web stats

ข่าว

 


MISTAKE ไม่คิดว่าเป็นเธอ ตอนที่ 7 งดงามจากภายใน

โพสต์โดย: TrueDream วันที่: 01 มกราคม 2019 เวลา 12:43:42 อ่าน: 38

นริศรานั่งมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะหิวแต่ผู้หญิงตรงหน้าก็ยังนั่งรับประทานข้าวต้มร้อนๆ ด้วยท่าทีสบายๆ ไม่รีบร้อน นี่สวยกระทั่งตอนทานข้าวเลยหรือไงนะ

ร้านที่พวกเธอมาในวันนี้เป็นร้านข้าวต้มขนาดใหญ่และค่อนข้างมีชื่อเสียง อีกทั้งราคาไม่แพง ยิ่งเมื่อเทียบกับปริมาณและคุณภาพยังถือว่าถูกด้วยซ้ำ ทำให้ในเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเต็มร้าน แต่การบริการก็ยังดีเยี่ยม และไม่ได้ให้ลูกค้านั่งรอนานจนเกินไป

"นั่งยิ้มคนเดียวเดี๋ยวเขาก็หาว่าฉันพาคนบ้ามาทานข้าวหรอก" ประภัสสรอดหยอกไม่ได้

"ไม่ได้มาคนเดียวนี่คะ ใครมองเขาก็คงเข้าใจ ทานข้าวกับคนสวย ไม่นั่งยิ้มได้ไง" เจ้าเด็กทะเล้นยิ้มกว้างกว่าเดิม

คนฟังได้แต่ส่งเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้แล้วทำเป็นไม่สนใจแต่ในใจกลับแย้มยิ้ม นี่เธอชักจะขัดแย้งในตัวเองมากขึ้นทุกวัน

'แต่ละอย่างที่เด็กตรงหน้ากระทำต่อเธอนั้นจริงใจแค่ไหน' ในบางครั้งคำถามนี้ก็ปรากฏขึ้นมาในใจ ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้มีความสำคัญเลย ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องดูแลนริศราในฐานะของผู้ควบคุมการฝึกงานอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านั้น ดังนั้นการแสดงออกของนริศราจะเป็นอย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดขอแค่ไม่มีผลเสียต่อการฝึกงานก็พอ

"ที่นั่งด้านหลังหัวหน้าเยื้องไปทางซ้ายใช่คุณมิรันตีกับหัวหน้าแผนกวิจัยไหมคะ" นริศราทักขึ้น สายตายังคงจับจ้องอยู่กับคนคู่นั้นอย่างสนใจ ทำเอาประภัสสรอดไม่ได้ที่จะหันมองตาม

แม้จะทำเป็นมองผ่านๆ แต่เธอก็มั่นใจในเวลาอันรวดเร็วว่าเป็นนิศากรกับมิรันตีอย่างแน่นอน ยิ่งสนับสนุนข้อมูลต่างๆ ที่รวบรวมมาแล้วว่าสองคนนี้น่าจะอาศัยอยู่ด้วยกัน และค่อนข้างสนิทกันมาก...มากกว่าเพื่อนร่วมงานทั่วไป

"อย่าไปจ้องเขาขนาดนั้นสิ เสียมารยาท" คนอายุมากกว่าเตือนอีกฝ่ายที่ยังคงมองอย่างสนใจ นริศราจึงได้แต่ดึงสายตากลับมาแล้วยิ้มเจื่อนๆ

"เขาดูสนิทกันจริงๆ นะคะคู่นี้ เมื่อเร็วๆ นี้ครีมเคยเจอที่ห้างด้วย ดูกะหนุงกะหนิงกันเชียว" นริศราบอกพลางสังเกตดูท่าทีของคนตรงหน้า

"ก็คงสนิทกัน" ประภัสสรตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก นึกขำเด็กน้อยที่คล้ายจะจับผิดเธอมากกว่าคนคู่นั้นเสียอีก

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าของตนเองไม่มีทีท่าจะให้ความสนใจหรือต่อความใดๆ นริศราเองจึงเปลี่ยนคำถามก่อนที่ฝ่ายนั้นจะรำคาญ

"ว่าแต่วันนี้...การประชุมเป็นยังไงบ้างคะ ท่าทางหัวหน้ายังเครียดค้างอยู่เลย มีอะไรหรือเปล่า" ในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นในใจจนอยากจะเล่าทุกอย่างออกมาให้อีกคนได้ร่วมรับรู้

"ไม่ได้เครียดแล้วค่ะ เรื่องคลี่คลายไปแล้ว แค่ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจน่ะ" ประภัสสรยิ้มตอบขณะที่สมองกำลังประมวลผลว่าควรตอบเด็กคนนี้อย่างไร เธออยากระบายความในใจออกมาบ้าง

"แล้วยังมีอะไรให้ไม่สบายใจเหรอคะ" นริศราอดที่จะถามไม่ได้ แต่ก็เข้าใจดีว่าฝ่ายนั้นคงไม่สามารถเผยรายละเอียดทั้งหมดออกมาได้

"ที่ผ่านมามีเรื่องการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของบัญชี?เงินที่ควรจะเข้าในส่วนของงานหนึ่งมันย้ายไปอยู่อีกงานหนึ่งแต่ในวงเงินเท่าเดิม" ประภัสสรค่อยๆ พูดออกมา คิดว่าคงต้องเท้าความเรื่องบ้าง แต่ไม่อยากระบุว่ามีแผนกไหนเกี่ยวข้องบ้าง จะอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในและเป็นความลับ

นริศราพยักหน้าอย่างตั้งใจฟัง เข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาหัวหน้าของเธอคงกำลังพยายามสืบเรื่องนี้อยู่ เมื่อได้หลักฐานและข้อมูลทั้งหมดแล้วจึงนำมาซึ่งการประชุมในครั้งนี้

"ซึ่งเรื่องพวกนี้ทางเราได้จัดการเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้เป็นที่เปิดเผยเพราะผู้บริหารต่างลงมติแล้วว่าจะไม่ดำเนินคดี แค่ให้จับตามอง เพราะเท่าที่ตรวจสอบเงินไม่ได้รั่วไหลไปไหน มันแค่เปลี่ยนลักษณะการใช้" คนอายุมากกว่าอธิบาย แต่นริศรารู้สึกได้ว่าประภัสสรนั้นไม่ได้เห็นด้วยเท่าไร และตัวเธอเองก็คิดเช่นกันว่าผู้บริหารค่อนข้างใจดีทีเดียว

"ฉันก็ไม่ได้ชอบที่จะเห็นใครถูกลงโทษและหมดอนาคตหรอกนะ แต่...เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก แน่นอน"

"แล้วหัวหน้าไม่คัดค้านเหรอคะ" นริศราอดไม่ได้ที่จะถาม

คนอายุมากกว่าส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของอีกฝ่าย

"ใจส่วนหนึ่งของฉันเองก็อยากให้โอกาส...แม้ว่าอีกใจจะกังวล และในเมื่อผู้บริหารตกลงให้โอกาสฉันจะคัดค้านอะไร"

"มันก็แค่ความกังวลเท่านั้นเอง แต่ฉันก็ยินดีให้โอกาสนะ" ประภัสสรยิ้มออกมาในที่สุด พลอยทำให้นริศรายิ้มบางๆ ออกมาด้วย

ผู้หญิงคนนี้ใจดีมากจริงๆ นั่นล่ะ เพราะถ้าเธอเป็นผู้บริหารเธอจะไม่ปล่อยเนื้อร้ายเอาไว้แน่นอน

"แล้วมัน...ยังมีอะไรอีกเหรอคะ" นริศราถามขึ้น รู้สึกได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังมีเรื่องในใจ

ประภัสสรยิ้มอย่างเอ็นดู เด็กนี่ช่างสังเกตทีเดียว ทั้งเอ็นดูไปพร้อมๆ กับกระแสความอบอุ่นบางอย่างเกิดขึ้นภายในใจ...การได้รับความใส่ใจจากคนอื่นนอกครอบครัวมันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ แต่เธอก็ชอบมัน

"จากเรื่องนี้ถึงจะไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายหลายตำแหน่ง...มีบางคนที่โดนให้ออก..." ประโยคสุดท้ายนั้นหญิงสาวทอดถอนใจออกมา ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่คนฟังยังรู้สึกได้ว่ามันดูอ่อนแรงกว่าปกติเล็กน้อย

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้รู้เองนั่นล่ะ"

"คนของเราเหรอคะ" นริศราถามขึ้นอย่างตกใจ ในสายตาเธอนั้นแม้ว่าคนในแผนกอีก 3 คนจะไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าไร แต่ก็ไม่น่าจะกล้าทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้น

"ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยตรงหรอก น่าจะเป็นเพราะนิสัยช่างพูดจนข้อมูลมันหลุดไปคนที่จ้องก็เลยเห็นช่อง" ประภัสสรอธิบาย แม้จะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนแต่นริศราก็รู้สึกได้ว่าหัวหน้าของเธอปวดหัวกับเรื่องนี้พอสมควร

"แล้ว...จะเป็นยังไงกันบ้างคะเนี่ย..." นริศราถามอย่างนึกห่วง จะอย่างไรก็ทำงานร่วมกันมาเกือบจะครบ 2 เดือนในอีกไม่กี่วัน ได้พูดคุยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน

"ฉันก็ยังตอบอะไรไม่ได้หรอกนะ สำหรับพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องเล็กน้อยพวกนี้จะถูกเรียกพบในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง เธอคงต้องอยู่แผนกคนเดียวล่ะนะ" หัวหน้าแผนกการเงินเอ่ยขึ้น เว้นช่วงเล็กน้อยจึงย้ำขึ้นมา

"ช่วยทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะได้ไหม" ประภัสสรบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบจริงจัง

"ค่ะ เรื่องทำเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องเนี่ยครีมถนัดมาก" นริศรายิ้มรับ รู้สึกอุ่นวาบในใจ เข้าใจดีว่าฝ่ายนั้นไม่อยากให้เธอเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะมันอาจจะนำความเดือดร้อนยุ่งยากมาให้

คนอายุมากกว่าทำเสียงหมั่นไส้ในลำคอ แต่ภายในใจกลับแย้มยิ้มอย่างเอ็นดู

"ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถึงในแผนกจะมีความเปลี่ยนแปลงบ้างก็คงไม่ร้ายแรงอะไร น่าจะแค่รับรู้ความผิดและมีการเรียกมาอบรม อาจจะมีการย้ายตำแหน่งงานกันเท่านั้นเอง" ประภัสสรบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตาคู่นั้นช่างอ่อนโยนจนทำเอาคนมองสั่นสะเทือนไปทั้งใจ

"ฉันไม่ให้คนของฉันถูกไล่ออกหรือถูกลงโทษจนเกินกว่าเหตุหรอก" หัวหน้าแผนกการเงินย้ำ แม้จะไม่ได้สนิทและไม่ได้คิดว่าคนในปกครองของตนสักน่าคบหาสักเท่าไร รู้ว่าพวกนั้นออกจะนินทาเธอเป็นประจำ แต่มันคือความยุติธรรมและเป็นความเมตตาที่พึงมีต่อกัน หากอยู่ในอำนาจที่พอจะช่วยได้เธอก็จะทำ

"ขอบคุณนะคะ" นริศรายิ้มบอกรู้สึกถึงความอบอุ่นสว่างไสวที่เกิดขึ้นภายในใจ

แม้ว่าประภัสสรไม่ได้แสดงความใจดีกับเธอโดยตรง แต่ความอ่อนโยนในเนื้อแท้ของผู้หญิงตรงหน้ากำลังดึงดูดเธอและทำให้หัวใจร่มเย็นได้อย่างประหลาด

นริศราเองไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นในเมื่อความรู้สึกทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รู้แค่ว่ายิ่งนานเธอยิ่งถูกผู้หญิงคนนี้ดึงดูดเข้าไปเรื่อยๆ อบอุ่นร่มเย็นและอ่อนไหวทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้หรือแม้แต่ได้เห็นข้อความได้รับรู้เรื่องราว

ประภัสสรเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เสน่ห์ทางกายภายนอก แต่รวมไปถึงจิตใจที่อยู่ภายในด้วย

'หวังว่าคงไม่มีใครถูกหัวหน้าดึงดูดแบบนี้อีกนะ' ความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างรุนแรง อยากจะเป็นคนเดียวที่ได้รับอิทธิพลนี้ เพราะเธอรู้ดีว่ามันรุนแรงขนาดไหน ยากนักที่จะพยายามเอากายและใจออกห่างไม่ให้ลุ่มหลง หากใครเป็นแบบเธอคงต้องหาทางให้ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างตนเองไปตลอดอย่างแน่นอน

นริศราไม่ชอบความคิดนี้เลย แต่มันรุนแรงจนต้องยอมรับ

ประภัสสรนั้นเปล่งประกายเกินไปแล้ว เปล่งประกายจนเธออยากห่อเก็บไว้ชื่นชมเพียงคนเดียว

'นี่มันความคิดอะไรกัน ทำไมยิ่งคิดยิ่งน่ากลัวตัวเองแบบนี้' นักศึกษาสาวพยายามไล่ความคิดทั้งหมดนี้ออกไป

"เป็นอะไร ข้าวต้มติดคอรึไง"

เมื่อได้ยินประโยคนี้ทำเอาความคิดทุกอย่างแตกกระจายในทันที พร้อมๆ กับที่มีอาการสำลัก จนคนพูดต้องรีบหยิบทิชชู่มาให้ ก็แค่แหย่เล่นไม่คิดว่าจะเป็นขึ้นมาจริงๆ

"ทานดีๆ ไม่ต้องรีบ"

คนอายุน้อยกว่าได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ นี่ก็หยอกไม่เลือกเวลาเลยจริงๆ

เมื่อเห็นสายตาของเด็กน้อยที่มองมาราวกับกำลังโทษว่าเธอเป็นตัวการก็ยิ่งทำให้ประภัสสรอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายหมั่นไส้ ตกลงแล้วผู้หญิงคนนี้มีความสุขที่ได้แกล้งเธอสินะ...

'ก็ดีเหมือนกัน...จะได้ไม่มีเวลาไปหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่น'

'เฮ้ย คิดอะไรอีกเนี่ย นี่เธอกำลังโดนแกล้งอยู่นะนริศรา'

เป็นอีกครั้งที่ความคิดของนักศึกษาสาวตีกันอย่างสับสน แต่คราวนี้มันกลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ว่าประภัสสรจะมองไม่ออกว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังมีอะไรบางอย่างในใจ แม้จะอยากรู้แต่เธอยังไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายในเมื่อเท่าที่ดูก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกแย่

ทั้งคู่นั่งทานกันอย่างเงียบๆ อีกพักใหญ่ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับที่พักของตนเอง มันเป็นความเงียบที่มีละอองความสุขอยู่ในนั้น แค่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน ได้ใช้เวลาร่วมกัน แม้ทั้งคู่ไม่อาจนิยามความรู้สึกเหล่านี้ออกมาแต่ต่างรับรู้ด้วยหัวใจส่วนลึกว่ามันคืออะไร อยู่ที่ใครจะยอมรับออกมาก่อนเท่านั้นเอง





ยังคงเป็นเย็นอีกวันที่นริศรานั่งอยู่เพียงเดียวดายในแผนก แม้ว่าจะเพิ่งผ่าน 16.30 น. ไปไม่นานแต่ทั้งแผนกกลับเงียบเชียบเนื่องจากเหล่าพนักงานอยู่ในสภาวะจิตใจไม่ปกติ เท่าที่ได้ฟังและพูดคุยทำให้เธอได้รู้ว่าอรทัยถูกย้ายไปงานวางแผน และนิตยาถูกย้ายไปพัสดุ ส่วนธัญลักษณ์ยังทำงานที่การเงินเหมือนเดิม

คนที่จะเข้ามาทำงานแทน 2 คนนั้นก็เป็นคนจากงานวางแผนและงานพัสดุนั่นล่ะ รวมไปทั้งมีข่าวว่าหัวหน้าแผนกการเงินนั้นจะได้ควบตำแหน่งหัวหน้าการบัญชีด้วย นั่นทำให้นริศราแอบเป็นห่วงประภัสสรไม่น้อย แบบนี้คงเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเยอะแน่นอน

ในตอนนั้นเองร่างสูงบางของคนที่กำลังคิดถึงก็ก้าวเข้ามา คราวนี้ผู้มาใหม่เพียงชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตรงมาทางที่นักศึกษาสาวนั่งอยู่

"เก็บของ" เธอเพียงเข้ามาพูดสั้นๆ ก่อนจะไขกุญแจห้องตนเอง

"หัวหน้าจะกลับเลยเหรอคะ" นริศราร้องถามทำให้อีกคนชะงักมือที่กำลังจะเปิดห้องตนเอง

"ไม่กลับแล้วจะให้ทำอะไร"

'กวนประสาท' นั่นคือสิ่งที่คนอายุน้อยกว่ารู้สึกขึ้นในทันที

เธอแน่ใจว่าประภัสสรไม่ได้กำลังหงุดหงิดในเมื่อแววตาที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่งามออกจะพราวระยับขนาดนั้น ถึงจะน่าหมั่นไส้แต่เธอก็โล่งใจที่ฝ่ายนั้นไม่ได้เคร่งเครียดหรือเหน็ดเหนื่อยอย่างที่คาดเดา

"ไปทานข้าวกันไหมคะ"

"ฉันไม่ทานข้าวเย็น" ประภัสสรตอบกลับในทันที ทำเอาคนถามเผลอหน้างอใส่จนคนมองเกือบหลุดหัวเราะ

"ได้ข่าวว่าจะได้กินรวบทั้งตำแหน่งหัวหน้าการเงินและการบัญชีเลยนี่คะ" นริศรายังคงชวนคุยด้วยสีหน้าระรื่น อยากอยู่ด้วย อยากพูดคุยหยอกล้อกันอีกสักนิดก็ยังดี

"ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ" นักศึกษาสาวยิ้มบอก

"ขอบคุณค่ะ" ประภัสสรนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะรับคำ

"แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักหรอก" คนอายุมากกว่าบอกเรียบๆ ไม่ได้น่ายินดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้ลำบากใจ เธอย่อมรู้ดีว่าตนเองต้องเจอกับอะไรบ้างต่อจากนี้

"มันคงเหนื่อยขึ้นจริงๆ นั่นล่ะเนอะ" นริศราพยักหน้าเข้าใจ

"ถ้าแค่เหนื่อยมันก็ไม่เท่าไรหรอก" ประภัสสรระบายยิ้มออกมา จะอย่างไรคนตรงหน้าก็ยังเด็ก ถึงจะเป็นเด็กฉลาดที่มองอะไรลึกซึ้งกว่าหลายคนในวัยเดียวกันแต่ก็ยังมีความเข้าใจมนุษย์น้อยเกินไป หรืออาจจะมองคนในแง่ดีเกินไป
"การที่อยู่ดีๆ ฉันได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าการเงินและการบัญชีคิดเหรอว่าจะไม่มีข้อครหา ถึงจะเป็นเรื่องชั่วคราวจนกว่าจะหาคนใหม่มาแทนได้ และจนกว่าจะสอนงานคนใหม่ให้เข้าที่ ซึ่งมันคงกินเวลาพอสมควร อาจจะเป็นเดือน" ประภัสสรเริ่มอธิบายเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของคนตรงหน้า

"ในเมื่อไม่สามารถอธิบายรายละเอียดอย่างเป็นทางการได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความลับเพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องและยังอยู่สามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจมากนัก และเพื่อให้คนที่ต้องออกไปไม่มีมลทินติดตัว เขาจะได้เริ่มชีวิตใหม่ได้ง่ายขึ้น ไม่มีใครด่าลับหลัง"

นริศราฟังอย่างตั้งใจและทำความเข้าใจ ยิ่งได้เห็นว่าผู้หญิงตรงหน้านั้นใจดีและละเอียดอ่อนมาก มันเป็นความน่ารักโดยธรรมชาติ นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าเรียกว่าเสน่ห์ของความเมตตา

"ทีนี้?เธอคิดว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีใครคิดอะไร ไม่มีใครสนใจความเปลี่ยนแปลงพวกนี้เลยเหรอ"

"คงเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปอีกนานพอสมควรเลยค่ะ" นริศราตอบได้แทบจะในทันทีเริ่มมองเห็นสิ่งที่ฝ่ายนั้นกำลังสื่อ

เมื่อคนไม่อาจรู้ความจริงแต่สิ่งที่เกิดมันเห็นกันชัดๆ คงไม่พ้นมีข่าวลือต่างๆ นานา หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการควบตำแหน่งของประภัสสรคงเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก และอาจจะรวมไปถึงมีผู้ริษยาได้ไม่ยาก อีกทั้งบางคนอาจจะมองว่านี่เป็นการรวบอำนาจทางการเงินของบริษัท

อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้คือผู้บริหารคงวางใจประภัสสรมาก แต่การทำแบบนี้อาจจะเป็นดาบสองคมที่มีแนวโน้มว่าจะกลับมาแทงหัวหน้าของเธอเสียมากกว่า เมื่อคิดได้แบบนี้มันก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

"ช่างมันเถอะ การถูกนินทาเป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน มันก็แค่น่ารำคาญ" คนอายุมากกว่ายิ้มจางๆ

ใช่?การนินทามันเรื่องธรรมดา ถ้าทำเป็นไม่รับรู้ก็ไม่น่ารำคาญและไม่มีผลกับชีวิต แต่ที่เธอห่วงคือสิ่งที่มากกว่าการนินทา?ความริษยาของของคน?ยิ่งถ้ารวมการตีไข่ใส่สีนั่นยิ่งทำให้เธอเป็นเป้าได้ง่าย เตรียมใจไว้แล้วว่าจากนี้งานคงเพิ่มขึ้นแถมพ่วงด้วยความเหนื่อยในการรับมือคนอีกไม่น้อย

ผลเหล่านี้ใช่ว่าผู้บริหารจะไม่ได้คิดถึง แต่เพราะพวกเขาบอกว่ามองไม่เห็นทางใดอีกแล้วที่จะรักษาสถานการณ์ตรงนี้ได้ พวกเขามั่นใจว่าประภัสสรจะสามารถรับมือได้ อีกทั้งตัวเธอเองก็ยินดีรับเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่นที่สุด

"ที่สำคัญฉันเป็นคนตกลงรับหน้าที่นี้เอง" หญิงสาวบอกเรียบๆ แต่มีความหนักแน่นอยู่ในนั้น หากเธอไม่ทำแล้วใครจะทำ แม้ตำแหน่งที่ถูกวางจะต้องแบกรับอะไรมากมาย แต่สิ่งนี้มันก็ช่วยใครอีกหลายๆ คนเช่นกัน

"เก็บของตัวเองได้แล้ว" ประภัสสรบอกคนที่ยังยืนนิ่งก่อนที่ตัวเธอจะเดินผ่านประตูเข้าไปภายในห้องของตนเอง

แม้จะยังอยากพูดคุยถามไถ่แต่นริศราก็ยอมที่จะหันมาเก็บของของตนเองอย่างรวดเร็ว ยังรู้สึกเป็นห่วงแต่หากฝ่ายนั้นบอกว่าไม่มีอะไรก็คงไม่มีอะไร บางทีประภัสสรอาจจะอยากพักผ่อนแล้ว ดังนั้นเธอไม่ควรถ่วงเวลามากไปกว่านี้




ร่างสูงบางของสาวงามที่มีผ้าห่มคลุมมิดลำคอค่อยๆ ขยับตัวตื่นขึ้นมา ตอนนี้ยังไม่มีแสงใดๆ เล็ดลอดเข้ามา ประภัสสรบิดตัวจนกระดูกลั่นก่อนที่จะพลิกลงเตียงแล้วก้าวยาวๆ ไปหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งวางบนโต๊ะทำงานซึ่งห่างจากเตียงนอนราว 3 เมตร

ตัวเลขดิจิตอลที่ปรากฏขึ้นบอกเวลา 4.20 น. ซึ่งแทบจะเรียกว่าเป็นเวลาในการตื่นของเธอโดยที่ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกใดๆ

หญิงสาววางเครื่องมือสื่อสารลงก่อนที่จะเตรียมตัวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แล้วแต่งตัวไปออกกำลังกาย โดยปกติเธอจะใช้เวลาในการออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้านเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางก็อาจจะแวะซื้อน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ หรืออาหารเช้าเบาๆ มารับประทาน ก่อนที่จะทำกับข้าวง่ายๆ ใส่ปิ่นโต อาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน ซึ่งเวลาปกติที่เธอจะเข้างานคือประมาณ 7 โมงเช้า




วันนี้ก็เหมือนทุกวันที่ประภัสสรปั่นจักรยานมาออกกำลังกายในสวนสาธารณะแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นเวลา 4.40 น.แต่เริ่มมีผู้คนมาออกกำลังกายพอสมควรแล้ว ยามนี้ท้องฟ้ายังค่อนข้างมืดแต่บริเวณแห่งนี้สว่างไสวด้วยแสงไฟอีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดคอยรักษาความปลอดภัย ทำให้สบายใจเรื่องโจรผู้ร้ายในระดับหนึ่ง

หญิงสาวจอดและล็อกจักรยานของตนในที่จอดประจำซึ่งอยู่ในบริเวณที่ให้จอดใกล้สายตาของเจ้าหน้าที่ ใกล้ๆ กันนั้นยังมีจักรยานอีก 4-5 คัน เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอดเริ่มยืดเส้นยืดสายวอร์มร่างกายจนได้ที่แล้วจึงเริ่มออกวิ่งโดยมีนาฬิกาคอยจับอัตราการวิ่งให้เป็นไปตามโซนหัวใจ

สำหรับเธอนั้นการมาออกกำลังกายไม่ใช่เพียงเพื่อสุขภาพ แต่มันคือการผ่อนคลาย เธอชอบเวลาที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์นอกห้องแอร์ ชอบเวลาที่มีลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะร่างกาย ชอบที่จะรู้สึกถึงอิสรภาพท่ามกลางธรรมชาติ เธอไม่ชอบการพบปะสมาคมแต่ก็ไม่ได้ชอบที่จะอุดอู้อยู่ภายในห้องเงียบๆ เธอชอบที่จะมองผู้คนมองสิ่งต่างๆ โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า นั่นเป็นสาเหตุที่ประภัสสรเลือกที่จะมาออกกำลังกายโดยการวิ่งในสวนสาธารณะแห่งนี้





ร่างสูงบางเริ่มผ่อนกำลังลงช้าๆ ในรอบสุดท้ายเตรียมที่จะจบการออกกำลังกาย ในตอนนั้นเองสายตาของเธอก็พบเข้ากับสัตว์ประจำถิ่นอย่างตัวเงินตัวทางที่กำลังคืบคลานอย่างช้าๆ ที่ขอบทางซึ่งเป็นพื้นหญ้า มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นอะไรสำหรับคนที่มาที่นี่เป็นประจำ แต่ที่น่าตกใจคือเจ้าตัวนี้กำลังเคลื่อนเข้าหาร่างเล็กๆ ที่มีขนสีขาวปุกปุยของลูกแมวตัวหนึ่งที่น่าจะพลัดหลงจากแม่และพี่น้องของมัน เพราะดูอย่างไรมันก็น่าจะยังไม่โตพอที่จะแยกตัวออกมาเอง บางทีอาจจะยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ

เห็นเพียงเท่านี้หญิงสาวก็เข้าใจได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเงินตัวทองพวกนี้ไม่ดุร้ายกับคน แต่ถ้ากับสัตว์อื่นละก็?มันเป็นตัวอันตรายเชียวล่ะ จะสังเกตได้ว่าคนที่มาออกกำลังกายที่นี่ไม่มีใครนำสัตว์เลี้ยงของตนมาด้วยเลย นั่นก็เพราะที่นี่มีข่าวการโจมตีสัตว์เลี้ยงบ่อยมากจนแทบจะเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์

เจ้าแมวน้อยคล้ายจะเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างกำลังมุ่งร้าย มันจึงหันมาพร้อมกับทำขนพองส่งเสียงขู่ ประภัสสรไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้มันเลือกที่จะขู่ไม่รู้จักรีบหนี คงเป็นตัวอย่างของคำว่า 'ลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ'

หญิงสาวไม่เสียเวลาคิดอีกต่อไป เธอก้าวยาวๆ ไปคว้าลูกแมวที่เพิ่งหันมาเห็นมัจจุราชอย่างหวุดหวิด ประภัสสรรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณข้อมือแต่เธอไม่ทันได้สนใจหลับหูหลับตาวิ่งออกมาให้ไกลที่สุด ไม่แน่ใจว่าผู้ล่าจะตามมาหรือไม่ จนเมื่อวิ่งได้สักระยะหนึ่งจึงหันกลับมาพบว่ามันไม่ตามมาแล้ว แต่ยืนจังก้าอยู่กลางถนนอย่างเอาเรื่อง ที่ด้านหลังมีคนที่มาออกกำลังกาย 2 คนหยุดยืนอย่างตกใจไม่กล้าเข้าใกล้เจ้าถิ่นหรือวิ่งผ่านมันไปอย่างปกติ รู้ว่ามันอาจจะกำลังหงุดหงิด

เมื่อคิดว่าปลอดภัยจึงเริ่มรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ข้อมือขณะที่เจ้าลูกแมวดิ้นเกร็งอย่างรุนแรง เพราะความตกใจทำให้เธอจับมันแรงเกินไป เมื่อรู้ตัวหญิงสาวคลายมือออกเล็กน้อยแต่ไม่กล้าปล่อย ในวินาทีแรกเธอคิดว่ามันบาดเจ็บหรือเปล่า เพราะขนสีขาวนั้นมีสีแดงย้อมเข้ามาไม่น้อย แต่ในวินาทีถัดมาเธอก็เข้าใจแล้วว่ามันคงปลอดภัยดี และเลือดที่เปื้อนขนของมันนั้นมาจากข้อมือของเธอเอง

เมื่อเห็นของเหลวข้นจำนวนมากไหลออกมาจากข้อมือทำให้ประสาทส่วนกลางเริ่มสั่งการให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง หญิงสาวย่อตัวลงแล้วปล่อยเจ้าตัวน้อยในมือซึ่งมันก็รีบวิ่งห่างออกมา 2 ? 3 ก้าวอย่างขวัญเสียอีกทั้งยังหันมาส่งเสียงขู่ฟ่อๆ

"ไม่ต้องขู่ขนาดนั้น ไม่ทำอะไรหรอกน่า" หญิงสาวบอกอย่างเอ็นดูกึ่งหมั่นไส้ขณะที่รู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม รู้ว่าตนเองต้องรีบไปหาหมอหรืออย่างน้อยก็หาที่ล้างแผลห้ามเลือดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเป็นลมร่วงอยู่ตรงนี้ได้ง่ายๆ

"เพราะทำตัวแบบนี้น่ะสิ...ต่อไปถ้าเจออะไรที่ตัวใหญ่กว่า โดยเฉพาะพวกที่หน้าตาไม่สวยน่ะ...ให้รีบวิ่งหนีเลยนะ" ประภัสสรอดไม่ได้ที่จะบ่นเจ้าตัวเล็กจอมซ่าก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แม้จะเซเล็กน้อยแต่เธอก็พยายามทรงตัว

หญิงสาวใช้น้ำดื่มที่เหลือของตนล้างแผลขณะที่สองขายังก้าวยาว คิดว่าจะต้องรีบกลับบ้านแล้วค่อยออกมาหาหมอที่คลินิกใกล้ๆ ซึ่งจะเปิดเวลา 8 โมงเช้า วันนี้คงไปทำงานสายหน่อยหรืออาจจะเกือบเที่ยงเลยทีเดียว แต่เพราะช่วงนี้ยังยุ่งๆ กับหลายอย่างด้วยหน้าที่ที่รับผิดชอบทำให้ตัดใจลาไม่ได้

ประภัสสรใช้ผ้าขนหนูที่พกมาพันแผลเอาไว้แม้ว่าจะใช้เช็ดเหงื่อไปแล้วแต่มันคงไม่สกปรกมากนักหรอก อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ต้องรีบห้ามเลือดเสียก่อน

"คุณครับ ไหวไหมครับเดี๋ยวผมไปส่งโรงพยาบาล" ชายหนุ่มที่นับว่าคุ้นหน้าคุ้นตาแต่ไม่เคยคุยกันวิ่งเหยาะๆ เข้ามาถาม ข้างกายของเขามีหญิงสาวที่ยืนหน้าซีดอยู่อีกคน

"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไร" ประภัสสรยิ้มตอบอย่างจริงใจ ซึ้งในน้ำใจของคนแปลกหน้าทั้งสอง ซึ่งตอนนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เข้ามาถึงในพอดี จึงเหมือนเป็นการบอกเขาไปด้วยว่าเธอไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไร

"เอ่อ..." ชายหนุ่มคนเดิมยังค่อนข้างลังเล เขาแน่ใจว่าอาการของสาวสวยตรงหน้าหนักอยู่ไม่น้อยเมื่อดูจากปริมาณเลือดที่ไหลซึมออกมาแล้ว แต่จะอย่างไรก็คนไม่รู้จักกัน ยิ่งเจ้าตัวยืนยันแบบนี้เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงหันมามองสบตากับภรรยาของตนเองและเจ้าหน้าที่ ในฐานะของเพื่อนมนุษย์ที่เห็นกันอยู่ทุกวันมันก็น่าห่วงจริงๆ

"ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" ประภัสสรย้ำอีกครั้ง เธอผงกศีรษะให้คนทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะหันหลังให้แล้วก้าวยาวๆ ไปยังรถจักรยานของตนเอง

เธอหยุดยืนอยู่หน้าจักรยานของตนเองแล้วกัดฟันตั้งสติไขกุญแจ แอบคิดถึงเจ้าแมวน้อยที่ช่วยเอาไว้ ตัวมันเล็กแค่นั้นถ้าไม่เจอแม่ของมันหรือไม่มีคนเอาไปดูแล มันคงยากที่จะรอดไปได้ แม้โดยรวมจะเริ่มรู้สึกชาๆ คล้ายจะเป็นลมเหมือนเวลาบริจาคโลหิต แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจวิ่งกลับไปจนคนทั้งสามที่กำลังจะแยกย้ายต้องหันมามองอย่างแปลกใจ

เจ้าแมวน้อยตัวนั้นเองก็คล้ายจะเดินตามเธอมาเพียงแค่ขามันสั้นหรืออาจจะลังเลจึงได้หยุดอยู่กลางถนนตรงนั้น แต่ประภัสสรคิดว่ามันเดินตามเธอมาอย่างแน่นอน

เมื่อเข้าไปใกล้นักเลงตัวน้อยยังคงทำขนพองขู่ฟ่อๆ แต่หญิงสาวไม่สนใจคว้ามันไว้ด้วยมือข้างที่เจ็บอย่างรวดเร็วแต่ไม่ได้รุนแรงอย่างครั้งแรกกลัวมันจะช้ำมือไปเสียก่อน

"อย่าเรื่องมากน่า ฉันคงทิ้งแกไว้ไม่ได้หรอก" หญิงสาวบ่นกับแมวน้อยอย่างไม่สบอารมณ์

ที่จริงมันก็ตัวยาวพอสมควรแต่ผอมมากจึงยังสามารถถือด้วยมือเดียวไหวอยู่ แต่เพราะมือข้างนั้นเจ็บทำให้ลำบากไม่น้อย ทว่าเธอต้องใช้มือที่ไม่เจ็บในการปั่นจักรยาน

'ทำไมไม่ซื้อจักรยานที่มีตะกร้ามานะ' หญิงสาวอดที่จะโอดครวญในใจไม่ได้

'ก็ดีแล้ว เกิดเจ้าตัวเล็กนี่อุตริกระโดดจากตะกร้าระหว่างทางคงแย่กว่านี้' ประภัสสรสรุปกับตนเองขณะกัดฟันปั่นจักรยานออกไปอย่างรวดเร็ว





เพียงไม่ถึงสิบนาทีเธอก็พาเจ้าตัวน้อยที่ร้องโวยวายตลอดเวลามาถึงบ้านจนได้ ตอนนี้หญิงสาวเวียนหัวจนแทบทรงตัวไม่อยู่และเลือดยังไหลไม่หยุดแม้จะใช้ผ้าขนหนูพันแผลเอาไว้แล้วก็ตาม ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะมีผลมาจากน้ำลายของเจ้าตัวที่กัดเธอ

"อยู่นี่ไปก่อนนะ ไม่ต้องกลัวแล้วก็อย่าเพิ่งหิวล่ะ ฉันยังไม่มีปัญญาหาอะไรให้กินตอนนี้หรอกนะ" เจ้าของบ้านก้มลงบอกแขกสี่ขาที่ขนพองฟูขู่ฟ่อๆ มองรอบๆ อย่างหวาดระแวง ประภัสสรเข้าใจดีว่ามันคงกลัว แต่ยังไว้ท่าเป็นนักเลงโต ชักอยากเห็นหน้าพ่อแม่มันแล้วสิ ทำไมถึงมีลูกออกมานิสัยแบบนี้

เมื่อพูดจบเจ้าของบ้านก็ก้าวยาวๆ เข้าไปล้างแผลในห้องน้ำ เมื่อได้มองชัดๆ จึงพบว่าที่ข้อมือขวาของเธอนั้นเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างเหวอะหวะและน่ากลัวอยู่ไม่น้อย...จะเป็นลมก็เพราะเห็นสภาพตัวเองนี่ล่ะ...

หญิงสาวทำใจพันแผลด้วยผ้าขนหนูผืนเดิมด้วยความรีบร้อน คงต้องไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อเธอก้าวออกจากห้องน้ำก็พบว่าเจ้าตัวยุ่งเดินร้องมี๊ๆ เข้ามา ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเริ่มหมดฤทธิ์และยอมอ่อนข้อให้เธอ ถ้ามองไม่ผิดมันคล้ายกำลังตามหาเธออยู่ด้วยซ้ำ

เมื่อสบเข้ากับดวงตากลมโตใสซื่อของเจ้าตัวน้อยทำให้ใจอ่อนยวบลง จากเดิมที่คิดว่าจะทิ้งมันไว้ที่นี่แล้วไปโรงพยาบาล แต่พอคิดว่าบางทีมันคงหิวและเธอเองก็ไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อไรก็อดสงสารแมวน้อยไม่ได้ ถ้ามันเป็นอะไรไปในขณะที่อยู่ในความดูแลของเธอคงรู้สึกผิดแย่

'คงต้องเอาไปฝากร้านรับเลี้ยงแมว' ประภัสสรนึกขึ้นได้ว่ามีร้านรับเลี้ยงแมวไม่ไกลจากบ้านของเธอเท่าไร แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปิดหรือยังจะอย่างไรก็ขอไปเสี่ยงดูก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็คว้าเจ้าตัวเล็กขึ้นมาด้วยมือข้างที่เจ็บที่ตอนนี้เหมือนจะปวดมากขึ้นกว่าเดิม เธอจึงขยับมันมาไว้แนบกับอกลดแรงที่แขน เจ้าเหมียวร้องอย่างตกใจและดิ้นขลุกขลักอยู่สักครู่ก่อนจะสงบลงอย่างง่ายดายเมื่อรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย มันคงเห็นว่าที่ตรงนี้ก็อุ่นและนุ่มดีไม่น้อย


++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีวันปีใหม่นะคะ ^_^

ตกใจไหมคะที่เจอกันวันนี้ 555

อยู่ดีๆ ก็อยากให้ของขวัญปีใหม่น่ะค่ะ แหะๆ นี่ก็ไม่ได้วางแผนเหมือนกัน แต่มันคันมือร้อนรนทนไม่ได้ (ฟังดูเหมือนโดนของเนอะ 555)

เมื่อคืนไปสวดมนต์ข้ามปีกับคุณพี่ ตื่นมาใส่บาตรเช้าพร้อมน้ำมูกที่ไหลหยด =.=

เหมือนเป็นหวัดเพื่ออ้อนพี่เลยค่ะ พี่จะไปปุ๊บป่วยเลย 555

วันนี้ร่างกายอาจจะไม่สบายแต่จิตใจยังดีอยู่มากค่ะ แค่คิดถึงสายตาพี่ก็ยิ้มออกมาแล้ว สายตาที่ทั้งรักทั้งห่วง มันอ่อนโยนมาก แพ้สายตาจริงๆ >//<

จริงๆ เวลาเขียนฉากที่สื่อสารทางตามักจะนึกถึงสายตาพี่ทุกครั้งนะคะ คิดถึงสายตาที่มองเรา และคิดถึงความรู้สึกของเราในตอนนั้น ^_^

อ่ะ จบเรื่องคนอวดแฟนเนอะ 555

ตอนนี้พี่เค้กเราเปล่งประกายมากค่ะ ไม่ยากเลยที่จะหลงรักเธอ และเจ้าไก่วัดของเราก็หลงไปแล้วเต็มๆ 555

เดี๋ยวนี้รู้ว่ามีเด็กรอต้องชวนเก็บของกลับบ้านด้วย ชวนเนียนๆ เลยนะคะท่านสมภาร ว่าแต่เด็กรู้ตัวยัง 555

ส่วนมหากาพย์ความซวยของพี่เค้กยังมาเรื่อยๆ นี่ไรท์ไม่ได้กลั่นแกล้งนะ 555

#พี่เค้กเป็นคนตลก

พบกันใหม่วันพฤหัสนะคะ คราวนี้พฤหัสจริงๆ ไม่หลอกลวงค่ะ ^_^
 :51:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น