web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 437
Most Online Ever: 437
(วันนี้ เวลา 21:24:59)
Users Online
Members: 0
Guests: 401
Total: 401

ผู้เขียน หัวข้อ: เกินห้ามใจ ตอนที่ 16  (อ่าน 1442 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
เกินห้ามใจ ตอนที่ 16
« เมื่อ: 22 มกราคม 2014 เวลา 07:40:47 »
ตอนที่ 16

พีชญาส่งสายตาขุ่นเคืองมองเพื่อนสาวในอ้อมกอดของอันนาอย่างไม่ปิดบัง แต่เพียงชั่วครู่ก็เบี่ยงสายตากลับมาอีกทาง เมื่อตอนนี้ความสนใจของเธออยู่ที่หญิงสาวข้างตัว

พีชญาไม่รู้จะเอ่ยกับนรีกมลอย่างไร ยิ่งคิดว่าเธอเป็นคนพามาให้เห็นภาพบาดตาบาดใจ ก็ยิ่งเอ่ยคำพูดปลอบประโลมไม่ออก

“ที่คุณพอร์ชบอกว่าคุณรินทร์อยากเจอไนน์ อย่างนี้ใช่มั้ยคะที่อยากให้เจอ” ถึงน้ำเสียงจะฟังเรียบนิ่งแลดูปกติ แต่พีชญาจับได้ถึงความสั่นเครือในประโยค

“ไม่ใช่นะ ฉัน…” พีชญานึกโกรธตัวเองตอนนี้ที่ไม่รู้จะหาคำแก้ตัวแทนเพื่อนสาว ทำได้เพียงอ้ำๆ อึ้งๆ มองสลับไปมาระหว่างนรีกมลและหญิงสาวสองคนในห้องที่ยังคงกอดกันอยู่ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นเปรมจิตที่หันมามองด้วยความสนใจ เลขาหน้าห้องของวรินทร์ไม่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เพราะเธอและนรีกมลยืนบังประตูหน้าห้องเอาไว้ พีชญาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป

“คุณหมอมานานหรือยังคะ”

“อันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะคุณพอร์ช”

“เหรอคะ แล้วคุณเปรมจิตพอจะรู้หรือเปล่าว่า…” ยังไม่ทันจะถามได้จบประโยค นรีกมลก็ขยับตัวทำท่าจะเดินจากไป พีชญาจึงจิ๊ปากแล้วยื้อแขนหญิงสาวเอาไว้ รีบเอ่ยปากขอตัวกับเปรมจิต แล้วลากนรีกมลเข้าห้องของวรินทร์โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

ประตูถูกกระชากปิดเสียงดังสนั่นเรียกความสนใจจากวรินทร์ อาการหน้ามืดเริ่มบรรเทาให้ผละตัวออกมาจากอ้อมกอดช้าๆ หญิงสาวมองผู้มาเยือนทั้งสองที่ฉุดกระชากกันอยู่ด้วยความงุนงง

“ทำอะไรน่ะพอร์ช”

อันนาทำท่าจะมาประคองเจ้าของห้องที่กำลังจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน วรินทร์ส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปรอฟังคำตอบจากพีชญาที่ยืนส่งสายตาไม่พอใจกลับมาให้ ประกอบกับหญิงสาวอีกคนที่ก้มหน้าก้มตามองพื้นท่าเดียว

‘นรีกมล’

“ก็…รินนี่บอกว่าอยากจะคุยกับนรีกมล พอร์ชก็เลยพามาหา ขอโทษนะ ไม่นึกว่าจะมีแขก”

น้ำเสียงในท้ายประโยคที่ออกแนวประชดประชันเล็กน้อย ทำให้อันนาต้องกระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ยขอตัวจากไป

“น้องรินทร์อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ เป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้พี่เป็นห่วงได้ยังไง…ไว้วันหลังเจอกันนะคะ”

นรีกมลบีบฝ่ามือตัวเองแน่นเมื่อได้ยินประโยคแสดงความห่วงใยนั่น ในใจนึกอยากให้ตัวเองได้เป็นฝ่ายได้พูดประโยคเหล่านี้กับวรินทร์

ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง พีชญาก็หันขวับมามองเพื่อนสาวอย่างไม่เข้าใจ

ไหนบอกว่ารักอดีตเลขานักหนา ไหนหันไปซบอกคุณหมอหน้าขาวซะแล้ว…พีชญาไม่เข้าใจเลยจริงๆ

เงียบกันไปร่วมนาที วรินทร์จึงทำหน้าที่ทำลายความเงียบที่แสนน่าอึดอัดนี้

“รินทร์บอกไปตอนไหนว่าอยากจะคุยกับ…นรีกมล” ท้ายประโยควรินทร์จงใจทิ้งจังหวะแล้วหันไปมองหน้าหวานแวบหนึ่ง

นรีกมลสบตากลับ พยายามค้นหาแววบางอย่างในดวงตาคู่สวยนั้น แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากใบหน้าเรียบเฉยอย่างไม่แยแสตอบกลับมา

“เอาเถอะ! อันที่จริงพอร์ชปั้นเรื่องโกหกน่ะ” พีชญาเอ่ย “รินนี่อย่ามองด้วยสายตาอย่างนั้นสิ พอร์ชหวังดีนะ”

นรีกมลรู้สึกสะท้านในอกอย่างประหลาด เมื่อได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ววรินทร์ไม่ได้อยากเจอเธอแม้แต่น้อย เป็นพีชญาเองที่มาฉุดเธอมาจากห้องรองประธาน จนเจ้าตัวโดนภาคินดุไปเสียขนานใหญ่ แต่มีหรือพีชญาจะแคร์ หญิงสาวให้เหตุผลว่าวรินทร์อยากพบอดีตเลขาอย่างด่วน แม้ภาคินจะคลางแคลงใจแต่ก็ยอมปล่อยให้เธอออกมาทั้งที่ยังคุยเรื่องงานกันไม่เสร็จ แต่นาทีนั้นนรีกมลไม่สนใจสิ่งใดแล้ว

ไม่สนว่าจะถูกเรียกไปคุยเรื่องอะไร

ไม่สนว่าจะโดนมองด้วยสีหน้าแบบไหน

ไม่สนว่าที่พีชญาเอ่ยจะเป็นเรื่องจริงหรือลวง

เธอสนใจเพียงแค่คนๆ เดียว


คนที่เธอรัก…คุณวรินทร์

“หวังดีเหรอ ไหนพอร์ชบอกจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของรินทร์ไง”

 “ได้…พอร์ชจะไปเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ทำตัวก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของรินนี่เพราะความหวังดีจากเพื่อนคนหนึ่ง อ้อ! ถึงจะไม่อยากคุยกับนรีกมล แต่ในเมื่อพอร์ชพามาหาถึงที่แล้ว ก็คุยกันให้เรียบร้อยนะ”

พีชญาเชิดหน้าแล้วกระแทกเท้าตึงๆ จากไป ในใจกรุ่นโกรธเพราะการกระทำของเพื่อนสาว นึกแปลกใจที่วรินทร์นั้นช่างปากไม่ตรงกับใจมากกว่าที่เธอคิด

เชอะ! ตรอมใจอยู่นานว่าเขาหายหน้าไป พอพาเขามาตัวเองกลับไปกอดกับผู้หญิงอีกคน

…ช่วยถึงขนาดพามาถึงที่แล้ว ถ้าเคลียร์กันไม่ได้เธอก็คงช่วยอะไรนรีกมลไม่ได้อีกแล้วเหมือนกัน

พีชญาหันไปย่นจมูกใส่เจ้าของห้องแล้วเหวี่ยงประตูปิดตามหลังเสียงดังสนั่น

นรีกมลมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร และถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ วรินทร์ก็เอ่ยบอกให้มานั่งยังเก้าอี้ตรงข้ามกัน หญิงสาวก่นด่าตัวเองในใจที่เผลอทำกิริยาน่าขันให้ผู้เป็นนายเห็น

นัยน์ตาดำจัดจับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอไม่วางตา นรีกมลกัดริมฝีปาก ภาพเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ยังติดตา อยากจะถามให้หายข้องใจแต่ปากมันหนักเกินกว่าจะเอ่ยออกไป รวมไปถึงใจที่ยังไม่กล้าพอ

ไม่สิ! บางทีอาจเป็นเพราะตัวเธอเองที่ไม่อยากฟังคำตอบจริงๆ ก็เป็นได้

“อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้อยากจะเจอเธอ พอร์ชต่างหากที่เป็นคนจัดการ”

“ดิฉันทราบแล้วค่ะ” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้วรินทร์ถึงกับหายใจติดขัด ความไม่พอใจฉายชัดออกมาในแววตา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดียังคุยงานติดพันกับท่านรองประธาน”

“อึดอัดนักหรือไงที่อยู่กับฉัน”

นรีกมลส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

“ตอบคำถาม…ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเวลาคุยให้เงยหน้ามองคู่สนทนา”

นรีกมลกำกระโปรงบนหน้าตักแน่นจนมันยับยู่ไปตามฝ่ามือ ริมฝีปากขยับตอบกลับอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

“ดิฉันไม่กล้ารู้สึกอย่างนั้นกับท่านประธานหรอกค่ะ”

“ไม่กล้ารู้สึกอย่างนั้นเหรอ” วรินทร์ขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น “แล้วตอนนี้ล่ะ เธอรู้สึกยังไงที่อยู่ต่อหน้าฉัน”

นิ้วเรียวยื่นไปแตะที่ริมฝีปากบางของอีกคนก่อนจะไล้ลงมาจนถึงคางแล้วดันเชิดขึ้น

วรินทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่ตัวแข็งไปแล้ว ริมฝีปากเอ่ยกระซิบเสียงแผ่ว

“ตอบมาสิ”

วรินทร์รู้สึกขัดใจที่นรีกมลไม่ยอมตอบ นัยน์ตาหวานที่สบตาเธอดูล่องลอยไปไกลแสนไกล จึงนึกอยากลงโทษโดยการขยับตัวยื่นหน้าเข้าไปหา

ใกล้จนได้กลิ่นหอมบางๆ จากพวงแก้มใส

ใกล้จนปลายจมูกจะได้สัมผัส


…ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

“ทะ ท่านประธาน!”

นรีกมลหลุดจากภวังค์เพราะลมหายใจอ่อนๆ ที่เป่ารดอยู่บนพวงแก้ม หญิงสาวหน้าแดงแปร๊ดเป็นลูกตำลึง รีบยกมือดันไหล่บางของวรินทร์ให้ถอยห่างออกไป

เมื่อกี้คุณยังกอดกับพี่อันอยู่เลย ตอนนี้คุณยังจะกล้ามาฉกฉวยหาโอกาสกับฉัน

นรีกมลสะบัดหัวไล่ภาพบาดตาให้ออกไปจากสมอง สิ่งที่เธอต้องรับมือตอนนี้คือคนตรงหน้าต่างหากที่ไม่รู้จะมาไม้ไหน เธอไม่เคยเดาทางคนอย่างวรินทร์ถูกแม้แต่ครั้งเดียว

“ตอบคำถามฉันมาสิ” วรินทร์เปลี่ยนเป้าหมายของมือทั้งสองข้างไปวางลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม คั่นกลางระหว่างคนร่างเล็กพอดิบพอดี

“คำถามอะไรคะ”

“ตอนนี้รู้สึกยังไงกับฉัน”

“ระ รู้สึกเหรอคะ” นรีกมลผินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตา “ดิฉันไม่กล้ารู้สึกไม่ดีกับท่านประธานอยู่แล้วล่ะค่ะ อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”

“ไม่มีใครเข้ามาโดยไม่เคาะประตูหรอก ยกเว้นยัยพอร์ชไว้คนหนึ่ง”

นัยน์ตาสีดำจัดจ้องเข้ามาในดวงตาเธอ ไหนจะริมฝีปากอวบอิ่มที่บิดโค้งเป็นรอยหยักเผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับที่คาดเดาไม่ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นรู้สึกอย่างไร ดึงดูดและมีเสน่ห์จนเธอไม่อาจละสายตาออกไปได้

“ตอบมาเถอะ ฉันไม่กัดเธอหรอกนะ หรือว่า…เธออยากจะให้ฉันกัดล่ะ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทีเล่นที่จริงจนนรีกมลรู้สึกหวิวในอก

“มะ ไม่ค่ะ ขอ ตะ ตอบดีกว่า” นรีกมลรีบตอบกลับอย่างระล่ำระลัก หลังเห็นอีกคนจับจ้องที่ริมฝีปากของเธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“รู้สึกว่าท่านประธานขยันขันแข็ง สมควรที่พนักงานควรเอาเป็นแบบอย่างค่ะ”

วรินทร์เหยียดยิ้มที่มุมปาก “ถ้าตอบแบบนั้นอย่าตอบเลยดีกว่า นี่เธอแสร้งไม่รู้เหรอว่าฉันหมายความว่ายังไง หรือว่าจริงๆ แล้ว…เธอต้องการแบบนี้”

ริมฝีปากอิ่มฉกจูบที่ริมฝีปากเธออย่างฉาบฉวย นรีกมลตกใจจนเผลอป้องกันตัวเองโดยการกัดริมฝีปากของผู้รุกรานเข้าให้จนปลายลิ้นสัมผัสถึงคาวเลือด

“โอ้ย! ทำอะไรของเธอเนี่ย” วรินทร์โอดแล้วถอยกลับไปยืนหลังโต๊ะทำงาน

“ขะ ขอโทษค่ะท่านประธาน ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“เธอมาดูแผลให้ฉันเลย เร็วๆ เข้า”

นรีกมลกุลีกุจอวิ่งอ้อมโต๊ะทำงานไปดูริมฝีปากของเจ้านาย ริมฝีปากล่างบริเวณที่โดนกัดนั้นห้อเลือดและบวมตุ่ยเล็กน้อย

นรีกมลอาการไปแล้วรีบถอยกลับมานั่งที่เดิม ใจคิดว่าหากยังยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยความใกล้ชิดอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อร่างกายและหัวใจเธอได้

“กลัวกันนักหรือไง! ฉันไม่ได้พิศวาสเธอขนาดนั้น อย่าสำคัญตัวผิด”

…แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้คิดเช่นนั้น

นรีกมลสะดุ้งอย่างตกใจ มือเล็กจับที่วางแขนแน่นจนฝ่ามือนั้นซีดจัด

ราวกับเขื่อนแห่งอารมณ์แตก วรินทร์พ่นคำพูดออกมาราวกับสายธารเชี่ยวกรากที่ไหลทั้งเร็วและแรง

“หึ! เธอน่ะเป็นคนหลอกลวง หลอกลวงฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอบอกให้ฉันเชื่อเธองั้นเหรอ แล้วเธอเคยทำอะไรให้ฉันมั่นใจในตัวเธอจนถึงขนาดยอมให้อภัยในทุกๆ เรื่องหรือเปล่า…ก็ไม่…เธอปั่นหัวฉัน ทำให้ฉันกระวนกระวายใจเพราะความไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึง…”

คนหน้าสวยพูดเพียงเท่านั้นก็หันหลังไปมองนอกหน้าต่าง นรีกมลได้ยินเสียงพ่นลมหายใจแรงราวกับเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา แผ่นหลังบอบบางที่อยู่ตรงหน้าช่างดูห่างไกลและเย็นชาในความรู้สึก นรีกมลกัดริมฝีปากอย่างพยายามห้ามน้ำตาที่คลอหน่วยไม่ให้ไหลเอ่อออกมา เมื่อคิดว่าบางทีวรินทร์อาจจะเกลียดเธอแล้วจริงๆ

…เกลียดจนถึงขั้นที่ไม่อยากจะมองหน้ากัน

แต่ถึงกระนั้นนรีกมลก็ยังไม่เข้าใจในประโยคหลังที่ได้ฟัง

ปั่นหัว ทำให้กระวนกระวายใจ…เธอไปทำอย่างนั้นตั้งแต่ตอนไหนกัน ที่ผ่านมาเธอก็ทำตามความต้องการของอีกฝ่ายทุกอย่าง ไม่อยากเจอหน้ากันเธอก็พยายามเลี่ยง ข้อความที่วรินทร์รำคาญเธอก็เลิกส่งไปหา

ตั้งแต่วันนั้น…วันที่นรีกมลรู้ว่าเพราะเหตุใดวรินทร์ถึงเมินเฉยกับเธอ

จนวันนี้ที่รู้ว่าวรินทร์อยากพบ เธอถึงได้ดีใจที่อีกฝ่ายอาจคิดถึงเธอ ยอมให้โอกาสแก้ตัว

แต่แล้ว…

ภาพคนสองคนที่ยืนตระกองกอดกันก่อนหน้า ผลักดันให้นรีกมลเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง

“กับคุณหมออันนา คุณรินทร์รู้สึกยังไงกับเธอคะ”

“ทำไมฉันต้องตอบ ฉันกับพี่อันจะรู้สึกยังไงต่อกันมันไปเกี่ยวข้องอะไรกับเธอด้วย” วรินทร์นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะตอบประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังสดใสกว่าปกติ “แต่ถ้าจำเป็นต้องตอบ ก็คงรู้สึกดีล่ะมั้ง”

คำตอบกระทบจิตใจคนฟังอย่างร้ายกาจ นรีกมลก้มหน้ามองหน้าตักตัวเอง น้ำตาไหลพรั่งพรูลงบนกระโปรงเนื้อดีอย่างไม่อาจอดกลั้น เธอนึกดีใจอยู่เหมือนกันที่วรินทร์ยังหันหลังอยู่ เธอไม่อยากเห็นแววตาที่แสดงความสงสารหรือเวทนาจากดวงหน้างดงามนั้น

ได้ยินคำตอบชัดหรือยัง คำตอบที่เธออยากฟังไงนรีกมล

พอสักที! เขาพูดขนาดนี้แล้ว เลิกหวังลมๆ แล้งๆ ได้หรือยัง

นรีกมลสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก พยายามกลั้นน้ำตาแล้วเช็ดคราบที่เปรอะอยู่อย่างลวกๆ ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมาส่งยิ้มเศร้าๆ ให้กับแผ่นหลังบอบบางของคนตรงหน้า

 “ดิฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

“เข้าใจ? เธอเข้าใจอะไร”

“เข้าใจว่าคุณรินทร์คงเกลียดคนหลอกลวงอย่างดิฉันมาก บางทีถ้าคุณไม่ได้พบเจอฉันตั้งแต่แรกมันคงจะดีซะกว่า”

นรีกมลเห็นวรินทร์ไม่เอ่ยอะไรออกมา จึงกล่าวต่อโดยพยายามข่มก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา

“ถ้าคุณไม่ต้องเจอหน้าฉัน คุณคงไม่ต้องเจ็บปวด เหนื่อยกาย เหนื่อยใจที่มีฉันคอยรังควาน คุณคงมีความสุขกับคนที่ดี รักคุณด้วยความจริงใจ…รักที่ไม่ได้เริ่มจากความหลอกลวง”

นรีกมลกัดฟันพูดต่อจนจบประโยคพร้อมกับน้ำตาที่คลอหน่วย “ต่อจากนี้ฉันจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกตามที่คุณต้องการ”

นรีกมลกลั้นใจรอฟังคำตอบร่วมนาที แต่ในที่สุดความหวังของเธอก็ไม่เป็นจริง ไม่มีประโยคห้าม ฉุดรั้ง หรือขอร้อง มีเพียงประโยคง่ายๆ สั้นๆ แค่เพียงประโยคเดียว

“ตามใจเธอสิ”

แค่เท่านั้นนรีกมลก็ไม่อาจเก็บกั้นทำนบน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีกครั้งได้ หญิงสาวเอ่ยขอตัวด้วยเสียงสั่นเครือก่อนจะออกจากห้องมาอย่างเงียบๆ กล้ามเนื้อในอกคล้ายเต้นช้าลงเรื่อยๆ ในทุกจังหวะที่ก้าวเดิน หัวใจเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดให้รู้สึกเจ็บปวด

นรีกมลหันไปมองเป็นครั้งสุดท้าย วรินทร์ยังยืนหันหลังมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างราวกับไม่สนใจสิ่งใด คนหน้าหวานนึกน้อยใจอย่างที่สุด ริมฝีปากขบกันแน่นพยายามห้ามเสียงสะอื้น ในขณะที่สายตาก็กวาดเก็บทุกรายละเอียดบนร่างกายที่แสนสมบูรณ์แบบของผู้หญิงที่เธอห้ามใจรักไม่ได้

บางที…เธออาจจะไม่มีโอกาสเห็นอีกแล้วก็เป็นได้

นรีกมลรู้สึกคล้ายหัวใจสลายยามมองผ่านประตูที่ค่อยๆ ปิดจนบดบังร่างของเจ้าของห้องไปในที่สุด หญิงสาวหันกลับมาก้าวเดินต่อไปพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย



เสียงนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ที่อยู่ชิดผนังห้องร้องส่งเสียงบอกเวลาว่าได้ข้ามเข้าสู่วันใหม่ ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้องทำได้เพียงถอนหายใจอย่างอดทนรอ ถ้าภายในสิบนาทีอีกฝ่ายยังไม่มา เขาคงขอยอมแพ้

ภาคินนั่งรอมาตั้งแต่ช่วงเย็น คุณอาทั้งสองก็แสนใจดีมานั่งคุยเป็นเพื่อน จนชั่วโมงก่อนถึงได้พากันเข้านอน ชายหนุ่มถอนหายใจอีกเฮือกพลางคิดว่าบางทีวรินทร์อาจไปค้างคืนที่คอนโด

เสียงเคลื่อนไหวที่ทางเข้าห้องนั่งเล่นทำให้ภาคินต้องหันไปมอง

“วรินทร์!”

วรินทร์ที่หน้าตาแดงกล่ำหรี่ตามอง พลางเดินโซซัดโซเซไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างเจ้าของเสียงเรียก

“นึกว่าใคร พี่ภาคนั่นเอง”

“ดื่มมาเหรอ?”

ประโยคบอกเล่ากึ่งคำถามถูกเอ่ยออกมาอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก ตั้งแต่วรินทร์เดินเข้ามากลิ่นแอลกอฮอล์ก็ลอยคุ้งมาต้องจมูก ภาคินรู้อยู่แล้วว่าลูกพี่ลูกน้องสาวคงจะดื่มมาอยู่ไม่น้อย แต่การที่สามารถขับรถกลับมาได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ แสดงว่าคงจะมีสติรับฟังอยู่…ภาคินนึกชื่นชมในการรู้จักยับยั้งชั่งใจของหญิงสาว

วรินทร์ได้ยินคำถามก็ขานรับสั้นๆ ก่อนจะพิงหัวกับพนักโซฟาพลางหลับตาลง

“พี่ภาคมาหารินทร์ถึงที่บ้าน แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วน”

“ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรขนาดนั้น”

“แต่ก็มานั่งรอจนดึกดื่น” วรินทร์สวนกลับ “ทำไมไม่โทรมาล่ะคะ”

ถ้าวรินทร์ลืมตาคงได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของชายหนุ่ม

“ถ้าโทรติดจะมาหาไหมครับคุณน้องรินทร์” ภาคินประชด “ตอนเย็นก็ออกไปประชุมกับลูกค้า ค่ำมืดก็ออกไปดื่ม”

“ขอโทษค่า…” วรินทร์ยกมือขึ้นท่วมหัว “รินทร์ไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ข้อความยิ่งไม่อยากจะเปิด”

ท้ายประโยควรินทร์เอ่ยเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ ภาคินขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้สงสัยในประโยคนั้นแต่อย่างใด เพราะตอนนี้เขาสงสัยเรื่องอื่นมากกว่า
ในที่สุดภาคินก็เกริ่นเข้าเรื่อง

“จริงๆ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพี่หรอกนะ แต่ช่วงบ่ายยัยพอร์ชเพื่อนที่แสนน่ารักของรินทร์เข้ามาฉุดเลขาพี่ออกจากห้องไปเสียเฉยๆ เจ้าตัวอ้างว่ารินทร์เรียกไปพบ มันจริงหรือเปล่า?”

วรินทร์ลืมตาแล้วยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรง หญิงสาวไม่ตอบคำถามในทันที แต่นั่งเงียบเหมือนกำลังคิดไตร่ตรองอยู่หลายวินาที

“จริงค่ะ”

วรินทร์ตัดสินใจโกหก ถ้าเธอตอบความจริง คงโดนซักไซ้ไล่เรียงต่อเป็นแน่

ภาคินเลิกคิ้วพลางพยักหน้า…ถ้าอย่างนั้นเขาก็หาเรื่องเพื่อนสาวของวรินทร์ไม่ได้ล่ะสิ

“แล้วทำไมตอนกลับมาที่ห้องนรีกมลถึงร้องไห้ รินทร์ทำอะไรเธอหรือเปล่า?”

คราวนี้เป็นฝ่ายหญิงสาวที่เลิกคิ้วบ้าง

“ร้องไห้เหรอคะ ใครจะไปทำอะไรอย่างนั้นกับนรีกมลกัน นอกจากเขาจะทำตัวเอง” วรินทร์เสหน้าไปมองทางอื่นอย่างไม่อยากจะสบสายตาลูกพี่ลูกน้องตอนนี้

เธอกลัว…กลัวว่าภาคินจะเห็นบางอย่างในแววตา

“พูดอะไรเนี่ย พี่งงไปหมดแล้ว”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตอนเขาออกจากห้องก็เห็นปกติดี ไม่เห็นจะร้องไห้สะอึกสะอื้นอะไรสักหน่อย”

“แล้วนรีกมลร้องไห้เพราะอะไรกันนะ”

“ทำไมคะ พี่ห่วงเลขาตัวเองมากจนถึงขนาดมานั่งรอฟังคำตอบจากรินทร์เลย?”

ไม่รู้ทำไมวรินทร์ถึงนึกกรุ่นโกรธในอก พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนพูดประโยคที่ไม่สมควรพูดออกไปพร้อมกับน้ำเสียงที่กวนชวนหาเรื่อง วรินทร์ยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างปลงไม่ตก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรือเพราะใจเธอที่มีหญิงสาวอีกคนมาครอบครอง และมีอิทธิพลเหนือหัวใจจนเผลอทำอะไรไม่ยั้งคิดออกไป…วรินทร์หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

“พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็โดนโบกหรอก” ภาคินเอ่ยอย่างไม่ได้โกรธเคืองเพราะรู้ว่าอีกคนอยู่ในสภาพไม่ปกติ แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ไม่คิดอะไรอย่างนั้นกับเลขา ไม่นิยมเป็นสมภารกินไก่วัดหรอกนะ รินทร์ก็น่าจะรู้ดี”

ประโยคนั้นทำเอาคนฟังถึงกับสะอึกจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ วรินทร์สำลักจนไอค่อกแค่กออกมาหลายที

“ไออย่างนี้เหมือนต้องการจะประชดพี่นะ”

“เปล่าค่ะ แค่กๆ รินทร์แค่เผลอ…กลืนน้ำลายลงคอ” วรินทร์ตอบไปไอไปจนหน้าแดงกล่ำยิ่งกว่าเดิม

ภาคินรอจนอีกฝ่ายพร้อมที่จะฟังแล้ว จึงกล่าวต่อ

“พี่ต้องรู้สิว่าลูกน้องของตัวเองเป็นอะไร จะได้เข้าใจและแก้ปัญหาให้เขาได้ถูก ยิ่งต้องทำงานใกล้ชิดอยู่ด้วยกันทุกวัน อาจเกิดผลกระทบต่องานก็ได้ ทีเราเป็นอะไรพวกเขายังรู้หมดทุกอย่าง ขนาดเรื่องส่วนตัวยังรู้เลย ถึงพี่กับรินทร์จะเป็นเจ้านายแต่ก็ต้องสนใจและเอาใจใส่ลูกน้องด้วย”

“พี่ภาคเป็นคนดีจังนะคะ” วรินทร์พิงท้ายทอยกับพนักโซฟา หงายหน้ามองเพดานพร้อมความคิดที่ล่องลอยไปไกลในขณะที่ปากก็เอ่ยไปด้วย “เป็นคนดี…ไม่เหมือนคนอย่างรินทร์”

“เป็นอะไรไป ฮึ!”

รู้สึกตัวอีกทีศีรษะมนก็ถูกมือหนาสัมผัสอย่างแผ่วเบา ภาคินเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังวรินทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ อย่ามัวแต่เก็บไปคิดเองคนเดียว แล้วยัยพอร์ชรู้ไหมว่ารินทร์กำลังทุกข์ใจอยู่ตอนนี้”

“รู้ค่ะ พอร์ชรู้ทุกอย่างนั่นแหละ” วรินทร์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงเพื่อน “ป่านนี้ก็คงรู้แล้ว”

“พูดอะไรให้พี่สงสัยอีกแล้ว” ภาคินละมือออก แล้วเดินไปหยิบเสื้อสูทที่พาดอยู่ตรงพนัก “เอาเป็นว่ารินทร์ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เลขาพี่ร้องไห้ พักผ่อนเถอะนะ พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.