดว่าควรจะถีบแกตอนนี้เลยดีไหมจะได้เลิกพูดไร้สาระซักที " เวธกาแกล้งขยับเท้าไปทางเป้าหมายตามที่พูดขู่เอาไว้เมื่อครู่ ให้ศศิรีบขยับหนีไปทางชนิษฐาในทันที เธอไม่อยากเสี่ยงเป็นเป้านิ่งให้เพื่อนถีบจริงๆ

หรอกนะ ยิ่งกับเวธกาด้วยแล้วเธอจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด


"ฉันเกือบจะตกใจแล้วนะเมื่อกี้ที่ได้ยินยัยเวย์บอกว่าใช่ นี่ดีนะที่มันแค่พูดเล่นถ้าพูดจริงขึ้นมาละก็.."


"ก็อะไรแกพูดให้มันดีๆนะฐา อย่ามาไร้สาระเหมือนยัยศิอีกคน"


"ถ้ามันไร้สาระแล้วแกจะจริงจังทำไมยะ อยู่นิ่งๆยิ้มหวานๆเหมือนยัยดานี่ อย่าร้อนตัวไม่อย่างนั้นพวกฉันจะสรุปว่าแกคิดไม่ซื่อกับยัยดาจริงๆ"


"ใช่ แกน่าสงสัยมาเลยนะเวย์พวกฉันแค่แซวเล่นๆขำๆ แต่แกดูจริงจังเป็นเดือดเป็นร้อนมาก ถามจริงๆคิดอะไรกับดาเกินเพื่อนรึเปล่า" ชนิษฐาโพล่งถามขึ้นมาตรงๆด้วยความสงสัย เมื่อเห็นอาการแปลกๆของเพื่อนตัวเองที่ดูจะ

ร้อนรนจนเกินเหตุ ให้เธอเริ่มจะคล้อยตามคำพูดของศศิขึ้นมาจริงๆ


ลิลลดาได้แต่แอบลุ้นคำตอบของอีกคนอยู่ในใจด้วยความตื่นเต้น อันที่จริงเธอก็อยากจะถามเค้ามานานแล้วเหมือนกันว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือแค่ในฐานะเพื่อนหรือว่ามากกว่าเพื่อนไปแล้ว เพราะหลายต่อครั้งการกระทำของเค้ามันก็

มักจะทำให้เธอเผลอคิดไปไกลเกินเพื่อนเหมือนกัน ไกลจนหัวใจของเธอมันไม่ได้รู้สึกกับเค้าแค่เพื่อนอีกต่อไป


"นั่นน่ะสิ แฟนก็ไม่มีแถมยังทำตัวประหนึ่งสามีภรรยากันอีก ฉันว่ามันน่าสงสัยอย่างที่ยัยฐาพูดนั่นแหละ " ชาลิสาที่สบโอกาสรีบเสริมทัพสนับสนุนความคิดของเพื่อนอีกสองคนอย่างไม่รีรอ โอกาสดีๆแบบนี้มันหายากถ้าพลาด

แล้วอาจจะไม่มีให้ถามอีกเลยในชาตินี้ เพราะฉะนั้นต้องเอาให้สุดขุดให้ลึกจะได้รู้กันไปเลยว่าเพื่อนเธอสองคนนี้มันคิดไม่ซื่อต่อกันจริงๆรึเปล่า



"ฉันไม่ได้คิดอะไรกับดาทั้งนั้นแล้วก็ไม่มีวันคิดด้วย แล้วไอ้เกณฑ์ที่ว่าไม่มีแฟนต้องชอบพวกเดียวกันฉันว่าพวกแกก็อยู่ในข่ายนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลิกแซวพวกฉันซักทีไม่อย่างนั้นฉันกับดาจะกลับพร้อมกันตอนนี้  ส่วน

ปาร์ต้งปาร์ตี้อะไรนี่ก็แล้วแต่พวกแกจะจัดแล้วกัน" สิ้นเสียงของเวธกาทุกคนในห้องก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันเงียบขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยถูกเพื่อนย้อนกลับในกรณีเดียวกันให้เริ่มจะนั่งไม่ติด ไม่เว้นแม้แต่กับลิลลดาที่ทั้งชาทั้ง

เจ็บไปทั้งหัวใจ นี่เธอกำลังหวังอะไรอยู่หรือ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเค้าให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนแต่ทำไมหัวใจของเธอมันถึงไม่พยายามเข้าใจและยอมรับซักที


"ไม่คิดก็ไม่คิดสิยะ ทำไมต้องทำเหมือนโมโหให้พวกฉันด้วย เพื่อนแซวเล่นแค่นี้ทำเป็นงอนไปได้ ดายังไม่เห็นจะว่าอะไรให้พวกฉันเลยมีแต่แกนี่แหละที่หงุดหงิดอยู่คนเดียว" ชนิษฐาตัดพ้อขึ้นมาด้วยความน้อยใจเมื่อเพื่อนสนิท

ดูจะไม่เป็นมิตรกับกลุ่มเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ก่อนพวกเธอก็แซวแถมยังมากกว่านี้ด้วยซ้ำไม่เห็นมันจะโกรธจะว่าอะไร แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้มีอาการขึ้นมาได้


"ฉันไม่ได้หงุดหงิดแค่ไม่ชอบ ก็พวก?"


"เวย์ พอได้แล้วไม่อย่างนั้นดากลับก่อนจริงๆ ขี้เกียจมาฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้" ลิลลดาพูดแทรกขึ้นมากลางลำด้วยน้ำเสียงจริงจังกึ่งๆไม่พอใจ ให้คนที่กำลังจะพูดประโยคต่อมาจำต้องกลืนคำพูดตัวเองลงไปอย่างจำยอม


"พอเลยพวกแกแค่เรื่องขำๆทำมาเป็นจริงจังไปได้ นี่เรามาปาร์ตี้กันนะยะไม่ได้มาแข่งวิชาการเลิกเข้ม เลิกตึง แล้วก็เลิกขรึมใส่กันได้แล้ว ยัยเวย์ ยัยฐาแกสองคนสนิทกันมากไม่ใช่รึไงแล้วทำไมเรื่องแค่นี้ต้องมาทะเลาะกันด้วย

คืนดีกันเดี๋ยวนี้เลยไม่อย่างนั้นฉันกับยัยศิจะจัดชุดใหญ่ให้พวกแกเอง" ชาลิสาที่เป็นเจ้าของงานรีบตัดบทเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้กลับมาดีเหมือนเดิมอีกครั้ง อึมครึมกันอยู่แบบนี้แล้วมันจะมีความสุขได้ยังไง อุตส่าห์ได้กลับมา

เจอกันครบกลุ่มในรอบสองปีดันมีเรื่องซะงั้น สามารถจริงๆเพื่อนเธอ


"พวกฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรกันซักหน่อย ทำไมต้องให้คืนดีกันด้วย" ชนิษฐาแสร้งถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ เมื่ออยู่ๆโดนเพื่อนในกลุ่มกดดันขึ้นมาอย่างกะทันหัน 


"ถ้าแกสองคนไม่ได้โกรธกันงั้นก็ทำให้พวกฉันเห็นสิ ชนแก้วกันซะตอนนี้ พวกฉันจะได้เลิกอึดอัดซักที ยัยสาจัดมาเพียวๆสองแก้ว " เวธกากับชนิษฐาได้แต่เหลือบมองหน้ากันด้วยสายตาไม่มั่นใจ ให้คืนดีกันเธอยังพอไหวแต่ให้

เพียวนี่สิเธอไม่แน่ใจจริงๆว่าจะไหวรึเปล่า


ทั้งสองคนที่โดนมัดมือชกได้แต่แอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเฝื่อนๆ เมื่อเห็นเพื่อนรินเหล้าลงในแก้วเปล่าเกินไปกว่าครึ่ง นี่มันไม่ใช่แค่จะให้คืนดีกันแล้วมั้งเธอว่า นี่มันจะฆ่ากันชัดๆ


"หมดแก้ว ! " ชาลิสายื่นแก้วแอลกอฮอล์ในมือให้กับเพื่อนทั้งสองคนอย่างช้าๆ พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างคนกำลังถูกใจ ชอบทะเลาะกันดีนักเธอจะจัดให้สามัคคีกันทั้งคืนเลยคืนนี้


"สาจะดีหรือ เดี๋ยวก็เมากลับบ้านกันไม่ไหวหรอก"ลิลลดาที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของอีกสองคน ได้แต่แย้งขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เธอเข้าใจว่าเพื่อนอยากให้เพื่อนได้คืนดีกันแต่เล่นให้ซดกันเพียวๆแบบนี้ เธอก็ไม่เห็นดีเท่าไหร่หรอก

นะ


"ไม่ไหวก็ให้นอนนี่แหละ ดีเหมือนกันฉันจะได้มีคนเฝ้าร้านให้ทั้งคืนไม่ต้องจ้างลูกน้องให้เปลืองตังค์ "


"ดาแกไม่ต้องห่วงหรอก มากกว่านี้ยัยเวย์กับยัยฐามันก็เคยผ่านมาแล้ว ดื่มเพียวๆแค่แก้วสองแก้วไม่เป็นไรหรอก" ศศิที่เห็นท่าทีไม่สบายใจของเพื่อนรีบพูดอธิบายให้อีกคนได้หายกังวลขึ้นมาในใจ ไม่ใช่ว่าพวกเธออยากจะแกล้ง

อะไรเพื่อนหรอกนะ แค่อยากให้บรรยากาศตึงๆในตอนนี้มันกลับมาดีเหมือนเดิมก็แค่นั้น และวิธีที่ดีและเห็นผลได้เร็วที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นพวกเครื่องดื่มที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะตอนนี้ ที่อีกไม่กี่นาทีมันจะช่วยให้เพื่อนเธอทั้งสองคน

กลับมาเป็นมิตรที่ดีต่อกันอีกครั้ง


"ยัยเวย์..หมดแก้ว"ชนิษฐาที่นั่งทำใจจนได้ที่รีบยกแก้วขึ้นมาถือไว้ในมืออย่างกล้าหาญ พร้อมกับเอ่ยเรียกเพื่อนรักที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกันด้วยน้ำเสียงมาดมั่น ให้อีกสองคนที่ได้ฟังต่างพากันยกยิ้มขึ้นมาในใจช้าๆ แบบนี้ค่อย

เริ่มสนุกขึ้นมาหน่อย


เวธกาที่เห็นเพื่อนยกแก้วในมือขึ้นมาเตรียมจะชนกับตัวเอง รีบตอบกลับรับข้อตกลงอย่างไม่กลัวเกรง เธอไม่ยอมเสียหน้าเสียศักดิ์ศรีอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่เป็นไงเป็นกันสิคืนนี้  ลิลลดาได้แต่แอบถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความ

เหนื่อยหน่าย คืนนี้เธอคงไม่พ้นต้องนอนค้างที่คอนโดอีกเป็นแน่


"ซี๊ด?" ความรู้สึกขมปี้ที่ติดเฝื่อนอยู่กับลิ้นทำให้อีกสองคนต้องซี๊ดปากออกมาอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะพากันคว้าน้ำเปล่าที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาล้างปากอย่างกลัวตาย นี่มันยาพิษชัดๆ


"อีกซักคนละแก้วดีไหมเผื่อรสชาติมันจะดีขึ้น"ศศิที่เห็นอาการขยาดกลัวของเพื่อนรักก็นึกอยากจะแกล้งเล่นขึ้นมาอีกรอบ เก่งๆแบบนี้มันต้องจัดให้หนักๆจะได้จำขึ้นใจ


"ได้..ดาแกจัดมาสี่แก้วเพียวๆ เอามากกว่าเมื่อกี้นะรอบนี้ฉันกับยัยเวย์ยัยศิจะดื่มฉลองให้กับยัยสา เพื่อนจะแต่งงานมีสามีทั้งทีคืนนี้มันต้องเอาให้สุดสิถึงจะถูก จริงไหมยัยเวย์"ชนิษฐาที่นึกหมั่นไส้เพื่อนตัวเองขึ้นมาในใจ รีบหาวิธี

แก้แค้นเอาคืนอีกสองคนอย่างไม่รีรอ เธอไม่ยอมถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวแน่


ทั้งเวธกา ลิลลดาชาลิสาและศศิต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินในสิ่งที่เพื่อนตัวเองเอ่ยบอกออกมาเมื่อครู่ งานเข้าพวกเธอแล้วไหมล่ะคราวนี้


"แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วยอ่ะ" เวธกาถามกลับขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงงสงสัย เธอยังไม่ได้พูดซักคำว่าจะเบิ้ลอยู่ๆมามัดมือชกเอาดื้อๆแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน นั่นเหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่าดื่มแล้วเมาไม่ได้สดชื่น


"แกอย่าอ่อนแอยัยเวย์ เกิดเป็นผู้หญิงยุคใหม่หัวใจต้องสตรอง"เวธกาได้แต่มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างไม่เข้าใจ นี่เธอเกี่ยวอะไรด้วยวะจะเอาคืนคนอื่นแล้วทำไมต้องลากเธอเข้าไปเอี่ยวด้วย


"แต่ฉันต้องไปส่งดาที่บ้านอีกนะ ถ้าเมาขึ้นมาแล้วจะทำยังไง"


"แกก็ให้ยัยดาขับสิแล้วแกก็ค้างที่นั่นเลยมันจะไปยากอะไร  ไหนๆแกกับยัยดาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งสองปีแล้ว อยู่ต่ออีกซักคืนมันจะเป็นอะไร ใช่ไหมดา ส่วนพวกแกสองคนยกแก้วขึ้นมาคืนนี้ฉันจะดับเครื่องชนให้ดู" เวธกาได้

แต่อึ้งไปกับประโยคมัดมือชกไม่ปรึกษาใครของเพื่อน นี่มันไม่คิดจะถามความสมัครใจของใครเลยใช่ไหม ถึงได้พูดเองสรุปเองคนเดียวแบบนี้  ชาลิสากับศศิได้แต่ส่งสายตาหากันอย่างไม่มั่นใจ เมื่ออยู่ๆโดนเพื่อนตัวดีแก้แค้นเอา

คืนอย่างกะทันหัน งานเข้าพวกเธอจริงๆแล้วล่ะสิคราวนี้

เสียงเนื้อแก้วชนกันดังกริ๊กขึ้นมากลางห้องอีกครั้งพร้อมกับสีหน้าหวาดหวั่นของแต่ละคน ที่ดูจะขยาดกลัวกับสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองตอนนี้เสียเหลือเกิน ลิลลดาได้แต่นั่งมองดูทีท่าของเพื่อนตัวเองด้วยความหนักใจ ถ้าจะกลัว

กันขนาดนี้แล้วจะท้ากันดื่มไปเพื่ออะไร เธอไม่เข้าใจจริงๆ


"หมดแก้ว ! " สิ้นเสียงของเพื่อนสนิทก็ทำเอาอีกสามคนได้แต่แอบกลืนน้ำลายคงคอดังเฮือกด้วยความตกใจ ชาลิสากับศศิได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในอย่างรู้สึกผิดเธอไม่น่าคิดแกล้งเพื่อนด้วยวิธีนี้เลย เวรกรรมมันเลยตามทันพวกเธอ

เร็วแบบนี้ แต่กับเวธกาเธอกำลังคิดว่ามันเป็นความซวยอย่างไม่น่าให้อภัยในชาตินี้


"อี๋?ซี๊.ด.." เสียงร้องอุทานออกมาอย่างซาบซ่านถึงทรวงของอีกสองคนหลังดื่มแอลกอฮอล์ลงไปจนหมดแก้ว สร้างความสะใจให้กับคนที่ได้แก้แค้นเอาคืนเป็นอย่างมาก อยากแกล้งพวกเธอดีนักโดนซะบ้างจะได้รู้สึก


"ทั้งขมทั้งบาดคอใช่ไหม นั่นแหละที่ฉันกับยัยเวย์รู้สึก อีกซักแก้วไหมคะเผื่อรสชาติมันจะดีขึ้น"ชนิษฐาประชดกลับด้วยคำพูดของศศิอย่างต้องการตอกย้ำความทรงจำให้กับเพื่อนตัวเองอีกรอบ สร้างความเจ็บใจให้กับอีกสองคน

ที่โดนเอาคืนไปเมื่อครู่เป็นอย่างมาก


"ยัยเพื่อนร้ายกาจ.." ชาลิสาพูดเหน็บขึ้นมาเบาๆอย่างนึกแค้นใจ คอยดูเถอะเธอจะหาทางเอาคืนให้ได้


"ขอบใจที่ชม" ชนิษฐาตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำพูดเหน็บแนมของเพื่อนตัวเอง ตอนนี้เธอได้แก้แค้นสมใจแล้ว เรื่องอื่นเธอไม่คิดจะสนใจหรอกนะ ท่าทางระรื่นมีความสุขของคนพูดมันช่างดูน่าหมั่นไส้ในสายตา

ของคนฟังเสียจริงๆ เธอต้องทำยังไงนะถึงจะเอาคืนยัยเพื่อนตัวดีได้อีกครั้ง


"สาฉันขออะไรมาล้างปากก่อนได้ไหม รู้สึกเหมือนลิ้นกำลังจะเป็นอัมพาตยังไงชอบกล ขมบรรลัยขนาดนี้แกสองคนกินเข้าไปได้ยังไงตั้งสองแก้ว พูดแล้วขนลุก บรึ๋ ย ! "ศศิที่นั่งไว้อาลัยให้กับตัวเองอยู่เงียบๆ เอ่ยบอกเพื่อนรัก

อย่างนึกกลัวตาย เธอคงอยู่ไม่พ้นคืนแน่ถ้าไม่ได้อะไรมาล้างปากหลังจากนี้  คิดแล้วก็สยดสยองไม่หาย นี่พวกผู้ชายดื่มกันเข้าไปได้ยังไงเพียวๆ ขมไปถึงตับถึงไตขนาดนี้


"เหล้าที่ไหนมันก็ขมเหมือนกันหมดแหละ ถ้าแกอ่อนแอก็สั่งเหล้าปั่นมากินแทนสิเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น" คำพูดดูถูกของอีกคนมันช่างส่งผลต่อความรู้สึกของคนฟังได้ดีเหลือเกิน พูดแบบนี้ก็ฆ่าเธอเสียดีกว่าคนอย่างศศิฆ่าได้แต่หยาม

ไม่ได้เด็ดขาด


"ยัยฐาแกกับฉันมาดวลกันเลยไหมว่าใครจะอยู่ใครจะไปก่อนกัน คนอย่างศศิถึงจะอ่อนแอแต่ไม่อ่อนข้อให้ใครแน่นอน"


"พอเลยยัยศิแกไม่ต้องไปปากเก่งท้าดวลกับยัยฐาเลย แค่แก้วแรกแกก็เกือบจะแพ้น็อคแล้วขืนมีแก้วที่สองแกได้นอนเฝ้าร้านแน่ "ชาลิสาที่เห็นท่าไม่ดีรีบแย้งขึ้นมาทันทีด้วยความเป็นห่วง กับชนิษฐาเธอไม่อะไรหรอกนะแต่กับ

ศศินี่สิปัญหาใหญ่เลยล่ะ ขืนปล่อยให้ดวลกันจริงๆมันคงได้นอนเฝ้าร้านอย่างที่เธอพูดแน่นอน


"สาในร้านมีผ้าเย็นบ้างไหม ดาขอหน่อยสิ" ลิลลดาที่นั่งเงียบฟังเพื่อนทุกคนอย่างเป็นกลาง เอ่ยถามเจ้าของร้านขึ้นมาเบาๆ ให้คนที่เหลือได้แต่เงียบฟังด้วยความตั้งใจ กับคนอื่นพวกเธอไม่ค่อยจะเกรงใจอะไรหรอกนะ แต่กับลิล

ลดามันเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบอัตโนมัติไปแล้ว เวลาที่อีกคนพูดหรือบอกอะไรพวกเธอจะต้องพร้อมใจกันเงียบและฟังอย่างไม่ได้นัดหมาย เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปัจจุบันและคาดว่ามันก็จะเป็นแบบนี้ไปอีก

เรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด


"น่าจะมีนะเดี๋ยวสาบอกเด็กเอาขึ้นมาให้ ว่าแต่ดาจะเอามาทำอะไรหรือ"


"เอามาเช็ดหน้าน่ะ" ลิลลดาตอบกลับไปแบบกลางๆให้คนฟังได้แต่พยักหน้าเป็นอันเข้าใจ ก่อนจะปลีกตัวออกไปจากห้องเพื่อไปบอกเด็กในร้านให้เอาอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาเพิ่มให้ รวมทั้งผ้าเย็นที่อีกคนขอเมื่อครู่ด้วย


"ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะเดี๋ยวกลับมา"เวธกาที่นั่งเก็บอาการอยู่นานเริ่มรู้สึกจะไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ เมื่อบางอย่างในกระเพาะอาหารมันเริ่มจะตีรวนขึ้นมาจ่อที่ลำคออยู่เรื่อยๆ ให้รู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะเอาออกให้รู้แล้วรู้รอด

ทนฝืนอยู่แบบนี้เธอไม่ไหวจริงๆ


"ให้ดาไปเป็นเพื่อนไหม" น้ำเสียงอ่อนโยนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของคนพูด เรียกให้อีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องต่างหันมามองหน้ากันอย่างอัตโนมัติ คล้ายๆกับจะสื่อสารกันอยู่ในใจว่าคิดเหมือนกันไหมบีหนึ่ง


"ไม่เป็นไรดานั่งอยู่กับพวกยัยฐานี่แหละจะได้คุยกัน  เวย์แค่จะไปล้างหน้าเฉยๆเดี๋ยวก็กลับมา" เวธกาที่ไม่อยากจะรบกวนเวลาสนุกของเพื่อนรีบปฏิเสธอีกคนออกไปแบบนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆเดินหลบออกมาจากห้องอย่างช้าๆ

เธอไม่น่าดื่มตอนที่ท้องว่างเลยจริงๆสุดท้ายก็เป็นเรื่องขึ้นมาจนได้


"นี่ยัยเวย์เมารึเปล่าดูเงียบๆไปนะ"ศศิที่สังเกตเห็นความผิดปรกติของเพื่อนเอ่ยถามอีกสองคนขึ้นมาเบาๆอย่างนึกสงสัย เมื่อเห็นท่าทีที่แปลกไปของเวธกา ให้คนที่นั่งสังเกตอยู่แล้วก่อนหน้ายิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก


"ไม่มั้ง เหล้าแค่สองแก้วเองยัยเวย์ไม่น่าเมาหรอก มากกว่านี้มันยังไหวเลย"


"สองแก้วของแกแต่เพียวนะยะ ยัยเวย์มันอาจจะรวนก็ได้ ขนาดฉันแก้วเดียวยังแทบจะลุกไม่ไหวเลยตอนนี้ "


ก๊อก ก๊อก ก๊อก? เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหันให้คนที่อยู่ในห้องจำต้องหยุดบทสนทนาเอาไว้แค่นั้น เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดพนักงานเดินถือกล่องอะไรบางอย่างเดินมาทางพวกเธออย่างไม่มั่นใจ


"คุณดาคะคุณสาบอกให้หนูเอาผ้าเย็นขึ้นมาให้ก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวอีกซักพักคุณสาจะตามขึ้นมาพร้อมกับอาหารค่ะ"


"ขอบใจจ้ะ"ลิลลดายิ้มบางๆส่งให้กับหญิงสาวในชุดพนักงานเสิร์ฟของร้านเป็นการขอบคุณอีกคนจากใจ ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องผ้าเย็นที่อีกคนเดินถือเอาขึ้นมาให้ด้วยความเกรงใจ หวังว่าเจ้าตัวจะไม่คิดว่านี้คือการใช้ด้วย

อำนาจหรอกนะ เพราะเธอไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลยจริงๆ


"ถ้าหมดธุระแล้วหนูขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะคะ"


"จ้ะ ขอบใจนะ" หญิงสาวยิ้มรับคำขอบคุณจากเพื่อนเจ้านายไปตามมารยาท ก่อนจะรีบเดินกลับลงไปยังชั้นล่างของผับอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว ให้อีกสามคนที่นั่งอยู่ในห้องได้แต่เหลือบมองหน้ากันไปมาอย่างไม่มีใครคิดจะพูด

อะไรต่อ บรรยากาศตอนนี้มันดูแปลกๆยังไงชอบกล


"เดี๋ยวดาขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ถ้ายัยสากลับขึ้นมาก็บอกด้วยว่าดาไปทำธุระส่วนตัว" ชนิษฐาและศศิได้แต่พยักหน้ารับแบบงงๆระคนสงสัย เมื่อเห็นท่าทีมีพิรุธของเพื่อนตัวเองที่ดูยังไงก็ไม่ปรกติเอาเลยซักนิด


"แกคิดเหมือนฉันไหมยัยฐาว่ายัยดากับยัยเวย์ดูแปลกๆไป.."


"แปลกของแกมันคือยังไงอธิบายรายละเอียดมากกว่านี้หน่อยซิ พูดกว้างซะขนาดนี้ฉันคงคิดได้หรอกนะ " บทสนทนาว่าด้วยเรื่องการนินทาคนอื่นเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อพวกเธอมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังสองคนในห้องอีกครั้ง

และประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของลิลลดาและเวธกาก็เริ่มต้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากกรรมการเพิ่งจะสั่นกระดิ่งบอกหมดยกแรกไปแล้วเมื่อครู่ และตอนนี้เธอว่ามันก็ถึงแก่เวลาของการเริ่มต้นยกที่สองในค่ำคืนนี้ซักที


"ไหนแกว่าตัวเองฉลาดไง ทำไมต้องให้ฉันอธิบายด้วยแค่นี้แกดูไม่ออกรึไงว่าอะไรที่มันแปลกไป.."


"ฉลาดไม่ได้หมายถึงว่าฉันต้องรู้และเข้าใจทุกเรื่องในชีวิตของคนอื่น ที่ฉันให้แกอธิบายรายละเอียดของคำว่าแปลกไปก็เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเราจะกำลังคิดเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่าตอนนี้ แกอาจจะคิดคนละเรื่องกับฉันหรือฉันอาจ

จะคิดคนละเรื่องกับแกก็เป็นได้ใครจะไปรู้จริงไหม"


"ถ้าแกคิดเรื่องยัยดากับยัยเวย์มันก็เป็นเรื่องเดียวกันกับที่ฉันกำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้แหละ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสำบัดสำนวนมากก็ได้ฉันขี้เกียจตีความหมาย แค่บอกมาว่าแกคิดยังไงกับเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนั้นก็พอ เรื่อง

อื่นเอาไว้คุยกันทีหลัง"


"ถ้าเอาที่ฉันคิดนะฉันว่ายัยเวย์คิดกับยัยดาแค่เพื่อนคนนึงเท่านั้น แต่ที่มันร้อนตัวก็คงเพราะกลัวยัยดาจะโกรธพวกเรามากกว่า แกก็รู้ว่ายัยเวย์มันปฏิญาณตนไว้ว่ายังไงชาตินี้ทั้งชาติมันอาจจะไม่รักใครจริงๆอย่างที่พูดไว้ก็ได้  แล้ว

อีกอย่างฉันก็รู้จักนิสัยยัยเวย์ดีถ้ามันบอกว่าใช่ก็คือใช่แต่ถ้ามันบอกว่าไม่ก็คือไม่แน่นอนอันนี้ฉันมั่นใจ แต่กับยัยดาฉันไม่กล้าฟันธงจริงๆว่าคิดกับเวย์แค่เพื่อน ถึงยัยดาจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเหมือนกับยัยเวย์ก็เถอะ แต่

การกระทำมันดูทะแม่งๆยังไงชอบกลยิ่งตอนที่เราแซวยัยเวย์หนักๆยัยดาเหมือนจะเขินแปลกๆ แล้วเมื่อกี้แกสังเกตใช่ไหมตอนยัยเวย์บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำดาดูเป็นห่วงเป็นใยยัยเวย์เกินไปรึเปล่า กับเราก็เพื่อนเหมือนกันฉันไม่

เห็นยัยดาจะสนอกสนใจอะไรเลย กลับเฉยเสียด้วยซ้ำ"


"แกบอกว่ายัยเวย์ไม่ได้คิดอะไรกับยัยดาเกินเพื่อนใช่ไหมแต่ฉันว่าไม่  ฉันว่ายัยเวย์ยังไม่รู้ใจตัวเองมากกว่า แกเคยได้ยินคำนี้ไหมว่าอะไรที่มันใกล้ตัวเกินไปเราก็มักจะมองข้ามเสมอ ยัยเวย์อาจจะคิดไม่ถึงก็ได้ว่ายัยดาจะรู้สึกกับ

ตัวเองมากกว่าเพื่อน เลยไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร แกลองคิดดูสิว่าเพื่อนที่ไหนมันจะตัวติดกันได้ตลอดเวลาแบบนั้นแถมยังนอนห้องเดียวกันเตียงเดียวกันอีกต่างหาก นี่ถ้ายัยเวย์เป็นผู้ชายนะฉันว่าสามีภรรยากันชัดๆ "


"แกจะบอกว่ายัยเวย์ก็รู้สึกกับยัยดามากกว่าเพื่อนแต่ไม่รู้ตัวอย่างนั้นใช่ไหม มันจะเป็นไปได้ยังไงฉันคุยกับยัยเวย์ออกจะบ่อยตอนมันไปเรียนโทที่อเมริกา ไม่เห็นมันจะมีพิรุธอะไรออกมาให้เห็นเลย "


"ก็เพราะยัยเวย์มันไม่รู้ตัวน่ะสิว่ามันรักยัยดา มันถึงได้ไม่แสดงอาการผิดปรกติออกมาให้เราเห็น แกลองคิดดูสิว่าตั้งแต่รู้จักกันมายัยเวย์กับยัยดามันเคยคบใครแบบจริงๆจังๆบ้างไหม ทั้งๆที่ผู้ชายทั้งมหาลัยก็วิ่งไล่จีบมันสองคนให้

วุ่นแต่กลับไม่มีใครเอาชนะใจมันสองคนได้เลยมันแปลกไหมล่ะแกว่า ยัยดากับยัยเวย์สวยออร่าซะขนาดนั้นแต่ทำไมถึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนซักที แกไม่เคยสงสัยบ้างเลยรึไง?" ศศิทิ้งท้ายด้วยคำถามสำคัญหวังให้เพื่อนได้

คิดและได้เห็นในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ เธอไม่ได้ฟันธงว่าสิ่งที่ตนคิดมันจะถูกต้องทั้งหมด แต่เธอค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเองคนเดียวอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยๆตอนนี้ก็มี ชนิษฐาอีกคนที่คิดตรงกันกับเธอ


"ก็เคย..แต่แกจะจับประเด็นนี้มาเป็นข้อสนับสนุนว่าสองคนนั้นคิดไม่ซื่อต่อกันเลยก็ไม่ได้ แกอย่าลืมสิว่าตอนนี้ทั้งแกและฉันก็ยังไม่มีใครเหมือนกัน  ทั้งๆ ที่ตอนเรียนมหาลัยก็มีคนมาจีบเราไม่น้อยแต่แกกับฉันก็เลือกที่จะปฏิเสธ

ความสัมพันธ์เหล่านั้นเช่นกัน ถ้าเหตุผลนี้คือสิ่งที่ทำให้แกคิดว่ายัยเวย์กับยัยดาไม่ชอบผู้ชายแกกับฉันก็อาจจะไม่ชอบผู้ชายด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเหตุผลเรื่องไม่มีใครมันยังใช้เป็นข้อสรุปเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนั้นไม่

ได้หรอกนะ ฉันว่าแกด่วนสรุปเกินไปนะศิ บางทีเรื่องนี้มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ " สายตาคนฟังตื่นตระหนกหลบเร้นขึ้นมาอยู่ในทีเมื่อได้ยินในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจอย่างช้าๆ บางทีคำว่าไม่มีใครมัน

อาจจะใช้กับเธอไม่ได้แล้วตอนนี้


"ถ้าแกคิดว่ามันไม่มีอะไรแล้วทำไมตอนแรกแกถึงไม่มั่นใจในตัวยัยดาล่ะ ทำไมแกไม่ฟันธงไปเลยว่ายัยดาก็คิดกับยัยเวย์แค่เพื่อนเหมือนกัน ทำไมแกต้องลังเลใจไหนอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟังหน่อยซิ"


"ก็?" ชนิษฐาได้แต่อึกอักขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไม่รู้จะอธิบายในสิ่งที่ตนกำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้ว่ายังไง มันเป็นความรู้สึกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคำว่าใช่กับไม่ใช่ ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจความคิดของตัวเองเหมือนกันว่ามันจะเลือกเชื่อฝั่ง

ไหนในตอนนี้ มันค่อนข้างอธิบายยากจริงๆนะ


"ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงใช่ไหม ฉันก็เหมือนแกนั่นแหละรู้สึกได้แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันอึดอัดอยู่ในใจ ยิ่งยัยดาพยายามจะชัดเจนกับยัยเวย์มากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งไม่สบายใจ  กลัวมันจะกลายเป็นรักข้างเดียวเหมือนในละคร ที่ตอน

สุดท้ายคนที่คิดว่าใช่กลับไม่ได้ลงเอยกัน ฉันกลัวจริงๆ ว่ายัยดากับยัยเวย์จะเป็นแบบนั้น" กลัวจนอดคิดถึงเรื่องของตัวเองด้วยไม่ได้  อะไรที่มันใกล้เกินไปบางทีเราอาจจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดเป็นเจ้าของ


 "แล้วถ้ายัยเวย์เกิดมีใจให้ยัยดาอย่างที่แกว่าล่ะ เรื่องมันจะหักมุมใช่ไหม.."ชนิษฐาพูดเพ้อขึ้นมาลอยๆอย่างคนไม่จริงจัง ให้คนฟังได้แต่ครุ่นคิดตามอย่างงงๆ


"แล้วไหนแกว่ายัยเวย์ไม่ได้คิดอะไรกับยัยดาไง แล้วมันจะมาหักมุมกันตรงไหน นี่ฉันเริ่มจะไม่เข้าใจแกจริงๆแล้วนะยัยฐา ตกลงว่ายัยเวย์มันมีใจให้ยัยดาหรือไม่มีกันแน่ แกเอาให้ชัวร์ไม่ใช่พูดกลับไปกลับมาแบบนั้นฉันสับสน

เข้าใจไหม"


"ตอนแรกฉันมั่นใจไงว่ายัยเวย์มันไม่ได้คิดอะไรกับยัยดา แต่พอฟังแกพูดมาเท่านั้นแหละฉันเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วตอนนี้ว่าตัวเองคิดถูกทั้งหมด มันเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันคล้อยตามคำพูดของแกเมื่อครู่ ซึ่งฉันก็ไม่

มั่นใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร อยู่ๆมันก็ทำให้ฉันลังเลใจขึ้นมาดื้อๆ"


"แสดงว่าแกเริ่มจะคิดเหมือนฉันแล้วใช่ไหมตอนนี้.."ชนิษฐาค่อยๆพยักหน้าขึ้นลงอย่างคนไม่มั่นใจ มันอาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ในความรู้สึกของเธอ ว่าเวธกากับลินลดาจะแอบมีใจให้กันอย่างที่ศศิพูด แต่มันก็เกือบจะถึงครึ่งอยู่

เหมือนกันถ้าวัดจากความรู้สึกและความคิดของเธอในตอนนี้


"ฉันว่าเราต้องพิสูจน์สมมุติฐานเรื่องนี้ด้วยตัวเองแล้วล่ะ เพราะฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ายัยเวย์จะแอบมีใจให้กับยัยดาอย่างที่แกพูดรึเปล่า ถ้าเรื่องนี้มันเกิดเป็นจริงขึ้นมาฉันว่าเราต้องยื่นมือเข้าไปช่วยยัยดาแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้น

ตอนจบมันได้ลงเอยด้วยน้ำตาแน่ๆ.."





Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น