Yuri-Read
รายชื่อนักเขียน ก - ฮ => พราวณพัชส์ => Lady in the night แผนรัก นักโจรกรรมสาว Part 1 : ขนนกสีเพลิง => ข้อความที่เริ่มโดย: พราวณพัชส์ ที่ 06 มกราคม 2014 เวลา 14:42:46
-
ตอนที่ 4
ตัวเลขโทรด่วนบนหน้าจอเทเลแกรมที่ตั้งไว้ด้วยชื่อของโบอาถูกกดให้โทรออกซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด แม้ว่าเสียงตอบรับของปลายทางจะพูดแบบเดียวกันทุกสายก็ตาม
‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อกลับมาใหม่อีกครั้ง...’
“โธ่เอ๊ย!...มาติดต่อไม่ได้อะไรตอนนี้ล่ะ...”
ณัฐณิชาบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดจนสายตาแทบไม่ได้มองถนนตรงหน้า ปล่อยให้ระบบอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างรถกับ GPRS แล้วนำทางไป เสียงตอบรับอัตโนมัติพวกนั้นกำลังทำให้เธอสติแตกและร้อนใจด้วยความเป็นห่วงคนที่โรงพยาบาลมากเกินกว่าจะหันมาสนใจหน้าปัดวัดความเร็วในเวลานี้ แม้ว่ามันจะชี้ไปที่ตัวเลข 140 แล้วก็ตาม
ตึกที่เธอทำงานนั้นเป็นโรงพยาบาลกลางที่ใหญ่ที่สุดและมีคลังยาขนาดใหญ่พอจะเก็บสตอกไว้ได้ตลอดปี เธอไม่คาดคิดว่าเรื่องร้ายแบบนี้จะเกิดขึ้น แม้จะมีข้อดีที่คดีนี้ไม่ใช่ฝีมือไลเบทแน่ แต่จุดนั้นเป็นเหมือนศูนย์กลาง ตึกของเธอมีทางเดินชั้นบนสุดเป็นเหมือนสะพานในร่ม เชื่อมต่อกับตึกใหญ่ของกองสืบสวนพิเศษสากล เรียกว่าตำรวจนับร้อยถึงกับหน้าหงายที่ปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้ง่ายๆ แบบนี้
เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลกลาง ณัฐณิชายิ่งรู้สึกกระวนกระวายเมื่อเห็นตำรวจและทีมกู้ภัยทำงานกันอย่างเร่งรีบ รอบโรงพยาบาลมีคนคอยตรวจตรา แถบสีเหลืองถูกกางไว้ทั่วเพื่อบอกว่านี่เป็นเขตหวงห้าม บ่งบอกว่าท่าทางเรื่องจะใหญ่พอตัว คุณหมอสาวตั้งใจจะรีบขึ้นลิฟต์ไปหาโบอาที่วอร์ด5 เสียก่อน แล้วจึงจะค่อยไปพบผู้พันเจมส์ที่ชั้นใต้ดินซึ่งเป็นที่อยู่ของคลังยา สถานที่เก็บรักษายาสำคัญจำนวนกว่าครึ่งที่ใช้นำจ่ายให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วทั้งโซนเอสอี
แต่พอประตูลิฟต์เปิดออกเธอก็พบกับร่างสูงของผู้กองรัชชานนท์
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทัก
เมื่อเห็นว่าเป็นคุณหมอผู้ร่วมทีม รัชชานนท์ก็ยิ้มตอบทันที
“โดนเรียกมาเหมือนกันเหรอคุณหมอ” ผู้กองหนุ่มดูสีหน้าชื่นมื่นทุกทีที่เจอเธอ เขายิ้มให้ทีหนึ่งก่อนจะกดลิฟต์ตัวข้างๆ เพื่อลงไปยังชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ
“ค่ะ ฉันต้องมาชันสูตรศพ”
“เหรอ... นึกว่าเป็นแค่คุณหมอรักษาคนไข้ซะอีก นี่เป็นหมอรอบด้านเลยหรือเปล่า เป็นหมอดูด้วยไหม” รัชชานนท์ถามโดยไม่ดูอาการร้อนรนของอีกฝ่าย “อยากรู้ว่าการที่เราสองคนมักจะมาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าโชคชะตา”
“เอ่อ...” คุณหมอสาวไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกตั้งคำถามอะไรแบบนี้จากคนที่เธอเริ่มสนใจ เธอยังคิดแต่เรื่องเหตุที่เกิดขึ้น แต่เขากลับทำท่าจีบเธอเสียอย่างนั้น
“แสดงว่าคงเป็นพรหมลิขิตจริงๆ เพราะถ้าคลาดไปจากนี้ไม่ถึงนาที คุณหมอก็คงจะขึ้นลิฟต์ตัวข้างๆ แล้วเราก็ไม่ได้ยืนคุยกันตรงนี้” รัชชานนท์ไม่ยอมทิ้งช่วง จนคุณหมอสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าเขาช่างมั่นใจในตัวเองเสียจริงๆ
“ยุคนี้เค้ายังใช้มุขเชยๆ จีบสาวกันอีกเหรอไง”
เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านในลิฟต์ที่เปิดออก รอยยิ้มน้อยๆ ของรัชชานนท์เปลี่ยนเป็นยิ้มกลั้วหัวเราะเบาๆ ณัฐณิชาถึงได้เห็นว่าเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์จอมวางท่า
ธารธีนั่นเอง...
“ก็เห็นว่าได้ผลอยู่ตลอด” รัชชานนท์ตอบกลับ นี่ถ้าไม่ใช่ท่าทางที่ดูกันเองของทั้งสองคน เธอต้องคิดว่าทั้งคู่กำลังพูดจาหาเรื่องกันแน่ๆ
“แล้วทำไมถึงยังโสดล่ะผู้กอง” ธารธีขัดขึ้น ก่อนจะมองทั้งสองอย่างไม่แยแสเท่าไรนัก “จีบกันไปเหอะนะ อย่ากังวลอะไรกับคนบาดเจ็บที่กำลังรอหมอ หรือคนร้ายที่มันระเบิดตูม แล้วหนีไปไม่ให้ตำรวจจับหรอก ตามสบายนะ ตามสบาย”
แล้วคุณหมอสาวก็เห็นคนพูดเดินจากไปด้วยท่าทางสะใจ
“คนโรคจิต” เธอบ่นเบาๆ แต่ดังพอจำให้รัชชานนท์หัวเราะ
“เขาก็เป็นคนแบบนั้นล่ะ แต่จริงๆ แล้วแทนจิตใจดี อีกอย่างการที่มีคุณกับแทนมาอยู่ในทีม มันทำให้ผมอุ่นใจมากเลยรู้ไหม” ผู้กองหนุ่มขยับกดลิฟต์ให้ “ชั้นไหนดีคะ”
“คะ...?” เมื่อได้ยินคำพูดว่าอุ่นใจเมื่อมีเธออยู่ด้วย ณัฐณิชาก็ลืมความหมั่นไส้ที่มีต่อคนที่เพิ่งเดินจากไปเสียสนิท ที่จะถามว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ก็ลืมไป รู้สึกได้ถึงความร้อนจางๆ ที่แผ่ไปทั่วจนแก้มขาวๆ กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
“ชั้น...อ่อ...ชั้น 5 ค่ะ” เธอตอบแบบตะกุกตะกักก่อนจะเบนสายตาไปที่ตัวเลขดิจิตอลที่โชว์ให้เห็นว่าตอนนี้อยู่ที่ชั้นไหนแล้ว เธอแพ้ผู้ชายที่พูดกับผู้หญิงว่าคะเสียจริงๆ
“ถ้าจะเรียกผมว่าชานมเหมือนเมื่อก่อนผมก็ยินดีนะ” จู่ๆ ผู้กองก็พูดขึ้น หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ จำได้ว่าตอนนั้นป้ายชื่อเขาเขียนแบบนั้นจริงๆ เธอเลยเรียกเขาทุกวันตลอดเวลาที่รักษาตัวในโรงพยาบาลโดยที่เขาไม่แก้คำผิดให้เธอสักนิด
“เรียกผู้กองรัชก็ได้ค่ะ” เธอบอก แต่อดเผลอคิดคำว่าชานมไม่ได้จริงๆ
ผู้กองรัชชานนท์กดลิฟต์ให้ก่อนที่จะไปทำงานต่อ ปล่อยให้หญิงสาวขึ้นลิฟต์ไปโดยลำพัง เธอยังจำร้อยยิ้มมุมปากด้วยท่าทางอ่อนโยนของผู้กองได้ดี
…………………………………
พอลิฟต์มาถึงที่ชั้น 5 คุณหมอสาวก็สังเกตเห็นผู้พันเจมส์ยืนอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์พยาบาลพอดี หญิงสาวโค้งลงแสดงความเคารพเขาก่อนจะเดินเข้าไปหา
“คุณหมอณัฐณิชา ผมกำลังจะโทรตามคุณอีกรอบอยู่พอดี ที่ผมต้องให้คุณมาด่วนเพราะว่าเหตุระเบิดคราวนี้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิตสองคน”
ร่างบางใจหายวาบเมื่อรู้ว่ามีคนเสียชีวิต เธอรู้ว่าโบอาอยู่เวรคืนนี้ และหวังมาตลอดว่าเรื่องมันจะไม่เป็นอย่างที่เธอกังวล
“ผมกำลังให้คนส่งศพขึ้นมาที่นี่ หลังจากฝ่ายหลักฐานจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“เอ่อ.. เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตเป็นใครเหรอคะ?” คุณหมอสาวตัดใจถามขึ้นในทันที
“ผมก็ไม่ทราบชื่อ รู้แต่เป็นผู้ช่วยพยาบาลที่ลงไปในคลังยาพอดีน่ะ ส่วนรปภ.อีกสองคนนั่นโดนระเบิด คงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะให้คุณชันสูตรชิ้นส่วนได้” ผู้พันเจมส์ตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่เขาจะหันไปสนใจเทเลแกรมของตนเอง “ครับ... ลงไปชั้นใต้ดินได้เลย บอกเขาว่าขอพบผู้กองรัชชานนท์...”
ผู้ช่วยพยาบาล...
ณัฐณิชาไม่อยากเชื่อเลยว่าโบอาจะลงไปในตอนที่คลังยาระเบิด จะเป็นไปได้ที่หมอชาร์ลให้เธออยู่จนดึกเพื่อช่วยเคสของคนไข้พิเศษแล้วจึงใช้เธอให้ลงไปที่คลังยา
“เป็นไปได้ผมขอผลชันสูตรเร็วที่สุดนะคุณหมอ” ผู้พันเจมส์หันมาย้ำคำกับเธออีกครั้ง
“เอ่อ... ฉันขอลงไปดูได้ไหมคะ”
เสียงลิฟต์อีกตัวมาถึงพอดี ผู้พันเจมส์มองดูบุรุษพยาบาลกับเจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นออกมา เพียงแค่เห็นแวบเดียวเท่านั้นก็รู้ว่ามีร่างของใครบางคนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวนั่น
“คงไม่ต้องแล้วล่ะ งานของคุณมาแล้ว” ผู้พันหนุ่มผิวสีบอก ก่อนที่เขาจะกดลิฟต์ลงชั้นใต้ดินไป ทิ้งไว้เพียงร่างของณัฐณิชาที่ยืนอึ้งมองรถเข็นศพผ่านไป
โบอา...
..........................
ร่างไร้วิญญาณนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาวบนเตียงเหล็กกลางห้องสี่เหลี่ยม กลิ่นฟอร์มาลีน แอลกอฮอล์ ผสมกับกลิ่นยาต่างๆ คละคลุ้งไปทั่ว บุรุษพยาบาลและเจ้าหน้าที่ส่งร่างนั้นไว้แล้วพวกเขาก็ต้องรีบลงไปจัดการธุระ ทิ้งให้ศพอยู่กับคุณหมอณัฐณิชา
ไม่มีใครบอกว่าผู้ช่วยพยาบาลแสนโชคร้ายคนนี้ชื่ออะไร นั่นทำให้เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างศพนั่น แม้จะเปลี่ยนเป็นชุดพร้อมทำงานแล้วก็ตาม
เอาล่ะ...
ร่างบางรวบรวมสติก่อนจะค่อยๆ เลิกผ้าคลุมขึ้นเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าศพที่เธอจะชันสูตรนั้นเป็นใคร... ชั่วอึดใจที่ได้เห็นเพียงเส้นผมนั่นก็ทำให้เธอโล่งใจ
มะ...ไม่ใช่โบอา...ไม่ใช่โบอานี่...
หญิงสาวยิ้มออกมา แล้วก็นึกได้ว่ามันไม่ควรเท่าไร อย่างไรนี่ก็เป็นการสูญเสียบุคลากรไปอยู่ดี ที่สำคัญดูจากใบหน้าแล้ว เธอคงอายุไม่มากกว่าโบอาเท่าไรนัก ณัฐณิชาเดินไปยังผนังกระจกฝั่งขวาของห้อง ก่อนจะกดเบาๆ แล้วภาพฉายก็แสดงบนกระจกนั่น แน่นอนว่าการแสกนจะบอกทุกสิ่งในร่างกายได้ รวมถึงระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร เธอเพียงแค่ประทับเลือดลงไปเท่านั้น
คุณหมอสาวใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อชันสูตรและพบว่าคนตายไม่ได้โดนระเบิด หากแต่ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต
และถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง คนร้ายต้องแข็งแรงพอที่จะปิดปากและจมูกเธอจนตาย ความอยากรู้ทำให้เธอถอดถุงมือแล้วเดินออกไปคุยกับพยาบาลเวรประจำคืนนี้
“เอ่อ...รู้ไหมคะว่าอริสาเข้าไปในคลังยาทำไม?”
พยาบาลคนที่ถูกถามดูจะมีอายุมากกว่าเธอไม่น้อย แต่ด้วยตำแหน่งทำให้เธอหันมาตอบอย่างไม่พอใจนัก
“เห็นว่าคุณหมอชาร์ลให้ไปเบิกยาแทนค่ะ”
“แล้วโบอาล่ะ คืนนี้ไม่มาเหรอ”
“เอ่อ” พยาบาลมีสีหน้าไม่ดีนักเมื่อถูกถามคำถามนี้ “มาค่ะ เธอบาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน”
“อะไรนะ!” ณัฐณิชาได้ยินดังนั้นก็เดินอย่างเร็วลงบันไดไปยังห้องฉุกเฉินทันทีอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เธออยากรู้อาการเพื่อนร่วมงานของเธออย่างที่สุด
พอมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เธอก็พบกับ ด็อกเตอร์โจลี่ โรนาเดส ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลางแห่งโซนเอสอี กำลังคุยกับแพทย์ที่เพิ่งผ่าตัดโบอา
“อาการของเธอยังทรงตัวนะครับ คงต้องให้เธออยู่ในห้องไอซียูไปก่อน”
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ มีใครบาดเจ็บไหม” โจลี่ถามขึ้นน้ำเสียงเธอดูน่าเกรงขามอย่างเคย แต่เห็นได้ชัดว่ามีความห่วงใยแฝงอยู่ ทั้งที่ตอนรับโบอาเข้ามานั้น ดูเหมือนผู้อำนวยการคนนี้จะไม่เห็นด้วยสักเท่าไร หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นขาดทรัพยากรบุคคลในโรงพยาบาล
“ไม่มีแล้วครับ” แล้วแพทย์หนุ่มคนนั้นก็เดินไป พยาบาลหลายคนเดินเข้าออกบริเวณนั้น ต่างก็วุ่นกันทั้งโรงพยาบาล
“เป็นห่วงโบอาสินะ” โจลี่หันมาพูดกับคุณหมอสาว
“ค่ะ อาจารย์โจลี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“ฉันสบายดี เธอชันสูตรศพอริสาแล้วใช่ไหม” แล้วผู้อำนวยการก็ชวนณัฐณิชาเดินไปคุยไป “ฉันอยากให้เธอไปดูที่คลังยาสักหน่อย”
“ค่ะ” หญิงสาวเดินตามอย่างว่าง่าย ในใจนึกอยากเข้าไปดูโบอาสักหน่อย แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้วเธอคงต้องเดินลงไปข้างล่าง ทำทีเป็นคุณหมอเรียบร้อยผู้ไม่สันทัดเรื่องแบบนี้เลยสักนิดเดียว
…………………………………
คลังยา...
ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลกลาง
พอลงมาด้านล่าง ณัฐณิชาถึงได้เห็นว่ามันเปลี่ยนไปขนาดไหน แรงระเบิดทำให้ฝุ่นปูนลอยเต็มอากาศอบอวลไปหมด
โดยปกติแล้ว ก่อนเข้าไปด้านใน ทุกคนต้องรูดบัตรประจำตัวกับเครื่องแสกนและมองกล้องวงจรปิดด้านขวาเพื่อแสดงตัว ก่อนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้านในจะได้รับสัญญาณจากส่วนกลางให้เปิด นั่นหมายความว่าคนนอกหมดสิทธิ์เข้ามาในที่นี้
เมื่อเข้ามาได้ ก็จะถึงจุดที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ มีประตูอีกบาน เป็นประตูกันกระสุน ซึ่งบัดนี้โดนระเบิดทำลายไปแล้วพร้อมกับเศษร่างกระจุยกระจายของพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคน เลือดและเศษเนื้อเปรอะตามผนังไหลลงมาเป็นทาง บัดนี้แห้งกรังติดอยู่ให้เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพ กลิ่นเนื้อไหม้ทำเอาคุณหมอสาวอยากจะขย้อนออกมา ทว่าธารธีซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเก็บหลักฐานกลับไม่มีท่าทีสะอิดสะเอียนสักนิด เธอดูนิ่งและใช้สมาธิกับงานตรงหน้า
เธอคนนี้ใส่ถุงมือแล้วเก็บตัวอย่างเศษเนื้อจากศพที่เกรียมนอกดิบในอย่างง่ายดายราวกับมันเป็นแค่เนื้อหมูก้อนหนึ่ง ...
“มันเอาไปหมดเลยไหม” ผู้พันเจมส์ถามกับรัชชานนท์โดยตรง หลังจากที่พวกเขาเดินสำรวจคลังยาโดยรอบอย่างละเอียดแล้วมาหยุดที่ด้านหน้า สองคนนั้นสังเกตแล้วว่ามีคนมาเยือน
“ครับ เกือบทั้งหมด ที่เหลือบางส่วนอยู่ในอีกคลังหนึ่ง กับอยู่ในเซฟที่แรงระเบิดทำอะไรไม่ได้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก มองดูสภาพคลังยาเวลานี้อย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปยิ้มน้อยๆ ให้ณัฐณิชา
“มีอะไรเหรอผู้พัน” โจลี่ถามขึ้น เธอคุมที่นี่ ดังนั้นเธอต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ชายผิวหมึกหน้าเครียดก่อนจะดึงตัวผู้อำนวยการหญิงไปคุยอีกทาง
“ใครเอาอะไรไปเหรอคะผู้กองรัช”
“ยาครับ” รัชชานนท์บอก สีหน้าของเธอก็ไม่ดีนัก
“คนร้ายระเบิดที่นี่เพื่อเข้ามาเอาส่วนประกอบของยาสำคัญในนี้... Anti-pp”
“หา... อะไรนะคะ !?!”
ร่างบางเหมือนถูกไฟชอตทันทีที่คนตรงหน้าบอกข้อมูลเลวร้ายที่สุดนี้กับเธอ มันเป็นข้อมูลที่ฟังแล้วอยากจะล้มทั้งยืน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะของคุณหมอสาวหรือฟินิกส์
“นั่นมันส่วนประกอบของยาที่คนเกือบครึ่งโลกต้องใช้เชียวนะ” ธารธีซึ่งถ่ายรูปที่เกิดเหตุอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้น “ได้ยินว่าเอาไปหมดเลยนี่” รัชชานนท์พยักหน้ารับว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง
ใช่แล้ว...
ณัฐณิชารู้จักมันดี ของเหลวสีเหลืองอำพันที่ใช้ชื่อย่อว่า Anti- pp นั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในยาซึ่งต้องให้คนในพื้นที่มลพิษฉีดทุกๆ สามเดือน เพียงหยดเดียวก็ช่วยคนได้นับสิบ ตัวยาถูกสร้างมาเพื่อให้คนที่ต้องรับสารพิษซึ่งตกค้างอยู่ในโลกทุกๆ วัน ได้มีชีวิตอยู่ต่อ และนั่นหมายถึงคนที่อยู่ในโซนปลอดภัยอยากพวกเธอเองก็ต้องได้รับบ้างเป็นบางครั้ง แต่คนที่อยู่สลัมกับโซนใกล้พื้นที่อันตรายไม่สามารถรอได้นาน
Anti- pp ต้องอยู่ในอุณหภูมิติดลบ และมันยังมีมูลค่าสูง หนึ่งหลอดช่วยคนได้เป็นหมื่นคน ถ้าคนๆ เดียวใช้ก็อยู่ไปตลอดชีวิต และแน่นอนว่ามูลค่าของมันมากมายนัก
โดยเฉพาะถ้าหากเป็นภาวะขาดแคลน รัฐจะไม่มีทางเลือก และต้องเพิ่มมูลค่าหลายเท่า คนจนๆ คงต้องป่วยตายในที่สุด
สำหรับผู้คนแล้ว นี่มันคือหายนะชัดๆ!!!
…………………………………
“นี่มันหายนะชัดๆ เลย” รัชชานนท์บ่นอุบ สีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก ผิดกับธารธีที่ยังคงตรวจหลักฐานไปพลางๆ พร้อมกับตั้งคำถามเรื่อยเปื่อย
“แล้วเจ้า Anti-pp นี่ ในโซนเรามันมีแค่เฉพาะโรงพยาบาลกลางเหรอไงถึงได้ต้องเคร่งเครียดกันขนาดนี้”
“ใช่ค่ะ” ณัฐณิชาตอบ “นั่นเป็นเพราะตั้งแต่ปี 2015 ที่เกิดการก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดทำให้ทรัพยากรหลายอย่างของเราเหลืออยู่จำกัด โดยเฉพาะยารักษาโรค แล้วเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลก็ต้องขึ้นกับรัฐทั้งหมด ไม่มีหมอคนไหน ไม่รู้ว่าคลังยานี้คือหัวใจสำคัญทางการแพทย์ของทั้งโซน”
คุณหมอสาวพูดไปก็ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดไป เธอเชื่อว่าถ้าเป็นคนนอกวิชาชีพอย่างสองคนที่กำลังคุยกับเธออยู่นี้ ย่อมไม่รู้ว่ายาอยู่ที่ไหน นั่นแสดงว่าคนในต้องมีส่วนรู้เห็นแน่นอน ซึ่งข้อนี้รัชชานนท์เองก็คำนึงถึง
“จากช่วงเวลาที่กล้องวงจรปิดของทั้งตึกดับลงจนถึงตอนที่ฝ่ายไอทีรีบูททุกอย่างขึ้นมาใหม่ ใช้เวลาทั้งหมดแค่สิบห้านาทีเท่านั้น แสดงว่าคนร้ายต้องรู้ที่วางของ Anti- pp และรู้ทางเข้าออกทั้งหมดถึงจะทำได้ทันเวลา...”
“เห็นทีคงจะต้องเปิดห้องสอบสวนแล้วล่ะผู้กอง...” ธารธีพูดขึ้น เธอหยิบถุงพลาสติกใสชูให้ดู ด้านในมีกระดุมอยู่เม็ดหนึ่ง “ชุด รปภ.เขาไม่มีกระดุมแบบนี้ จะมีก็แต่พวกหมอหรือพยาบาล ใช่ไหมล่ะ”
ณัฐณิชายกแขนของเธอขึ้นมาดูทันทีเมื่อฟังจบและพบว่ามันเหมือนกัน...
“คุณแทนครับ” นักนิติวิทยาศาสตร์ที่มาเก็บหลักฐานเรียกขึ้น “ผมอยากให้คุณมาดูนี่หน่อย”
ร่างสูงของธารธีเดินผ่ากลางระหว่างผู้กองกับคุณหมอสาวอย่างไม่เกรงใจ เพื่อไปดูเจ้าเส้นยาวๆ ไหม้ที่ติดอยู่กับเศษมือขวาของพนักงานรักษาความปลอดภัย ก่อนจะเปรยขึ้น
“คนร้ายเสียเวลาประมาณสามนาทีมัดพวกเขา แล้วคงจะไปเอาของที่ต้องการ เดินออกไป จากนั้นก็กดระเบิด”
รัชชานนท์เดินมาดูสภาพตรงนั้น สายตาของเธอหันมองคุณหมอคนสวยเพราะไม่อยากให้เธอเห็นภาพแบบนี้ ลืมนึกไปว่าณัฐณิชานั้นเจอมาจนเคยชิน
“สามนาที มืออาชีพมากๆ แล้วทำไมโบอาถึงไม่ถูกมัดล่ะ”
“หมายถึงคนที่รอดชีวิตนะเหรอ” รัชชานนท์มองดูรอบๆ คลังยา ซึ่งส่วนหน้านั้นมีชั้นล้มระเนระนาดอยู่ ขวดยากลิ้งตกพื้น บ้างก็แตกกระจายจนต้องระมัดระวังเวลาเดินสำรวจ ลึกเข้าไปนั้นมีตู้เรียงรายอยู่จนสุดสายตา ทั้งตู้เหล็กชนิดเปิดโล่ง ตู้กระจก ตู้ปิดทึบ แบ่งยาเป็นหมวดหมู่มองแล้วเหมือนชั้นหนังสือในห้องสมุด
“เธอคนนั้นคงจะเข้ามาก่อนหน้าไม่นาน แล้วคงเลือกยาตามที่ต้องเอาไป คนร้ายคงไม่รู้ว่ามีเธอ จากนั้นพอคนร้ายเดินออกไป เธอก็คงกำลังเดินออก จึงโดนสะเก็ดระเบิดบางส่วน แต่ไกลพอที่จะไม่เสียชีวิต”
ผู้พันเจมส์ซึ่งเรียกผู้อำนวยการโจลี่ไปคุยได้พักหนึ่งก็เดินออกมาหาคนทั้งสาม
“มีงานสายตรงของพวกคุณ...” ทั้งสามคนเลิกสนใจศพ ต่างก็ยืนตรงมองหน้าผู้บังคับบัญชาอย่างน้อมรับ
“เกิดเหตุโจรกรรมที่สนามบินเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เป็นฝีมือของไลเบท พวกคุณรีบไปด่วนเลย”
“แต่เรื่องที่นี่ยังไม่จบเลยนะคะ” ณัฐณิชาแย้ง เธอไม่ได้ตกใจเรื่องที่ตำรวจรู้แล้วว่าไลเบทเพิ่งทำอะไรไป แต่เป็นเพราะเธอห่วงอาการโบอา และความปลอดภัยของโรงพยาบาล
“ผมแต่งตั้งพวกคุณให้รับผิดชอบเรื่องจอมโจรไลเบท และผมคิดว่าหน้าที่ของพวกคุณที่นี่ในตอนนี้คงจะเรียบร้อยไปส่วนหนึ่งแล้ว ธารธี คุณส่งหลักฐานไปไว้ที่แลบ ผู้กองรัชชานนท์ ผมจะหาผู้ช่วยสืบสวนคดีนี้ให้คุณเอง ผมคิดว่าพวกคุณคงไม่อยากถูกโยกย้ายออกจากทีมสอบสวนพิเศษที่ผมตั้งให้หรอกใช่ไหม”
“ค่ะ” ทั้งสามเกือบจะพูดพร้อมๆ กัน
“ดี จัดการเดี๋ยวนี้เลย”
ทำไมต้องกะทันหันแบบนี้ด้วยนะ
คุณหมอสาวบ่นอยู่คนเดียวในใจเพราะเธอยังไม่ได้เข้าไปดูอาการของโบอาเลย แม้แต่จะมองประตูหน้าห้องฉุกเฉินก็ทำได้เพียงแวบเดียวเท่านั้น
ผู้พันเจมส์หยิบกุญแจรถตำรวจส่งให้รัชชานนท์ ผู้กองรับมา แล้วเดินนำอีกสองคนไปยังลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาลกลาง ยิ่งพอเดินผ่านเจ้าหน้าที่ทั่วไป หลายคนก็เหลียวมองมาที่ทั้งสามด้วยความสงสัย โดยเฉพาะกับธารธี โรมเวลล์
โดยไม่ต้องบอก... ใครๆ แถวนี้รวมถึงณัฐณิชาก็รู้กันดีว่าการที่ธารธีมาเดินก้าวฉับๆ อย่างไม่เกรงกลัวใครเลยนั้นมาจากการที่ครอบครัวโรมเวลล์ถือหุ้น 1 ใน 10 ของตลาดหุ้นทั้งโซนเอสอี รวมไปถึงบทบาททางการเมืองอย่างการเป็นหนึ่งในวุฒิสมาชิกของรัฐบาลโลก
ที่สำคัญ เธอเป็นถึงลูกสาวคนเล็กของสมาชิกและเจ้าของธุรกิจคนนั้น จะทำอะไรก็ทำได้...
ในขณะที่ รัชชานนท์ เป็นผู้กองที่ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในกองของกองสืบสวนพิเศษสากลสากล แห่งโซนเอสอี เขาไม่มีประวัติด่างพร้อยในการทำงาน มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง แต่เก่งเสียจนคุมตำรวจชายชั้นผู้น้อยที่อายุมากกว่าได้อย่างง่ายดาย มีวาทศิลป์ในการพูดการจา จนแม้กระทั่งคุณหมอเนื้อหอมอย่างณัฐณิชายังหวั่นไหว
จะว่าไป.. การมาเดินกับทั้งสองทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นกว่าทุกทีที่เคย โดยเฉพาะเมื่อรัชชานนท์ถือกระเป๋าใบเล็กให้อย่างสุภาพ ไม่สนใจบรรดาสายตาชายหนุ่มหลายๆ คู่ที่อยู่แถวนั้น เธอไม่กล้าสบตาผู้กองชานมเหมือนเมื่อก่อน แถมอีกฝ่ายยังดูเหมือนจะพอใจกับอาการเขินอายของเธอจนยิ้มออกมา
“มาคุณหมอ เดี๋ยวผมเปิดให้นะครับ”
ผู้กองรัชชานนท์ยิ้มบางๆ ก่อนจะกดเปิดประตูรถ ระบบไฟฟ้าของรถทำงานทันทีที่กดปุ่มเล็ก จากนั้นเพียงสแกนนิ้วมือเพื่อรับรองสถานะ รถตำรวจคันหรูสีเงินวาวก็ปลดลอคพร้อมให้ใช้งาน ณัฐณิชาก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง ขณะที่รัชชานนท์เดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ
จู่ๆ ธารธีก็เป็นฝ่ายพรวดเข้าไปนั่งที่เบาะหลังข้างๆ คุณหมอสาวอย่างสบายใจ แถมยังปิดประตูเอง จากนั้นก็หยิบเทเลแกรมออกมาเปิดหาเกมเล่น
“นี่คุณ ไม่ต้องไปนั่งหน้ากับผู้กองรัชเหรอคะ” ร่างบางถามขึ้น เช่นเดียวกับรัชชานนท์ที่ถอนหายใจ
“ไม่อะ ไม่ถนัดนั่งข้างคนขับ ปกติขับเอง ไม่ก็นั่งหลังให้คนรถพาไป” คนตอบทำหน้าไม่สนใจ เปิดเกมออกมาเล่นไม่ได้เห็นเลยว่ารัชชานนท์ขมวดคิ้วแทบจะชนกัน
คนขับรถอย่างนั้นเหรอ...
ปกติณัฐณิชาเองไม่ได้คิดว่าธารธีที่ทำตัวหยิ่งๆ จะมีอะไรให้เธอต้องไม่พอใจ แต่ครั้งนี้หญิงสาวเริ่มไม่ชอบท่าทางกวนๆ ของธารธีจนต้องออกปาก
“ถ้าคุณไม่นั่งข้างหน้า ฉันไปนั่งเองก็ได้”
“เชิญ” นักนิติวิทยาศาสตร์สาวตอบหน้าตาเฉย
นะ นี่ ยัยคนนี้นี่...
นี่ถ้าตอนนี้ฉันแปลงเป็นฟินิกส์ได้ ฉันจะจัดการหักหน้าให้ท่าทีหยิ่งๆ นี่หดหายไปเลย เชอะ...
แต่ต่อให้ส่งสายตาอาฆาตใส่แค่ไหนธารธีก็ยังคงไม่สนใจ... ในที่สุด คุณหมอสาวก็พาร่างบางของเธอข้ามคอนโซลรถไปนั่งที่เบาะด้านหน้ากับรัชชานนท์
“อ้าว” ผู้กองทำหน้างงๆ
“ช่างเถอะค่ะ อย่าไปสนใจพวก ‘ขวางโลก’ ดีกว่า” คุณหมอสาวพูดเน้นคำว่าขวางโลกใส่หน้าคนกวนประสาทข้างหลังก่อนจะเปลี่ยนเป็นชวนรัชชานนท์คุยโน่นนี่ ทั้งที่ในใจเริ่มคิดไปถึงผลงานชิ้นล่าสุดของตัวเอง
หวังว่าคราวนี้ฉันคงจะไม่พลาดทำอะไรให้จับได้นะ...
ณัฐณิชานั่งนิ่งมองดูสองข้างทาง คืนนี้ถนนเงียบเหงา เกิดเรื่องสองที่พร้อมกันแบบนี้คงมีประกาศห้ามประชาชนออกจากบ้านแน่ๆ คิดแล้วเธอก็อยากกลับฐาน อย่างน้อยๆ การเป็นฟินิกส์ก็ทำอะไรได้มากกว่านั่งอยู่บนรถและทำตัวเป็นสาวหวานไร้เดียงสาแบบนี้
…………………………………
ปล. เรื่องนี้มีวางขายเล่มแรกแล้ว ที่ mebmarket.com ค่ะ
-
อ่านเเล้วสนุกมากๆเลยนค่ะ
-
เป็นละครหรอค่ะเรื่องนี้