web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 110
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 107
Total: 107

ผู้เขียน หัวข้อ: Hidden Agenda Chapter 2  (อ่าน 2314 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Hidden Agenda Chapter 2
« เมื่อ: 25 มกราคม 2014 เวลา 08:20:57 »
Chapter 2

“น้องนัสครับ ยิ้มนิดนึงครับ น่านแหละครับ... ดีครับ สวยจ้ะ... โอ๊ะ! ท่านี้... เป๊ะมาก”

เสียงช่างภาพร้องบอกกับนางแบบที่กำลังโพสท่าอยู่ด้านหน้า เธอคนนี้มีใบหน้าหวานๆ ดวงตากลมโต ริมฝีปากบางๆ ที่มักจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เสมอ ตอนนี้ใบหน้าของเธอกำลังส่องประกายวาววับด้วยการแต่งหน้าในแนวเมทัลลิคให้เข้ากับคอนเส็ปแบบอวกาศ

“เสร็จแล้วจ้ะ”

“ขอบคุณค่ะ” ดาราสาวยกมือไหว้ช่างภาพและสไตลิสต์ก่อนที่จะเดินไปขอดูภาพที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“ทุกภาพโอเคหมดเลยค่ะน้องนัส” แอน สไตลิสต์สาวของนิตยสารเล่มนี้ชม “วันนี้สวยเพอร์เฟ็กมากๆ เลยค่ะ”

“พี่แอนชมเกินไปแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” เจ้าของชื่อพูดแบบเขินๆ

“พี่ว่าน้องนัสไปเปลี่ยนชุดเถอะค่ะ ท่าทางจะรำคาญไอ้ลูกกลมๆ บนหัวแย่แล้ว” สไตลิสต์สาวพูดแล้วดันหลังให้ดาราสาวรีบไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่งตัว

วีนัส ดาราสาวหน้าหวานถอดเครื่องประดับที่ศีรษะของเธอออกแล้วลงมือเปลี่ยนชุด หลังจากนั้นก็เดินออกมาเพื่อล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้า เธอยิ้มน้อยๆ ให้กับผู้ช่วยช่างภาพที่เดินเข้ามาเก็บของในห้องแต่งตัว

“เอ้อ... น้องนัสเปลี่ยนชุดเสร็จพอดีเลย จะคุยก็รีบมาเร็ว” แอนที่เปิดประตูเข้ามาเห็นดาราหน้าหวานก็หันไปคุยกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ในมือของเธอคนนั้นมีสมุดโน้ตเล่มเล็กพร้อมกับเครื่องอัดเสียงติดมาด้วย

“น้องนัสคะ คนจากกอง บก. จะขอสัมภาษณ์นิดนึงนะ” สไตลิสต์สาวเดินเขามาบอกกับสาวเจ้าของชื่อ

“ค่ะ ยินดีค่ะ” นัสหันไปยิ้มให้กับนักเขียนจากกอง บก.

“ขอบคุณค่ะ พี่ชื่อโบนะคะพี่ขอสัมภาษณ์น้องนัสนิดนึงค่ะ งั้นขอเริ่มเลยนะคะ... คำถามแรก ช่วงนี้มีผลงานอะไรบ้างคะ” นักเขียนสาวแนะนำตัวเองแล้วก็เริ่มถามคำถาม

“ละครเพิ่งปิดกล้องไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ นัสก็เลยเพิ่งจะได้พัก ช่วงนี้มีงานถ่ายแบบแล้วก็เดินแบบนิดหน่อยค่ะ”

โบพยักหน้าหงึกหงัก “ค่ะ ได้ข่าวมาว่าทางบริษัทจะวางตัวให้เป็นนางเอกหนังนี่จริงหรือเปล่าคะ”

“อันนี้นัสยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงต้องให้ผู้ใหญ่พิจารณา นัสเองก็ยังไม่เคยเล่นหนังมาก่อน ถ้าจะได้เล่นจริงๆ ก็คงต้องฝึก แล้วก็เข้าเวิร์กช็อปกันก่อนน่ะค่ะ เพราะนัสเองคิดว่าตัวเองก็ยังใหม่อยู่กับวงการนี้”

“อ๋อค่ะ... แต่แหม เล่นละครมาตั้งหลายเรื่องแล้วยังคิดว่าตัวเองยังใหม่อยู่อีกเหรอคะเนี่ย” นักเขียนสาวแซว แล้วก็ยิงคำถามต่อว่า “จริงๆ แล้วน้องนัสอยากเล่นหนังมั้ยละคะ”

ดาราหน้าหวานยิ้ม “ถ้ามีโอกาสก็อยากค่ะ แต่ก็อย่างที่เรียนให้พี่ทราบ แล้วแต่ทางผู้ใหญ่เค้าจะพิจารณาค่ะ ถ้ามีโอกาสจริงๆ ก็ถือว่าทางผู้ใหญ่ให้โอกาสนัสค่ะ”

“แล้วน้องนัสคิดยังไงกับฉายาของตัวเองในเรื่องรักสุดขอบฟ้าที่มีคนตั้งให้ว่า ‘สาวเจ้าน้ำตา’ คะ” โบถามต่อ

“อืม จริงๆ แล้วนัสเป็นคนที่ร้องไห้ยากนะคะ แต่ในละครที่เล่นมันต้องร้องไห้เยอะมาก แล้วก็ยากมาด้วย ฉากร้องไห้แต่ละครั้งที่เทคแล้วเทคอีกแต่ด้วยความว่าบทมันเศร้าด้วย นัสก็เลยต้องทำอารมณ์ให้เศร้าตามบทที่ได้รับค่ะ”

“อ้ะ... จริงๆ แล้วน้องนัสเป็นคนร้องไห้ยากงั้นเหรอคะ” นักเขียนสาวทวนคำถาม

“ค่ะ นานๆ ทีจริงๆ ค่ะถึงจะร้อง ถ้าร้องก็ต้องเป็นเรื่องที่กระทบความรู้สึกมากๆ หรือเป็นสิ่งที่นัสรักจริงๆ อย่างเรื่องพ่อ แม่ หรือเพื่อน แล้วถ้าร้องก็จะไปแอบร้องกับตัวเองคนเดียวด้วย ไม่ยอมให้ใครเห็นค่ะ”

“งั้นแสดงว่าบุคลิกของน้องนัสจริงๆ ก็ไม่ได้นุ่มนิ่มตามบทเอม นางเอกของเรื่องใช่มั้ยคะ... ถ้างั้นเวลาเข้าฉากดราม่านี่ทำยังไงละคะ”

“คือจริงๆ แล้วนัสเป็นคนนิ่งๆ แล้วก็ขี้อายนิดๆ แต่ว่าหน้านัสที่เป็นแบบนี้” ดาราหน้าหวานชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง “คนอื่นเค้าก็เลยคิดว่านัสเป็นคนหวาน เรียบร้อย จริงๆ แล้วถึงนัสจะค่อนข้างขี้อาย แต่ว่าเวลาที่มีคนทำอะไรให้นัสไม่พอใจ นัสก็ไม่ค่อยยอมให้เท่าไหร่ค่ะเพราะตอนที่อยู่อเมริกาก็เจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะแต่ก็พยายามไม่สนใจอะไรค่ะ... ทีนี้... พอมารับงานแสดงพวกฉากร้องไห้ ฉากดราม่าก็ค่อนข้างเครียดเพราะมันต้องใช้อารมณ์เยอะ บางทีเครียดจนถึงขั้นไมเกรนขึ้นก็มีล่ะค่ะ”

“พูดแบบนี้ก็แสดงว่าไม่ค่อยชอบบทดราม่าใช่มั้ยคะ” โบแซวอีกฝ่าย

“อุ้ย... ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะนัสค่อนข้างจะจริงจัง ก็เลยตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด บางทีจำบทไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกแต่ก็ไม่อยากจะไปเป็นตัวถ่วงคนอื่นเขา มันยิ่งรู้สึกกดดันหนักเลยล่ะค่ะ บางวันต้องร้องไห้ตั้งแต่เช้ายันเย็น พอกลับถึงบ้านก็เพลียมากแต่ก็ต้องอ่านบทเตรียมพร้อม วันต่อมาก็ต้องมาร้องไห้อีกเหมือนเดิม แล้วนัสเป็นไมเกรนอยู่แล้วด้วย พอเครียดแล้วจะลงกระเพาะตลอดพอมีบทแบบนี้มาเยอะๆ ก็เลยแย่นิดหน่อย”

“แล้วเรื่องหัวใจละคะ... ได้ข่าวแว่วๆ มาว่าน้องนัสกำลังกิ๊กๆ กับพี่เชนพระเอกของเรื่องนี่จริงหรือเปล่าคะ เห็นได้ข่าวมาว่าเวลาเข้าเลิฟซีนหรือซีนหวานๆ ทีไรต้องเขินตลอด ในเรื่องฉากเลิฟซีนหวานๆ น้ำตาลเรียกแม่ด้วยกันเยอะมากๆ เล่นเอาพวกพี่นี่จิกหมอนกันเลยทีเดียว เขินนี่เขินแบบไหนเหรอคะ”

วีนัสหัวเราะ “ไม่ได้เขินแบบที่คิดหรอกค่ะ ออกแนวเขินแบบขำๆ มากกว่าเพราะนัสไม่ได้คิดกับพี่เขาแบบนั้น นัสมองเค้าเป็นพี่เชน มองเหมือนพี่เหมือนเพื่อนกันมากกว่า เวลาคุยกันปกติก็จะเรียกแทนตัวกันว่าพี่ๆ น้องๆ แล้วพอต้องมาเล่นฉากสวีทกันมาจิ๊จ๊ะใส่กันมันก็จั๊กจี้น่ะค่ะ มันรู้สึกขำๆ พอมาเจอคำพูดหวานๆ ในบทเข้ามันก็เลยไม่ชินเลยยิ่งขำไปกันใหญ่”

“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ ไม่มีอะไรจริงๆ แน่นา”

“ก็ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ... เพราะว่าอยู่ในกองจะพูดเล่นกันตลอดแบบพี่ๆ น้องๆ พอต้องมาแสดงหวานๆ บอกฉันคิดถึงเธอนะ นัสก็ต้องขอตั้งสมาธิก่อน บอกว่าเดี๋ยวแป๊บนึงนะ ขอขำก่อน คือ... มันไม่ไหวจริงๆ รับไม่ได้ รู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันแล้วมาแสดงแบบนี้มันดูขัดแย้งมาก ผู้กำกับเขาก็จะรู้ค่ะว่าก่อนจะแสดงจริงต้องปล่อยให้นัสขำให้สุดก่อนถึงจะเล่นได้ ไม่งั้นเล่นไปก็จะหัวเราะออกมาแน่ๆ” ดาราหน้าหวานพูดแล้วก็หัวเราะออกมา

โบหัวเราะตามไปด้วยแล้วก็ยิงคำถามต่อไปว่า “พูดอย่างนี้แสดงว่าน้องนัสคงไม่ชอบผู้ชายประเภทเข้ามาจีบแบบหยอดคำหวานใช่ป่ะคะ”

“อืม... นัสเป็นจะเป็นคนค่อนข้างเงียบถ้าไม่สนิทจะไม่ค่อยพูด แต่พอสนิทจะพูดมากขึ้นกว่าเดิมก็จะแบบสนิทก็คุยได้ กล้าแสดงออกค่ะ เวลามีอะไรก็เก็บเอาไว้คนเดียว รู้สึกอยู่คนเดียว...” วีนัสพูดแล้วเงียบไปนิดหนึ่งราวกับเธอกำลังนึกถึงใครบางคน

“แล้ว... ยังไงต่อคะ” นักเขียนสาวถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

“เอ่อ... ก็... เวลาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องความรัก... ด้วยความที่ว่านัสโตที่เมืองนอกเรื่องแบบนี้พวกฝรั่งเค้าจะบอกตรงๆ เลยว่า เอ้ย ไอชอบยูนะเป็นแฟนกันมั้ย ถ้าอยากคบก็โอเค ถ้าไม่ก็ไม่เป็นเพื่อนกัน นัสก็เลยเคยชินกับแบบนั้นมากกว่า พอมาอยู่เมืองไทย เจอคนมาจีบแบบหยอดๆ เล่นมุกจีบแบบขำๆ ก็เลยรู้สึกขำๆ ตลกๆ น่ะค่ะว่าแบบ... อะไรเนี่ย อยากจะพูดอะไรก็พูดสิ อยากจะบอกอะไรก็บอกมาสิ”

โบอมยิ้ม “โห... ถ้าใครมาจีบน้องนัสก็ต้องมาบอกตรงๆ เลยใช่มั้ยคะ”

“ก็... ประมาณนั้นแหละค่ะ” ดาราหน้าหวานตอบแบบยิ้มๆ

“แล้วสเป็กละคะ เป็นยังไง”

“นัสชอบคนที่คุยกับนัสรู้เรื่อง ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้ ส่วนหน้าตาไม่ได้จำกัดค่ะ ขอแค่พอไปวัดไปวาได้ คุยด้วยแล้วไม่เบื่อ เอนจอยกับเค้า จะขำหรือเป็นตัวของตัวเองค่ะ”

“อ๋อค่ะ แบบนี้หนุ่มๆ คงต้องแย่งกันขายขนมจีบให้น้องนัสแน่นอนเลย สุดท้ายแล้วล่ะค่ะ น้องนัสอยากจะฝากอะไรให้กับผู้จัดแล้วก็แฟนๆ บ้างคะ” นักเขียนสาวพูดพลางมองที่นาฬิกาข้อมือ

“นัสก็ขอขอบคุณบริษัท ผู้จัดทุกท่านนะคะที่ให้โอกาสนัสให้มายืนตรงจุดนี้ได้ ต่อไปถ้ามีละครหรือหนังแนวอื่นเข้ามาให้เล่นบ้างก็คงจะดีค่ะ นัสเองก็อยากลองเหมือนกันค่ะ แล้วก็ขอขอบคุณแฟนๆ ทุกคนด้วยนะคะที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งทำแฟนเพจให้ ทั้งติดตามในอินสตราแกรม ยังไงนัสก็จะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เต็มที่ๆ สุดค่ะ แล้วก็จะพยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานชิ้นต่อๆ ไปด้วยนะคะ”

เมื่อการสัมภาษณ์จบลงดาราหน้าหวานก็ยิ้มให้กับโบและแอนที่นั่งฟังอยู่ รวมทั้งส่งยิ้มให้กับช่างภาพและผู้ช่วยช่างภาพที่มองเธอด้วยสายตาเป็นประกาย หลังจากนั้นก็ขอตัวออกมา

“เฮ้อ... เจอถามแบบนี้อีกแล้ว” วีนัสบ่นกับตัวเองเบาๆ เมื่อหย่อนตัวลงนั่งที่รถยนต์คันเก่งของเธอ

ดาราหน้าหวานเปิดกระเป๋าถือข้างตัวพลางควานหาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ด้านใน เมื่อได้เครื่องมือสื่อสารมาแล้วเธอก็เปิดดูรูปภาพที่อยู่ในนั้น

“เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย ทำไมไม่โทรหาเราสักทีล่ะ” เธอบ่นให้กับคนๆ หนึ่งที่อยู่ในภาพนั้น

วีนัสโยนโทรศัพท์มือถือลงไปที่เบาะข้างคนขับ หลังจากนั้นเธอก็สตาร์ตรถ แล้วขับตรงออกไปที่ถนนใหญ่เพื่อกลับบ้าน

บนโต๊ะว่างมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง ณ โรงแรมใจกลางจังหวัดยโสธร ซึ่งใช้เป็นสถานที่ในการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่จากสถาบันพัฒนาเครือข่ายองค์กรชุมชนและบริษัท GNN สำหรับงานที่สำเร็จลุล่วงในวันนี้ สายป่านรัวนิ้วลงคีย์บอร์ดราวกับติดจรวดเพื่อพิมพ์คาแรคเตอร์และบทคร่าวๆ ของตัวละครที่เป็นเพื่อนสนิทของนางเอกภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่างรวดเร็ว เธอพิมพ์ข้อความและแอบมองกี้ที่กำลังยืนคุยอยู่กับสอง จอย และเนมอย่างสนุกสนานไปด้วย เธอตัดสินใจแล้วว่าจะใช้สาวเซอร์คนนี้เป็นต้นแบบของคาแรคเตอร์ที่เธอติดกับตัวละครตัวนี้จนทำให้คิดไม่ออกอยู่นาน

“หึ หึ หึ สมองเอ๋ย จงพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ คืนนี้ฉันจะเขียนให้จบเลยทีเดียว โต้รุ่งก็ยอม” สาวแว่นพูดพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มหน้าจอคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป

“พี่ป่านทำอะไรอยู่อ่ะคะ” เอ ดาราสาวหน้าเกาหลีเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นหญิงสาวเจ้าของชื่อนั่งอยู่คนเดียว เธอกำลังจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ

สายป่านยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ประหนึ่งตำรวจจราจรสั่งให้รถบรรทุกหยุดเพื่อรับส่วยพร้อมกับส่งเสียงห้ามไม่ให้ดาราสาวเข้าใกล้เธอมากกว่าไปกว่านี้

“อ้ะๆๆ สต็อปปุ หยุดอยู่ตรงนั้นเลย อย่าเพิ่งเข้ามานะจ้ะคนสวย หากเข้ามาใกล้พี่ตอนนี้ พี่คงไม่มีสมาธิและชีวิตพี่ก็คงจะดับแดดิ้น ตอนนี้ขออยู่คนเดียวสักพักนะคะ พอดีว่ามีสิ่งที่สำคัญมากที่พี่ต้องทำอย่างด่วนจี๋”

เอหยุดชะงักทันทีด้วยความตกใจ “อ... อะไรอ่ะคะพี่”

“ไม่ใช่ว่าพี่จะรังเกียจสาวสวยนะคะ แต่ ณ จุดนี้พี่ต้องขอยกเว้นจริงๆ ค่ะ น้องเออย่าเพิ่งชวนพี่คุยตอนนี้นะคะ พอดีพี่กำลังยุ่ง” สาวแว่นพูด

“เอ่อ... ค่ะ ง... งั้นเอไปนะคะ”

ดาราสาวหน้าเกาหลีค่อยๆ ก้าวเท้าเดินออกไป เธอเข้าไปสมทบกับติ๊ก ดาราชายหน้าทะเล้นที่ตอนนี้เข้าไปคุยกับกี้แล้ว สายป่านถึงกับหลุดขำก๊ากออกมาเมื่อเห็นว่าจู่ๆ สาวเซอร์ก็รีบเดินหายออกจากห้องไปพักหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกับแบกป้ายคัตเอ้าท์ที่เจ้าตัวบอกว่าขอมาจากร้านสะดวกซื้อติดมาด้วย และก็ขอให้ดาราทั้งสองคนยืนคู่กับป้ายและทำท่าให้เหมือนกับป้ายนั้น ซึ่งก็ทำให้พรีเซนเตอร์ทั้งสองก็ทั้งตกใจทั้งขำออกมาในเวลาเดียวกันแต่ก็ยอมทำตามคำขอของกี้

“เป็นคนห้าวๆ เซอร์ๆ ติสต์นิดๆ ชอบเล่นมุกแป้กๆ แบบหน้าตาย แต่เวลาทำงานก็จริงจัง และเป็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้ กับพริมที่เป็นเพื่อนสนิทถือว่าแค่มองตาก็รู้ใจ อะไรที่พริมรู้คนนี้ก็ต้องรู้ และคอยเป็นกำลังใจให้ในสไตล์ของตัวเอง” สาวแว่นเขียนคำจำกัดความของตัวละครที่เธอกำลังเขียนอยู่ลงไป

“จะให้ชื่ออะไรดีน้า...” นักเขียนบททำท่าครุ่นคิดพลางมองไปด้านหน้า ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ของสถาบันฯ หลายต่อหลายคนเริ่มเข้ามาเล่นกับสองดาราและป้ายคัตเอ้าท์มากขึ้นแล้ว

“ว้า... คิดไม่ออกแฮะ” สายป่านพูดออกมาหลังจากนั่งคิดอยู่เกือบ 10 นาที ตอนนี้งานเลี้ยงเริ่มอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เพราะโรงแรมเริ่มเปิดถาดอาหารเพื่อให้แขกทุกคนลงมือทาน

สาวเซอร์เดินเข้าไปมองๆ อาหารที่อยู่บนโต๊ะโดยที่ควงป้ายคัตเอ้าท์ที่เป็นรูปของเอไปด้วยจนพรีเซนต์เตอร์ตัวจริงรู้สึกอายก็เลยขอให้เอาไปเก็บ กี้หันมามองสาวแว่นนิดหนึ่งพร้อมกับใช้ทัพพีตักอาหารกวักเรียกให้อีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอมาเข้ามาทานด้วย ซึ่งเธอก็ถูกตั้มเบิ๊ดกะโหลกเพราะถือว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่มีมารยาทรวมทั้งยังมีอีกหลายคนที่กำลังยืนรอที่ด้านหลังของเธออยู่ สายป่านหัวเราะกับภาพนั้น เธอพยักหน้าให้กับกี้เล็กน้อย

“ให้ชื่อกี้ไปก่อนก็แล้วกัน”

สาวแว่นพูดแล้วสกอร์เมาส์เลื่อนหน้ากระดาษขึ้นไปที่บรรทัดบนสุดของไฟล์ กดพิมพ์คำว่า ‘กี้’ ที่หน้าคาแรคเตอร์ของตัวละครที่กำลังเขียนอยู่ หลังจากนั้นก็ปิดฝาแล็ปท็อปแล้วเดินไปสมทบกับพนักงานคนอื่นๆ ของบริษัทที่กำลังยืนรอตักอาหาร

หลังจากทานอาหารไปได้พักหนึ่งบนเวทีก็เริ่มโชว์การแสดงจากดาราของบริษัท GNN โดยที่เบส นักร้องหนุ่มคิ้วเข้ม ก็ขึ้นไปร้องและเต้นเพลงของตัวเองสร้างความสนุกสนานให้กับบรรดาสมาชิกที่อยู่ในห้องเป็นอย่างมาก และตามมาด้วยการโชว์ร้องเพลงของติ๊กและเอ สองดาราก่อนที่พิธีกร (จำเป็น) จะตัดเข้าการพูดคุย

“สวัสดีครับ ผมกร MC จำเป็นจากสถาบันพัฒนาเครือข่ายองค์กรชุมชนครับ” ชายหนุ่มผมยาวรูปร่างผอมบางกล่าวทักทายทุกคน “เป็น MC วันนี้ได้เพราะจับสลากแพ้คนอื่นเค้าน่ะครับ” พูดจบทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะ

“เมื่อสักครู่นี้เราก็ได้รับชมการแสดงจากดาราของ GNN ไปแล้วนะครับ แต่ละคนหล่อๆ สวยๆ กันทั้งนั้นเลยเนอะ”

พอกรพูดจบมีเสียงผู้ชายตะโกนแทรกขึ้นมาแล้ว “ชมแต่หน้าตาแล้วเพลงที่พวกเค้าร้องล่ะ”

“เอ่อ... พอดีผมไม่ได้ฟัง กำลังเมาอยู่” หนุ่มผมยาวพูด เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ยังไงก็คิดว่าเพราะแน่นอนครับ งานวันนี้ก่อนอื่นเลยทางสถาบันฯ ก็ต้องขอขอบคุณทางบริษัท GNN นะครับที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะงานในวันนี้ก็การอนุรักษ์ป่าชุมชนที่ถือว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของชาวบ้านครับ”

เสียงปรบมือดังขึ้น กรรอให้เสียงนั้นเบาลงแล้วพูดต่อไปว่า “และต้องขอขอบคุณเจ้าภาพอย่างท่านนายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านทุกคนที่เห็นความสำคัญของป่า และให้ความร่วมมือในการทำงานกับพวกเราครับ”

หลังจากนั้นหนุ่มผมยาวก็เชิญให้ตัวแทนจากสถาบันฯ ขึ้นมามอบของที่ระลึกให้แก่ดาราหนุ่มหน้าทะเล้นที่เป็นตัวแทนของบริษัท GNN และทางฝ่ายดาราก็มีของที่ระลึกตอบแทนคนทำงาน เมื่อเสร็จพิธีกรก็พูดขึ้นมาว่า

“และเหนือสิ่งอื่นใด งานของเราที่สำเร็จลุล่วงในวันนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่มีหน่วยกล้าตายทั้ง 6 ชีวิตที่เดินทางล่วงหน้าเข้ามาตระเตรียมงานให้ก่อนถึง 1 อาทิตย์ ได้ข่าวมาว่าเจอทั้งฝน เจอทั้งผี จนจับไข้หัวโกร๋นไม่ได้นอนกันเลย” เสียงหัวเราะลั่นขึ้นมาเมื่อหนุ่มผมยาวพูดประโยคนี้

“ขอเชิญทหารแนวหน้า หน่วยกล้าตายของเราทั้ง 6 คนมาหน้าด้าน เอ้ย มาที่ด้านหน้าด้วยครับ” พิธีกรจำเป็นพูดพร้อมกับเสียงปรบมือ แต่ดูเหมือนว่าผู้ถูกพาดพิงทั้ง 6 ชีวิตยังไม่มีใครกล้าออกมา ทุกคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“อ้าวๆ อย่าเพิ่งเมากันสิครับพี่น้อง รอผมก่อนสิ ช่วยกันทำมาหากินหน่อย... เฮ้ย! กูบอกให้พวกมึงออกก็ออกมาหน่อยสิวะครับ” เสียงของกรดังขึ้นมาอีกครั้ง “สอง... ลากกี้กะจอยออกมาเลย”

สาวหมวยตะโกนขึ้นมาจากด้านหลังห้องว่า “แล้วพี่ตั้ม พี่โชค แล้วก็พี่ชิดละคะ”

“ไอ้ 6 คนนั้นถ้ายังไม่ออกมาจะโดนตัดเงินเดือน” จู่ๆ ชายใส่แว่นผิวคล้ำแดดก็มาแย่งไมโครโฟนออกจากมือพิธีกรแล้วพูดเสียงดัง ชายคนนั้นคือสกล เจ้านายของทั้ง 6 คนนั้นเอง

ผู้ถูกพาดพิงทั้ง 6 ค่อยๆ เดินออกมายืนที่หน้าห้องประหนึ่งนักเรียนที่โดนทำโทษให้ยืนหน้าชั้น “ทำอะไรคิดกันบ้างสิ โตๆ กันแล้ว ทำไมต้องให้อายคนอื่นด้วย” เจ้านายกระซิบด่าลูกน้องรายตัวก่อนที่จะส่งไมค์คืนให้กับหนุ่มผมยาว

“มาแล้วนะครับทหารแนวหน้า หน่วยกล้าตายของเราที่เดินทางเข้าไปเตรียมตัวงานให้เราในวันนี้ สมาชิกก็มีคุณโชค คุณตั้ม คุณจอย คุณสอง คุณกี้ และคุณชิดครับ” เสียงปรบมือดังขึ้นให้กับหน่วยกล้าตาย

“ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าเจอผีหลอกกันตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายเลยใช่มั้ยครับ อยากทราบความรู้สึกว่าเป็นยังไงบ้างครับ” กรถามแล้วยื่นไมค์ไปจ่อปากจอย

“เอ่อ... คนที่ไม่เจอไม่รู้หรอกค่ะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง” สาวอวบตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“แล้วคุณกี้ละครับ รู้สึกยังไง แล้วตอนที่เจอมีอาการยังไงครับ”

แทนที่จะตอบออกมาเหมือนกับเพื่อน กี้กลับตอบออกมาแบบกวนๆ ตามสไตล์ตัวเองว่า “อ่า... รู้สึกแปลกๆ ค่ะ แล้วก็มีอาการหนาวแต่เหงื่อออกเป็นเม็ด ขนก็ลุกตั้งชันทั้งตัว นั่งไม่ได้ต้องยืนเกร็งอย่างเดียว ไม่ทราบว่าทุกคนเคยเป็นหรือเปล่าละคะ... เอ่อ... มันก็รู้สึกแบบนั้นล่ะคะ”

“โห... น่ากลัวจังเลยนะครับ ขนลุกเลย ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น มีใครเคยเป็นแบบที่คุณกี้เล่าบ้างหรือเปล่าครับ” หนุ่มผมยาวหันไปถามผู้ชมที่นั่งอยู่ ซึ่งก็มีคนยกมืออยู่ประมาณ 4 – 5 คน

“เฮ้ยกี้... อาการที่แกเล่าอ่ะ แบบนั้นไม่ใช่อาการที่เจอผี อันนั้นเค้าเรียกกว่าอาการหนาวขี้เว้ย ปวดท้องแต่เข้าห้องน้ำไม่ได้ แกเป็นแบบนั้นเพราะฝนตก ห้องน้ำมันอยู่ข้างนอกก็เลยลงไปเข้าห้องน้ำไม่ได้จนกว่าฝนจะซา ก็เลยเกิดอาการแบบนั้น” หนุ่มสกินเฮดตบมุกเพื่อนพร้อมกับเล่าความจริงให้ฟัง

“อ้าวเหรอ” สาวเซอร์หันไปมองเพื่อนด้วยใบหน้ามึนๆ

สิ้นเสียงของโชคและกี้ เสียงหัวเราะของทุกคนก็ดังลั่นห้องพร้อมด้วยเสียงปรบมือแบบชอบใจ สายป่านรีบคว้าสมุดโน้ตออกมาจดมุกที่สาวเซอร์เล่นเผื่อว่าจะนำไปเขียนในบทได้ หลังจากนั้นทั้งหมดก็เล่าถึงการไปเตรียมงานล่วงหน้าแต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องผีที่ทุกคนในห้องอยากรู้เลย

“ทำไมไม่เล่าเรื่องผีล่ะ อยากรู้อ่ะว่าเจอกันยังไง” เนมตะโกนขึ้นมาจากโต๊ะตัวหนึ่ง

“อยากเจอแหรอจ้ะน้องสาว” ตั้มถามกลับ

“ไม่ได้อยากเจอ แค่อยากรู้”

หนุ่มตี๋ทำเสียงแหบต่ำเรื่องเสียงบรรยายในรายการผี “อยากรู้จริงๆ เหรอ... บอกให้ก็ได้... เตือนแล้วนะผลเป็นยังไงไม่รู้ด้วย อาจจะผิดหวังก็เป็นได้...”

ผู้ฟังกลั้นหายใจบ้างก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อกเพื่อเตรียมตัวรับสารในสิ่งที่ตั้มจะเล่า ซึ่งสิ่งที่เข้าบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นมากก็คือ

“ฟังให้ดีๆ อย่าพลาดเลยนะ... คืนนี้... ผีเตะกับปืนตี 1 ครึ่ง”

“โหยยยยยยย” เสียงร้องของทั้งเจ้าหน้าที่สถาบันและพนักงาน GNN ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของคนเล่าที่ยืนอยู่หน้าห้อง

“ขอเหตุผลจริงๆ สิ เอาจริงๆ อ่ะ ทำไมไม่เล่ากันเลย ตั้มกับจอยบอกว่าจะเล่าต่อไม่ใช่เหรอ” เสียงของเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งดังขึ้นมา

“เอาจริงๆ หรือเล่นๆ ล่ะ” สาวอวบถาม

“เอาจริงดิ” เสียงคนอื่นๆ ตอบกลับมา

จอยสะกิดให้สองที่กำลังแอบยืนเช็คข้อความในโทรศัพท์มือถือของตัวเองพูดบ้าง เพราะดูท่าทางน่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่ม

“ห... เอ่อคือ... มันเล่าไม่ได้จริงๆ ว่ะ เพราะถามชาวบ้านแล้วว่าถ้าเล่าให้คนอื่นฟังแล้วเค้าจะตาม อย่างตอนที่พี่ตั้มกับพี่จอยเล่าให้เนมฟัง หลังจากนั้นก็โดนอีก พวกเราคุยก็เลยคุยกันแล้วก็ไปถามแม่เฒ่า เค้าก็บอกว่าถ้าเล่าให้ใครฟังแล้วจะโดนแบบนี้เรื่อยๆ ก็เลยไม่ขอเล่านะ เพื่อความปลอดภัยในสุขภาพจิตของพวกเราเอง”

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายยืดยาวจากสาวหมวย ทุกคนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ กรจึงตัดบทด้วยการแนะนำการกิจกรรมที่สถาบันฯ เตรียมมาให้ทุกคนในห้องเล่น นั่นคือเก้าอี้ดนตรี และเหยียบลูกโป่ง หน่วยกล้าตายทั้ง 6 จึงได้กลับเข้าที่นั่งของตัวเอง

“เนม... แกจะหนีไปไหน มาให้เหยียบซะดีๆ” เสียงตะโกนโหวกเหวกของสองดังขึ้นด้านหน้าสาวแว่นที่กลับลงไปนั่งหน้าแล็ปท็อปอีกครั้ง

“อยู่ให้โง่อ่ะดิ ใครจะไปยอมให้แกเหยียบ อ้ะ... อย่ามาขวางเค้านะไอ้ตั้ม ไอ้บ้า ” เสียงของเนมดังขึ้น

ระหว่างที่ทุกคนกำลังทำกิจกรรมอยู่ สาวแว่นก็แอบมองพฤติกรรมและท่าทางของกี้ที่กำลังไล่เหยียบลูกโป่งบนข้อเท้าของแจน PR สาวประจำบริษัทอยู่พลางจดข้อมูลลงสมุดโน้ตยุกยิกๆ ไปด้วย เธอยิ้มกริ่มและคิดว่าในคืนนี้บทในส่วนของเพื่อนสนิทนางเอกนั้นต้องเสร็จแน่นอน สายป่านกำลังนึกถึงแนวเพลงที่สาวเซอร์น่าจะชอบ เมื่อเช้าเธอได้ยินจากสองว่ากี้มีบุคลิกเหมือนแม่ค้าขายเสื้อผ้าแนวบ๊อบ มาร์เลย์ ซึ่งก็น่าจะเป็นแนวเร็กเก้

“เร็กเก้เหรอ... คนไทยฟังกันน้อยแฮะ หรือว่าคุณกี้เค้าคงจะชอบเพลงฝรั่งแบบเท่ๆ ละมั้ง แล้วจะลองถามยังไงดีละเนี่ย ท่าทางกวนๆ แบบนี้คุยด้วยยากแฮะ” สาวแว่นพูดกับตัวเอง ตอนนี้ต้นแบบตัวละครถูกถอดออกจาการแข่งขันแล้วเพราะเสียท่าให้กับสาวหมวยที่แอบย่องมาเหยียบลูกโป่งของตัวเอง

แต่กี้ก็ทำให้สายป่านอึ้ง เมื่อหนุ่มผมยาวแนะนำเพลงที่เจ้าหน้าที่สถาบันฯ จะขึ้นมาแสดงซึ่งสมาชิกมีอยู่ 3 คนนั่นก็คือสาวเซอร์ โชค และปาน เจ้าหน้าที่สาวอีกคนหนึ่ง ทั้งสามขึ้นมาร้องเพลงเพื่อชีวิตโดยที่หนุ่มสกินเฮดทำหน้าที่เป่าขลุ่ย กี้เล่นกีต้าร์ และปานเป็นคนร้องเพลง

ตะวันส่องใส แดดฉายลงมา ทาบทาทิวทุ่ง
แผ่วลมผ่านโรย เหมือนโปรยกลิ่นปรุง ดอกฟางหอมลอย
ดอกหญ้าดาว วับวาวทางเกลื่อน เหมือนดังหยาดพลอย
แตะนิดต้องน้อย ราวมณีร่วงพรู พัดพรายลงดิน

จะอยู่แดนไหน สุดฟ้าแสนไกล คะนึงถึงถิ่น
ด้าวแดนแผ่นดิน ที่เราจากมา เนิ่นนานแสนนาน
ดอกหญ้างาม งดงามดังก่อน หรือร่อนร่วงราน
แดดร้อนดินแล้ง ลมระงมแผ้วพาน บ้านนาป่าเขา

ทุ่มกายทุ่มใจ เข้าโหมแรงไฟ หัวใจแรงเร่า
ยิ่งสร้างยิ่งทำ ระกำหนักเบา ดิ้นรนหนทาง
เจ้ามิ่งขวัญ ยิ่งวันยิ่งเดือน ยิ่งเลือนยิ่งราง
ทอดทิ้งทุ่งร้าง วันและวันผ่านเยือน เหมือนเดินทางไกล

ตะวันส่องแสง สาดแสงลงมา ทาบทาทางใหม่
ร่วมจิตร่วมใจ ก้าวไปก้าวไป ฝ่าภัยร้อยพัน
มิ่งขวัญเอ๋ย หัวใจเรามั่น เหมือนทานตะวัน
เฉิดแสงแรงฝัน กลางรวีตะวัน สีทองส่องใส

(เพลงทานตะวัน: ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี/ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)

เสียงร้องเพลง เสียงกีต้าร์และขลุ่ยจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ชมที่นั่งอยู่ในห้อง สาวแว่นนั่งคิดอยู่ในใจว่าถ้าเขียนว่าชอบเพลงเพื่อชีวิตลงไปในเรื่องทางเบื้องบนคงไม่ให้ผ่านแน่ เพราะไม่ใช่แนวที่พวกเขาคิดจะทำ เธอจึงต้องเขียนลงไปว่า

‘กี้... ชอบเพลงฝรั่งจังหวะเท่ๆ’

“มันก็แค่ตัวละครเท่านั้นล่ะน่า ไม่เห็นจะต้องเหมือนตัวจริงเลย” สายป่านพูดกับตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ แล้วเธอเองก็รู้สึกเกร็งและกลัวถ้าจะต้องคุยกับกี้ขึ้นมาเป็นการส่วนตัว เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกและโมโหเอาง่ายๆ ถ้ามีคนกวนใส่ จึงทำได้แค่เพียงแอบมองอีกฝ่ายเพื่อเก็บข้อมูล แถมเธอก็กลัวขึ้นมาว่าถ้าเจ้าตัวรู้ว่าเป็นต้นแบบตัวละครในหนังนี่จะรู้สึกยังไง อาจจะดีใจ หรืออาจจะโดนฆ่าหมกห้องน้ำก็เป็นได้ สรุปคือเธอกลัวและเดาใจสาวเซอร์ไม่ออกก็เท่านั้นเอง

“ถ้าคุยกันง่ายๆ เหมือนคุณจอยกับคุณสองก็คงจะไปได้เร็วกว่านี้ละนะ แต่เป็นแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี” สาวแว่นบ่นกับตัวเองอีกครั้ง

ก็นั่งฟังเพลงต่อไปจากนักดนตรีสมัครเล่นทั้งสามคนในเพลงเพื่อชีวิตอีกครั้ง นั่นคือเพลงกำลังใจ ของคาราวาน

...

สามสัปดาห์ต่อมา...

“มันไม่ใช่อ่ะค่ะน้องนัส มันไม่ใช่แบบนี้” เสียงของอ๊อด ผู้กำกับหนุ่มร่างท้วมดังขึ้นขัดจังหวะการซ้อมของดาราสาวสองคนที่กำลังซ้อมบทคุยเล่นกันอยู่

“ไดอะล็อคน้องจำได้โอเคแล้วแต่ฟีลลิ่งพี่ว่ามันไม่ใช่อ่ะ ไม่ใช่เลย” ผู้กำกับหนุ่มพูดต่อไป

“ค่ะ... ขอโทษค่ะ...” ดาราเจ้าของชื่อรับคำด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน นี่เป็นครั้งที่ 5 แล้วที่เธอถูกอ๊อดว่าด้วยคำพูดเดิมๆ

“พักก่อน!” เสียงของผู้กำกับหนุ่มตะโกนบอกกับทีมงาน

ดาราหน้าหวานลงไปนั่งพักที่เก้าอี้ด้วยใบหน้าเซ็งๆ นี่แค่วันแรกของการเข้าเวิร์กช็อปสำหรับหนังเรื่องแรกของเธอก็มีปัญหาแล้วหรือนี่ ถ้าวันแรกเป็นแบบนี้แล้ววันอื่นๆ จะเป็นยังไงกัน แถมซีนที่กำลังซ้อมอยู่นี้เป็นซีนง่ายๆ แค่เพื่อนสองคนนั่งคุยกันเท่านั้น แต่ทำไมมันถึงยากขนาดนี้

“เหนื่อยมั้ยคะ” เอ ดาราสาวหน้าเกาหลี ผู้รับบทเป็นนางเอกชื่อพริมเดินเข้ามาถาม

“ก็... ค่ะ คือนัสยังไม่แน่ใจว่าตัวเองพลาดตรงไหน ก็เลยงงๆ ตรงที่พี่อ๊อดบอกว่าฟีลลิ่งมันไม่ได้” วีนัสพูดพลางเอามือเท้าคาง เท่าที่อ่านดูบทนี้เหมือนจะง่ายๆ แค่ปรับการพูดให้เป็นสไตล์กวนๆ เท่านั้น แต่ทำไมดูเหมือนจะเข้าไม่ถึงตัวละครตัวนี้สักที

“อืม... อันนี้เอก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ยังไงก็สู้ๆ ก็แล้วกันนะคะ” ดาราสาวตบไหล่คนที่นั่งข้างๆ

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

วีนัสนั่งเอามือเท้าคางอ่านคำบรรยายและบทสนทนาคร่าวๆ ของซีนที่กำลังซ้อมอยู่ในวันนี้อีกครั้ง เธอได้รับบทเป็นผู้หญิงชื่อกี้ เพื่อนสนิทของนางเอก ตัวละครตัวนี้เท่าที่อ่านดูเธอรู้สึกว่าเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ห้าวๆ เซอร์ๆ แต่ก็พึ่งพาได้ เธอได้รับบทนี้มาด้วยความไม่ตั้งใจของตัวเธอเอง ดูเหมือนว่าผู้บริหารจะโยนบทนี้ให้กับเธอโดยไม่เปิดให้นักแสดงคนอื่นๆ เข้ามาแคสติ้ง

‘ทำไมถึงให้บทนี้กับเราล่ะเนี่ย ข้างบนเค้ามี Hidden Agenda อะไรกันแน่นะ’ ดาราหน้าหวานคิดในใจ

หรืออาจเป็นเพราะผู้บริหารเห็นบทสัมภาษณ์ของเธอที่บอกว่าอยากจะเล่นแนวอื่นนอกจากสาวเรียบร้อย คุณหนู หรือสาวเจ้าน้ำตาอย่างที่เธอเคยแสดงมา หรือต้องการให้เธอพัฒนาฝีมือ

“ถ้าอยากให้พัฒนาทำไมไม่เปิดแคสล่ะ ถ้าเราแคสแล้วได้บทนี้มา แบบนั้นจะรู้สึกดีกว่าตั้งเยอะ แต่ได้บทมาแบบนี้รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ” วีนัสพูดพึมพำกับตัวเอง

และเมื่อถึงฉากที่จะต้องซ้อมต่อ เธอผ่านมันไปได้แค่ช่วงแรกๆ แต่พอมาถึงช่วงกลางๆ ซีนที่ตัวละครอย่างกี้ต้องตอบคำถามเพื่อนด้วยคำพูดกวนๆ แต่ทำหน้าเฉยๆ เธอกลับทำไม่ได้จนผู้กำกับส่ายหน้า

“น้องนัส... พี่ไม่ได้ว่างั้นงี้นะ พี่ว่าหนูต้องหาแอ็คติ้ง โค้ช (Acting Coach: ครูสอนการแสดง/ ที่ปรึกษานักแสดง) มาช่วยในบทนี้แล้วล่ะ เพราะพี่คิดว่าถ้าหนูจะเล่นบทนี้ต้องมีคนสอนแล้วก็ฝึกเยอะ”

“เอ่อ... ค่ะ แล้วหนูต้องทำยังไงบ้างละคะ” วีนัสยอมรับความผิดพลาดของตัวเองโดยดุษฎี

“อืม... เอาไงดีน้า” อ๊อดทำท่าคิด “เออใช่... เฮ้ย! ใครก็ได้ไปตามไอ้ป่านมาที” เขาตะโกนบอกทีมงานคนหนึ่งให้วิ่งออกไปตามเจ้าของชื่อ

“ป่าน... ใครอ่ะคะ” ดาราหน้าหวานถาม

“สายป่าน... คนเขียนบทไง” ผู้กำกับหนุ่มตอบ “เรียกมาเผื่อว่ามันจะมาช่วยหนูได้ หรือไม่ก็แนะนำได้ว่าใครควรที่จะมาเป็นแอ็คติ้ง โค้ชให้หนูไง”

“ร... เหรอคะ”

“อื้อ... เห็นว่ามันเขียนบทนี้จบแค่ 2 คืนเอง สงสัยจะได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรบางอย่าง ถ้าเรียกมาอธิบายก็คงจะให้ความกระจ่างกับหนูได้เรื่องบทนี่แหละ”

“ค่ะ... ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ หนูเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน” วีนัสพูดเสียงเบาๆ

“ตอนแรกพี่ว่าจะไม่ใช้ไอ้วิธีการเรียกแอ็คติ้ง โค้ชมาช่วยเนี่ย พี่อยากให้ซ้อมกันเองมากกว่าเวลารับ – ส่งมุกหรือบทระหว่างตัวละครมันจะได้ลื่น แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้พี่ก็คงต้องใช้วิธีนี้นี่แหละ”

“ขอโทษด้วยค่ะ” ดาราหน้าหวานพูดด้วยเสียงสำนึกผิด เธอรู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงของกองถ่ายอีกแล้ว นี่ขนาดยังไม่เปิดกล้องเลยนะ

“พี่อ๊อด... ป่านมาแล้ว” ทีมงานคนหนึ่งตะโกนบอกผู้กำกับ หลังจากนั้นร่างของสาวแว่น นักเขียนบทก็ปรากฏขึ้นมา

“ว่าไง มีอะไรเหรอ” สายป่านถามอ๊อดด้วยสีหน้างงๆ

“อยากให้แกแนะนำคนที่จะมาเป็นแอ็คติ้ง โค้ชให้น้องนัสหน่อย”

“ทำไมอ่ะ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 มกราคม 2014 เวลา 08:22:51 nuffy »




ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Hidden Agenda Chapter 2(continued...)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 25 มกราคม 2014 เวลา 08:22:34 »
Chapter 2(continued...)

ผู้กำกับถอนหายใจ “ซ้อมกับมาหลายรอบแล้ว น้องนัสยังทำไม่ได้สักที ไอ้บทกี้ที่แกเขียนเนี่ย... ป่าน แกคิดว่าใครจะมาเป็นแอ็คติ้ง โค้ชบทนี้ให้กับน้องเค้าได้มั้ย”

“ก็ครูแอ๋วไง ขานั้นเค้าปรมจารย์ไม่ใช่เหรอ” สาวแว่นว่า

“ครูแอ๋วตอนนี้ไม่รับงานแล้วอ่ะ” อ๊อดตอบทันที

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ แกก็มีคอนเน็คชั่นไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องมาถามฉันล่ะ”

“ก็ไอ้บทที่แกเขียนมามันค่อนข้างยากสำหรับน้องเค้าไง”

สายป่านส่ายหน้า “ก็บอกแล้วว่าให้ค... เอ่อ ก็บอกแล้วว่ามันออกแนวๆ แต่ก็อนุมัติมาแล้วนี่ จะให้ฉันทำยังไงล่ะ แกเป็นผู้กำกับนะอ๊อด”

สาวแว่นเกือบหลุดคำพูดว่าแคสติ้งออกมา เนื่องจากเธอถูกผู้บริหารหักคอว่าต้องการให้ดาราหน้าหวานที่อยู่ตรงหน้าของเธอรับบทนี้แทนที่จะเปิดการทดสอบในการประชุมลับวันหนึ่งที่วาระนี้ถูกระบุให้เป็นวาระซ่อนเร้น บริษัทต้องการดันให้วีนัสเป็นนักแสดงที่สามารถรับบทบาทที่เปลี่ยนไปจากเดิมๆ ที่เคยได้ เพื่อจะให้เธอคนนี้กลายเป็นนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัวและทดแทนนางเอกคนอื่นๆ ที่กำลังจะหมดสัญญาและย้ายค่าย ถึงแม้บทนี้จะไม่ใช่บทนางเอก แต่ก็มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องและเป็นการพลิกบทบาทการแสดงพอสมควรหากดาราหน้าหวานคนนี้ได้แสดง ที่แน่ๆ ในการประชุมสายป่านคัดค้านความคิดนี้อย่างเต็มที่เพราะเห็นว่าวีนัสไม่เหมาะกับบทนี้แต่ด้วยความว่าเธอเป็นเสียงส่วนน้อย จึงต้องยอมไปแบบน้ำท่วมปาก

ทั้งสามคนยืนคิดกันนิ่ง แล้วอ๊อดก็พูดขึ้นมาว่า “เห็นเค้าว่ากันว่าไอ้ตัวละครที่ชื่อกี้เนี่ยแกมีต้นแบบในการเขียนเหรอ”

“อื้อ ช่าย” สาวแว่นตอบ “แล้วไงอ่ะ”

“ไม่ค่อยอยากจะใช้วิธีนี้เลยแฮะ” ผู้กำกับบ่นขึ้นมาเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “ลองให้น้องนัสเค้ารู้จักกับต้นแบบได้มั้ยล่ะ เผื่อว่าจะช่วยได้”

สายป่านขมวดคิ้ว “เพราะงั้นแกถึงอยากจะให้น้องเค้ารู้จักกับกี้ตัวจริงน่ะเหรอ”

“จะว่าอย่างงั้นก็ได้ น้องนัสจะได้เข้าใจถึงนิสัยและคาแรคเตอร์จริงๆ ของคนนิสัยแบบกี้ ตัวตนแบบกี้ว่าเป็นยังไง คือแบบจับต้องได้อ่ะ ไม่ใช่แค่ทำความเข้าใจจากตัวหนังสือ... แกจะว่าไงล่ะ”

“ก็เข้าท่า... แต่เฮ้ย! นี่แกจะไม่ถามน้องนัสก่อนเลยเหรอว่าโอเคมั้ยที่จะใช้วิธีนี้อ่ะ” สาวแว่นพูด

ดาราหน้าหวานพูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ ถ้ามันช่วยได้ในเรื่องงานแล้วก็ทำให้หนูเข้าใจบทมากขึ้น หนูโอเคค่ะ”

“งั้นก็ตกลงตามนี้” อ๊อดตบไหล่สายป่าน “แนะนำตัวจริงให้น้องเค้ารู้จักหน่อยก็แล้วกัน ฝากด้วยนะ” แล้วเขาก็เดินจากไป

“ฮ... เฮ้ย! เดี๋ยวดิอ๊อด” สาวแว่นร้องเสียงหลง เพราะถึงแม้จะใช้สาวเซอร์เป็นต้นแบบ แต่จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่เคยได้คุยกับกี้ตัวจริงแบบส่วนตัวเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่คุยด้วยก็จะมีสองอยู่ด้วยตลอด

“ขอบคุณนะคะพี่ป่าน แล้วก็ขอโทษด้วยที่หนูทำให้พี่ป่านลำบากใจ” วีนัสพูดอย่างเกรงใจ

“เอ่อ... ค่ะ”

“แล้วคุณที่เป็นต้นแบบของกี้นี่ชื่ออะไรเหรอคะ” ดาราหน้าหวานถามต่อ

สายป่านถอนหายใจแล้วพูดแบบตะกุกตะกักเพราะสมองเออเร่อว่า “อ... เอ่อ คุณคนนั้นเค้าชื่อกี้”

“อ๋อค่ะ... ชื่อกี้เหมือนกัน อืม... เรียกง่ายดีนะคะ ไม่สนสับดีด้วย ถ้ายังไงรบกวนพี่ป่านด้วยนะคะ จะให้หนูไปพบกับคุณกี้วันไหนก็บอกได้เลยค่ะ”

“จ... จ้ะ”

วีนัสเดินกลับมาเข้าฉากอีกครั้งพลางนึกถึงหญิงสาวที่ต้นแบบของตัวละครที่เธอกำลังสวมบทบาท และมีชื่อว่ากี้เหมือนกัน เธอพยายามจินตนาการว่าตัวจริงของคนๆ นั้นจะเป็นอย่างไร โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าคนเขียนบทนั้นกำลังปวดหัวกับการคิดหาคำอธิบายให้ตัวจริงรับรู้และเข้าใจได้อย่างไรโดยไม่ถูกว่ากลับ

“คุณกี้ตัวจริงจะกวนเหมือนในบทหรือเปล่าน้า...” ดาราหน้าหวานคิดแล้วนั่งอ่านบทต่อไป

 :62: :62: :62:

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.