web stats

ข่าว

 


The Twins Diaries vol.2 - บทที่ 10 Same Sky

โพสต์โดย: anhann วันที่: 21 สิงหาคม 2019 เวลา 22:23:29 อ่าน: 120




บทที่ 10 Same Sky





เยลกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนขณะมินิคูเปอร์คันหนึ่งแล่นผ่านมา  เด็กสาวไม่ได้สนใจมัน  รถคันเล็กแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความสนใจเธอ  เธอชอบรถเก่าๆ คลาสสิคของพ่อมากกว่า  จริงๆ พ่อเธอก็ไม่ได้ขับรถคันนั้นในชีวิตประจำวันหรอก  วันปกติที่ไปทำงานเขาใช้กระบะยี่ห้อ RAM คันโต  ด้วยบุคลิกชอบลุย  รถแบบนี้จึงเหมาะกับเขา  ส่วนฟอร์ด  มัสแตง เชลบี้ 1967 เขามีไว้ขับเล่นกับเธอมากกว่า

วันนี้เธอไม่ได้ไปโรงเรียน  พวกรุ่นพี่ที่โรงเรียนไปค่ายกีฬากัน  พวกรุ่นน้องอย่างเธอเลยสบายไป  ตอนนี้เธอเลยมาทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการช่วยรุจดูแลสวน  ตัดหญ้าสนามกับคุณตา  ใช่แล้ว  บ้านหลังนี้เป็นของพ่อแม่รุจ  ดังนั้น  เธอซึ่งเป็นลูกรุจ  ก็เป็นหลานของท่านจึงมีสิทธิอยู่ได้ฟรีๆ  แถมมีห้องส่วนตัวด้วย  คุณยายให้คนมาทำห้องให้เธอ  เพิ่งเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้  เพราะเธอมาค้างที่นี่ทุกเสาร์ - อาทิตย์และวันหยุดอยู่แล้ว  มีห้องของตัวเองไปเลยก็แล้วกัน

"เยล  ไปดูหน่อยสิลูก  ใครมา"

เยลทิ้งสายยางรดน้ำต้นไม้  เดินไปปิดน้ำแล้วจึงเดินไปดูว่าใครขับรถเข้ามาในถนนในบ้าน  เป็นมินิคูเปอร์คันนั้นจริงๆ ด้วย

"มาหาใครคะ  ถ้ามาขายของ  เชิญหลังถัดไปเลยค่ะ  ที่นี่ไม่ซื้อ"

"เฮ้  หน้าตาฉันเหมือนเซลล์ขายของนักหรือไง"  อมีเลียสวนกลับ

เยลทำหน้ามึนๆ ไม่ตอบ  หมุนตัวจะเดินเข้าบ้าน  แต่อมีเลียไปดักหน้าเสียก่อน  เพราะไม่รู้จักว่าใคร  เด็กสาวจึงมองอีกฝ่ายหัวจดเท้า  กระตุ้นให้คนหงุดหงิดง่ายโมโหขึ้นมา  ถ้าเอลลี่ไม่เดินออกมาดูคงเป็นเรื่อง

"เยล  เข้าบ้านไป"  เอลลี่สั่ง  เยลทำตามแม่เล็กแต่โดยดี  เธอเคารพเอลลี่เหมือนแม่คนหนึ่ง  เอลลี่เป็นภรรยารุจ  เป็นคนที่รุจรัก  แล้วเอลลี่ก็น่ารักมากด้วย  ตัวเล็กๆ หน้าเด็กมาก  เป็นพี่สาวเธอได้เลย

จะว่าไป  แขกคนนี้ก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ  แต่ขี้โมโหไปหน่อย

คล้อยหลังเยลไปไม่นาน  เอลลี่ก็ยกแขนขึ้นกอดอก  สีหน้าบ่งบอกได้ว่าไม่รับแขก  และไม่คิดว่าอมีเลียเป็นแขกของเธอด้วย 

"รุจไม่อยู่  มีอะไรฝากกับฉันได้"  เอลลี่พูด  เสียงราบเรียบ 

อมีเลียยิ้มแห้งๆ  เกรงใจภรรยารุจมากกว่าเจ้าตัวเสียอีก  เธอไม่น่าหาเรื่องมาที่นี่เลย  มิน่าตอนชวนแอนเดรียมา  แฝดน้องรีบปฏิเสธอย่างเร็ว  แอนเดรียคงรู้แกวว่าเอลลี่อยู่บ้าน  ไม่ใช่เยลอยู่กับคนแก่สองคน

แต่เธอมาที่นี่ทำไมนะ  มากวนประสาทรุจผ่านเยล  จะมาแก้แค้นที่เยลยิงเครื่องบินบังคับของเธอร่วง  หรือแค่อยากเห็นหน้าเจ้าเด็กชั่วให้ชัดๆ

หน้าตาแทบไม่ต่างจากต้นแบบของมันเลย

"ถ้าไม่มีอะไร  ฉันขอตัวก่อนนะ"

"เอลเจอแคลร์บ้างไหมคะ"  อมีเลียพูดโพล่ง  เพราะไม่รู้จะทำยังไงให้เอลลี่คุยด้วยจึงต้องอ้างแคลร์ไปก่อน 

"เจอ  เมื่อวาน"  เอลลี่ตอบ  "อยู่เอสเอฟ  อยากเจอก็ไปหาสิ  อยู่ที่บ้านนั่นแหละ"

อมีเลียพยักหน้าหงึกๆ  ไม่รู้จะเอาอะไรมารั้งเอลลี่แล้ว

"เอ่อ..."

"อย่ารบกวนเราได้ไหม  ถือซะว่าฉันขอ" (ดีๆ) เอลลี่พูดนิ่งๆ

อมีเลียพูดไม่ออก  ได้แต่มองเอลลี่เดินกลับเข้าบ้านไปเงียบๆ  และหมุนตัวเดินออกจากบ้านพาเวลส์ไป  คำว่า "ฉันขอดีๆ" ยังก้องอยู่ในหูเธอ

แฝดพี่เกาหัวตัวเองเซ็งๆ  อมีเลียกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถกลับไปทำงานที่แอบอู้มา  แต่เปลี่ยนใจ  ย่องมาข้างบ้านก่อน  เห็นเยลกำลังขุดดินอย่างขะมักเขม้น  มีคุณตาซึ่งเป็นคุณพ่อของรุจคอยบอกว่าจะต้องทำอะไรยังไง  พวกเขาคงกำลังทำแปลงดอกไม้กันอยู่  เจ้าเด็กนี่มันเหมือนรุจจูเนียร์จริงๆ ด้วย  ดูเหมือนจะเข้ากับพ่อรุจได้ดีทีเดียว  ยังไงก็หลานแท้ๆ ละนะ

อมีเลียเผลอยิ้ม  นึกถึงตัวเองกับแอนเดรียสมัยยังเด็ก  ตอนนั้นเธอกับน้องแฝดก็ต้องช่วยงานคุณแม่แบบนี้  นิกกี้ชอบให้บ้านมีดอกไม้เยอะๆ

"ยังไม่กลับอีกเหรอ"

แขกที่ไม่ได้รับเชิญสะดุ้ง  อมีเลียหันมายิ้มแห้งๆ ให้เอลลี่ที่มายืนกอดอกอยู่ข้างๆ อีกแล้ว  ตัวเล็กๆ แท้ๆ แต่น่ากลัวเป็นบ้า  แคลร์มันถึงได้บ่นอยู่เรื่อยว่า  น้าสาวโหดสุดๆ  ถ้าซิลค์ให้เอลลี่เลี้ยงเจ้าแคลร์แทน  ไม่แน่ว่ามันอาจจะนิสัยดีกว่านี้  รู้จักรับผิดชอบมากกว่านี้

"เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า  ตัวเองไร้ค่าน่ะ"

อมีเลียหน้าชา  รู้สึกเหมือนโดนตบทั้งเอลลี่แทบไม่ได้ขยับตัว  นี่ไง  น่ากลัวแบบนี้ไงล่ะ

"ไร้ค่า  และน่ารำคาญด้วย"  เอลลี่ย้ำ  ปกติอมีเลียคงโกรธจนควันออกหู  แต่ตอนนี้เธอกลับเงียบ  พูดอะไรไม่ออก  ขอบตาร้อนผ่าว  เธอกำลังถูกความจริงกระแทกหน้าเข้าอย่างจัง

"อิซซาเบลแค่อยากมีเวลาส่วนตัว  มันไม่ได้ผิดตรงไหนเลย  ถ้าเธอเป็นห่วงเขา  รักเขาจริง  เธอควรปล่อยเขาให้ได้ใช้เวลานี้จัดการกับตัวเอง  เพื่อให้เขากลับมาแข็งแรงอีกครั้ง  แต่ไม่ใช่ไปตามรังควาน"

"ฉันไม่ได้รังควาน"

"อ้อ  งั้นหรือ"

อมีเลียขบฟัน  รู้ดีว่าเธอไม่มีทางชนะเอลลี่ได้  กระดูกคนละเบอร์  คนที่อยู่กับรุจมาเป็นสิบๆ ปี  มีหรือจะไม่ได้ซึมซับอะไรกันมาเลย  แถมเอลลี่ก็ไม่ใช่รุจ  ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ  หรือเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ  ขนาดหลานสาวยังโดนมาไม่รู้เท่าไหร่

"ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี  อย่าใช้วิธีนี้กับอิซซี่และกับรุจ  เพราะเธอจะเจ็บกว่าหลายเท่า  ถ้ารุจโมโหเธอขึ้นมาจริงๆ  และอย่ายุ่งกับเยล"

"คุณขู่ฉัน"

"ฉันไม่ได้ขู่  แต่พูดจริง"  เอลลี่สวนกลับทันที  "เธอรู้จักพาเวลส์ดีนี่  เพราะงั้น  อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า  ฉันหวังดีหรอกนะ"

เพราะอมีเลียยังยืนนิ่งอยู่  จึงได้ยินเสียงเอลลี่ถอนหายใจ

"กลับไปซะเถอะ  เอาเวลาไปดูแลตัวเอง  น้อง  แม่ๆ หรือแฟนเธอจะดีกว่า  อย่ามาเสียเวลาตรงนี้เลย  ฉันจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ  อย่ามาป่วนรุจหรือเยลอีก  แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน"

คราวนี้เอลลี่ยังไม่กลับเข้าบ้าน  คงอยากให้แน่ใจว่าอมีเลียออกไปพ้นบ้านตัวเองแล้วจริงๆ  โดนไล่ตรงๆ แบบนี้  ต่อให้เป็นอมีเลียก็ด้านไม่พอ  เธอจึงเดินกลับรถตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องบอกลาอีกรอบ 

...........................................

แอนเดรียขยับหมวกนิรภัยบนศีรษะ  เพื่อจะมองดูโครงสร้างของอาคารให้ชัดๆ  เธอมาอยู่ไซต์งานตั้งแต่เช้า  ดูแลงานปรับปรุงอพาร์ตเมนต์ในเครือพาเวลส์  ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของรุจิกานต์  พาเวลส์  และเจ้าตัวก็ยืนคุยกับหัวหน้าผู้รับเหมาอยู่ใกล้ๆ กันนี้แหละ

คนอะไรเท่ชะมัด  แอนเดรียอดคิดแบบนี้ไม่ได้ทุกทีที่มาทำงานกับรุจแบบนี้  แน่ละ  ถึงเราจะไม่ค่อยลงรอยกัน  แต่เวลาทำงานมันคนละเรื่อง  การแอบชื่นชมแบบนี้ก็คนละเรื่องเหมือนกัน  ที่จริงเธอก็รู้ว่ารุจนิสัยดีมาก  เป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพ  กระนั้นตามประสาพวกชอบป่วนแบบเธอฝาแฝดก็ยังอดอยากจะหาเรื่องกวนคนที่ดูดีแบบนี้ไม่ได้ 

ความหมั่นไส้มันไม่เข้าใครออกใคร

"ระวัง!" 

แอนเดรียสะดุ้งเฮือกกับเสียงร้องเตือนของนายช่างคนหนึ่ง  แต่กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เธอก็ถูกดึงออกมาจากตรงนั้นแล้ว  ก่อนที่โครงเหล็กจะร่วงลงมาเสี้ยววินาทีเดียว

"เหม่ออะไรอยู่น่ะ"  เสียงดุๆ ของรุจเรียกสติของเธอกลับคืนมา 

แอนเดรียมองหน้าคนตัวสูงกว่า  อยากจะเข้าไปกอดขอบคุณที่ช่วยไม่ให้เธอโดนเหล็กทับตาย  แต่ร่างกายเธอมันไม่ขยับ  สมองคงจะช็อกไป

"มานั่งตรงนี้ดีกว่า"  รุจประคองแอนเดรียมานั่งตรงม้านั่งที่คนงานใช้นั่งพักกัน  ถอดหมวกนิรภัยของตัวเองออก  และถอดให้แอนเดรียด้วย  แต่ส่งคืนให้เมื่ออีกฝ่ายเริ่มได้สติ

"ขอบคุณค่ะ"  แอนเดรียพูด  อับอายเหลือเกิน  ไม่กล้าสบตารุจเลย

"จะคิดถึงใครก็อย่าลืมนึกถึงตัวเองด้วย  นึกถึงแม่ๆ เธอด้วยก็ดี"  รุจพูดด้วยน้ำเสียงปกติ  หากกลับทำให้คนฟังรู้สึกผิดได้เลย  แอนเดรียได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เถียงไม่ออกสักคำ

"ฉันกลับไปทำงานก่อนละ"

"ถ้ารุจยืนยันว่าอิซซี่สบายดี  ฉันก็จะเชื่อ"

"อิซซี่สบายดี" 

แอนเดรียมองหน้านิ่งๆ ของรุจ  พออีกฝ่ายคลี่ยิ้มบางๆ ให้เธอก็ยิ้มไปด้วยเฉยเลย  รุจแตะไหล่เธอเบาๆ ด้วยรอยยิ้มแบบนี้  เธอก็ไม่มีอะไรจะมาตั้งแง่ด้วยได้อีกแล้ว  ต่อให้อมีเลียก็ต้องยอม  เชื่อสิ

"แต่ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นมาทำงานตอนนี้  เธออาจจะไม่สบายก็ได้นะ"

"ขู่อีกละ"

"ฉันไม่เคยขู่นะ"  รุจิกานต์พูด  เดินกลับเข้าไปในงาน  ทิ้งแอนเดรียไว้ตามลำพัง  แฝดน้องนั่งมองผู้หญิงผมดำร่างสูงโปร่ง  หน้าตาคมเข้มกับหมวกนิรภัยสีเหลืองบนศีรษะ  อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องลุกขึ้นบ้าง  เดินมายืนข้างๆ  รุจิกานต์เหลือบมามองเธอ

"ใส่หมวกด้วย  ฉันคงตามไปช่วยเธอไม่ได้ทุกที่หรอกนะ"

แอนเดรียทำตาม  แต่ไม่วายบ่นพึมพำใต้ลมหายใจ 

"กับเยล  ดุแบบนี้ไหมเนี่ย" 

"อย่าพาดพิงถึงลูกฉัน"  รุจพูดหน้านิ่ง  "ไปทำงานสิ  เสร็จเร็วจะได้กลับบ้าน"

"มีนัดเหรอ  ทำไมต้องรีบ"

"เธอกลายเป็นคนจุกจิก  ชอบสนใจเรื่องของฉันไปตั้งแต่เมื่อไหร่  แอนเดรีย"

เจ้าของชื่อหัวเราะแห้งๆ  เดินหนีไปดูงานตรงอื่น  ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไปเธอคงจะโดนจิกกัดเหวอะหวะไปทั้งตัวแน่ๆ

........................................................   

อิซซาเบลนั่งเรื่อยเปื่อยอยู่บนม้านั่งริมแม่น้ำแซน  สุดท้ายดินเนอร์นั่นก็ต้องเป็นหมันไป  เธอไม่มีอารมณ์จะไปนั่งกินข้าวใต้แสงจันทร์มองวิวหอไอเฟลคนเดียวหรอก 

ตลกชะมัด  คนอกหักดันหนีมาอยู่ในนครแห่งความรัก  ที่ที่คนเขาพากันมาใช้เป็นโลเคชั่นขอแต่งงาน  ถ่ายพรีเวดดิ้ง  พากันมาฉลองครบรอบแต่งงาน  หรืออย่างน้อยก็จีบกัน  ทำไมเธอเลือกที่นี่แทนที่จะเป็นอิตาลีนะ  เพราะอยากจะท้าทายตัวเองอย่างนั้นหรือ

โทรศัพท์มือถือสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง  อิซซาเบลล้วงมันขึ้นมาดูอย่างรำคาญใจ  เธอน่าจะปิดมันให้รู้แล้วรู้รอด  แต่เพราะมีไม่กี่คนที่รู้เบอร์นี้  เธอจึงจำเป็นต้องเปิดไว้และรับสายแทบทุกครั้งที่ว่าง  แม้จะไม่มีอารมณ์

"มัมคะ  หนูไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ"  อิซซาเบลบ่นใส่โทรศัพท์มือถือตั้งแต่กดรับมันเลย  ไม่สนใจจะทักทายกันก่อน

"ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วตอนนี้ลูกอยู่ไหนคะ"  น้ำเสียงของคุณแม่ทำเอาอิซซี่พูดไม่ออก  สุดท้ายเธอก็เป็นแค่เด็กงี่เง่าในสายตาแม่อยู่ดี

คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเขาคงไม่หนีมาไกลขนาดนี้หรอก  ไม่หนีปัญหา  เธอไม่ได้หนีปัญหา  เธอแค่ถอยมาตั้งหลักเฉยๆ

"ลิทซ์บอกว่าหาหนูไม่เจอ  หนูไม่รับโทรศัพท์พี่เขา  เป็นอะไรไปอีก"

ยายนั่นจริงๆ ด้วย!  อิซซาเบลขบฟัน  เดาได้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้  ถ้าปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้มากเกินไป  โดยเฉพาะคนรู้จักกัน 

เธอเกลียดการที่ใครๆ  ต้องมาทำเป็นห่วงเธอมากเกินพอดีแบบนี้  ทำเหมือนเธอคิดอะไรเองไม่ได้  เอาตัวรอดเองไม่ได้  นอกจากแม่ๆ เธอจึงไม่อยากให้คนอื่นมารับรู้ความเป็นไปของเธอ  ที่จริงเธอไม่อยากให้พวกท่านรู้ด้วยซ้ำ  อยากหายสาบสูญไปเลย  แต่ถ้าทำแบบนั้นเธอก็จะเป็นลูกอกตัญญูมากกว่านี้เสียอีก  ทำให้ผู้ให้กำเนิดทุกข์ใจทั้งที่พวกท่านไม่ได้ผิดอะไร  มันดูไม่ยุติธรรมสำหรับพวกท่านมากไป

"หนูแค่อยากอยู่คนเดียว"  อิซซาเบลตอบ  "มัมบอกให้เขาไปเปิดห้องโรงแรมนอนได้ไหมคะ  หนูไม่สะดวกรับแขก"

"บอกเองค่ะ  อิซซี่"  ราเชลตอบเสียงเย็นชา  "เรื่องแบบนี้หนูควรจะพูดด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ  มารยาทน่ะมีไหม  ตอนแรกก็ชวนพี่เขาเองนี่คะ"

อิซซาเบลอยากจะเถียงแต่เถียงไม่ได้  แน่ละ  เธอไม่มีทางชนะแม่ราเชลอยู่แล้ว  เธอโง่จะตายถ้าเทียบกับแม่ๆ  แม้กระทั่งกับแม่เบลล์

"อย่าเพิ่งวางสายนะอิซซี่  ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง"

"ว่ามาเลยค่ะ"

"เลิกสูบบุหรี่  มัมไม่ได้ขอร้อง  แต่บังคับ  เลิกซะ  ไม่งั้นมัมจะจับไปบำบัด  เลือกเอา"

"หนูไม่ได้ติดสักหน่อย"  อิซซี่โอดครวญ  มองซ้ายมองขวาอย่างร้อนตัว  เธอเพิ่งควักกล่องบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ตเดี๋ยวนี้เอง  แม่ราเชลมีตาทิพย์หรือไงนะ

"สูบบ่อยๆ มันก็ติดได้  อย่าให้มัมต้องพูดซ้ำ  ลูกก็รู้ว่าหม่ามี๊ไม่ชอบ  และจริงๆ ลูกเองก็ไม่ได้ชอบมันหรอก  อย่าหลอกตัวเองค่ะ"

"มัม..."

"มัมวางสายก็ได้  ไม่ได้อยากพูดกับเด็กดื้อเท่าไหร่นักหรอก"

"มัมขา  หนูรักมัมนะ"

"ถ้ารักมัมก็ต้องรักตัวเองด้วยค่ะ  เพราะว่ามัมรักหนูมาก  หม่ามี๊ก็เหมือนกัน  หนูเป็นทุกอย่างของเรา  และมัมกับหม่ามี๊ก็ไม่เคยขออะไรหนูเลยใช่ไหม  อิซซี่  แค่ขอให้หนูดูแลตัวเองให้ดีๆ ก็พอ"

"โอ๊ย  ไม่เอาแล้ว  หนูไม่คุยกับมัมแล้ว  หนูจะร้องไห้"

"ร้องซะให้พอ  ลูกสาว  แล้วกลับบ้านเราสักที  มัมรักหนูนะ"

อิซซาเบลพยักหน้าอยู่ตรงนี้ทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครเห็น  แต่แม่ราเชลก็คงเข้าใจจึงบอกลาเธอไปโดยไม่ตอแยให้เธอตอบโต้  อิซซาเบลยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มตัวเอง  และเพ่งมองห่อกระดาษทิชชูที่ถูกยื่นมาให้  เห็นหน้าคนที่ยื่นมันมาก็ยิ่งหงุดหงิด  ถึงอย่างนั้นก็ยังรับมันมาใช้ 

มาสคาร่าเธอเลอะหมดแล้ว  ตาดำปี๋แล้วมั้ง  โคตรเซ็งเลย!

"โทรศัพท์เธอมีจีพีเอส"  ลิทซ์บอกพร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งข้างอิซซี่ที่ทำตาขวางใส่เธอทั้งที่ตายังบวมช้ำ  "วันนี้อากาศดีนะ"

"หนาวจะตาย  กลับดีกว่า"  อิซซาเบลพูดโพล่ง  ลุกขึ้นกำทิชชูไปปาใส่ถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ  และพูดต่อโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา  "จะกลับด้วยไหม  ถ้าจะมาก็มา  และอย่าไปฟ้องแม่ฉันอีก"

ลิทซ์ลุกขึ้นบ้าง  ขาเธอยังไม่ทันหายล้าเลย  เดินตามหาอิซซาเบลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  เธอจำเวลาไม่ได้แล้ว  จำได้แค่ว่าระหว่างที่กำลังดื่มชาอย่างกระอักกระอ่วนใจอยู่ในร้านของอิซซี่  อยู่ดีๆ เจ้าของร้านก็ขอตัวออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก  เธอไม่เคยรู้เลยว่าอิซซี่สูบบุหรี่จนกระทั่งตอนนั้น  เธอตกใจที่อีกฝ่ายทำตัวเลียนแบบอมีเลียแบบนี้  คงเป็นอิทธิพลของแฝดพี่ที่แผ่มาถึงเด็กรุ่นน้องที่สนิทกันมากๆ อย่างอิซซี่  เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลย  อมีเลียคงคิดไม่ถึงหรอกว่าน้องจะทำตาม  ตอนเธอยังเด็กก็เหมือนกัน  ตอนเราคบกันอยู่  เธอทำตัวไม่ดีหลายอย่าง  เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้อิซซี่เห็น  และห้ามไม่ให้อิซซี่ทำตามทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก  เด็กวัยรุ่นยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  แต่มันผ่านไปแปดหรือเก้าปีแล้ว  ไม่รู้ว่าอิซซี่จะยังจำมันได้ไหม  ส่วนเธอจำได้ทุกอย่าง

ตอนนั้นมันเป็นแค่อารมณ์อยากรู้อยากลองของวัยรุ่น  เราสองคนที่แตกต่างกันเหลือเกินจึงมาคบกันได้  กัปตันเชียร์ลีดเดอร์คนดังกับเด็กสาวหัวแข็ง  ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้เลย  แต่เราก็แอบคบกันลับหลังเพื่อนๆ อยู่ดี  จะบอกว่ามันสนุกและตื่นเต้นมากเลยก็ว่าได้  และเธอนี่แหละที่ทำให้อิซซี่ปีนหน้าต่างบ้านลงมาหาได้  แอบออกจากบ้านตอนดึกๆ มาขึ้นรถเธอที่จอดรออยู่ใกล้ๆ บ้านกิลเบอร์ก  เราสองคนเคยทำอะไรห่ามๆ กันมาเยอะแยะ  แล้ววันหนึ่งเราก็เลิกกัน  เราเกลียดขี้หน้ากัน  เราเป็นศัตรูกัน  เพราะความเข้าใจผิดล้วนๆ  กว่าจะรู้ว่ามันเป็นการผิดพลาดในการสื่อสารก็ตอนที่เราโตกันแล้ว  แยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง  คบคนใหม่  ทำเรื่องบ้าๆ กับคนอื่นต่อ  จากนั้นโลกก็เหวี่ยงเรากลับมาเจอกันใหม่  ตอนนี้เรากลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจกันอย่างลับๆ  ลับแม้กระทั่งกับตัวของเราสองคนเอง 

ทำไมอิซซาเบลถึงไว้ใจเธอ  ยอมให้เธอมาหาที่นี่ได้เพียงคนเดียว  คำตอบนั้นเธอรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว  เวลาเธอมีปัญหาอะไร  คนแรกที่เธอนึกถึงก็คือ  ยายเด็กบ้าคนนี้แหละ  (รองจากรุจนะ)

"เดินช้าจริง  มานี่  ไปร้านนู้นกัน"  อิซซาเบลบ่นงึมงำ  และหันมาดึงแขนลิทซ์ให้เดินตามตัวเองมา  ทำไปทำมาก็เดินจับมือกันโดยไม่รู้ตัว  มันอุ่นกว่าใส่ถุงมือเสียอีก  แม้ตอนนี้อากาศจะไม่ได้หนาวมาก  หากลมก็พัดแรงและเย็นจนรู้สึกหนาวได้นิดหน่อย  ลิทซ์เองก็ยินดีที่อิซซี่จับมือเธอ  กลัวจะพลัดหลงกัน  แถวนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก  คงออกมาดูบรรยากาศปารีสยามค่ำคืนกัน

นครแห่งความรัก  ในวันที่ฉันเดินจับมือกับแฟนเก่า... ลิทซ์คิดขำๆ

"มาร้านนี้ทำไม"  ลิทซ์ถามงงๆ  เมื่อเห็นร้านที่อิซซาเบลหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามัน  อีกฝ่ายหันมาทำหน้ามึนๆ

"ฉันหิว  และนี่ร้านอาหาร  ฉันจะเข้าไปกิน  ถ้าเธอไม่กินก็นั่งดูไปละกัน"  อิซซาเบลบอกเสียงเย็นชา  ต่างจากมืออุ่นๆ ที่แนบอยู่กับมือลิทซ์

"เรื่องอะไรจะไม่กิน  มีคนเลี้ยงทั้งที"  ลิทซ์ว่า  เชิดหน้าใส่คนที่ทำเป็นอวดดีทั้งที่ตายังบวมช้ำและใต้ตามีรอยดำจากมาสคาร่า  ลิทซ์ล้วงทิชชูที่เหลือในกระเป๋าเสื้อมาเช็ดออกให้อย่างหวังดี  กลัวคนจะมอง  อิซซาเบลไม่หันหนี  แก้มแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย

"เสร็จละ  คราวนี้ก็เลี้ยงฉันได้อย่างเต็มใจแล้วใช่ไหม"

"ทำดีหวังผล"

"แน่นอน"

อิซซาเบลหลุดหัวเราะ  ว่าจะแกล้งโมโหลิทซ์ต่อไปอีกหน่อยแท้ๆ  แต่เธอเหนื่อยแล้ว  แค่คุยกับแม่ราเชลก็หมดพลังไปเพียบ

"เธอจะบอกเอ็มไหม  ว่าฉันอยู่ที่นี่"  เธอหยั่งเชิง  ลิทซ์ส่ายหน้า

"ฉันไม่ทรยศคนที่ไว้ใจฉัน  ไม่ว่าเขาจะมองฉันเป็นยังไง"  ลิทซ์บอก  แล้วก้มหน้าลงดูเมนูอาหารต่อ  เธอชี้ๆ ให้อิซซาเบลดูอาหารที่อยากกิน  และให้อีกฝ่ายสั่งให้  อิซซี่ชอบบริการ  เรื่องแบบนี้เป็นของถนัด  หากถึงจะชอบถูกบริการ  เธอก็ยังอดนึกถึงใครอีกคนไม่ได้เหมือนกัน 

ป่านนี้อมีเลียจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้  รุจส่งข้อความมาบอกเธอว่า  วันนี้รายนั้นแอบย่องไปหาเยลที่บ้านพ่อแม่รุจ  ไปเจอเอลลี่เข้า  โดนน้าสะใภ้เธอเล่นงานชุดใหญ่  ไม่รู้จะเข็ดหรือยัง  เอลลี่ร้ายกว่ารุจเยอะ  เรื่องฝีปาก  ขนาดแคลร์ยังโดนมาแล้ว  เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าคนอื่นจะไม่โดน  คงไม่แอบไปนอนร้องไห้ที่บ้านหรอกนะ

อิซซาเบลไม่พูดอะไร  แค่ยิ้ม  กินอาหารของตัวเอง  และมองลิทซ์กินอาหารที่สั่งมาพร้อมกับวิจารณ์เสียงงุ้งงิ้งตามประสาคนช่างพูดช่างคุย  แม้จะไม่ได้ไปกินร้านนั้นที่เธอต้องแคนเซิลไป  มากินร้านแบบนี้ก็ยังได้อยู่

แค่ไม่มีหอไอเฟลให้ดูเท่านั้นเอง

"เธอจะไล่ฉันไปนอนโรงแรมอีกไหม"  ลิทซ์ถามระหว่างมองอีกฝ่ายควักบัตรเครดิตมาจ่ายบิล  มองมือสวยๆ ของอิซซี่ที่ครั้งหนึ่งเธอมีโอกาสได้จับมันอย่างไม่รู้สึกผิดแบบเวลานี้  ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของเธอจริงๆ รวมทั้งรอยยิ้มนี้ด้วย  เธอไม่อาจห้ามใจไม่ให้คิดถึงมันหรือเรื่องราวของเราได้  แต่เธอจะเก็บมันไว้แค่ในใจ  จะไม่สร้างความเจ็บปวดให้ใครอีก

สักวันหนึ่งอิซซี่จะมีคนที่พร้อมจะเป็นทุกอย่างให้จริงๆ  เขาคนนั้นคงจะอยู่ที่ไหนสักที่ในโลกใบนี้  อยู่ที่นี่  ในนครแห่งความรักนี้  หรืออเมริกา  บ้านของเรา  เธอจะอวยพรให้อิซซี่เจอกับคนคนนั้นเร็วๆ  อยากให้มีความสุขแบบเดียวกับที่เคยมี 

"ถ้าเธอไม่กลัวฉันก็อยู่ด้วยกัน"  อิซซาเบลตอบง่ายๆ  ลุกขึ้นยืน  เอาสองมือซุกกระเป๋าระหว่างจะเดินออกจากร้าน  แต่ลิทซ์กลับส่งมือมาให้

"ฉันไม่กลัวเธอหรอก  มือเท้าฉันก็มี  ฉันจะอัดเธอให้น่วมเลย  ถ้ามาทำทะลึ่งใส่ฉัน"  ลิทซ์ขู่ฟ่ออย่างไม่จริงจัง  เกือบจะหลุดยิ้มเมื่ออิซซี่ยื่นมือมารับมือเธอที่ส่งไปให้  และจับมือเธอเดินออกจากร้านไปด้วยกัน

เจอแสงสีส้มเหลืองอบอุ่นที่ฉาบตามท้องถนนระหว่างเดินกลับบ้าน  หรืออพาร์ตเมนต์ของอิซซาเบล  ลิทซ์ก็ถึงกับหลุดปากอุทาน

"ปารีสกลางคืนสวยเนอะ"

"เอาไว้ชวนแฟนมาเที่ยวสิ"  อิซซาเบลบอกอย่างไม่สนใจ  แล้วยิ้มขำๆ เมื่อเห็นลิทซ์ค้อนเธอขวับ  "อ้าว  แนะนำดีๆ นะ"

"หุบปากไปเลย  เดินเงียบๆ ก็ดีแล้ว  พูดแล้วเสียบรรยากาศ"  ลิทซ์พูดพร้อมกับดันหน้าอิซซี่ที่หันมายิ้มล้อเลียนเธอให้หันกลับไป  อีกฝ่ายยอมแต่โดยดี  ไม่กวนประสาทเธออีก 

"พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้ว  อยู่คนเดียว  เป็นเด็กดีด้วยนะ" 

"ฉันเป็นเด็กดี"  อิซซาเบลตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น  ที่ทำให้คนได้รับรู้สึกดีจนต้องขอเก็บช่วงเวลานี้ไว้ 

ยัดใส่ลิ้นชักแห่งความทรงจำเอาไว้ตลอดไป   




.........................................



ขอบคุณที่มาอ่านจ้า   :58: :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

21 สิงหาคม 2019 เวลา 22:57:09
จำได้ว่าภาคนี้ มันน่าจะเป็นของแอนเดรีย แต่ก็มีแต่อิซซี่ ผู้ที่ใครๆก็อยากอิจฉา แต่ทำตัวได้น่าสงสาร รึสมเพชดี ลูกคนรวยคิดอะไรก็ไม่พ้นจมูกตัวเอง
แสดงความคิดเห็น