web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 104
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 91
Total: 91

ผู้เขียน หัวข้อ: Love me..Love my dog บทที่ 7  (อ่าน 1884 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ธันย์ธิวา

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 8
Love me..Love my dog บทที่ 7
« เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2014 เวลา 22:15:25 »
Love me...love my dog
บทที่ 7

   งานสงเคราะห์สัตว์ครั้งนี้ มาจัดกันที่โรงเรียนประถมในย่านชุมชนใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและทำหมัน
ให้กับสัตว์เลี้ยงและสัตว์จรจัดในชุมชน โดยครั้งนี้มีหน่วยงานราชการระดับเขตมาร่วมด้วย ทำให้งานใหญ่กว่าปกติ

ภายในบริเวณงานมีผู้คนขวักไขว่ ทั้งเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร รวมถึง fanpage facebook ของมูลนิธิ
บริเวณจัดงานจึงดูคึกคัก มีรถยนต์จอดอยู่หลายคัน ส่วนรถกระบะสีแดงคันโตที่เพิ่งมาถึง ก็ค่อยๆจอดบริเวณเงาของร่มไม้ใหญ่
ไม่ไกลจากอาคารอเนกประสงค์ที่ใช้จัดงานมากนัก

   “ถึงแล้วค่ะ เรารีบเข้าไปด้านในกันดีกว่า มีคนกำลังรออุปกรณ์ที่พวกเราขนมาวันนี้” สารถีสาวหันมาบอกกับผู้โดยสารอย่างเป็นงานเป็นการ
แต่น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความร่าเริง ก่อนที่จะลงไปหยิบของที่กระบะท้ายรถ ซึ่งเต็มไปด้วยกล่องยา อุปกรณ์ต่างๆ และอาหารสัตว์แบบกระสอบ

   “แพรวช่วยนะคะ” สาวหน้าหวานยื่นมือเข้ามาช่วยสัตวแพทย์ร่างสูงที่กำลังยกของจากกระบะท้ายอย่างพะรุงพะรัง
หมอปั้นเลือกของที่มีน้ำหนักเบาหน่อยให้หญิงสาวถือ

“เท่านี้ก็พอค่ะ มือคุณยังไม่หายดี ที่เหลือเดี๋ยวให้พวกผู้ชายมายกไป” หมอปั้นบอกกับพิชามญชุ์
เธอเป็นห่วงข้อมือนั่นจริงๆ ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วก็ยังถอดไม่ได้ เห็นทีต้องใส่เป็นเดือนแน่ๆ
ส่วนสาวหน้าหวานก็ยอมรับสิ่งที่อีกคนจัดสรรให้แต่โดยดี เพราะตระหนักว่าข้อมือบางๆของเธอยังใช้งานได้ไม่ปกตินัก

   “อ้าว ปั้น วันนี้มาเร็ว” เสียงทักทายดังขึ้นตั้งแต่ก้าวแรกที่พิชามญชุ์และหมอปั้นเดินเข้าไปในอาคาร
เจ้าของเสียงทักทายเดินตัวปลิวเข้ามาหาสองสาว
“คุณแม่สปาตาก็มาด้วย ดีจังเลย วันนี้งานใหญ่ค่ะ สนุกแน่ๆ”
หมอโบทักทายแขกรับเชิญของเพื่อนอย่างอารมณ์ดี เธอว่านี่แหละสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรักสดชื่น

   หมอปั้นแทบอยากตะครุบปากเพื่อน แต่ทำได้แค่ดึงแขนมาใกล้ๆ ก่อนกระซิบกระซาบว่า
“โบ สปาตามันชื่อดำมี่ เรียกว่าดำมี่ ห้ามเรียกสปาตา คุณแพรวไม่ปลื้มชื่อนี้”

   “อ้าวเหรอ มันติดปากอ่ะ โทษที” หมอโบเอามือปิดปากตัวเองไปเรียบร้อย ก่อนกระซิบกระซาบกลับเสียงแผ่ว
   สาวหน้าหวานได้ยินบทสนทนาของสองหมอตลอดตั้งแต่ต้น ได้แต่ยืนหัวเราะคิกคัก เพราะขำท่าทางของเพื่อนซี้ทั้งสองคน

   “ปั้น มาแล้วเหรอ” เสียงห้าวๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง พิชามญชุ์หันไปดู
ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอสวมเสื้อยืดที่มีโลโก้ของมูลนิธิ ผิวเข้ม ตัวเล็ก สีหน้าท่าทางดูใจดี
เธอคะเนว่าอีกฝ่ายน่าจะมีอายุมากกว่าเธอพอสมควรจึงยกมือไหว้ ชายคนนั้นทำหน้าตาเก้อเขินเล็กน้อย

“สวัสดีครับ ไม่ต้องไหว้หรอกครับ” หมอปั้นรีบเข้ามายืนเคียงข้างพิชามญชุ์

“คุณแพรวคะ นี่พี่นิธิค่ะ พี่นิธิเป็นหัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิ พี่นิธิ นี่คุณแพรว คนที่พาหมาโดนทำร้ายมารักษา ที่ปั้นเล่าให้พี่ฟังเมื่อวันก่อนน่ะ”

   ชายหนุ่มชื่อนิธิมองมายังพิชามญชุ์ “อ๋อ คนนี้นี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

   “ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

   “ว่าแต่ค่าใช้จ่ายในการรักษาเจ้าหมาตัวนั้น น้องอยากให้ทางมูลนิธิช่วยอะไรบ้างหรือเปล่า ปั้นเล่าให้พี่ฟังว่าอาการมันหนักน่าดู ต้องผ่าตัดใหญ่ ค่าใช้จ่ายคงสูง”

พิชามญชุ์ยิ้มให้ชายหนุ่ม “ขอบคุณนะคะ ตอนนี้แพรวยังพอไหวอยู่ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆยังไงก็คงมาขอรบกวนนะคะ” พิชามญชุ์ตอบรับตามมารยาท

   “ครับ ทางมูลนิธิยินดีช่วยเหลือตลอดนะครับ พวกเราเข้าไปเตรียมตัวกันเถอะ งานก็ตามหน้าที่ที่บอกไว้นะ ส่วนน้องแพรว อยู่ตรงไหนดีนะ” นิธิหันไปมองรอบๆ

   “ส่วนอำนวยการยังว่างมั้ยคะพี่ มือคุณแพรวเจ็บอยู่ค่ะ” หมอปั้นบอกพี่นิธิก่อนที่เขาจะมอบหมายงานอะไรให้ ก็เธอเป็นห่วงเจ้าของข้อมือบางๆนั่นนี่นา

   “อืม เหรอ ตรงนั้นก็ได้อยู่นะ เดี๋ยวให้น้องไปช่วยส่วนต้อนรับก็แล้วกัน” พี่นิธิสรุปอย่างรวดเร็วก่อนขอตัวไปเตรียมงานในส่วนอื่นต่อ

   “เดี๋ยวฉันไปส่งคุณค่ะ จะได้แนะนำคนอื่นๆให้รู้จักด้วย” หมอปั้นอาสา ก่อนพาพิชามญชุ์ไปแนะนำให้อาสาสมัครขาประจำและขาจรที่มาร่วมงานในวันนี้
พิชามญชุ์รู้สึกว่าทุกคนเหมือนจะรู้จักเธอมาก่อนแล้ว สงสัยหมอปั้นจะเคยมาเล่าเรื่องดำมี่ให้คนที่นี่ฟังแล้วกระมัง

   หน้าที่ของพิชามญชุ์ในวันนี้คือการเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ คอยพูดคุยซักถามเพื่อคัดแยกกลุ่มสัตว์เลี้ยงเพื่อส่งไปตามหน่วย
ซึ่งพิชามญชุ์ก็สามารถทำหน้าที่ของเธอได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่เคยทำมาก่อนแต่สาวหน้าหวานก็เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าจะต้องซักถามอย่างไร
และส่งต่อไปทางไหน งานนี้ไม่ยาก และการให้คำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยงนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน

   เพียงไม่นานนาฬิกาทั้งเข็มสั้นและเข็มยาวก็เดินมาถึงเลขสิบสอง พิชามญชุ์อาสาเดินไปตามคุณหมอและอาสาสมัคร
ที่ปฏิบัติงานอยู่ตามส่วนต่างๆให้ไปรับประทานอาหารกลางวัน เธอเดินเวียนไปจนครบ กระทั่งมาถึงส่วนสุดท้ายที่มีร่างสูงคุ้นตายืนอยู่

   “เบาๆนะ ไม่เจ็บนะ” หมอปั้นพูดกับเจ้าชิสุตัวเล็กที่กำลังถูกฉีดวัคซีน พลางดึงหนังที่ขาหลัง
“อยู่นิ่งๆ จะไม่เจ็บ ขยุกขยิกเจ็บกว่านะ” เหมือนคุณหมอปั้นจะรอจังหวะให้น้องหมาฟังเสียงนุ่มๆของคุณหมอจนเพลิน
ก่อนจิ้มเข็มวัคซีนลงไปที่ใต้ผิวหนัง

   “เอาล่ะ เสร็จแล้ว” หมอปั้นลูบหลังเจ้าชิสุ “เอ..ทำไมชอบสะบัดหัว ไหน ขอดูหูหน่อยสิ”
หมอปั้นเอามือจับใบหูของเจ้าชิสุดู แล้วเอาสำลีก้านยาวเช็ดหูของมันอย่างเบามือ ก่อนกล่าวกับเจ้าของว่า
“ชิสุเนี่ย ลักษณะหูของมันที่พับเข้าด้านในและมีขนเยอะ ทำให้มีความชื้นสูง พวกสิ่งสกปรกต่างๆจะออกมาได้ยาก ทำให้มันสะสม
อาจกลายเป็นหูอักเสบนะคะ ลองสังเกตดูว่ามันสะบัดหัวบ่อยไหม เกาหูบ่อยไหม หรือถ้าขี้หูมันมีสีเข้มกว่านี้ หรือเริ่มมีกลิ่นเหม็น
ต้องพาไปหาหมอนะคะ เพราะถ้ามันติดเชื้อเรื้อรังจะรักษายาก”

   “ค่ะคุณหมอ ขอบคุณมากนะคะ” เจ้าของหมาชิสุกล่าวขอบคุณ แล้วอุ้มหมาออกไป

   พิชามญชุ์ยืนฟังหมอปั้นคุยกับหมาไปเรื่อยเปื่อย เธอชอบเวลาผู้หญิงคนข้างหน้าพูดคุยกับบรรดาสัตว์น้อยใหญ่
มันดูอบอุ่น อ่อนโยน แค่ฟังก็รู้ว่าหมอคนนี้ใจดีขนาดไหน พิชามญชุ์ว่าหมอปั้นพูดกับหมาแมวนี่นุ่มนวลยิ่งกว่าคุยกับคนเสียอีก
กำลังคิดเพลินๆ หมอปั้นก็หันมา

   “อ้าว คุณแพรว มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ” ปากก็ถาม มือก็เก็บเครื่องมือไปด้วย

   “มาสักพักแล้วค่ะ จะมาตามคุณหมอไปทานข้าว” พิชามญชุ์ยิ้มให้ พลางเดินเข้าไปใกล้
สองมือที่คล่องแคล่วของคุณหมอเก็บเครื่องไม้เครื่องมืออย่างเป็นระเบียบและรวดเร็ว พิชามญชุ์มองเพลิน

   “คุณแพรวไม่เห็นต้องลำบากเดินมาตามก็ได้นะคะ เดี๋ยวพวกน้องๆก็ตะโกนใส่โทรโข่งกันมา” หมอปั้นเก็บของเสร็จแล้ว
แต่พิชามญชุ์ยังยืนเพลินอยู่ เกือบไม่ได้ยินที่คุณหมอพูด

   “อ่อ... คือมีน้องเขามาช่วย แพรวเลยว่าง ก็เลยอาสามาเดินตามให้ค่ะ” สาวหน้าหวานตอบ
ก่อนสังเกตเห็นว่าใบหน้าเรียวๆของคุณหมอนั้นมีเหงื่อซึมออกมามากมาย เธอจึงยื่นกระดาษทิชชู่ให้
แต่คนรับก็ได้แต่รับไว้เฉยๆ แล้วทำหน้างงๆว่าจะให้เช็ดอะไร พิชามญชุ์หัวเราะน้อยๆ ก่อนดึงกระดาษทิชชู่ในมืออีกคนกลับมา
แล้วซับเหงื่อที่ซึมออกมาทางไรผมให้เบาๆ

หมอปั้นตะลึง ดวงตาเรียวๆเบิกกว้าง มือขวายกขึ้นจับข้อมือบางๆ ค้างไว้อย่างนั้นโดยอัตโนมัติ
ส่วนพิชามญชุ์ก็เผลอตัวมองลึกเข้าไปในดวงตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นใสๆของอีกคน เหมือนต้องมนต์สะกดเช่นกัน

   “อะแฮ่มๆ ไม่หิวข้าวเหรอสองคนนี้” เสียงหมอโบแทรกมา สองสาวสะดุ้งออกจากภวังค์

   “เอ่อ ก็หิวแล้วนะ ไป..ไปกินข้าวกันเถอะ” หมอปั้นตอบออกมาตะกุกตะกัก ส่วนพิชามญชุ์ก็รู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนผ่าว ราวกับเล่นซนแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้
เลยรีบเดินไปพร้อมหมอโบ ปล่อยให้อีกคนเดินตามอยู่ด้านหลัง

   “เหนื่อยไหมสองหมอหนึ่งสวย” พี่นิธิร้องทักมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นสามสาวเดินเข้ามาที่ใต้ตึกอเนกประสงค์

   “ไม่เหนื่อยเลยค่ะ วันนี้สัตวแพทย์ของเรามีกำลังใจดี” หมอโบตอบหน้าตาเจ้าเล่ห์พิกล

   “ปั้นเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าแดงไปหมดเลย” พี่นิธิทัก พิชามญชุ์เลยหันมองอีกคน เห็นหน้าแดงตัวแดงไปหมด หรือจะโดนแดดจนเป็นไข้นะ

   “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ คงเป็นเพราะอากาศร้อนน่ะค่ะ” หมอปั้นตอบไป แต่แอบถลึงตาใส่เพื่อนสนิทที่ยืนเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะอยู่ข้างหลังหญิงสาว

   “เราไปทานข้าวกันดีกว่าค่ะ” หมอปั้นตัดบท แล้วออกเดินนำพิชามญชุ์เข้าไปด้านในที่มีการจัดเตรียมข้าวกล่องสำหรับเจ้าหน้าที่อยู่อย่างพร้อมพรัก
สามสาวรับข้าวมาคนละกล่อง ก่อนนั่งรวมกันที่โต๊ะยาวที่มีเจ้าหน้าที่สี่ห้าคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

   “ทานได้ไหมคะ” หมอปั้นกระซิบถาม ข้าวกล่องวันนี้มีแค่ข้าวราดกะเพราไข่ดาวกับข้าวมันไก่เท่านั้น

   “สบายมากค่ะ” พิชามญชุ์หลิ่วตาให้หมอปั้น เธออยู่ง่ายกินง่ายในเวลาที่ต้องง่าย จะเยอะก็ตอนที่สามารถเยอะได้เท่านั้น
คิดมาถึงตรงนี้เธอก็อดนึกไปถึงชายหนุ่มอีกคนไม่ได้ รายนั้นเยอะได้ทุกสถานการณ์ เยอะจนเธอปวดหัว แถมยังพาให้คนรอบข้างเธอเบื่อหน่ายอีกด้วย

   ติ๊งๆ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น พิชามญชุ์หยิบมันขึ้นมาดู รอยยิ้มที่เพิ่งจะมีไปเมื่อสักครู่ก็จืดจางไป
แหม...ไม่น่านึกถึงตานี่เลยจริงๆ เธอขอตัวลุกจากโต๊ะไปรับโทรศัพท์

   “สวัสดีค่ะพี่ภพ” หญิงสาวกรอกเสียงลงไป

   “น้องแพรวอยู่ไหนฮะ” เสียงของปภพดังกลับมา

   “มาธุระข้างนอกกับเพื่อนค่ะ” พิชามญชุ์เลือกที่จะตอบสั้นๆ ไม่อยากต่อความยาว

   “เพื่อนคนไหนฮะ พี่รู้จักไหม” ชายหนุ่มปลายสายยังหาช่องทางถามต่อจนได้

   “เพื่อนที่เป็นสัตวแพทย์ พี่ภพคงไม่รู้จักหรอกค่ะ”

   “แล้วนี่อยู่ที่ไหนฮะ พี่ไปหาได้ไหม”

   พิชามญชุ์ฟังแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอา โดยไม่รู้ว่าทุกอากัปกิริยาของเจ้าหล่อนถูกมองอยู่ไม่วางตา

“อย่าเลยค่ะ แพรวมาไกล อีกอย่างเรามีกิจกรรมนอกสถานที่ อากาศก็ร้อน พี่ภพคงไม่สะดวก
เอ้อ แพรวกำลังจะทานข้าว ขอวางสายก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” พิชามญชุ์ตัดสายทันที แล้วจัดการปิดเสียงโทรศัพท์ก่อนส่งลงกระเป๋าสะพายใบเล็ก

   “แฟนเหรอคะคุณแพรว” หมอโบถามทันทีที่หญิงสาวกลับเข้ามานั่ง

   “ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนน่ะค่ะ” พิชามญชุ์ตอบ แปลกใจเล็กน้อยที่ถูกถามเรื่องนี้

   “เฮ้ยโบ เราฝากแกหยิบน้ำซุปให้หน่อยสิ ลืมหยิบมา ทั้งของเราของแกเลย” หมอปั้นส่งซิกให้เพื่อนรีบลุกไป หมอโบพยักหน้ารับอย่างรู้กัน ก่อนลุกจากโต๊ะ

   “ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะคุณแพรว ที่ไปถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว อย่าถือสาเลยนะคะ” หมอปั้นหันมาขอโทษสาวหน้าหวานที่นั่งข้างๆอย่างเกรงใจ

   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แพรวไม่ถือ เรื่องแค่นี้เอง” หญิงสาวตอบแล้วยิ้มให้ เธอรู้สึกว่าหมอปั้นไม่ค่อยสบายใจกับสิ่งที่เพื่อนถามเธอมา
   “แล้วคุณล่ะคะ มีแฟนหรือยัง” พิชามญชุ์ถามคนข้างๆบ้าง อยู่ดีๆก็นึกอยากรู้
แต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบว่าอะไร หมอโบก็เดินกลับมาที่โต๊ะเสียก่อน

   “ทานข้าวกันเถอะค่ะ ช่วงบ่ายนี่น่าจะมากันอีกกลุ่มใหญ่ หมอโตที่ออกไปฉีดวัคซีนในชุมชนไลน์เข้ามาว่าไปโฆษณาให้ คนสนใจกันใหญ่เลย”
   ทุกคนเลยรีบลงมือทาน มีบทสนทนาถามไถ่บ้างเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหมาในอุปการะของพิชามญชุ์
ส่วนหมอปั้นแม้ไม่ได้คุย แต่ก็นั่งมองสาวหน้าหวานคุยกับคนอื่นอย่างตั้งใจ แล้วก็นั่งอมยิ้มไปจนหมดเวลาพัก

   เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ระยะเวลาไม่นานเท่าไรในความรู้สึกของหมอปั้นและพิชามญชุ์
การออกหน่วยวันนี้ก็สิ้นสุดลง อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ต่างก็ทยอยเก็บของ บางส่วนก็ขอตัวกลับบ้านไปก่อน บางส่วนก็นัดสังสรรค์กันต่อ
พิชามญชุ์ก็ได้รับเชิญให้มาร่วมวงสังสรรค์ด้วยกัน เพราะทุกคนรู้สึกประทับใจในอัธยาศัยของสาวหน้าหวานที่น่ารัก เป็นกันเอง และไม่ถือตัว
คอยหยิบจับช่วยเหลือทุกอย่างที่สามารถทำได้ แถมเมื่อหมอโบคอยโฆษณาเรื่องหมาสปาตา...เอ่อ ดำมี่ สินะ ในอุปการะด้วยแล้ว
วันนี้พิชามญชุ์จึงเหมือนเป็นนางฟ้าของกลุ่มเลยทีเดียว

   “คุณแพรวทานได้ไหมของพวกนี้” หมอปั้นหันมากระซิบกับพิชามญชุ์

   “โอ๊ย สบายมาก ของโปรดเลยล่ะ” พิชามญชุ์ไม่พูดเปล่า แต่ตักสัมตำปลาร้าคำโตเข้าปากแล้วเคี้ยวโชว์ ก่อนจะยักคิ้วให้หมอปั้นรู้ว่า ‘แค่เนี๊ยะ เด็กๆ’
   หมอปั้นทำหน้าเบ้ แต่ก็ตักส้มตำเข้าปากตาม เพียงไม่กี่อึดใจ น้ำแก้วแล้วแก้วเล่าก็ถูกเทเข้าปากดับความเผ็ดร้อนของอาหารรสแซ่บ

   “ไหวมั้ยคุณ” พิชามญชุ์หยิบทิชชู่จากกระเป๋าสะพายยื่นให้ ก่อนที่จะรินน้ำแก้วใหม่ให้สัตวแพทย์สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
ซึ่งตอนนี้มีอาการเหงื่อท่วม หน้าแดง ปากแดงแปร๊ดดดดด เจ่อหน่อยๆด้วย (แอบเห็น)

   “คุณแพรวไปท้ามัน” หมอโบพูดขึ้น “ไอ้เนี่ยมันโดนสบประมาทไม่ได้เลยนะคะคุณแพรว
ตอนสมัยเรียน ไปกินเย็นตาโฟทรงเครื่องด้วยกัน เพื่อนๆก็บอก ปั้น...สั่งแบบ'เด็กๆ' เถอะ หรือจะสั่ง 'ใจเสาะ' ก็ได้นะ
แต่ปั้นมันบอกว่า อย่าดูถูกมันนะ แล้วมันก็สั่ง ‘ใจเด็ด’ เผ็ดสุดเล้ยวันนั้น” หมอโบพักจังหวะการเล่าให้คนฟังรู้สึกอยากติดตามมากขึ้น
ด้วยการหันไปจิ้มหมูแดดเดียวเข้าปาก

   “แล้วผลเป็นไง” เป็นพี่นิธิที่อดใจไม่ไหวถามก่อนใครเพื่อน

   “ก็ดูถูกแหละ ดูไม่ผิดเลย เป็นงี้เลยพี่” หมอโบใช้ส้อมชี้มาทางเพื่อน ซึ่งยังไม่หายจากอาการเผ็ด เรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งวง

   “คุณแพรวทานเผ็ดเก่งเหมือนกันนะครับ” พี่นิธิโยนเรื่องมาทางพิชามญชุ์ต่อ สาวหน้าหวานนี่ทำให้ทั้งวงทึ่งไม่น้อย
ท่าทางเหมือนลูกคุณหนู แต่กินส้มตำปลาร้าได้เอร็ดอร่อยมาก ไม่แค่นั้น สาวเจ้ายังเป็นคนสั่งตำหอยดองมาอีกด้วย

   “แพรวซ้อมทานบ่อยค่ะ พวกเด็กๆที่ออฟฟิศชอบทานกัน”

   “เอ้อ แล้วคุณแพรวทำงานอะไรล่ะครับ ปั้นมันไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย” พี่นิธิซักต่อ ทั้งวงเองก็ให้ความสนใจ
เพราะนอกจากเรื่องการอุปการะหมาน้อยแล้ว ก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับนางฟ้าองค์นี้เท่าไร

   “แพรวเปิดบริษัททำ Jewelry กับเพื่อนน่ะค่ะ เป็น Fashion Jewelry เน้นกลุ่ม Working Woman บริษัทเล็กๆน่ะค่ะ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร”
พิชามญชุ์ตอบถ่อมตัว เธอทำธุรกิจนี้กับเพื่อนมาได้ 5 ปีแล้ว ตัวเธอดูแลด้านการตลาด และบริหารจัดการทั่วไป
เพื่อนอีกคนรับผิดชอบเรื่องการออกแบบและอีกคนดูแลเรื่องการผลิต ส่วนเรื่องบริหารการเงิน ก็ได้นักการเงินมืออาชีพ
ที่รู้จักสนิทสนมกันดีมาตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อของพิชามญชุ์ยังมีชีวิตอยู่มาช่วยดูแล ทำให้ธุรกิจของเธอก้าวเดินได้อย่างมั่นคง และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

   “ว้าว น่าสนใจจังค่ะ” หมอโบทำตาโต “แต่โบใส่ไม่ได้ เสียดายจัง”

   พิชามญชุ์ยิ้ม เธอเคยได้ยินว่ากลุ่มคนทำงานเฮลธ์แคร์ไม่ควรใส่เครื่องประดับ เพราะนอกจากจะทำหัตถการไม่ถนัดแล้ว
เครื่องประดับทั้งหลายอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆอีกด้วย

   “ใส่ทำงานไม่สะดวก คุณโบใส่วันหยุดก็ได้นี่คะ ถ้าสนใจจริงๆ แพรวจะเอาแคตตาล็อคคอลเลกชั่นใหม่มาให้ดู”

   “วันไหนก็คงยากค่ะ” หมอโบทำหน้าม่อยแบบ Over Acting น้อยๆ “เพราะว่ามัน..”

   “แพง” หมอปั้นเติมคำในช่องว่างให้

   “โหย ไอ้ปั้น แกอย่าเอาความจริงมาพูดเล่นดิวะ” หมอโบทำท่าไม่สบอารมณ์ ค้อนเพื่อนขวับๆๆ

   “ระวังคอเคล็ด เดี๋ยวต้องใส่ปลอกคอนะแก” หมอปั้นได้ที

“เขาเรียกเฝือกย่ะ ไม่ใช่ปลอกคอ” หมอโบไม่ยอมแพ้ ทั้งวงฮาครืน

   “หมอปั้นทานนี่สิคะ อันนี้รับรองไม่เผ็ด” พิชามญชุ์ตักชิ้นหมูแดดเดียวมาวางให้ในจานของหมอปั้น นึกแล้วยังสงสารอยู่เลย

   “ทานนี่สิคะ ไอ้หมอปั้น  รับรองไม่เผ็ดเหมือนกัน ทานเยอะๆนะคะ” หมอโบหยิบผักในตะกร้าส่งให้บ้าง ใส่เอาใส่เอาจนพูนจาน
เรียกเสียงหัวเราะครึกครื้นจากรอบโต๊ะอีกครั้ง แม้แต่ตัวหมอปั้นที่ถูกพาดพิงก็หัวเราะไปด้วย
พิชามญชุ์หันมามองคนที่นั่งข้างๆ ยิ่งรู้จัก ผู้หญิงคนข้างๆนี้ก็ยิ่งน่ารักในสายตาของเธอ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ
ธันย์ธิวา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 พฤษภาคม 2014 เวลา 16:43:15 ธันย์ธิวา »




ออฟไลน์ si

  • หน้าใหม่
  • *
  • กระทู้: 42
Re: Love me..Love my dog บทที่ 7
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2014 เวลา 22:43:06 »
 :f6eb47d3: ไรท์อีกตอนได้มั๊ย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 พฤษภาคม 2014 เวลา 18:19:32 Admin »

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.