web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 437
Most Online Ever: 437
(วันนี้ เวลา 21:24:59)
Users Online
Members: 0
Guests: 410
Total: 410

ผู้เขียน หัวข้อ: นกของทิฆัมพร บทที่ 4  (อ่าน 666 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
นกของทิฆัมพร บทที่ 4
« เมื่อ: 26 ธันวาคม 2013 เวลา 23:57:57 »
บทที่ 4

ทิฆัมพรรู้สึกลังเลใจ เธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มตรงไหนอย่างไร อีกทั้งเด็กสาวคิดว่าทั้งหล่อนและข้าวหอมยังเด็กเกินกว่าจะทำอะไรแบบนี้ สมองน้อยๆ สับสนไปหมดทั้งจากการจูบและสิ่งที่คิด

คนร่างผอมบางเก็บไม้เก็บมือที่สั่นระริกโดยการแน่น การสัมผัสกันด้วยริมฝีปากรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอสอดแทรกลิ้นเข้าไป ให้ความรู้สึกพร่างพรายแพรวพราวคล้ายลอยอยู่บนปุยนุ่นยามค่ำคืนที่มีแสงดาวเรียงรายกระจายเต็มท้องฟ้า

เสียงครางเรียกร้องเล็ดลอดออกมาจากปากอิ่ม บอกความต้องการและพึงพอใจอย่างที่คำพูดไม่สามารถทำได้

"อ้อย" คนสวยเอ่ยแผ่วเบาเสียงพร่าแหบ

เธอถือโอกาสนี้ในการถอนจูบ มันยากลำบากเพราะสาวน้อยรู้แล้วว่าความหอมนุ่มนั้นเป็นอย่างไร หล่อนคนไม่มีวันเบื่อถ้าได้ทำแบบเดียวกับเมื่อสักครู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตาสีน้ำตาลลอยคว้างเหมือนเคลิ้มกับสิ่งที่ผ่านมา ทิฆัมพรเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่หล่อนปรับความรู้สึกได้เร็วกว่าคนตรงหน้าเท่านั้น

หน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อได้สติ หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไร แต่ก็รู้สึกขัดเขินพอสมควร คนตัวสูงกว่านิ่งเงียบอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี

"ฝนหยุดตกแล้ว" เสียงหวานเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เห็นได้ชัดว่าพูดแก้ความเขินอายที่เกิดขึ้น ไม่มีคำต่อว่าต่อขานอย่างที่ควรเป็น

"อือ กลับเลยไหม" เธอถามวรดา เหลือบมองใบหน้าสวยได้รูป

"อืม" อีกฝ่ายตอบตกลง

ทั้งสองคนค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ เธอช่วยปัดฝุ่นและเศษใบไม้ออกจากเสื้อผ้าใหม่สะอาดนั้นอย่างระวัง หยิบเป้สีน้ำเงินเข้มมาสะพายบ่าของตัวเองแทน เพราะคิดว่าข้าวหอมน่าจะเหนื่อยกับการเดินมากพอแล้ว เธออดทนได้มากกว่าควรเป็นฝ่ายรับภาระเรื่องนี้เอง

ทางลงบางส่วนค่อนข้างชัน เด็กสาวพูดเตือนคนข้างหลังเป็นระยะ ไม่เหมือนขาขึ้นซึ่งอาจจะเหนื่อยกว่าแต่ง่ายกว่าในการเดินทาง หล่อนนำหน้าเพราะกลัวว่าถ้าปล่อยให้คนตัวสูงน้อยกว่านำ อาจจะเกิดอันตรายได้



"วันนี้...เอ่อ...ดีจัง" คนสวยพูดเมื่อหล่อนส่งอีกฝ่ายที่ประตูรั้วหน้าบ้านและคืนกระเป๋าเป้ให้เรียบร้อยแล้ว

"ดีมาก" เธอขมุบขมิบปากเบาๆ ตอบกลับไป

"วันหลังไปกันอีกนะ" ยิ้มสวยส่งมาพร้อมกับสีหน้าเบิกบานใจเป็นที่สุด

"อือ ได้สิ" หล่อนตอบยิ้มเล็กน้อย คิดว่ายังไงก็คงได้ไปอีกแน่นอน เพราะไม่มีที่เที่ยวมากนักแถวนี้อยู่แล้ว

"บาย" วรดาพูดและโบกมือ จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าไปในบ้านหลังงาม



"คุณหนู" หญิงสูงวัยร้องขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวเดินขึ้นบันไดบ้านมา

"ป้าเรียกเสียงดังเชียว" เธอว่าไม่จริงจังนัก

"โถ่ ก็เป็นห่วงนี่คะ ฝนตกฟ้ามืดแบบนี้เกิดคุณหนูเป็นอะไรไปป้าจะทำยังไง คุณผู้ชายเอาป้าตายแน่นอน" ป้าแช่มพูดสุ้มเสียงหวาดกลัวเล็กน้อย ทุกคนในบ้านล้วนกลัวพ่อของเธอกันทั้งนั้น เพราะเคยเห็นยามอารมณ์เสียมาแล้ว ท่าทางของพ่อเหมือนพายุที่สามารถพังทุกอย่างลงได้ด้วยมือสองข้าง

"ข้าวกลับมาแล้ว ไม่เป็นไรซะหน่อย" หล่อนบอกเรียบๆ ให้คลายใจ คนนัยน์ตาน้ำตาลอ่อนแสงยังอารมณ์ดีอยู่มาก

"ดีแล้วค่ะที่ไม่เป็นไร ถ้าคุณหนูกลับมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงล่ะก็ ป้าคงโทรบอกคุณพุธไปแล้ว"

"ไม่ต้องโทรนะคะ พ่อรู้เดี๋ยวก็เป็นห่วงเกินเหตุ จะโดนดุกันหมดบ้านเปล่าๆ" สาวน้อยรีบบอกหญิงตรงหน้าทันที ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โต

"ค่ะวันนี้ไม่โทร แต่ถ้าวันหลังคุณหนูกลับเย็นอีกป้าก็ต้องโทรนะคะ" แช่มบอกล่วงหน้าเพื่อเตือนให้เธอรู้ว่าไม่ควรเถลไถล

"ค่ะป้า วันหลังข้าวจะกลับเร็วกว่านี้" จริงๆ แล้วเวลานี้ก็เพิ่งบ่าย 4 โมงไม่ได้ถือว่ากลับเย็นอะไร แต่ด้วยความที่ฝนตกและฟ้าครื้มเลยทำให้ดูเหมือนว่าหล่อนกลับบ้านช้า แต่เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงหรืออธิบายอะไรให้ยุ่งยาก วันหลังถ้าจะไปไหนไกลจากบ้านเด็กสาวคงต้องออกเช้ากว่านี้เพื่อจะได้กลับไม่เกินบ่ายสองหรือบ่ายสามแทน



"แกไปทำอะไรบ้านนู้น" เสียงเอาเรื่องถามด้วยความไม่พอใจ

"ฉันถามทำไมไม่ตอบ" คราวนี้ร่างอ้วนท้วนเดินตรงมาหาเธอ ดวงตาสีเดียวกันวาววับน่ากลัว

หล่อนไม่รู้จะพูดอะไร แค่แม่รู้ว่าเธอไปบ้านนั้นแม้จะแค่รั้วหน้าบ้านยังไม่พอใจขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าเธอเป็นแฟนกับข้าวหอมคงตีถึงตาย แล้วการพูดออกก็คงไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมา

'เพี๊ยะ' หน้าผอมตอบหันไปทางขวาอย่างแรงเพราะโดนฝ่ามืออวบอูมตบเต็มแรง เธอรู้สึกชาวาบบริเวณนั้น แต่เป็นสิ่งที่ทนได้ และหล่อนก็ทนมาตลอดอยู่แล้ว

"เงียบใช่ไหม" หญิงผิวคล้ำล่วงเข้าสู่วัยกลางคนกระชากผมแบบไม่ปรานีปราศรัย ทิฆัมพรปวดแสบไปทั้งศีรษะแต่ยังคงปิดปากเงียบสนิท

ไม้เรียวก้านมะยมถูกหยิบขึ้นมาหลายก้าน จากนั้นก็ถูกฟาดมาที่ก้นของเธอ ความเจ็บแล่นไปตามความยาวของก้าน เด็กสาวกัดฟันแน่น

แม่ของหล่อนช่างมีความอดทน เพราะวันนี้ตีได้เกือบชั่วโมง ก่อนจะตบหน้าอีกสองครั้งแล้วเดินออกไปหน้าบ้านอย่างหงุดหงิด

เนื้อที่ถูกเปิดมีเลือดซึม มันกำลังจะติดกับกางเกงขาสั้นในไม่ช้า เธอหยิบเสื้อสีดำตัวหนึ่งมาชุบน้ำเล็กน้อยจากนั้นจึงเช็ดแบบเบามือ แผลสดโดนน้ำแสบอยู่บ้าง แต่คงไม่มากเท่าการทายาเหมือนในห้องพยาบาลของโรงเรียน สาวน้อยเช็ดตัวแทนการอาบน้ำก่อนจะใส่ผ้าถุงนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนใบเก่า

คนร่างบางรู้ว่าตัวเองทนได้ และต้องทนต่อไปอีกนาน ยังไงเธอก็ไม่ยอมให้ความเจ็บปวดแค่นี้ทำให้หล่อนไม่ได้พบกับข้าวหอมอีกเป็นอันขาด ส่วนเรื่องนี้คนผมสั้นไม่อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ ไม่อยากให้แฟนสาวรู้สึกแย่ หล่อนอยากให้วรดามีแต่ความสุขเท่านั้น



"วันนี้เที่ยวเป็นไงบ้างลูก" เสียงทุ้มของคุณพ่อเอ่ยถาม ใบหน้ากร้านยังคงมีน้ำเกาะพราวเนื่องจากเพิ่งเสร็จจากการชำระล้างร่างกาย

"ดีค่ะ" หล่อนตอบเลี่ยงๆ ไม่กล้าบอกความจริงว่าไปทำอะไรมาบ้าง

"อืม วันหลังก็พาเด็กข้างบ้านมาให้พ่อรู้จักบ้างสิ" ชายร่างสูงบอกด้วยความเอ็นดูพลางลูบผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกตัดสั้นเสมอหูของหล่อน

"ค่ะพ่อ ถ้าพ่อกลับบ้านเร็วเดี๋ยวข้าวจะพาเขามาบ้านนะคะ" คนหน้ารูปไข่ยิ้ม ดีใจพี่พ่อสนใจอยากเจอหน้าคนที่เธอรัก

"เออ ม.ปลายลูกไปเรียนที่กรุงเทพฯ ดีไหม" เหมือนอีกฝ่ายจะเพิ่งนึกขึ้นได้จึงพูดออกมา นัยน์ตาสีดำรอคอยคำตอบ

"ข้าวไม่ค่อยอยากไปเลยค่ะ อยากอยู่บ้านเรามากกว่า" หล่อนบอกตามตรง เธออยากเจออ้อยทุกวัน และอยากอยู่กับพ่อด้วย

"บ้านเรามันเทียบที่นู่นไม่ได้นะลูกนะ พ่ออยากให้ลุกเรียนที่ๆ ดีที่สุด ครูเก่งๆ น่ะอยู่ที่กรุงเทพฯ เยอะ ลูกพ่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ไง" จักรภพชี้แจงให้เด็กสาวเห็นข้อดีของการไปไกล จริงๆ เธอก็รู้อยู่แต่ใจไม่อยากไป

"เอาไว้ค่อยคิดดีกว่าค่ะพ่อ เหลืออีกตั้ง 2-3 ปีแนะ" วรดาตัดบท อยากเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคนรักก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทิฆัมพรไปเรียนที่เดียวกัน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไรบ้าง



เย็นวันรุ่งขึ้นคนร่างบางนัยน์ตาเบื่อหน่ายนั่งรออยู่ที่เดิมตามคำพูดที่ได้ให้ไว้ เด็กสาวคิดว่าโชคดีเพราะรอยฝ่ามืออยู่ที่ซีกหน้าฝั่งซ้าย ข้าวหอมนั่งด้านขวามือของเธอตลอด จะไม่ได้เห็นและไม่ต้องกังวลในสิ่งที่เกิดขึ้น ก้นบางที่ไร้ไขมันแสบทุกครั้งที่เดิน นั่ง หรือแม้แต่ยืนเฉยๆ หล่อนฉีกผ้าให้เป็นสี่เหลี่ยมแล้วรองไว้ในกางเกงชั้นใน กลัวว่าเลือดจะออกอีกและซึมออกมาจนคนอื่นเห็น เธอไม่ต้องการเป็นจุดสนใจไม่ว่าจะในแง่มุมใด

ส่วนรอยที่ใบหน้านั้นไม่อาจปิดบังได้ ครูประจำชั้นและครูที่สอนเมินเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะเพราะชินชาที่บ่อยครั้งเด็กสาวก็มีรอยแบบนี้ไปโรงเรียนอยู่แล้ว เพื่อนร่วมชั้นก็ยังคงเหมือนเดิม ล้อและหัวเราะเยาะเหมือนกับว่าสิ่งที่เธอได้เจอะเจอมันตลกขบขัน

สาวน้อยถอนหายใจ เมื่อไหร่นะเธอจึงจะได้ออกไปจากที่นี่ หล่อนได้ยินครูที่สอนประถมพูดกับเด็กคนหนึ่งว่ารัฐบังคับเรียนจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 จบประถม 6 แล้วจะไม่เรียนต่อไม่ได้ แรกเริ่มหล่อนฟังไปอย่างนั้นเองแต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้จึงเปลี่ยนเป็นตั้งใจ เพราะเกี่ยวกับเธอโดยตรง ทิฆัมพรคิดว่าตัวเองคงมีโอกาสเรียนสูงสุดเพียงแค่นั้น แค่ที่รัฐบาลบังคับให้เรียนจากนั้นก็คงต้องทำงานเหมือนเด็กหลายๆ คนแถวนี้ซึ่งก็จบประถมไม่ก็มัธยมศึกษาตอนต้นกันทั้งนั้น มีบ้างที่อยากเรียนสูง

อ้อยอยากเรียนสูงเพราะเธอจะไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ แม่หล่อนไม่ยอมเป็นแน่กับเรื่องนี้ แค่เจียดเงินมาซื้อสมุดกับดินสอก็บ่นทุกวี่ทุกวันอยู่แล้วว่าสิ้นเปลือง คนนัยน์ตาเข้มเคยสงสัยว่าทำไมแม่ถึงได้ให้กำเนิดหล่อนขึ้นมา เป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะทิฆัมพรไม่เคยเอ่ยมันออกไป

"ดี" เสียงหวานดังขึ้น ใบหน้าของคนทีทักทายมีรอยยิ้มที่แสนสดใส ยิ้มที่เธอชอบ

"ดีค่ะ" เด็กสาวยิ้มเล็กน้อย

"รอนานไหม" อีกฝ่ายนั่งพร้อมถาม

"ไม่นาน" คนนิ่งไม่มีปัญหาในการรอคอยคนข้างๆ เลย เวลาผ่านไปรวดเร็วเสมอเมื่อคิดว่าจะได้พบเจอกัน

"อือ ที่โรงเรียนของอ้อยเนี่ยเขาสอนถึงระดับไหน" วรดาจู่ๆ ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

"ก็ม.3" หล่อนตอบงงๆ

"แล้วเรียนที่นี่จบอ้อยจะไปต่อที่ไหน" วันนี้คนสวยดูเหมือนจะให้ความสนใจเรื่องการเรียนของเธอเป็นพิเศษ ปกติมีแต่ถามเรื่องเพื่อนเสียมากกว่า

"ไม่ต่อหรอก อ้อยคงต้องทำงาน" หล่อนบอกตามจริง

"ทำไมล่ะ" เสียงแฟนสาวเป็นกังวลและห่วงใย

"แม่อ้อยคงไม่ส่งให้เรียนต่อหรอก แล้วถ้าไม่เรียนอ้อยก็ต้องทำงาน อยู่บ้านเฉยๆ คงไม่ได้" เด็กสาวพูดอย่างเฉยชาเพราะยอมรับในชะตากรรมของตัวเองมาได้สักพักใหญ่แล้ว



"พ่อของข้าวอยากให้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อ้อยไปเรียนด้วยกันนะ" สาวน้อยชักชวนคนร่างบาง เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนน่ารักจะต้องหยุดอนาคตแต่เพียงเท่านี้

"อ้อยอยากไปนะ แต่แม่คงไม่ยอมหรอก" เสียงนุ่มเรียบตอบด้วยสีหน้าเฉยชาเป็นที่สุด วรดาพยายามคิดหาวิธีที่จะให้คนรักได้มีโอกาสเทียบเทียมกับเธอ

"ให้พ่อข้าวไปคุยกับแม่ของอ้อยไหม" คนผมน้ำตาลสวยเสนอ ผู้ใหญ่คุยกันเองน่าจะดีกว่าเด็กอย่างเธอเป็นคนไปพูดเพราะมันจะดูไม่น่าเชื่อถือเลย

"อย่า" เสียงคนข้างๆ เข้มขึ้นทันที หล่อนสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้

"อ้อย มีอะไรรึเปล่า" คิ้วเรียวขมวดอัตโนมัติ

"ข้าวอย่ารู้เลย" ทิฆัมพรไม่ยอมเปิดเผยถึงสิ่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างนั้นออกมา

"แฟนกันต้องไม่ปิดบังกันนะ" สาวน้อยหยิบยืมคำพูดของเพื่อนร่วมห้องมาถ่ายทอดให้คนรักฟัง เธอเคยได้ยินเพื่อนพูดอย่างนี้กับแฟน

"แม่อ้อยไม่อยากให้อ้อยไปยุ่งกับบ้านของข้าว ถ้าพ่อข้าวไปคุยมันจะแย่หนักขึ้นอีก" คิ้วเข้มขมวดอย่างไม่สบายใจ

"ทำไมถึงไม่ชอบล่ะ" เธอไม่เข้าใจเหตุผลสักเท่าไหร่นักและต้องการคำชี้แจงเพิ่มเติม

"คนบางคน เวลาเห็นคนดีกว่าก็อิจฉาและไม่พอใจ" เด็กสาวพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง ยังดีที่คนข้างๆ เริ่มพูดยาวๆ ไม่สั้นเหมือนแต่ก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันรู้เรื่องนี้

"ถ้าถึงเวลาเราก็ต้องจากกันใช่ไหม" เธอถามออกไปทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว หล่อนไม่เห็นหนทางที่จะอยู่ด้วยกันได้เลย

"อีกสามปี" คนรักพูดตาเหม่อไปยังชายป่าที่ต้องแสงสีส้มแดงสวยงาม

"ตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน" คนผมสวยเข้าใจความหมายจากประโยคนี้ เป็นการบอกว่ายังมีเวลาอีกสามปีที่จะอยู่ด้วยกัน และเราจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด

มือผอมบางคล้ำแดดเล็กน้อยกุมมือของเธอ ความอุ่นทำให้หล่อนคลายความกังวลลงไปได้บ้าง เธอเชื่อว่าคนข้างกายจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ คนที่เธอรักต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน



คนใบหน้านิ่งอยู่เป็นนิจถือมีปลายเรียวเล็ก สายตาสีเข้มกำลังกะขนาดของสิ่งที่กำลังจะแกะ หล่อนกำลังจะแกะสลักต้นไม้ เอาเปลือกออกให้เหลือเพียงสีของลำต้น ซึ่งทำได้ยากเพราะต้นมะขามมีเปลือกไม่สม่ำเสมอกัน

น้ำใสหยดหนึ่งไหลออกมาที่ปลายหางตา มันเคลื่อนต่ำลงช้าๆ เป็นหยาดแห่งความปวดร้าวทุกข์ทรมานใจและเจ็บปวด เธอนึกถึงวันที่ผ่านมาซึ่งชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง



"อ้อย ไปที่นั่นกันนะ" นิ้วเรียวชี้ไปยังภูเขาซึ่งทั้งสองคนแวะเวียนไปเสมอแทบทุกเดือน จนคนผิวสวยสามารถไปเองได้โดยไม่มีหล่อนแล้ว

"ได้สิ" เธอตอบสั้นเช่นทุกครั้ง

ยิ้มที่เคยสดใสจากปากอิ่มนั้นมีความหมองเศร้าแทรกซึมอยู่ เพราะสาเหตุอะไรนั้นทั้งสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจโดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมาเป็นการตอกย้ำให้ช้ำยิ่งกว่าเดิม

เด็กสาวเดินเคียงคนหุ่นดี มือจับกันแน่น ดวงตาสีน้ำตาลนั้นคล้ายจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา

เมื่อถึงชายป่าวรดาไม่ตรงไปที่ต้นไม่ซึ่งเคยดูรุ้งด้วยกันแต่กลับเลี้ยวไปยังกระท่อมหลังน้อยที่เคยนอนเบียดชิดกัน

"ข้าว...อยากให้อ้อยไปด้วย" เสียงหวานใสสั่นพร่า

"อ้อยรู้" หล่อนบอกอย่างเจ็บปวด

"ข้าวจะกลับมาทุกวันหยุด" คนตรงหน้าบอกด้วยความมุ่งมั่น

"อย่าเลย ข้าวจะเหนื่อย" เธอบอกข้าวหอมโดยอิงความจริง ที่นี่ไกลจากตัวเมืองและกาญจนบุรีก็ไกลจากกรุงเทพฯ เธอรู้แม้ไม่เคยไป

"ไม่อยากเจอข้าวแล้วเหรอ" น้ำเสียงหวานแสดงความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด ทิฆัมพรรู้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจแฟนสาวย่ำแย่ขนาดไหน เพราะเธอไม่ได้ต่างกันเลย เด็กสาวไม่แปลกใจที่คนตรงหน้าพูดแบบนี้ออกมา

"อ้อยอยากเจอข้าวเสมอแหละ" คนร่างบางตอบพร้อมกับลูบผมสลวยเส้นบางนั้นอย่างเบามือ

"แต่...กว่าข้าวจะมาถึงก็คงแทบไม่มีเวลาเจอกันแล้ว อ้อยเองก็ต้องทำงาน มันไม่คุ้ม" มันไม่คุ้มที่อีกฝ่ายจะยอมเดินทางไกลเพื่อจะได้มาเห็นหน้าหล่อนเพียงชั่วครู่เดียว

"ไว้ปิดเทอมค่อยมาก็ได้" คนหน้านิ่งบอกอย่างปลอบประโลมใจ

"อือ" น้ำตาหยดไหลร่วงลงบนหลังมือของเธอ มือบางปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้างามสวยนั้นอย่างทะนุถนอม

"อย่าร้องไห้นะ" หล่อนไม่อยากเห็นอีกฝ่ายเจ็บ ไม่ต้องการเลย เด็กสาวรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าที่ได้เห็นภาพนี้ตรงหน้า

"ข้าวรักอ้อยนะ" เป็นประโยคที่ทิฆัมพรได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลา 3 ปีที่รู้จักกัน หล่อนดีใจทุกครั้งที่คนตรงหน้าไม่เคยปิดบังความรู้สึก

"อ้อยก็รักข้าว" เธอไม่ค่อยได้พูดคำนี้บ่อยนัก ส่วนมากจะแสดงออกทางการกระทำมากกว่า คนตรงหน้าก็ดูจะเข้าใจดี

ปากบางชมพูโน้มลงไปที่หน้าผากมน หล่อนสัมผัสแผ่วเบาอ่อนโยน จากนั้นก็เลื่อนลงไปที่เปลือกตานุ่ม และหางตาซึ่งเปียกชุ่ม

เธอจูบปากกระจับอย่างเรียกร้อง โหยหา ความรู้สึกท่วมท้นส่งตรงไปยังแฟนสาวซึ่งกำลังจะไปจากกันเพียงวันรุ่งขึ้น หล่อนไม่ร้องไห้แต่ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึก เด็กสาวพยายามเข้มแข็งด้วยคนสูงน้อยกว่าในอ้อมกอดกำลังอ่อนแอ



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.