web stats

ข่าว

 


คือ...เธอ : ตอนที่ 1

โพสต์โดย: viswee วันที่: 17 พฤษภาคม 2017 เวลา 12:57:31 อ่าน: 411

คือ...เธอ ตอนที่ 1     







เสียงเพลงสากลยุคเก่าดังขับคลอไปทั่วบริเวณ ภายในอาณาเขตของร้านอาหารที่มีชื่อว่า "White lies Cafe" แห่งนี้ ซึ่งนอกจากเสียงเพลงที่บ่งบอกถึงความวินเทจของร้านแล้ว ทุกอย่างที่ตั้งอยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดให้เข้าคอนเซปต์วินเทจเช่นเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะไม้เก้าอี้หวาย ชั้นวางของ ของตกแต่งร้าน รวมไปถึงจานชานช้อนส้อม ก็แลดูจะเข้าชุดเข้ากันไปเสียหมด และทุกอย่างถูกคุมโทนด้วยสีขาวสะอาดตา

คงจะยกเว้นก็แค่เมนูอาหาร ที่ไม่คล้อยตามคอนเซปต์การตกแต่งร้าน เพราะที่นี่ขายอาหารสมัยใหม่ ทั้งไทยและฝรั่ง แต่ที่โดดเด่นและเป็นจุดขายของร้าน น่าจะเป็นอาหารฟิวชั่น จากวัตถุดิบที่ผสมผสานระหว่างซีกตะวันตกและโลกตะวันออกไว้อย่างลงตัว ซึ่งถูกครีเอทให้กลายเป็นเมนูแนะนำที่ทางร้านเชิญชวนให้ลิ้มลอง
   
อาหารอร่อย บรรยากาศดี ดนตรีสบายหู หากรายการอาหารหรือว่าคอลัมน์แนะนำสถานที่กินดื่ม ได้แวะเวียนมาที่นี่แล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าคงให้คะแนนไม่ต่ำกว่า 8 เต็ม 10 แน่นอน แต่ถ้าจะมีให้หักคะแนน ก็คงจะเป็นเรื่องของสถานที่ตั้ง เพราะร้านนี้อยู่ในซอย แม้จะไกลจากปากซอยแค่ราวๆ 100 เมตร แต่ถ้าไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัว ไม่พึ่งวินมอเตอร์ไซค์จากถนนใหญ่ ก็คงต้องเดินเท้าเข้ามา

อีกทั้งจำนวนโต๊ะสำหรับรับรองลูกค้าก็ไม่ได้มีมากมาย ภายในร้านซึ่งติดเครื่องปรับอากาศ จุคนได้ไม่น่าจะเกิน 40 คน เพราะมีโต๊ะอาหารเพียงแค่ 6 - 8 ชุด เท่านั้น ส่วนเทอเรซ open air ด้านนอก ก็มีเพียงแค่ 3-4 โต๊ะ หากใครอยากมาชิมอาหารร้านนี้ ไม่จองโต๊ะไว้ก่อน คงต้องเสียเวลาในการรอโต๊ะว่างแน่

แต่ถึงแม้ร้านจะไม่สามารถรับลูกค้าได้มากมาย ทว่าในทุกครั้งที่เวธกามารับประทานอาหารที่ร้านนี้ ทุกโต๊ะล้วนแล้วแต่มีลูกค้าจับจองเต็มหมดแล้ว ส่วนใหญ่ก็คงมาด้วยเหตุผลเดียวกับเธอ นั่นคือ...ชื่นชอบรสชาติอาหารและชื่นชมความสวยงามของร้าน

"อาหารได้รับครบนะคะ" เสียงจากพนักงานเสิร์ฟแวะเวียนมาสอบถามด้วยความใส่ใจ เวธกาเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือไปตอบรับ เธอสั่งไปแค่ 2 รายการเท่านั้น และได้รับครบถ้วน แถมยังรอไม่นานอีกต่างหาก ที่นี่บริการดีเยี่ยมจริงๆ เลย

"เอ! ทำไมรายการไม่เคยมาถ่ายที่นี่"

เสียงพึมพำหลุดออกมาปากจากหญิงสาว ก่อนที่เสียงจะเงียบหายไปเมื่อเธอม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ใส่ปาก ดวงตาที่เพิ่งละไปเมื่อครู่ ถูกดึงให้กลับมาจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง

เมื่อตอนที่ได้รับอาหาร เวธกาถ่ายรูปและโพสต์ลง Instagram บรรดาแฟนคลับและผองเพื่อนที่รู้จัก ต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นรูปของเธอหลายต่อหลายข้อความ แต่ที่สะดุดตาที่สุด คงจะเป็นข้อความจากโปรดิวเซอร์รายการอาหารที่เธอเป็นพิธีกรอยู่ มาคอมเมนต์ชื่นชมและสอบถามชื่อร้าน

"สงสัยต้องบอกพี่คิงมาถ่ายที่นี่ซะละ"

เวธกาหยิบทิชชู่มาเช็ดปาก ดวงตาละทิ้งหน้าจอโทรศัพท์มือถือ กวาดตามองไปรอบๆ ร้าน คราวนี้ไม่ใช่การชื่นชม แต่เป็นการเก็บรายละเอียดเพื่อจะไปบอกทีมงาน แม้เธอจะแวะเวียนมาที่นี่ได้ 3 - 4 ครั้ง เนื่องจากอยู่ใกล้ที่พักอาศัยของเธอเพียง 10 นาที แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใด จะรู้สึกอยากให้รายการของเธอมาถ่ายทำมาก่อน

หรือเป็นเพราะรายการในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา มักจะเลือกไปแต่ร้านอาหารประเภทเดิมๆ ไม่บุฟเฟต์ปิ้งย่าง ก็ไปทะเลเผา หรือก็โน่นล่ะซูชิปลาดิบ ถึงเธอจะเป็นแค่พิธีกรทำหน้าที่ไปตามสคริปต์ หากแต่เมื่อต้องเจออะไรซ้ำๆ บ่อยๆ มันก็น่าเบื่อไม่น้อย

แต่พอมาเจอร้านอาหารที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน การครีเอทเมนู รสชาติที่น่าจะถูกปากคนทั่วไป ราคาก็ไม่ได้แพงจนเห็นละตกใจ วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหาร เพียงแค่ลิ้มรสก็บอกได้ว่าร้านนี้ไม่หวงของ มันก็น่าจะเป็นการนำเสนออะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ให้แก่ผู้ชมบ้างหรือเปล่า 

สายตาของเวธกาถูกดึงกลับมามองบนโต๊ะอีกครั้ง นี่ไง เมนูโปรดของเธอ มาทุกครั้งต้องสั่งจานนี้ทุกที ตอนนี้แทบไม่เหลือซาก จานบนโต๊ะว่างเปล่า ส่วนในชามขนาดกลางหลงเหลืออาหารเพียงน้อยนิด

เวธกาหัวเราะเบาๆ อันที่จริงเธอไม่ควรจะรับประทานอาหารหนักๆ ในเวลานี้ เพราะนี่จะ 4 ทุ่มครึ่งอยู่แล้ว แม้เธอจะไม่ใช่ระดับนางเอก แต่การเป็นนักแสดง เป็นพิธีกร หรือการที่ต้องออกทีวีบ่อยๆ เธอก็จำเป็นต้องรักษารูปร่างให้สวยสมส่วนเข้าไว้ อืม... ด้วยอาชีพแล้ว จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจปาก ก็คงไม่ดีนัก

แต่เอาเถอะ ขอมื้อหนึ่งละกัน ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ขอให้รางวัลตัวเองด้วยการกินอาหารอร่อยสักมื้อ น้ำหนักตัวก็คงไม่เพิ่มมากไปเท่าไหร่หรอกมั้ง เวธกาได้แต่หาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเอง

แล้วตอนนี้เธอก็ตามใจปากเอาใจท้องจนหนำใจละ เวธกาโบกมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน ในระหว่างที่นั่งรอ ก็นึกขึ้นได้ว่าไหนๆ เธอก็อยู่ที่นี่ ทำไมไม่ลองติดต่อทาบทามร้านนี้ดูก่อน หากทางร้านยินดีให้ถ่ายทำรายการ ทีมงานเซย์เยส ขั้นตอนต่อไปก็นัดวันถ่ายทำได้เลย

"น้องคะ พี่อยากคุยกับผู้จัดการน่ะ ที่นี่... มีใช่มั้ยคะ" เวธกาแจ้งแก่พนักงานที่เพิ่งถือบิลมาให้

รอเพียงไม่นาน หญิงสาวในวัยที่น่าจะแก่กว่าสัก 7 - 8 ปี ก็เดินเข้ามายังโต๊ะที่เวธกานั่ง

"มีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันยุพินเป็นผู้จัดการร้านค่ะ"

เวธกาส่งยิ้มเป็นมิตรให้หล่อน เมื่อเห็นสีหน้าตระหนกนิดๆ ของคุณผู้จัดการร้าน

"ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะคุณยุพิน พอดีไวน์ทำรายการทีวี เชิญชิลชวนชิมน่ะค่ะ ไวน์เลยอยากจะคุยกับเจ้าของร้าน เผื่อจะได้ให้ทีมงานติดต่อมาถ่ายรายการร้านนี้ ไวน์มา 3 - 4 ครั้งแล้วค่ะ ชอบที่นี่มาก"

"งั้นเดี๋ยวคุณไวน์รอสักครู่นะคะ"

เวธกามองตามผู้จัดการร้าน เห็นหล่อนหายไปทางหลังประตูไม้สีน้ำตาล ที่ติดอยู่กับเคาน์เตอร์ยาวสีขาวที่ตั้งขนานไปกับตู้ไม้สีเดียวกัน ในตู้คือชั้นวางของที่เป็นเครื่องแก้ว ทั้งขวดเหล้านานาชนิด ขวดน้ำหวานน้ำเชื่อม และแก้วน้ำหลากหลายรูปทรง

ประตูนั้นคงจะเป็นทางเข้าห้องครัว เธออมยิ้มน้อยๆ รู้สึกตัวเองขยันเกินหน้าที่ไปหรือเปล่าเนี่ย เขาจ้างไปทำหน้าที่พิธีกรแค่นั้นเองนะเวธกาเอ๋ย

นี่ถ้าเมื่อเดือนก่อน เธอไม่หิวโซ จนมองเห็นป้ายไฟร้านนี้ตรงหน้าปากซอย เธอก็คงไม่มีวันรู้ว่ามีร้านอาหารอร่อยๆ อยู่ในซอยนี้ด้วย ต้องขอบคุณความหิวโซยามงานยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวใช่ไหม หรือต้องขอบใจรสชาติอาหาร ถึงทำให้ตอนนี้เธอแย่งหน้าที่ผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ของรายการมาติดต่อให้ก่อนในเบื้องต้นเนี่ย
   
รอไม่ถึง 5 นาที ผู้จัดการร้านก็เดินออกมาจากประตูสีน้ำตาล คราวนี้คุณยุพินมีคนเดินตามหลังมาด้วย คนนั้นอยู่ในชุดเชฟสีขาว ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง และชุดเชฟที่ค่อนข้างหลวม เวธกาเลยไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคนในชุดเชฟเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
   
สองคนเดินมาหยุดยืนหน้าโต๊ะ โอ๊ะ! คราวนี้เวธการู้แล้ว คนตัวสูงในชุดเชฟเป็นผู้หญิง และไม่ใช่คนไทยด้วย ถึงว่าสิ ทำไมมองทีแรกตัวสูงนัก

"คุณไวน์คะ นี่คุณอลิเซียค่ะ เป็นหัวหน้าเชฟและเจ้าของร้านนี้ค่ะ"

สายตาของเวธกาจับจ้องคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คุณยุพิน อลิเซียยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีฟ้าอมเทาของหล่อนสดใสมีประกาย ยังกะดวงตาพูดได้ เวธกามองเคล้ิมๆ กำลังจะส่งเสียงทักทายคุณอลิเซีย แต่...

"คุณอลิซรับน้ำอะไรดีคะ" ยุพินเอ่ยถามเจ้านาย

"ฉันขอมะนาวโซดาละกัน ขอบคุณนะคะ"

คำตอบของสาวเจ้าของดวงตาพูดได้ ทำเอาเวธกาอ้าปากค้าง นี่เมื่อกี้เธอเกือบสปีคอิงลิชแล้วเชียว คุณอลิเซียพูดไทยได้นี่ เธอกำลังจะขยับปากทักทายภาษาไทย แต่...

"อ้อ! คุณ..." อลิซเหลียวไปถามคนที่นั่งอยู่ แต่เพราะยังไม่รู้จักกัน เลยไม่รู้ว่าหล่อนชื่ออะไร จนกระทั่งผู้จัดการร้านกระซิบบอก อลิซแย้มรอยยิ้มนิดๆ

"คุณ...ไวน์ รับเครื่องดื่มสักแก้วไหมคะ แก้วนี้ ฉันไม่คิดเงิน"

เวธกาทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว ให้ตายเถอะ! ฝรั่งอะไรพูดไทยได้ยังไม่พอ พูดชัดกว่าคนไทยบางคนเสียอีก ยิ้มก็สวย ดวงตาก็สวย ใจดีอีกต่างหาก ไม่เคยเจอ

"สั่งได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ"
 
"เออ... ขอเหมือน... เหมือนคุณก็ได้ค่ะ" เวธกาหายใจแรง ทำไมเธอต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยเนี่ย

"ฉันขออนุญาตนั่งนะคะ" อลิซเอ่ยปากบอก นึกเขินที่โดนอีกคนจับจ้องอย่างไม่วางสายตา

"อุ้ย! เชิญค่ะ เชิญ" เวธกาละล่ำละลักพูด พลางผายมือไปยังเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม

"คุณไวน์อยากคุยกับฉันเรื่องอะไรหรือคะ"

"อ๋อ พอดีไวน์สนใจเรื่องร้านคุณน่ะค่ะ คุณอลิเซีย สารภาพเลยว่ามาฝากท้องที่นี่ 3 - 4 ครั้งแล้ว ติดใจรสชาติอาหารมาก"

"เรียกฉันว่าอลิซก็ได้ค่ะ ขอบคุณที่ชอบอาหารนะคะ" อลิซยิ้มน้อยๆ

และดวงตาสีฟ้าอมเทาก็ทำให้คนมองใจสั่นแปลกๆ เหมือนดวงตาคู่นี้ย้ำให้รู้ว่าขอบคุณจริงๆ

"ใช่ เออ...ใช่ค่ะ ชอบมาก โดยเฉพาะจานนี้ สั่งทุกครั้งที่มา" ว่าแล้วเวธกาก็ชี้นิ้วไปยังจานเปล่า ที่ยังไม่ได้ถูกเก็บไป

เจ้าของร้านเบนสายตามองตามไปบ้าง อลิซหัวเราะเบาๆ คนเป็นเชฟอดปลื้มใจไม่ได้ เมื่อได้รับคำชม และอาหารก็ถูกรับประทานจนหมดจาน และต่อให้เหลือหลักฐานน้อยนิด มีหรือคนที่คิดทำเมนูนี้ จะไม่รู้ว่าในจานก่อนหน้านี้คืออะไร

"มองจากสภาพสิ่งที่เหลือให้เห็น นี่...สปาเก็ตตี้แกงไตปลา"

"ถูกต้องค่ะ แล้วที่ฉันชอบเนี่ย เพราะฉันไม่ค่อยเจอเมนูผสมแปลกๆ อย่างเนี้ยที่อื่น เลยลองสั่งมาทาน เห็นเป็น Recommended ของร้านด้วย พอได้ชิมครั้งแรกนะ ถูกใจใช่เลย ชอบ"
   
เวธกามองอลิซอย่างทึ่งๆ แค่เห็นจานก็เดาออกแล้ว น่าจะเป็นคนคิดเมนูนี้หรือเปล่าเนี่ย

จากคำพูดที่ย้ำแล้วย้ำอีกในน้ำเสียงแห่งความชื่นชม ดูท่าว่าคุณไวน์จะชอบมากจริงๆ อลิซมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจระคนงุนงงนิดๆ จะว่าไปเธอก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนี้ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอจังๆ ที่ไหนเมื่อไหร่ แล้วหล่อนแค่อยากพบเธอ เพียงเพราะต้องการชื่นชมอาหารให้ฟัง เท่านี้น่ะหรือ?

ยังไม่ทันที่อลิซจะได้สนทนาต่อ ลูกน้องของเธอ ก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ เธอเลื่อนแก้วหนึ่งให้แขก ส่วนของตัวเองถือมาดื่ม รสชาติเปรี้ยวๆ ของมะนาวช่วยให้ตื่นตัว ส่วนความซ่าของโซดาก็ทำให้สดชื่นไม่น้อย การที่ต้องยืนอยู่หน้าเตาร้อนๆ มาหลายชั่วโมงติดต่อกัน ถือว่าเครื่องดื่มแก้วนี้ช่วยให้หายเหนื่อยได้เยอะทีเดียว

"คุณไวน์คะ แล้วนอกจากเรื่องอาหาร คุณ...มีเรื่องอื่นอีกไหม"

"อ้อ! ลืมไปเลย มัวแต่ชมอาหาร คืองี้ค่ะ ฉันชอบอาหารร้านคุณ จนฉันอยากให้รายการอาหารที่ฉันทำอยู่มาถ่ายทำร้านของคุณ เผื่อคนอื่นๆ จะได้แวะมาชิมความอร่อยบ้าง รายการทีวีค่ะ ออนแอร์ช่อง 4"

"อย่างนี้นี่เอง" อลิซพยักหน้าน้อยๆ นึกรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคงทำรายการทีวี ก็เข้าใจได้ รายการทีวีพวกกินดื่มเที่ยว มักจะชอบไปสัมภาษณ์และแนะนำร้านอาหาร

"แต่เดี๋ยวฉันขอไปคุยกับโปรดิวเซอร์รายการก่อนนะคะคุณอลิซ เพราะปกติทีมงานต้องทำการบ้าน ก่อนที่จะติดต่อถ่ายทำ"

"ว่าแต่เมนูนี้ คุณเป็นคนคิดหรือคะ" เวธกาถามต่อ สองแขนยกขึ้นวางบนโต๊ะ ยืดไหล่ตั้งหลังตรง รอฟังอย่างตั้งใจ วันแรกที่เธอมาที่นี่ ดวงตาก็ไปสะดุดเข้าให้กับสปาเก็ตตี้แกงไตปลา ที่อยู่ลำดับแรกๆ ในหน้าเมนูแนะนำ เธอสนใจจนต้องสั่ง และพอได้ลองชิม ก็เห็นควรว่าสมแล้วที่เป็นหนึ่งในเมนู Recommeded

อลิซระบายยิ้มกว้าง ท่าทางอยากรู้อย่างชัดแจ้ง และแววตากระตือรือร้นสนใจของอีกคนนั้น ทำให้เธอลงความเห็นได้ว่า หล่อนช่างเหมาะกับทำรายการแนะนำอาหารจริงๆ ดูตั้งใจหาข้อมูลมาก

"จะว่าคิดไหม ก็ไม่เชิงนะคะ เพราะว่าที่อื่นก็อาจจะมีเมนูนี้ แต่ฉันก็ยังไม่เคยเจอที่ร้านอื่นนะ"

"ว้าว! ฉันก็ไม่เคยเจอเหมือนกันค่ะ เจอที่ร้านคุณนี่แหละ เจอแล้วหลงรักเลย แล้วทำไมถึงต้องเป็นแกงไตปลาคะ"

"มันเป็นเรื่องที่...ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นเมนูนี้ได้เหมือนกันค่ะ พอดีฉันเป็นคนชอบทานอาหารรสจัดอยู่แล้ว เผอิญวันหนึ่งทานแกงไตปลากับข้าวสวย ก็นึกเล่นๆ ว่าถ้าเปลี่ยนข้าวเป็นอย่างอื่นจะเข้ากันได้ไหม จากนั้นก็ลองกับหลายอย่างมาก ทั้งสปาเก็ตตี้ แป้งตอร์ติญ่า บาแก็ตต์ โรตีกรอบ หรือพวกสโคน ครัวซองต์ แต่ลองไปลองมาสปาเก็ตตี้เวิร์กสุด พอทำร้านก็เลยเอามาใส่ในเมนู"
 
อา! วิถีของคนเป็นเชฟสินะ ที่มักจะริลองทำอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ เวธการู้สึกชื่นชมเชฟฝรั่งหัวใจไทยคนนี้เสียจริง เก่งมากที่สามารถนำเส้นสปาเก็ตตี้มาฟีเจอริ่งกับแกงไตปลาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แต่ที่หล่อนบอกว่า...ชอบทานอาหารรสจัดนี่สิ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก

เวธกามองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาฉงน หน้าตาของคุณอลิซ ดูยังไงก็ไม่มีทางเป็นคนเอเชีย ดวงตาสีฟ้าอมเทา จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ผิวขาวจัดอย่างกับหญิงสาวในเมืองหนาว สองข้างแก้มตกกระบ้างประปราย ส่วนสูงที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 170 cm. แม้สีผมของหล่อนจะเป็นสีเข้มเกือบดำ แต่มองยังไงก็ฝรั่งชัดๆ หรือหล่อนจะเป็นฝรั่งที่หลงใหลประเทศไทย จนย้ายถิ่นฐานมาใช้ชีวิตที่นี่

"ไม่น่าเช่ือว่าคุณจะเป็นชอบอาหารรสจัด คุณเคยทานแกงไตปลาต้นตำรับไหมคะ มันเผ็ดมากเลยนะ ขนาดฉัน ที่นับว่าทานรสจัดมากๆ ยังแทบแย่เลย"

ฝรั่งจ๋าในสายตาคู่สนทนาหัวเราะเบาๆ มันไม่ใช่คำถามที่อลิซไม่เคยได้ยินมาก่อน คนส่วนใหญ่เวลาเห็นเธอกินส้มตำปลาร้า แกงส้มต้มยำ หรือแม้แต่กระทั่งน้ำพริกนานาชนิด ต่างก็เคยตกใจ เพราะไม่นึกว่าเธอทานอาหารไทยรสชาติจัดจ้านเข้าขั้นเผ็ดร้อนได้ คงด้วยรูปร่างหน้าตาที่ได้มาจากฝั่งมารดามากกว่าฝั่งบิดาที่เป็นคนไทยกระมัง ใครต่อใครถึงได้มองว่าเธอเป็นฝรั่งคนหนึ่งที่ทานแต่อาหารรสอ่อน

แม้จะไม่แปลกใจในคำถาม แต่อลิซก็ยังอยากรู้ว่าอีกคนนั้น คิดเห็นยังไง อืม... ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ นั่งคุยกันกว่า 10 นาทีแล้ว แต่เธอก็ไม่ยักกะเบื่อหรือรำคาญ แปลก!

"ทำไมคุณไวน์คิดอย่างงั้นล่ะคะ"

"ก็...เท่าที่ฉันรู้จักกับชาวต่างชาติมาหลายคน ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทานอาหารรสจัดนี่คะ"

เป็นความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่นั่นเอง อลิซหัวเราะ

"คุณไวน์คะ ฝรั่งหลายๆ คนก็ทานรสจัดนะคะ ตัวอย่างก็ส้มตำ กับ ต้มยำกุ้งไง แต่อาจจะเป็นฝรั่งส่วนน้อยที่คุณรู้จัก...มั้ง"

"ถ้างั้น.... คุณก็เป็นฝรั่งส่วนน้อยล่ะสิ ใช่มั้ย" เวธกาเอียงคอมองอีกคนยิ้มๆ

อลิซหัวเราะพลางโคลงศรีษะเบาๆ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เธอหัวเราะได้ในวันที่เพิ่งผ่านงานเหนื่อยๆ มา และก็ไม่รู้ว่าหัวเราะไปกี่ครั้งแล้วด้วย คุณไวน์ดูเป็นคนร่าเริง พอได้พูดคุยด้วย ความสดใสของหล่อนก็ช่วยดึงอารมณ์ของเธอให้สดใสตาม เป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย แม้เพื่อนสนิทหลายๆ คนของเธอจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยนั่งคุยกับใครแล้วรู้สึกเหมือนเช่นในตอนนี้

"คุณอยู่เมืองไทยมานานหรือยังคะ คุณอลิซ" เวธกาถามต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าบทสนทนาออกจากเรื่องอาหารไปได้อย่างไร รู้แต่ก็สนุกดีที่ได้ทำความรู้จักกับผู้หญิงชื่ออลิเซียคนนี้

"ฉันเกิดนอกเมืองไทยก็จริงค่ะ แต่ฉันโตที่นี่ และฉันก็ใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมากกว่าที่อื่นในโลก"

"ว้าว! ถึงว่าสิ คุณพูดไทยชัดมาก ถ้าโตที่นี่ก็คงอ่านออกเขียนไทยได้ด้วยใช่ไหมคะ"

อลิซพยักหน้ารับ ไม่ได้ขยายความลงลึกไปในเรื่องส่วนตัวของตัวเองต่อ และในเมื่ออีกฝ่ายไม่ต่อบทสนทนาด้วย ฟากคนตั้งคำถามก็เห็นควรว่าเปลี่ยนการพูดคุยไปเรื่องอื่นดีกว่า

"ถ้าฉันล้ำเส้นเข้าเรื่องส่วนตัวมากไปนิด ขออภัยนะคะ กลับมาคุยเรื่องอาหารต่อดีกว่า อืม... ฉันเคยคุยกับแม่ครัวร้านอาหารใต้ แกงไตปลาเนี่ย มันใช่ว่าจะทำง่ายนี่คะ คุณทำเองหรือเปล่า"

"ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากนี่คะ ถ้าคนเราเรียนรู้และลงมือทำ ถูกมั้ย"

เป็นคำตอบที่แม้จะไม่ตรงกับคำถาม แต่ก็ประทับใจในแนวคิดจัง เวธกายิ้ม พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

"แต่สูตรที่ร้าน ก็เป็นสูตรเฉพาะของเราค่ะ ที่คุณทานไป ไม่ใช่แค่แกงไตปลาตักราด เหมือนข้าวราดแกง มันมีกรรมวิธีเฉพาะ ที่ผ่านการทดลองจนลงตัว หรือแม้แต่ซุปฟักทองที่คุณสามารถหาทานได้ทุกร้านทั่วโลก แต่ของเราก็เป็นสูตรเราเอง"

สายตาของเชฟเหลือบมองที่ชามซุปพอดี ลูกค้าผู้ทานอาหารอดที่จะเขินไม่ได้ แม้จะทานไม่หมดเหมือนสปาเก็ตตี้ แต่คราบซุปที่เลอะเปรอะเปื้อนขอบชามนั้น มันไม่น่าดูเลย น่าอายชะมัด เวธกาเลยรีบดึงสายตาเชฟให้ถอยออกมาจากชามซุป

"แล้วที่นี่ คุณเป็นคนคิดสูตรอาหารทั้งหมดเลยหรือเปล่าคะ"?

"ส่วนใหญ่ค่ะ แต่อันอื่นๆ ก็มีพรรคพวกเพื่อนฝูงกรุณาช่วยคิดให้ แล้วที่นี่ก็มีเชฟใหญ่อีกคนหนึ่ง คอยช่วยคุมรสชาติอาหาร" เจ้าของร้านไม่ได้เอาดีเข้าตัวแต่อย่างใด อลิซตอบตามความเป็นจริง

White lies Cafe ไม่ใช่ร้านของอลิซเพียงคนเดียว แม้เธอจะถือหุ้นใหญ่สุด หากแต่ก็มีพี่ชายและเพื่อนสนิทอีกสองคนมาร่วมลงขันด้วย และก่อนที่จะเริ่มเปิดร้าน อลิซก็ได้รับน้ำใจจากบรรดาเพื่อนที่เป็นเชฟในสายอื่นๆ อาทิ เชฟของหวาน เชฟเครื่องดื่ม เชฟอาหารฝรั่ง หรือแม้แต่เชฟอาหารไทย มาร่วมด้วยช่วยคิดเมนูเพิ่มเติมจากเดิมที่เธอวางรากฐานไว้กว่า 70% เมื่อทุกอย่างพร้อม ร้านนี้จึงได้ฤกษ์เปิดให้บริการ

"เก่งจัง" เวธกาเผลอพูดเสียงแผ่วเบา เพียงแค่คิด มันดันหลุดออกมาเป็นคำพูดจนเจ้าตัวยังตกใจ แต่ก็คงไม่ต้องเก็บความชื่นชมไว้แล้วมั้ง เพราะเธอคิดว่าอีกฝ่ายคงเห็นความรู้สึกของเธอในแววตาที่ปิดไม่มิดนี้แล้ว

"ขอบคุณค่ะ" คนที่โดนชมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

อุ้ย! ดวงตาสีฟ้าอมเทาแลดูจะพูดได้อีกครั้ง เหมือนคนตรงหน้ากำลังบอกว่า...รู้ทัน แต่ก็ขอบคุณจริงๆ เวธกาเขินหน้าแดงแปร้ด ให้ตายสิ! อะไรเนี่ย เธอเขินสายตาผู้หญิงด้วยกัน มันใช่เหรอ?

เขินอะไรของเขา? อลิซได้แต่ยิ้ม อีกสาวนั่งหน้าแดง ไม่ยอมสบตา เธอพูดอะไรผิดตรงไหนหรือเปล่า ทำไมคุณไวน์เขิน! ยังไม่ทันจะได้เริ่มบทสนทนาต่อ เด็กเสิร์ฟก็เดินถือโทรศัพท์มือถือมาส่งให้ อลิซรับมาดูหน้าจอที่มีสายเรียกเข้ามา เธอคงต้องยุติการพูดคุยกับคุณไวน์แล้ว

"งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ ถ้าคุณไวน์มีอะไรอยากสอบถามเพิ่มเติมเรื่องร้าน เรื่องอาหาร คุยกับคุณยุพินผู้จัดการร้านได้เลยนะคะ"

เวธกาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หายเขินทันใด แต่ความรู้สึกใหม่คือเธอกำลังเสียดาย เสียดายที่ต้องเลิกคุยกับอลิซแล้ว กำลังคุยสนุกเลย

"คุณอลิซคะ"

คนที่กำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เบนสายตาจากโทรศัพท์ในมือมามอง

"ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"

"เช่นกันค่ะ คุณ...ไวน์"

อลิซลุกเดินออกจากโต๊ะไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ถูกยกขึ้นแนบหู แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนไกล ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาใครบางคนยังจับจ้องมองเธออยู่ สองเท้าของเธอหยุดชะงักยืนนิ่ง อลิซเหลียวกลับไปมองยังโต๊ะที่เพิ่งลุกออกมา ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าเป็นคนที่ยังนั่งอยู่ในโต๊ะนั้น เธอรู้แค่เธอต้องหันไปมอง...ตรงนั้น!

ทำไมต้องใช้ดวงตาพูด? เวธกาหน้าแดงอีกรอบ แม้จะมองสบตาเจ้าของตาสีฟ้าอมเทาในระยะ 4-5 ก้าว แต่เธอก็เห็นชัดว่าสายตาของคุณอลิซกำลังไถ่ถามว่าจะมองกันอีกนานมั้ย นั่นไม่ใช่แสดงความไม่พอใจ แต่เหมือนหล่อนกำลังแซวมากกว่า เพราะรอยยิ้มที่แต่งแต้มใบหน้าสวยของหล่อน บอกให้เธอเข้าใจเช่นนั้น

ไม่ถึงนาที สาวฝรั่งในชุดเชฟสีขาวก็เหลียวกลับไปและเดินหายไปจากสายตา เวธกาถอนหายใจยาว นั่งสับสนกับตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกับเธองั้นหรือ อารมณ์ถึงได้แปรปรวนแปลกๆ แต่ที่น่าตระหนกตกใจ คือเธอเขินสายตาของคุณอลิซ

บ้าจริง! เขินทำไมก็ไม่รู้ สงสัยเธอจะรู้สึกชื่นชมเชฟสาวฝรั่งดวงตาพูดได้มากไปหน่อยกระมัง พอหล่อนพูดคุยด้วยอย่างคนใจดี เลยรู้สึกประทับใจ ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก

แต่คุณอลิซเป็นคนน่ารักจัง คุยด้วยอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่หยิ่งผยองเหมือนเชฟบางคนที่เธอเคยเจอ หน้าตารึ สวยขนาดนี้ รูปร่างก็สูงโปร่งเป็นนางแบบได้สบาย น่าแปลกใจชะมัด หล่อนไม่เคยเจอเจ๊ดันพาเข้าวงการบันเทิงบ้างหรือไร

หรือไม่ก็อาจจะมี แต่คุณอลิซคงไม่สนใจ จะว่าไปเป็นเชฟก็ดูดีอยู่แล้ว ดูเหมาะกับหล่อนดีออก ยิ่งอยู่ในชุดเชฟเมื่อครู่ เท่ชะมัดเลย! เวธกาสะดุ้งเฮือก เธอเผลอชื่นชมคุณอลิซอีกแล้ว แต่จะห้ามได้ไงล่ะ ในเมื่อความคิดของเธอในตอนนี้ มีแต่คุณอลิซลอยวนอยู่ในนั้น พอนึกถึง ใบหน้าสวยอย่างกะรูปสลักก็โผล่มา ดวงตาสีฟ้าอมเทาผุดวาบขึ้นในมโนนึก หัวใจพลันสั่นระรัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เฮ่ย! แค่ประทับใจก็พอมั้ง ใจจะเต้นทำไมเนี่ย เต้นแรงด้วย บ้าไปแล้วหรือไงไวน์ เวธกานั่งเหม่อๆ ตาลอยๆ อยู่ที่โต๊ะ แก้มแดงระเรื่อโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว ตกอยู่ในภวังค์นึกคิดถึงเจ้าของร้าน

"คุณไวน์คะ ร้านปิดแล้วค่ะ"

เสียงทักของพนักงานเสิร์ฟ เรียกเวธกาให้หลุดออกจากภวังค์ เธอสะบัดหน้าไปมาๆ เหมือนเรียกสติที่หายไป โอ๊ยตาย! นี่มันเกิดอะไรกับฉัน เวธกาโอดโอยในใจ เอื้อมคว้ากระเป๋าสะพาย ลุกเดินออกจากร้านไป โดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่นิดว่าคนที่วนเวียนอยู่ในความคิด แอบมองเธอจากมุมหนึ่งของร้าน




















มอเตอร์ไซต์รับจ้างจอดลงตรงหน้าประตูทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง อลิซก้าวลงมายืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซต์ พอจ่ายค่ารถแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน เอื้อมมือไปคว้าตะกร้ามาคล้องแขนไว้

อีกมือของเชฟสาวก็ล้วงหยิบรายการของที่จะต้องซื้อออกมาดู สองขาก้าวเดินไปตามช่องทางเดินในแต่ละชั้นวางสินค้า อลิซเดินทะลุเข้าไปจนสุดชั้นวางพวกเครื่องดื่มโดยไม่ได้สนใจ กำลังจะเลี้ยวซ้ายเพื่อไปดูสินค้าในช่องติดกัน สายตาพลันเจอะเข้ากับใครบางคนที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าชั้นวางกระดาษชำระ

คุณไวน์! ชื่อของผู้หญิงร่างระหงที่กำลังเลือกทิชชู่โผล่ขึ้นมาโดยไม่ต้องเสียเวลานึก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของอลิซ เธอยกแขนกอดอกหยุดยืนมอง

มุมเผลอๆ แบบนี้ หล่อนก็น่ารักดีนะ ดูมีเสน่ห์แบบธรรมชาติ ไม่มาประดิษฐ์อะไรเยอะแยะ เหมือนผู้หญิงหลายคนที่ได้พบเจอ อลิซส่ายหน้าไปมา ไม่เข้าใจเหมือนกัน เธอจะมายืนมองคุณไวน์ทำไม

มันก็ออกจะแปลกๆ หน่อยนะ เธอได้พบหล่อนเมื่อ 2 วันก่อน คุยกันอยู่ไม่กี่นาที แต่ทำไมเหตุการณ์นั้นมันกลายเป็นภาพจำ เท่านั้นยังไม่พอ บางเวลาหล่อนก็โผล่เข้ามาในความคิดแบบไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที ใบหน้าของคุณไวน์ก็ส่งยิ้มมาเรียกเสียงหัวเราะของเธอให้ดังออกมาเอง ก็นับตั้งแต่หล่อนเดินออกจากร้านไปวันนั้น เธอก็มีอาการคิดๆ ยิ้มๆ อยู่คนเดียวอย่างกะคนเป็นบ้าในบางครายามเผลอ ก็ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน

แล้ววันนี้ก็เผอิญมาเจอหล่อนที่นี่ เจอโดยที่หล่อนก็ยังไม่รู้ตัว นั่นไง คุณไวน์ก้มๆ เงยๆ ทำคิ้วผูกโบด้วย แล้วนั่นทำอะไรน่ะ อลิซเพ่งสายตามอง มือซ้ายของผู้หญิงที่แอบดูจับห่อทิชชู่แพ็ก 6 ม้วน หล่อนใช้นิ้วมือข้างขวาบีบทิชชู่จากขอบไปจนสุดแกนกลาง ทำอะไรของเขานะ

อลิซนึกสงสัย แต่ก็เฝ้ามองไม่วางสายตา หล่อนวางห่อทิชชู่ในมือกลับไปบนชั้นวาง แล้วหยิบยี่ห้อใหม่มาลองทำแบบเดิม คนที่เฝ้ามองหัวเราะแบบกลั้นเสียง รู้ละ นี่คงเป็นวิธีการเลือกทิชชู่ของคุณไวน์

แม่คุณเอ๊ย! แม่บ้านมาก อลิซแอบแซวอีกคนในความคิด แต่เหมือนหล่อนจะรู้ว่าถูกเธอนินทา เพราะพอหล่อนเลือกทิชชู่ยี่ห้อที่ถูกใจใส่ตะกร้าแล้ว คุณไวน์ก็เหลียวมามอง

"สวัสดีค่ะคุณไวน์"? อลิซส่งเสียงทักทาย ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มติดอยู่

"อ้าว! สวัสดีค่ะคุณอลิซ มาทำอะไรที่นี่คะ" เวธกากระพริบตาปริบๆ เมื่อเจออีกคนแบบไม่ทันตั้งตัว

คนโดนถามปล่อยแขนที่กอดอกออก แล้วยกแขนขวาให้คนถามเห็นตะกร้าที่คล้องอยู่

เวธกาหน้าเหวอ ตายแล้ว! เธอถามอะไรออกไป บ้าจริง! ที่นี่ซูเปอร์มาเก็ต ใครๆ ก็ต้องมาซื้อของสิ

"เออ... แล้วนี่... คุณอลิซมานานหรือยังคะ"

ได้แต่ถามกลบเกลื่อนความเปิ่นของตัวเอง แต่เวธกาก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่ไม่น่าจะเป็นคำถามที่เข้าท่าสักเท่าไหร่นะ แทนที่จะถามว่ามาซื้ออะไรคะ หรือจะทักว่าบังเอิญเจอกันอีกแล้วนะคะ แต่นี่เธอถามอะไรออกไปยัยไวน์ พวงแก้มของเวธกาขึ้นสีระเรื่อ ให้ตายเถอะ! เธอเด๋อด๋าต่อหน้าคุณอลิซอะ

อลิซจะขำก็ไม่กล้าขำ พอเห็นอีกสาวแก้มเปลี่ยนสี ก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดู เขินอะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย

"ก็... ฉันก็เห็นคุณเลือกทิชชู่ได้สักพักแล้วล่ะค่ะ"

เกิน 5 นาทีแน่นอน เวธกาประมาณเวลาในใจ เพราะกว่าจะได้ทิชชู่ที่คุ้มราคา เธอก็ต้องกะๆ วัดๆ ที่มันหนาถูกใจตามที่แม่สอนไว้ แต่ใครจะไปนึกว่าคุณอลิซจะมาเจอเธอ ในคราบแม่บ้านช็อปปิ้งของใช้ในวันที่ไม่มีงาน นั่นไง! ดวงตาสีฟ้าอมเทาพูดได้อีกแล้ว ยังกะแซวกันกลายๆ งั้นแหละ เวธกาแก้มแดงแปร๊ดเลย

"อืม... แล้วคุณอลิซจะรับซักแพ็กมั้ยล่ะคะ เดี๋ยวฉันช่วยเลือก" สาวแก้มแดงเฉไฉไปแบบนั้น

คราวนี้อลิซหัวเราะโดยไม่ต้องกลั้นเสียง น่ารักจริง มีถามด้วย แต่ทิชชู่ที่บ้านยังมี เธอส่ายหน้าตอบ

"แล้ววันนี้ที่ร้านไม่ยุ่งหรือคะ"

"เพิ่งปิดร้านรอบเที่ยงเมื่อกี้นี้เองค่ะ เดี๋ยวยุ่งอีกทีตอนร้านเปิด 5 โมงเย็น"

คนถามกะพริบตาปริบๆ นั่นปะไร เธอแสดงความเปิ่นอีกรอบแล้วเวธกาเอ๋ย ถามไปโดยไม่คิดอีกละ ทั้งที่เธอก็ไปร้านของคุณอลิซมาตั้งหลายครั้ง พอรู้อยู่หรอกว่าร้านนั้นเปิดให้บริการสองช่วงเวลา ช่วงเที่ยงตั้งแต่ 10.00 - 14.00 น. ช่วงเย็นเป็นเวลา 17.00 - 23.00 น.

ตอนนี้เป็นช่วงปิดร้านตอนบ่าย คุณอลิซเลยมีเวลามาช็อปปิ้งไง อับอายมั้ยเนี่ย เวธกายิ้มเจื่อนๆ

"งั้นฉันไม่รบกวนคุณดีกว่า คุณจะได้เลือกของต่อ" อลิซโปรยยิ้มตบท้าย แล้วเดินจากไป

ไม่คุยกันต่อแล้วเหรอ เวธกามองตามร่างสูงโปร่งที่เดินห่างไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไหนๆ ก็บังเอิญมาเจอกันแล้ว คุยกันต่ออีกนิดได้ไหมล่ะ ก็เธอยังอยากคุยกับคุณอลิซอยู่นี่

เมื่ออยากคุย เวธกาก็ทำตามความรู้สึกตัวเอง เธอแอบเดินตามเชฟสาวร่างสูงโปร่งที่วันนี้ไม่ได้ใส่ชุดเชฟไปเงียบๆ เธอหยุดตามอีกคนที่หยุดยืนอยู่ด้านหน้าชั้นวางน้ำยาปรับผ้านุ่ม

สองตาของเวธกาเขม็งมอง คุณอลิซอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม ชายเสื้อสอดเก็บในกางเกงยีนส์พอดีตัวสีอ่อน เข็มขัดหนังสีน้ำตาลเข้มรัดรอบเอว รองเท้าหนังส้นสูงแบบหุ้มส้นสีเดียวกับเข็มขัด ความสูงของส้นรองเท้าคงราวๆ 1 นิ้ว เท่าที่กะเอาจากสายตา มือซ้ายของหล่อนถือกระเป๋าสตางค์ใบยาวสีดำ

หุ่นดีเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าให้เดาสัดส่วนน่าจะเป็นไซส์นี้ 34 - 25 - 35 ส่วนสูงคงประมาณ 173 cm. น้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 55 kg. จากที่เธอเคยเป็นพิธีกรเวทีประกวดนางงามมาก่อน ดูสัดส่วนตอนนางงามแนะนำตัวมาก็หลายปี คงไม่น่าจะกะพลาดหรอกมั้ง

แต่...เธอจะมากะไซส์คุณอลิซไปเพื่ออะไร ทำตัวเป็นพวกโรคจิตชอบถ้ำมองไปเรื่อยๆ แล้วเนี่ย เวธกาสะบัดหน้าแรงๆ ตัดสินใจขอโผล่ไปมีตัวตน คงจะดีกว่าเอาแต่มองไปเรื่อยๆ โดยที่อีกคนไม่รู้ตัว

"ยี่ห้อนี้หอมนะคะ ติดผ้านานด้วย"
 
เสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง เรียกให้อลิซที่กำลังดมเทสเตอร์น้ำยาปรับผ้านุ่มสะดุ้ง เธอเหลียวไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังยิ้มหวานให้

"ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เดินด้วยได้ไหมคะ เดินคนเดียวเหงาออก" เวธกายื่นข้อเสนอ

เป็นคำขอที่เรียกเสียงหัวเราะจากอลิซได้อีกครั้ง เออเนอะ! เหงาก็บอกแฮะ นี่นอกจากคุณไวน์จะดูซื่อๆ ป้ำๆ เป๋อๆ ยังจะพูดตรงๆ อีกนะ น่ารักจริงแม่คุณ

"คุณเลือกของเสร็จแล้วหรือคะ"

"ยังหรอกค่ะ ก็เดินๆ ดูไป เจออันไหนแล้วนึกได้ว่าต้องซื้อ ค่อยหยิบใส่ตะกร้า"

"แล้วทำไมไม่จดมาล่ะคะ" สีหน้าอลิซงุนงง เวธกาเขยิบตัวเดินเข้าไปยืนข้างๆ

"ฉันอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เองค่ะ คอนโดฉันเลยร้านคุณไป 2 ซอยน่ะ ขาดอะไร เดี๋ยวค่อยมาซื้อใหม่ก็ได้"?

อลิซนึกตามที่อีกคนบอก เธอรู้ละคอนโดของคุณไวน์อยู่ที่ไหน ในซอยนั้นมีคอนโดหรูอยู่ตึกเดียว

"คุณไวน์! คุณไม่ควรบอกที่อยู่ของตัวเอง ให้คนแปลกหน้าหรือคนไม่รู้จักรู้นะคะ มันอันตรายมาก" อลิซบอกน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าค่อนข้างดุเลยทีเดียว

คนที่คล้ายจะโดนดุ มองตาแป๋ว นึกค้านในใจว่าไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ก็เรารู้จักกันแล้วไง

"ฉันก็ไม่ได้คิดว่าคุณเป็นคนแปลกหน้าหรือคนไม่รู้จักนี่คะ" เวธกาพูดหน้าตาเฉย จนคนที่คุยด้วยเปลี่ยนสีหน้าดุๆ กลายเป็นเหวอ อลิซร้องฮะออกมา

"คุณอลิซ เรารู้จักกันแล้วนี่คะ เคยเจอกันหนนี้ก็หนที่สองแล้ว คุณไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับฉันนี่"

"โอ๊ย! โอเคๆ ยอม แต่คราวหน้าอย่าไปบอกที่อยู่กับใครซี้ซั้วอีกนะคะ บ้านของเรามันควรจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด หากอยากจะให้มันเป็น Safety Zone ของเราไปนานๆ" อลิซว่าเสียงอ่อนพลางทอดถอนใจ

มาเต็มมาก สีหน้า น้ำเสียง และคำพูดของคุณอลิซ โดยเฉพาะดวงตาพูดได้ ดุเชียว ยังกะโดนสวดแน่ะฉัน เวธกาหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เธอรู้สึกดีเสียมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีใครมาเตือนเธอแบบนี้บ่อยนัก

"ฉันเข้าใจที่คุณพูดนะคะ แต่ฉันก็เลือกคนที่บอกเหมือนกัน ไม่ได้บอกใครซี้ซั้ว คุณคงกรณีพิเศษมั้ง"

ยังไง? อลิซเลิกคิ้วอย่างฉงน เวธกาหัวเราะอีกรอบ

"คุณ...ไม่เคยเจอใครแล้วรู้สึกถูกชะตา คุยกันถูกคอพอที่จะเป็นเพื่อนกันเหรอคะ แบบเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง คุยกันไม่กี่ประโยค ก็รู้สึกถึงความเป็นมิตรต่อกัน ฉันรู้สึกกับคุณแบบนั้น เลยนับคุณเป็นเพื่อนไปแล้วมั้ง"

พูดแล้วเวธกาก็คิดตามไปด้วย แล้วก็พบว่าถ้าเป็นคนอื่น เธอคงไม่ได้บอกกันโต้งๆ แบบนี้ เธอเองออกจะหวงความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน แต่กับคุณอลิซคล้ายเป็นข้อยกเว้น เพราะเธอรู้สึกกับเชฟสาวหน้าฝรั่งแบบที่พูดไปจริงๆ

ประโยคอธิบายยาวเหยียดที่แสดงความจริงใจของคุณไวน์ ทำให้อลิซยิ้มกว้าง พอสบตาอีกฝ่าย ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เป็นมิตรทางแววตา มันก็จริงอย่างที่หล่อนพูด เพราะเธอเองก็รู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่วันที่หล่อนถามหาเจ้าของร้านเมื่อสองวันก่อนแล้ว

"อ้อ! เราเป็นเพื่อนกันแล้วงี้เหรอ" อลิซถามยิ้มๆ

"คุณรับฉันเป็นเพื่อนอีกสักคนได้ไหมล่ะคะ" เวธกาเอียงคอยิ้ม อ้อนเสียงหวาน

"จะไม่รับก็คงไม่ทันแล้วมั้ง ก็คุณนับฉันเป็นเพื่อนไปแล้วนี่"

"โอเค ดีล ไปเลือกของกันต่อดีกว่าค่ะ... อลิซ" เวธกาฉีกยิ้มกว้าง เอื้อมมือแตะข้อศอกเพื่อนใหม่

"เอาตะกร้ามานี่มะ ฉันซื้อของไม่ค่อยเยอะหรอก ใส่อันเดียวกันก็ได้"?

เวธกายื่นตะกร้าให้ ส่วนตะกร้าของอลิซก็กลับไปสู่ที่เก็บ เพราะยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย

สองคนเดินเลือกของไปด้วยกัน เป็นช่วงเวลาดีๆ เพราะมีรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าของคนทั้งคู่อยู่ตลอด แม้จะมีถกเถียงกันบ้าง แต่นั่นไม่ใช่การทะเลาะ หากแต่เป็นการเสนอแนะ เพื่อเลือกสิ่งที่ดีและคุ้มค่าให้กันต่างหาก ไม่บ่อยนักที่ทั้งสองคนจะมีใครสักคนมาเดินเป็นเพื่อนในซูเปอร์มาเก็ต แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะน่าจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกว่า... มีใครบางคนมาเดินด้วยกัน มันก็ดีแบบนี้นี่เอง






เกือบครึ่งชั่วโมง การช็อปปิ้งก็สิ้นสุดลง อลิซและเวธกาเดินหิ้วถุงของออกมาจากซูเปอร์มาเก็ต สองสาวยืนอยู่ด้านหน้าทางเข้า

"จอดรถตรงไหนตรงไหนคะ อลิซ"? เวธกาถาม อีกมือก็ง่วนอยู่กับการล้วงหากุญแจรถในกระเป๋าสะพาย

"ฉันไม่ได้ขับรถมาค่ะ ใกล้ๆ แค่นี้ กระจายรายได้ให้พี่วินมอไซต์บ้าง"

"อ้าวเหรอ งั้นกลับกับฉันดีกว่า ยังไงฉันก็ต้องผ่านร้านคุณ เดี๋ยวแวะส่ง แต่ขอแวะร้านกาแฟก่อนนะ"

จัดไปตามคำขอ ในเมื่ออีกคนใจดีให้ติดรถกลับด้วย รอสักหน่อยคงไม่เป็นไร อลิซเดินตามเวธกาไปยังร้านกาแฟ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับซูเปอร์มาเก็ต สองคนยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานกำลังรอรับออเดอร์

"อเมริกาโนเย็นไซส์กลางค่ะ คุณล่ะคะ อลิซ"? เวธกาสั่งกาแฟของตัวเอง แล้วเหลียวมาถามคนข้างๆ

"ฉันไม่ดื่มกาแฟค่ะไวน์ ขอเป็นช็อกโกแลตเย็นไซส์กลาง ไม่หวาน ไม่วิป"?

เวธกาแปลกใจ เป็นข้อมูลใหม่ว่าอลิซไม่ดื่มกาแฟ แต่ดีใจนะ ที่ได้รู้จักอีกคนมากขึ้น แล้วก็เพราะมัวแต่คิด อลิซเลยชิงจ่ายเงินค่ากาแฟให้ เวธกากะพริบตาปริบๆ แต่เชฟสาวแจกยิ้มใส่

"ฉันเลี้ยงน่า เป็นค่าติดรถกลับร้าน"

สองสาวรอรับเครื่องดื่ม เดินหาโต๊ะนั่ง ทั้งคู่คิดว่าควรจัดการเครื่องดื่มให้เรียบร้อยก่อนที่จะขึ้นรถ

"คุณดื่มกาแฟกี่แก้วต่อวัน" อลิซเอ่ยถาม คนที่หน้าตาสดชื่นขึ้นเมื่อได้ดูดกาแฟปื๊ดๆ

"ปกติก็มี 2 นะ แต่บางวัน ถ้าทำงานหัวฟูใช้พลังเยอะก็มากกว่า 2" แน่นอนล่ะ วันไหนที่เธอมีถ่ายละครติดๆ กันหลายฉากตั้งแต่เช้ายันดึก กาแฟ 2 แก้ว ไม่พอหรอก เวธกานึกละก็ขำเอง
   
"ดื่มเยอะไปก็ไม่ดีนะคะ"

"ฉันก็พยายามจะเลิกนะ แต่คิดไรไม่ออก กินกาแฟทู้กที" ว่าแล้ว เวธกาก็ก้มหน้าดูดกาแฟต่อ

"ก็ถ้ายังไม่พร้อมเลิก ลองเปลี่ยนมั้ยล่ะ ร้านกาแฟใหญ่ๆ เดี๋ยวนี้มีกาแฟดีแคฟ ลองสั่งดูสิคะ" อลิซนำเสนอ ถึงแม้จะไม่ดื่มกาแฟ แต่การเป็นเชฟ ทำให้ต้องหมั่นหาความรู้อยู่เสมอ โดยเฉพาะความรู้ในเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์สามารถนำมากินได้

"อะไรอะอลิซ กาแฟดีแคฟ"? เวธกายกแขนเท้าคาง สีหน้าสงสัย

"กาแฟที่ปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดื่มเยอะได้นะ แค่ลดปริมาณคาเฟอีนให้น้อยลงนิดนึง"

"ว้าว! มีด้วยเหรอคะ ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย แล้วคุณไม่ดื่มกาแฟเลยหรือ" เวธกามองอีกคนอย่างชื่นชม อลิซไม่ดื่มกาแฟ แต่รู้ด้วยว่ามีกาแฟคาเฟอีนน้อย เชฟอลิซความรู้เยอะจัง
   
"เมื่อก่อนดื่มค่ะ แต่เลิกไปหลายปีแล้ว" อลิซตอบยิ้มๆ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่น้อยคนจะทราบ

"กาแฟก็ไม่ดื่ม ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยหรือเปล่าเนี่ย" เวธกาชักสนุกในการตั้งคำถาม

"ก็อยากจะเลิกอยู่เหมือนกันนะ แต่เวลาเบื่อๆ เซ็งๆ หนีไปดริ้งค์ทู้กที"

"นั่นไง!"? เวธกาแทบจะยกมือตบเข่าฉาด นี่เก็งๆ ไว้ตั้งแต่ตอนตั้งคำถามละ หน้าตาอย่างอลิซดูทรงแล้ว ยังไงก็ดื่มแอกอลฮอล์ แล้วมาทำเสียงสูงเลียนคำพูดเธอ น่าหมั่นไส้นัก

"แหมคุณ ฉันยังเป็นมนุษย์ที่มีกิเลส ยังไม่หลุดพ้นไปจากวงโคจรน้ำเมาได้ในเร็ววันนักหรอก แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกดื่มจัดร่ำสุราทุกเย็นนะ ดื่มเมื่ออยากเท่านั้นแหละ" อลิซอธิบายยืดยาว

"เข้าใจค่ะ" เวธกาหัวเราะ เธอเองก็ไม่ต่างจากอลิซ? ดื่มเมื่ออยากดื่มเท่านั้น

สองสาวนั่งคุยสัพเพเหระอยู่ร้านกาแฟไม่นานนัก เวธกาก็รับหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปส่งอลิซที่ร้านอาหาร







รถยนต์สีดำค่ายใบพัดฟ้าขาวติดรุ่นซีรีส์ 5 เลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของร้าน White lies Cafe เพราะเป็นช่วงที่ร้านยังไม่เปิดให้บริการ พื้นที่จอดรถด้านหน้าร้านจึงว่างโล่ง เจ้าของรถคันหรูเลยขับกินพื้นที่เข้าไปใกล้บริเวณที่เป็นตัวร้านให้มากที่สุด เผื่อคนที่โดยสารมาด้วยจะได้ไม่ต้องเดินไกล

"ขอบคุณนะคะ" อลิซบอกคนใจดีที่อุตส่าห์แวะมาส่ง

สารถีสาวยิ้ม รอจนอีกคนลงจากรถ แล้วค่อยดันเกียร์ R ถอยหลังกลับรถ หักพวกมาลัยให้รถยนต์แล่นออกไปจากร้านอาหาร

คนที่ยืนอยู่หน้าร้านของตัวเอง ยืนมองไปจนกระทั่งรถยนต์สีดำคันหรูเลี้ยวออกไปจากปากทางเข้าร้าน อลิซยิ้ม ยิ้มกว้างเสียด้วยสิ รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีกว่าทุกวัน

น่าประหลาดใจชะมัด เพียงแค่เจอคุณไวน์ ที่เผอิญกลายมาเป็นเพื่อนใหม่แบบงงๆ พบเจอหล่อนไม่ถึง 2 ชั่วโมง ทำไมอารมณ์และความรู้สึกถึงได้แตกต่างจากตอนก่อนที่จะเจอหล่อนล่ะ ในตอนนี้เธอกำลังรู้สึกเหมือนชีวิตมีอะไรมาเติมความสดใสแบบแปลกๆ

และมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่มาเติมอารมณ์ให้สดใสก็คือความร่าเริงของคุณไวน์ แต่หล่อนทำได้อย่างไร ทำยังไงถึงทำให้เธอยิ้มแล้วยิ้มค้างอยู่แบบนี้ ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกันเนี่ย เจอแต่ละทีอารมณ์สวิงจนน่าตกใจ อลิซหัวเราะพลางส่ายหน้าไปมา

คุณไวน์! เพื่อนใหม่ของเธอคนนี้ ชักจะเริ่มน่ากลัวซะแล้ว ไม่รู้ว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง พลังความร่าเริงสดใสของหล่อนจะมีอำนาจสะเทือนความรู้สึกของเธอได้อีกกี่มากน้อย น่ากลัวมาก!!!








+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++





สวัสดีค่ะ มิตรรักนักอ่านทุกท่าน ที่ติดตามนิยายของวิสวีร์มายาวนาน ก่อนอื่นต้องขอโทษจากใจจริง ที่หายหัวหายหน้าหายตาไปเป็นปีๆ สามสาวเมินเขยก็ยังค้างคาไม่จบ ยังจะริอ่านแต่งเรื่องใหม่อี๊ก ก็น้อมรับคำด่าและคำตำหนิแต่โดยดีค่ะ หายไปก็ไปรักษาตัว การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ ค่ะ แต่พอดีก่อนหน้านี้หาลาภไม่เจอ เลยพบแพทย์รับยาช่องสอง กินยาขนาดหนักจนตับไตจะพังเข้าสักวัน 555

เอาเป็นว่า ก็จะพยายามไม่ห่างไม่หาย ตอนนี้ร่างกายก็เป็นไปตามสภาพ แต่ก็ยังพอพิมพ์นิยายก๊อกแก๊กได้ 555 ส่วนสภาพจิตใจก็ลุ่มๆ ดอนๆ แล้วแต่ฟ้าแต่ฝน แต่ก็พยายามจะเรียกอารมณ์ให้ปั่นนิยายออกมาให้ได้นะค้า

สามสาวเมินเขิยจะมาต่อให้อย่างแน่นอน ยังไงก็ได้อ่านค่ะ รับรองด้วยเกียรติของวิสวีร์ ยังไงก็ต้องเข็นกันให้จบน่ะแหละเนอะ

ส่วน "คือ...เธอ" อ่านว่า "คือจุดจุดจุดเธอ" ทำให้ยากทำไม่ก็มะรู้ 555 ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ ขอให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกับ เชฟสาวอลิซ และ เวธกา หรือสาวไวน์ ในเรื่องนี้ หวังว่าคงจะชอบกัน


สุดท้ายนี้ ติชมบ่นคิดถึงกันได้ตามสะดวกค่ะ ด่าได้แต่อย่าแรงนะ :9:


ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

 ViSwee


 :45: :45:




Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น