web stats

ข่าว

 


ภพรัก ตอนที่ 1 ประหลาด

โพสต์โดย: ยามเย็น วันที่: 22 มิถุนายน 2017 เวลา 07:44:50 อ่าน: 250

เรือนไทยหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเรือนไม้สักทองหลังย่อมๆ ที่รายล้อมอีก 5 หลัง อาณาเขตกว้างของสนามหญ้าและรอบตัวเรือนทุกหลัง มีทาสชายหญิงที่ต่างก็ทำงานกันอย่างขมักเขม้น บ้างก็ตัดหญ้า เล็มกิ่งไม้ บ้างก็รดน้ำต้นไม้และหญ้าโดยวักน้ำจากคลองที่ไหลผ่านอาณาเขตบ้านขึ้นมา

บนเรือนหลังใหญ่ตอนนี้ มีหญิงงามนางหนึ่งนั่งหมอบกราบอยู่ โดยหญิงสาวนุ่งโจงกระเบนผ้าลาย เสื้อทรงกระบอกแขนยาวสีชมพู ห่มผ้าแพรสีฟ้าอ่อนจีบตามขวางสไบเฉียงทับบนเสื้ออีกชั้น ผมงามสีดำขลับถูกเกล้าเป็นมวยสวยเรียบร้อย

เจ้าคุณเทพศราผู้เป็นนายของเรือนใหญ่และเจ้าของอาณาเขตบ้านมองหญิงสาวอย่างชื่นชมหวังใคร่ ซึ่งหญิงสาวผู้นั้นมิได้เงยหน้าขึ้นมองท่านเจ้าคุณเลย

"หล่อนเงยหน้าขึ้นเถิดแม่ดวงเดือน ข้าจักได้ยลโฉมหล่อนให้ถนัด" ท่านเจ้าคุณพูดกับหญิงสาว

เจ้าคุณเทพศราผู้นี้เป็นชายแก่ที่มีฐานะ มากด้วยยศศักดิ์ รวมถึงมากด้วยภรรยา ว่ากันว่าหากเจ้าเรือนบ้านไหนมีภรรยามาก ก็เท่ากับว่ามากด้วยลาภยศเงินทองเหมือนกับการประกาศศักดิ์ของตัวเอง

ดวงเดือนเงยหน้าขึ้นตามอย่างที่ท่านเจ้าคุณต้องการ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสายตาที่ลอบสื่อความนัยมาให้รวมถึงสายตาของเหล่าภรรยาที่นั่งเรียงตามลำดับมองมาอย่างกับจะตรวจตราเธอด้วย

"งาม สมคำร่ำลือ" ท่านเจ้าคุณเทพศราว่าอย่างพอใจ ใจจริงอยากจะเอ่ยชมให้สมกับความงามที่ได้เห็นมากกว่านี้แต่ต้องวางตัวให้เหมาะสมจึงเก็บอาการชอบใจกับความงามของหญิงสาวเอาไว้

"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" ดวงเดือนยกมือพนมไหว้รับคำชมของผู้ใหญ่ ตาเหลือบมองมารดาที่นั่งบนเก้าอี้ไม้สักขัดเงาข้างภริยาหลวงของท่านเจ้าคุณเทพ

"ดวงหน้างามพร้อมหมดจดไร้ที่ติ หน่วยก้านเข้าลักษณะ กิริยางามสมหญิง แม่หญิงเพ็ญศรีท่านช่างมีลูกงามนัก" คุณหญิงกาญจนาพูดกับคุณหญิงเพ็ญศรีผู้เป็นมารดาของหญิงสาวพลางยิ้มพอใจกับท่าทีนอบน้อมของดวงเดือน

เป็นอันรู้กันว่าคุณหญิงเพ็ญศรีผู้เป็นแม่ของดวงเดือนจะเอาลูกมาเป็นอนุอีกคนของท่านเจ้าคุณเทพศรา มันไม่ผิดแปลก กลับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับครอบครัวที่ลูกสาวสวยต้องตาผู้มียศจนเขาจะเอาไปเป็นเมีย แต่มันไม่ใช่สำหรับดวงเดือนเลย

หล่อนมองว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นความวิปลาสในความคิดของผู้กำหนดที่มองว่าการใช้ผัวร่วมกับผู้อื่นเป็นเรื่องน่าภูมิใจ

 

"แม่เดือน ลูกมองว่าท่านเป็นอย่างไร ดูบ้านท่านใหญ่โต มีเงินทอง" แม่เพ็ญศรีถามลูกสาวในระหว่างที่ยืนให้บ่าวล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน

"สิ่งเหล่านั้นเราก็พอมีมิได้ขาดนี่เจ้าคะ" ดวงเดือนตอบอย่างนอบน้อมแต่มีแววขัดขืนให้คนเป็นแม่รู้

"เจ้ามิอยากออกเรือนรึ" คนเป็นแม่ถามลูกสาว ดวงเดือนก้มหน้า

"เจ้าค่ะ คุณแม่" ดวงเดือนตอบเสียงเบา "ไม่ประสงค์เลยสักนิด"

 "ทำใจเถอะ หากลูกไม่ยินยอม แม่เกรงว่าจะเป็นปัญหากันในภายภาคหน้า" คุณหญิงเพ็ญศรีเอ่ยบอกลูกเบาๆ อย่างไม่อยากให้ใครอื่นได้ยิน ด้วยมันเป็นความต้องการของท่านขุนผู้เป็นบิดาของหญิงสาวที่ตกปากรับคำยกลูกสาวให้ท่านเจ้าคุณเพื่อจะเกี่ยวดองกันให้มีผลทางการราชการและฐานะ ดวงเดือนข่มน้ำตามิรู้จะตอบผู้เป็นมารดาของตนว่ากระไร

 

หญิงสาวที่นอนบนเตียงนอน มีผ้าแพรห่มร่างกายให้คลายหนาวแลดูสบาย เพียงแต่สีหน้าของคนที่นอนหลับเหยเก มีน้ำตาไหลรินออกมาเพราะ ความฝัน ฝันที่ไม่เป็นเรื่องราว ไม่มีจุดเริ่ม เหมือนไม่มีอะไรแน่ชัด รู้แต่ว่าคำนึงหาใครสักคน ไม่แน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง เรื่องราวไม่ชัดเจน ตื่นมาก็ลืมเลือนไป เหลือไว้เพียงแต่ความรู้สึกที่แรงกล้าในยามที่ตื่น...คนคนนั้นกำลังรอเธอ

ดวงเดือนสะดุ้งตื่นด้วยอาการที่เหนื่อยหอบ มือยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าที่เกิดขึ้นเพราะความฝัน จำความแทบไม่ได้แล้วว่าฝันแบบนี้ซ้ำๆ ตั้งแต่เมื่อไร รู้เพียงแต่ว่าเธอสะเทือนใจกับความฝันทุกครา มันมีทั้งความสุขและทุกข์ทนที่ตื่นขึ้นมาแล้วจำเรื่องราวชัดเจนไม่ได้

ใครกัน คนที่อยู่ในฝัน นั่นคือคำถามของเธอทุกครั้งที่ตื่น แต่เหมือนการตื่นขึ้นมาในค่ำคืนนี้จะมีผลต่อดวงเดือนมากกว่าที่เคยเป็น เพราะปัญหาเรื่องที่ต้องออกเรือนกับชายชราที่อายุมากกว่าพ่อ คิดเพียงแต่ว่าไม่ต้องการจะเป็นของใครนอกจาก"ใครสักคนที่เธอก็รอคอยจะได้พบเหมือนกัน คนที่ดวงเดือนรู้สึกถึงได้แต่ไม่มีตัวตนให้เธอเห็น

ใจที่ขมขื่นทำให้หญิงสาวนั่งน้ำตาตกในยามค่ำคืน เมื่อไม่มีใครสามารถแก้ไขอะไรได้ และใจเธอไม่ปรารถนาในสิ่งที่คนเป็นบิดามารดาต้องการ

อยากจะมีวันที่ผู้หญิงอย่างเธอสามารถแสดงเจตนาของตนเองแล้วคนอื่นรับฟัง ไม่ต้องถูกกำหนดถูกสั่งให้ทำตามผู้ใหญ่ ดวงเดือนไม่อยากจะไปเป็นเมียใคร ไม่อยากจะมีผัวที่ตนมิได้รักใคร่ เกิดเป็นหญิงมีแต่เสียเปรียบ ยิ่งเกิดในครอบครัวที่ทำงานราชการก็ยิ่งลำบากหากบิดามารดาจะจับโยงโยนให้เป็นเมียใครก็ต้องเป็น เธอเห็นมานักต่อนักแล้วกับเรื่องแบบนี้ที่ลูกผู้หญิงต้องยอมทำตามคำพ่อแม่... แต่จิตใต้สำนึกของดวงเดือนไม่ยอมให้ทำตามหน้าที่ของลูกที่ดีในเรื่องนี้อย่างชัดเจน

"ถึงฉันจะเกิดเป็นหญิง แต่กายและใจเป็นของตัวเอง หากไม่ได้พบเจอเนื้อคู่ที่ตนรักก็ไม่ขอเป็นของใคร" ดวงเดือนว่ากับตัวเองด้วยน้ำเสียงจริงจังไร้แววลังเล สายตามองสร้อยพระประจำตัวของตัวเองที่วางไว้ตรงโต๊ะหัวเตียงด้วยดวงตามุ่งมั่นเด็ดขาด

ร่างบางที่นุ่งผ้าแถบและโจงกระเบน รื้อผ้าปูที่นอนแล้วปีนเตียงขึ้นโยงผ้ากับขื่อคาบนห้อง ใจตั้งมั่นว่าจักปลิดชีพตนเสียหากต้องออกเรือนไปเป็นของคนอื่น

คำพูดที่แฝงด้วยแรงปรารถนาและพลังของใจที่เต็มเปี่ยม ก็เหมือนกับการตั้งจิตอธิฐาน ยิ่งยามที่เอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงกับความตายก็แปลว่าเป็นความตั้งใจจริง กระแสจิตแรงกล้าต่อหน้าพระที่เลื่อมใสส่งผลให้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึง

 

ห้องทำงานที่อยู่ในคอนโดกว้าง รกด้วยหนังสือและเอกสารมากมายที่ล้นทะลักออกมาจากตู้เก็บเอกสารเก่าๆ และหนังสือหลายชั้น ในห้องมืดทึบมีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอของคอมพิวเตอร์ส่องกระทบใบหน้าใสของคนที่นั่งพิมพ์งาน เสียงแป้นพิมพ์คอมดัง ต๊อกแต๊ก ต๊อกแต๊ก เรื่อยๆ เมื่อนิ้วเรียวนั่งพิมพ์เป็นระวิง

ขิม สาวลูกเสี้ยวฝรั่งหน้าใสที่มีบุคลิกไม่เหมือนสาว เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะพิมพ์บทวิจารณ์เกี่ยวกับภาพวาดของเรือนไทยในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ไม่รู้ทำไมถึงตัดสินใจรับงานนี้ มันก็แค่มีความรู้สึกว่าคุ้นเคย มองทีไรก็ทำให้คิดถึงสิ่งที่มันติดอยู่ในห้วงคำนึง มันให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับยามที่เธอตื่นจากฝันที่เธอมีประจำ ให้ความรู้สึกคิดถึงแบบเดียวกัน

 ในฝันจะเห็นผู้หญิงคนเดิมทุกครั้ง เป็นผู้หญิงคนที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตามหาและรอที่จะเจอเธออยู่ หลายๆ ครั้งพยายามจะร้องถามว่าหล่อนอยู่ที่ใด ด้วยในฝันใจเธอถวิลหาผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน แต่ก็เช่นเดิมหากในฝันเธอร้องเรียกออกไป เธอจะสะดุ้งตื่นทันที และฝันจะเลือนรางหลงเหลือไว้แต่ความความรู้สึกของเธอที่อยากจะพบเหลือเกิน เหมือนกับว่าตัวเองรอมานานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่ารออะไรหรือใครอยู่"

แต่หลายคืนมานี้เธอฝันแปลกไปจากเดิม ขิมรู้สึกว่าคนที่อยู่ในฝันเป็นผู้หญิงคนเดิมที่ขิมฝันถึงบ่อยๆ เพียงแต่สถานที่ให้ความรู้สึกแตกต่าง เรือนที่หล่อนอยู่เหมือนบ้านโบราณคล้ายๆ ภาพวาดที่ขิมกำลังทำงานวิจารณ์ในตอนนี้ เพียงแต่ไม่ใช่หลังเดียวกัน ผู้หญิงคนนั้นกำลังเสียใจ หล่อนกำลังมีปัญหาชีวิต หลายๆ ครั้งขิมรู้สึกเจ็บปวดแทน รู้สึกหนักใจจนร้องไห้ตามผู้หญิงในฝัน แล้วพอขิมตื่นขึ้นมาบนใบหน้าก็มีน้ำตาเอ่อนองทุกครา

หาเหตุผลไม่ได้เลยกับการที่ใครสักคนจะฝันแต่เรื่องเดิมๆ แล้วดันรู้สึกเหมือนกับที่คนในฝันรู้สึก

 

ไฟที่หน้าจอคอมกะพริบนั่นทำให้คนที่นั่งหลังขดหลังแข็งกอดเข่าบนเก้าอี้อยู่ รีบเอาขาลงจากเก้าอี้คอมตามนิสัยที่ชอบยกขาขึ้นชันบนเก้าอี้

"เฮ้ยๆ บ้าป่ะเนี่ย ไฟสำรองคอนโดก็มีนะเว้ย อย่าดับนะ" ขิมว่าแล้วรีบกดสวิตช์เปิดไฟให้ความสว่างของห้องทำงาน "ยังไม่ทันได้เซฟงานเลย อย่าดับน้า ขอร้องล่ะ" ขิมว่าแล้วรีบกดเซฟงาน

พรึ่บ! แสงไฟจากทั้งคอมและไฟกลางห้องดับ ขิมสบถกับตัวเองแล้วตบโต๊ะคอมเสียงดังอย่างหงุดหงิด แต่สิ่งที่ทำให้ขิมตื่นตะลึงเบิกตากว้างก็คือสร้อยพระที่แขวนไว้ตรงผนังห้องส่งแสงสีทองสว่างจ้า

สิ่งแรกที่ขิมคิดคือ ผี! เพราะนี่มันไม่เคยเกิดขึ้น ถึงจะไม่ใช่คนกลัวผีแต่เจอแบบนี้ก็ตื่นตะลึงเหมือนกัน ขิมแข้งขาอ่อนไม่กล้าขยับไปไหน ร่างกายสูงล้มลงนั่งเก้าอี้คอมเหมือนเดิม แต่ตายังคงจ้องมองไปที่สร้อยพระอย่างละสายตาไปไหนไม่ได้

ตึ้ง! โครม!

"เฮ้ย" ขิมร้องเสียงดังอย่างตกใจเมื่อมีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นทางด้านหลังเธอ ความตกใจของตัวเองทำให้ร่างกายสะดุ้งโหยงจนเก้าอี้ที่นั่งอยู่เสียการทรงตัวแล้วล้มหงายหลังลงไป

"โอ๊ย" ขิมร้อง แต่ก็ร้องได้แค่นั้นเมื่อแสงไฟในห้องกลับมาให้ความสว่างอีกครั้ง เหมือนๆ กับที่ดวงตาของขิมเห็นอะไรชัดเจนขึ้น

ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวแปลกหน้าที่แต่งตัวประหลาดสบตากับขิมเมื่อขิมเงยหัวมองไปทางต้นตอของเสียงที่ทำให้เธอตกใจจนล้มตึงหงายท้องบนเก้าอี้แบบนี้

ณ วินาทีที่ได้สบตากัน ทั้งคู่เหมือนดั่งต้องมนตร์สะกด รู้สึกเหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเติมเต็มห้วงคำนึง ซึ่งมันไร้คำตอบว่ามาเติมเต็มสิ่งไหนกันแน่เพราะมันไม่แน่ชัด รู้แต่ว่าเหมือนเฝ้ารอมานาน" นานมากแล้ว

ตือ ดือ ดึ๋ง ตึง ตึ่ง! เสียงระบบปฏิบัติการวินโดว์สที่บ่งบอกว่าคอมพิวเตอร์พร้อมทำงานใหม่อีกครั้งทำให้ขิมได้สติ รีบลุกขึ้นจากการนอนหงายกับเก้าอี้คอมแล้วมองคนแปลกหน้า มือก็ดึงเก้าอี้ให้ลุกขึ้นมาด้วย

"ทะ ทะ เธอเป็นใคร แล้วเข้ามาในห้องนี้ได้ไง"

"ที่แห่งนี้คือที่ใด อิฉันอยู่ที่เรือน แล้วมาอยู่นี่ได้เช่นไร" อีกคนถาม ขิมทำหน้าเหวอ

"อ้าว เธอไม่รู้แล้วฉันจะรู้ไหม นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ" ขิมสบถแล้วมองอีกคนที่มองไปรอบๆ ห้องเธอ สายตาของคนแปลกหน้ามีแต่ความกลัวและตื่นตกใจ ขิมมองอีกคนอย่างนึกประหลาด

"แต่งชุดอะไรวะ ทำไมมัน""

"เหตุใดอิฉันจึงมาอยู่ที่นี่" คนสวยหันมาถาม ทำให้ขิมชะงัก "ท่านเป็นใคร เป็นชายที่แต่งชุดแปลกรึ"

"ชาย ฉันเนี่ยนะชาย ฉันเป็นผู้หญิงนะ" ขิมร้องบอกแล้วเดินไปหาอีกคนเพื่อเพ่งพิจารณา แต่คนสวยที่แต่งชุดย้อนยุคขยับจะลุกหนี แต่แล้วก็ล้มลง

"โอ๊ย" อีกคนร้องมือเล็กๆ กุมหัวเข่าและข้อเท้าของตัวเอง

ขิมรีบเข้าไปช่วยแม้ว่าจะคาใจสงสัยอยากได้คำตอบ แต่ลึกๆ กลับกลัวคำตอบเสียเอง

"เป็นอะไรไหม" ขิมถามพลางจับแขนขาวของหญิงสาว ซึ่งอีกคนตกใจจนแลน่ากลัวเพราะหล่อนถดหนีอย่างลืมเจ็บ ขิมจึงรู้ว่าอีกคนกำลังตระหนก เลยปล่อยให้ลุกเองและปรับตัว

ไม่ใช่แค่อีกคนที่ตื่นตกใจ ขิมเองก็เหมือนกัน

ขิมมองไปที่สร้อยพระของตนเองที่แขวนอยู่ตรงผนัง เพราะพระองค์นั้นส่องสว่างในตอนที่ไฟดับ มันเป็นสิ่งที่คาใจขิมอย่างมาก ขิมลุกขึ้นแล้วคว้าสร้อยพระมามอง เธอลองชูให้พระกระทบกับแสงไฟเพื่อทดสอบให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้คิดไปเองว่าแสงที่ส่องสว่างในตอนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกระทบกับแสงอะไร
สักอย่างจากในความมืดเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอก็กุมมันไว้ใน
อุ้งมือเพื่อเอาตาส่องดูว่าพระไม่ได้เรืองแสงได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ามันเป็นเพราะสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็เธออยู่กับสร้อยพระเส้นนี้มาตั้งแต่จำความได้ แต่เธอก็ทำเพื่อทดสอบก่อนให้แน่ใจ" พระไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรแบบเมื่อกี้เลย

"นั่นสายสร้อยองค์พระของฉันนี่" คนแปลกหน้าว่าแล้วลุกขึ้นกระเผลกมาหมายแย่ง แต่ขิมชักมือที่ถือสร้อยกลับเข้าหาตัวอย่างหวงแหน

"อย่ามาขี้ตู่" ขิมว่าอีกคนเสียงดัง ทำให้คนสวยขมวดคิ้วมองหน้าเธออย่างฉงน

"ท่านพูดกระไรไม่เห็นรู้ความ พูดภาษาที่ชาวพระนครเขาใช้กันมิได้รึ" อีกคนว่าเหมือนหงุดหงิดในภาษาที่ขิมใช้

"เธอต่างหาก ช่วยใช้ภาษาที่มนุษย์พันธุ์เดียวกันพูดไม่ได้เหรอ" ขิมว่าอีกคนเสียงดังอย่างไม่พอใจ

อีกคนชะงักมองหน้าขิมก่อนจะมองรอบๆ แล้วก้มหน้า แต่แล้วหล่อนก็ยืดอกเหมือนคนที่รักษาภาพลักษณ์บุคลิกไม่ให้ใครเห็นว่าอ่อนแอ แต่ขิมก็ดูออกได้ชัดเจนจากแววตาและน้ำเสียงที่สั่นเทานั่น

"นี่เรียกว่าที่ไหนรึเจ้าคะ" คนสวยถาม ขิมมองอีกคนอย่างพิจารณา

เรื่องประหลาดกำลังเกิดขึ้นระหว่างขิมและคนตรงหน้า ขิมไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันน่าเหลือเชื่อ ถ้าไม่เห็นกับตาหรือเจอกับตัว ไม่รู้ว่าอีกคนมาจากไหน จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างปฏิหาริย์ เธอคงไล่อีกคนออกไปหรือไม่ก็ลากคอไปหาตำรวจ แต่นี่เอาไปที่ไหนก็คงจะไปไม่ได้ ก็จู่ๆ ดันโผล่พรวดมากลางห้องนี่

"เอาแบบนี้ เรามาคุยกันก่อนดีกว่า" ขิมบอกอีกคนอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง หญิงสาวกอดอกแล้วจ้องขิมเขม็ง

"ไม่เจ้าค่ะ อิฉันไม่อยู่ร่วมห้องกับชายสองต่อสอง ยิ่งชายแปลกหน้ายิ่งมิสมควรกระทำ"

"ชายที่ไหนวะ ฉันเป็นผู้หญิง"

"นี่น่ะหรือหญิง ไม่มีความเป็นหญิงสักนิด แล้วถ้าจะให้งามช่วยแสดงกิริยาวาจาให้เหมาะสมด้วยเจ้าค่ะ กระโชกโฮกฮากเหมือนคนไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอน ไม่เห็นสม" อีกคนว่าขิม

เออ เอาเข้าไปสิ มันอะไรกันนักหนาเนี่ย เธอก็แค่ไว้ผมซอยสั้นตามประสาคนที่ไม่ชอบความรุงรัง แค่ร่างกายสูง และ"หน้าอกเล็กจนเหมือนไม่มีแค่นั้นเอง

"ฉันจะพูดยังไงก็ได้ นี่มันห้องของฉัน อีกอย่าง เธอโผล่พรวดมาจากไหน" ขิมถามแล้วเดินไปมองเพดานตรงที่หญิงสาวโผล่มา แต่มันก็แค่เพดาน ผนังก็เป็นแค่ผนังห้อง ไม่มีรู ไม่มีตรงไหนที่ชำรุดเป็นช่องทางให้อีกคนผ่านมาได้เลยสักนิด

"ฉัน อิฉันเองก็ไม่ทราบ ตอนนั้นอิฉันอยู่ในเรือนนอน แล้วจู่ๆ  ก็โผล่มานี่ ที่แห่งนี้คือที่ไหนเจ้าคะ" ดวงเดือนถามพลางใช้ความคิด ใจหวาดหวั่นไปหมดด้วยความกลัวแต่เพราะได้รับการอบรมสั่งสอนมาจึงต้องไว้มาดของกุลสตรีที่ต้องสุขุมใจเย็นไม่แสดงอาการตื่นตระหนก

ขิมมองสร้อยพระในมือ แล้วมองอีกคน พอเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นจ้องจะตระครุบสร้อยพระอยู่ เธอจึงรีบเอาสร้อยสวมคอแล้วนั่งลงกับเก้าอี้หน้าคอมเหมือนเดิม

"ที่นี่คือห้องทำงานที่คอนโดของฉันเอง แล้วตอนนี้ถึงคราวเธอตอบบ้างแล้ว" ขิมบอก คนแปลกหน้ากอดอกแล้วมองเธออย่างระแวดระวัง

"ท่านบอกว่าไม่ใช่ชาย แต่อิฉันไม่เห็นต่าง ไขข้อข้องใจให้อิฉันก่อนได้รึไม่ อิฉันมิสะดวกใจจะอยู่ร่วมชายคากับท่าน" ดวงเดือนว่า

เห็นชัดว่าอีกคนเป็นกุลสตรีแน่ชัด การแต่งตัวที่มาจากสมัยก่อน ท่าทาง กิริยา ทั้งๆ ที่กลัวจนตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าแล้วแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะไว้เนื้อไว้ตัว

 ขิมพ่นลมหายใจออก ทั้งๆ ที่ปกติไม่ใช่คนใจเย็น แต่ไม่รู้ทำไมพอเห็นอีกคนพยายามอย่างยิ่งที่จะใจเย็น เธอก็ดันพยายามใจเย็นด้วยซะงั้น

"ฉันก็เป็นหญิงเหมือนเธอ แต่ฉันไม่ชอบแต่งตัวแบบหวานแหวว ฉันชอบใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น กางเกงยีนส์เพราะมันทะมัดทะแมงกว่า ทำอะไรก็ถนัด แล้วฉันก็แค่เป็นผู้หญิงที่ตัดผมสั้นแค่นั้น โอเคยัง" ขิมพยายามตอบให้อีกคนเข้าใจได้ง่าย

ดวงเดือนมองอีกคนอย่างพิจารณา รูปงาม คำๆ นี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็นในยามที่สบตากัน หน้าตาใสสวยยิ่งกว่าชายหญิงใดที่เคยพบเจอ หากเขาบอกว่าไม่ใช่ชาย ก็คงจริงเพราะรูปร่างอ้อนแอ้นแบบบางไม่ต่างกันกับเธอ เพียงแต่สูงกว่าเท่านั้น ถึงจะไม่เคยเห็นหญิงที่เหมือนชายเช่นนี้แต่ก็เคยรับรู้ว่ามีพวกทาสในเรือนทำตัวราวกับว่าเป็นชายแต่ก็มีหน้าอก แต่หล่อนคนนี้ไม่มีเลย แบนราบเป็นไม้กระดาน

"เสื้อยืด กางเกงสั้น กางเกงยีนส์คืออะไรรึเจ้าคะ" ดวงเดือนถามอย่างสงสัย พลางมองเสื้อผ้าที่อีกคนใส่อย่างนึกว่ามันประหลาด

"ก็แค่เครื่องนุ่งห่ม เพียงแต่มันไม่เหมือนกับที่เธอใส่แค่นั้นแหละ เลิกอยากรู้เรื่องยิบย่อยสักทีเพราะถ้าจะให้บอกชาตินี้ทั้งชาติคงคุยกันไม่จบ" ขิมบอกคนที่มองเธอด้วยสายตาประหลาด หล่อนคงยังไม่รู้ตัวสินะว่าหล่อนต่างหากที่ประหลาด

""""

"สบายใจได้ยังที่ฉันไม่ใช่ชาย" ขิมถาม

"".." อีกคนไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะพยักหน้า แต่ท่าทีผ่อนคลายลง

"เธอมาจากไหนเหรอ ไม่ใช่สิ ไม่เอาคำถามนี้" ขิมถามแต่รีบแก้ประโยคเมื่อไม่เห็นว่าจะได้คำตอบที่มีประโยชน์จากคำถามนี่ "เธอเป็นใคร"

"อิฉันชื่อดวงเดือน เป็นบุตรีของท่านขุนสุรเดชกับแม่เพ็ญศรี เป็นคนท่าพระ เรือนอยู่""

"เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว""

"อิฉันกำลังพูดอยู่ อย่าเพิ่งแทรก มันเป็นกิริยาที่ไม่งาม หญิงสาวมิควรทำ" ดวงเดือนเตือนอีกคน ซึ่งอีกคนก็มองหน้าดวงเดือนอย่างไม่พอใจ แต่กลับเม้มปากกำหมัดแน่นราวกับพยายามข่มอารมณ์อยู่

"ลืมมารยาทไปก่อนเถอะน่า ในเวลาน่าตกใจแบบนี้ไม่ต้องไปนึกถึงหรอก ที่ฉันอยากรู้ ฉันอยากรู้แค่ว่าเธอเป็นใคร ไม่ได้จะทำสำมะโนครัวเธอนะเว้ย" ขิมว่าเสียงดัง

"ทำไมต้องใช้คำพูดแบบนั้นด้วยเจ้าคะ"

"ก็ฉันเป็นคนพูดแบบนี้อยู่แล้วนี่" ขิมบอก

"เปลี่ยนซีเจ้าคะ"

"เธอจะเลิกยุ่งกับคำพูดฉันหรือว่าจะออกไปจากตรงนี้ ออกไปอยู่ข้างนอก" ขิมว่าอย่างเหลืออดแล้วถีบโต๊ะคอมให้เก้าอี้คอมที่นั่งอยู่วิ่งไปที่ข้างผนัง ก่อนจะทุบฝ่ามือกดปุ่มดึงม่านสีดำทึบที่ปิดผนังกระจกขึ้น

แสงสว่างจ้าของแดดร้อนในเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อว่ากรุงเทพมหานครสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกใสที่กั้นเป็นผนัง พร้อมๆ กับฉายทิวทัศน์ของตึกรามบ้านช่องที่สูงตระหง่านค้ำฟ้า ด้านล่างมีรถขับเคลื่อน ผู้คนเดินขวักไขว่ เห็นแต่ความวุ่นวาย

ขิมกอดอกแล้วพยักหน้าให้แม่ดวงเดือนคนแปลกหน้าผู้ประหลาดที่หลงมาจากหลุมดำไหนไม่รู้อย่างท้าทาย

"จะเอาไง" ขิมถามแม่ดวงเดือนคนแปลกหน้าที่หน้าซีดเซียวจนน่ากลัว ดวงตาสวยจดจ้องแต่ทิวทัศน์ด้านนอกอย่างตื่นตะลึง

ตึ้ง! ร่างกายบางของนวลนางผู้เรียบร้อยล้มพับลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาขิม

"โอ้ว ให้ตายสิพับผ่า เป็นลมอีก จะคุยกันให้จบก่อนก็ไม่ได้"  ขิมว่าแล้วหมุนตัวเข้าหาหน้าจอคอมพร้อมๆ กับกดปุ่มปิดม่านให้ห้องกลับมามืดสนิทอีกครั้ง ตามประสาคนที่โลกส่วนตัวสูงไม่ชอบสังคมวุ่นวายที่เห็นด้านล่าง

สมองคิดถึงหญิงสาวที่ล้มลงตรงพื้นด้านหลัง แล้วมือก็ละเลงกดคีย์บอร์ดเพื่อเสิร์ชหาคำตอบจากเหตุการณ์ประหลาดที่ตัวเองเจอทันที

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น