มัทนามองไร่องุ่นที่ทั้งกว้างและยาวสุดลูกหูลูกตาก่อนจะก้มมองกรรไกรอันน้อยในมือที่เป็นอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวในการทำงานของเธอที่จริงงานมันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอกนะก็แค่ให้ตัดใบกับลูกที่เสียหรือเน่าทิ้งเท่านั้นแต่จะบ้าหรือเปล่าที่ให้เธอทำทั้งหมดนี่ภายในวันเดียว!
“ทำได้มั้ยคะงานบ้านๆแบบนี้”
เจ้าของน้ำเสียงเย้ยหยันเดินเข้ามายืนข้างๆพร้อมกับชายตามองคนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าอย่างเหยียดๆ
“ได้ยินว่าเธอเรียนจบจากเมืองนอก”
“ค่ะ”
“น่าเสียดายความรู้แล้วก็เงินที่จ่ายค่าเทอมไปนะคะ”
“ทำไมคะ”
“ก็งานแบบนี้ใครก็ทำได้แต่ไร่หทัยภัทรรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้คนงานเป็นถึงนักเรียกนอก”
มัทนาพยายามสะกดความรู้สึกโกรธเอาไว้เพราะถึงยังไงคนที่กำลังยั่วโมโหเธออยู่นี้ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยบริษัทของเธอเอาไว้
“เธอก็หน้าตาดีนะ”
หทัยภัทรเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมา
“แต่น่าเสียดายที่ดันเป็นพวกผิดเพศ”
คนพุดดึงมือกลับพร้อมกับเดินไปหาใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา ส่วนคนถูกว่าก็ได้แต่ยืนนิ่งรู้สึกเหมือนกับมีก้อนหินเต็มปากจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ไม่อยากจะเชื่อว่าคนสวยจะปากร้ายจิกเธอจนพรุนได้ภายในประโยคเดียว
มัทนามองคนสองคนที่กำลังพูดคุยเรื่องอะไรสักอย่างเธอไม่ได้สนใจประเด็นการสนทนาแต่กำลังสนใจตัวบุคคลต่างหากเพราะดูจากลักษณะท่าทางคนที่ว่าให้เธอก็คงไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ ถ้าจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันขนาดนั้นไม่กลับเข้าห้องไปล่ะแม่คุ๊ณ!
“วัยทองชัดๆ”
พูดจบมัทนาก็สะบัดหน้ากลับมาทำงานของตัวเองต่อเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันไปกองกันอยู่ตรงนั้นจะได้ไม่มีใครมากวนใจเธอ
“ไม่อยากจะเชื่อ”
เป็นเพียงประโยคที่ดังก้องภายในใจจากที่เมื่อเช้าเธอยืนอยู่อีกฝั่งที่มองแทบไม่เห็นปลายทางฝั่งนี้แต่ดูตอนนี้สิ มัทนายิ้มกว้างให้กับตัวเองเธอไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำมันด้อยค่าหรือต้อยต่ำแต่เธอเชื่อว่างานทุกอย่างมีคุณค่าและความสำคัญของมันเอง
“อะ”
คำสั้นๆพร้อมกับการส่งขวดน้ำมาให้ทำให้มัทนาต้องเอื้อมมือไปรับอย่างงงๆไม่เข้าใจว่าตกลงคนที่มาสอนงานเธอจะเอาอะไรกันแน่ระหว่างมิตรกับศัตรู
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณ มันเป็นสวัสดิการน่ะ”
พูดจบนรีรัตน์ก็เดินไปทางอื่นแต่อาจเพราะความรีบหรืออาจไม่ระวังจึงทำให้ขาของเธอไปสะดุ้งกับหินจนล้มลงไปกองกับพื้น
คนเห็นเหตุการณ์เพียงคนเดียวรีบวิ่งเข้าไปประคองแต่กลับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธความช่วยเหลือโดยการผลักเธอออก
“ทำอะไรของคุณเนี้ย”
“เธอนั่นแหละทำอะไร อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
นรีรัตน์ตะคอกใส่คนตรงหน้าเสียงดังก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นช้าๆแต่อาการเจ็บปวดที่ข้อเท้าก็ทำให้เธอถึงกับทรุดลงไปกองที่พื้นอีกครั้ง
“ช่วยตัวเองไม่ได้ยังจะอวดเก่งอีก”
ประโยคลอยๆดังออกจากปากมัทนาก่อนที่เจ้าตัวจะรีบยกมือปิดปากเพราะสายตาดุของคนที่นั่งส่งมา
“มาค่ะมัทช่วย”
มัทนาเดินเข้าไปประคองคนเจ็บแบบไม่รีรอถึงอีกฝ่ายจะมีปัดป้องบ้างแต่เธอก็ต้านเอาไว้จนในที่สุดนรีรัตน์ก็ยอมแพ้ไปเอง
“โอ๊ย! เบาๆสิฉันเจ็บนะ”
“ทีอย่างนี้เจ็บไม่เข้าใจจริงๆ”
“นี่ไม่ช่วยก็อย่าช่วย ปล่อย!”
นรีรัตน์ตะโกนใส่หน้าคนที่กำลังประคองเธอก่อนจะผลักให้อีกฝ่ายล้มลงแต่เพราะตอนนี้เธอเป็นคนเจ็บอยู่จึงทำให้คนที่ล้มเป็นเธอเองและเหมือนกับเป็นการตอกย้ำบาทแผลให้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเพราะครั้งนี้เธอแทบจะไม่มีแรงฉุดตัวเองให้ลุกขึ้น
“ตามใจงั้นก็แยกกันตรงนี้แหละ”
พูดจบมัทนาก็แกล้งเดินหันหลังออกมาแต่เพียงไม่กี่ก้าวเธอก็ต้องหันกลับไปหาคนใจแข็งอีกครั้ง หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเดินกลับไปช้อนตัวคนดื้อขึ้นมาอุ้มไว้
“ทำอะไรของเธอ”
“ทำขนาดนี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอ”
“ปล่อยฉันเดียวนี้!”
คนถูกอุ้มร้องโวยวายพร้อมกับดิ้นรนให้อีกฝ่ายวางเธอลงแต่ก็ไร้ผลเมื่อมัทนาไม่ทำตามแถมยังกระชับตัวเธอให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มเอาหน้าเข้ามาประชิด
“จะทำอะไร”
นรีรัตน์พยายามเบือนหน้าไปทางอื่นแต่เธอก็รู้ว่าคงหนีได้ยากหากยังอยู่ในลักษณะแบบนี้
“ทำอะไรคุณก็น่าจะรู้ดี เราโตๆกันแล้วนี่นา”
คนพูดยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับค่อยๆก้มหน้าเข้าไปใกล้คนที่กำลังสั่นเป็นลูกนกตกน้ำแต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้มัทนาก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเพราะตอนนี้มีบุคคลคนที่สามกำลังดึงหูเธอจนเกือบขาด
“โอ๊ย! เจ็บๆ”
มัทนารีบวางคนที่อุ้มอยู่ลงก่อนจะหันมาตะครุบมือที่ดึงหูตัวเองเอาไว้
“คุณหทัยภัทร!”
หทัยภัทรจ้องคนที่ทำหน้าตกใจหยั่งกับเห็นผีก่อนจะออกแรงดึงสิ่งที่อยู่ในมืออีกครั้ง
“เจ็บ เจ็บ นี่คุณ!”
“ทำไม”
“หูคนนะไม่ใช่ลูกองุ่นบิดอยู่ได้ เจ็บ!”
“มันก็สมควรแล้วนิที่โดนแบบนี้ ดีแค่ไหนที่ฉันไม่เอาเสาองุ่นฟาดใส่หัวเธอแทน”
คนพูดดึงมือออกก่อนจะก้มลงไปดูนรีรัตน์ที่ยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่านรี”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่หทัยแต่เหมือนข้อเท้านรีจะแพลง”
“มาเดี๋ยวพี่ช่วย”
หทัยภัทรพยายามช่วยประคองน้องสาวให้ลุกขึ้นแต่อาจเพราะเธอตัวเล็กกว่าบวกกับอีกฝ่ายไม่มีแรงในการพยุงตัวเองให้ลุกได้ทั้งสองสาวจึงล้มไปพร้อมๆกันจนคนมองอยู่ต้องรีบเอามือตะครุบปากตัวเองเอาไว้เพราะเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
“เป็นอะไร”
“เปล๊า เปล่าค่ะ”
หทัยภัทรมองคนโกหกอย่างไม่พอใจแต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการพานรีรัตน์กลับเข้าบ้านไปทำแผลและคงไม่มีทางเลือกอื่น
“เธอมานี่ซิ!”
คนถูกเรียกหันมองซ้ายทีขวาทีก็ไม่พบใครก่อนจะชี้นิ้วมายังตัวเอง
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ เร็วๆ”
“มัทไม่เคยคิดว่าคุณหทัยภัทรเป็นเพื่อนหรอกค่ะ”
คนพูดเดินเข้าไปใกล้สองสาวก่อนจะค่อยๆย่อตัวนั่งลงข้างๆคนเจ็บ
“เพราะมัทไม่เคยมีเพื่อนแก่กว่า”
“นี่เธอ!”
และก่อนที่องค์จะลงนายหญิงของไร่ไปมากกว่านี้ มัทนาก็รีบช้อนตัวนรีรัตน์ขึ้นมาอุ้มพร้อมกับจัดการเอาแขนทั้งสองข้างของหญิงสาวมาคล้องที่คอของตัวเองไว้
“ฉันว่ามันมากไปนะ”
หทัยภัทรเดินหน้าหงิกเข้ามาใกล้ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดแขนของน้องสาวออกแต่คนอุ้มกลับเบี่ยงตัวหลบ
“คุณจะทำอะไร”
“เธอนั่นแหละฉันให้ช่วยแต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอมาทำรุ่มรามแบบนี้”
“รุ่นราม คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะตอนนี้มัทกำลังอุ้มคุณนรีอยู่ถ้าไม่ให้เธอกอดคอแบบนี้ก็เสี่ยงที่จะตกไปกองกับพื้นอีกซึ่งมันคงไม่ดีแน่…จริงมั้ยคะ”
คนพูดฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับการก้าวเดินไปข้างหน้า นึกขำทั้งๆที่เป็นคนบอกให้เธอช่วยแท้ๆแต่กลับห้ามโน่นห้ามนี่ดูจากลักษณะท่าทางแล้วนายหญิงของเธอจะหวงน้องสาวมากทีเดียว ตลกชะมัดยิ่งนึกถึงใบหน้างอๆของคนข้างหลังก็ทำให้มัทนาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“อยู่ดีๆก็หัวเราะเป็นบ้าหรือไง”
นรีรัตน์อดพูดแขวะไม่ได้เมื่อคนที่อุ้มเธอเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่หนักสุดคือการหัวเราะทั้งๆที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ชวนขำอะไรเลย
“ทำไมคะที่ไร่นี้เค้ามีกฎห้ามหัวเราะหรือไง”
“ไม่มี! แต่ฉันว่าคงมีแค่คนบ้าเท่านั้นแหละที่อยู่ดีๆก็หัวเราะได้”
มัทนาก้มมองหน้าคนที่ว่าให้ตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทางเดินเธอเลือกที่จะเงียบเพราะหากต่อปากต่อคำกันไปก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเกลียดขี้หน้าเธอเพิ่มมากขึ้น หญิงสาวแอบชำเลืองมองคนที่เดินแซงหน้าไปก่อนจะดึงสายตากลับมายังทางเดินอีกครั้งด้วยความรู้สึกหนักใจ เส้นทางข้างหน้าสำหรับเธอในไร่หทัยภัทรแห่งนี้มันดูมืดมนไม่มีแสงสว่างเลยสักนิดแล้วเธอจะเดินไปได้ไกลแค่ไหนนะ
เมื่ออุ้มคนเจ็บมาถึงห้องพักมัทนาจึงค่อยๆวางตัวของที่อุ้มลงนั่งที่เตียงก่อนจะย่อตัวไปดูข้อเท้าช้าๆ
“ทำอะไร! ออกไปได้แล้ว”
หทัยภัทรรีบสาวเท้าเข้าไปดึงตัวมัทนาออกมาก่อนจะส่งสายตาไม่พอใจไปให้จนเจ้าตัวถึงกับหน้าซีด
“มัทแค่จะช่วยดูแผล”
“เธอเป็นหมอหรือไง”
คนถูกว่าได้แต่อ้างปากค้างเพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกมาดีถึงจะทำให้คนตรงหน้าพอใจได้
“อย่ามาอวดดี อีกอย่างเธอเป็นแค่คนงานอย่าลืม”
เมื่อนายหญิงของไร่เอ่ยปากออกมาขนาดนี้คนงานอย่างมัทนาก็ได้แต่ก้มหน้ารับพร้อมกับขยับถอยห่างออกมา
“งั้นถ้าหมดหน้าที่ของคนงานคนนี้แล้วมัทขอตัวก่อนนะคะ”
มัทนาเอ่ยจบประโยคก็เดินออกไปทันทีที่จริงมันก็เป็นอย่างที่อีกคนพูด ตอนนี้เธอเป็นแค่ลูกหนี้ที่ต้องมาทำงานขัดดอกเท่านั้นยังจะสะเออะไปต่อปากต่อคำกับเขาอีก…น่าสมเพชสิ้นดี!
กลับมาในห้องที่ตอนนี้ใส่ยาที่แผลเรียบร้อยแล้ว หทัยภัทรเก็บยาใส่กล่องก่อนจะเดินมาหยุดยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของคนเจ็บ
“ไม่เป็นไรแล้วนะนรี”
“ค่ะ ขอบคุณพี่หทัยมากนะคะ”
“เราเป็นพี่น้องกันเห็นนรีเจ็บพี่ก็อดห่วงไม่ได้”
หทัยภัทรเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆน้องสาวก่อนจะเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้
“มีแผลที่อื่นอีกมั้ย”
นรีรัตน์มองหน้าคนถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยก่อนจะก้มมองแผลที่ข้อเท้าของตัวเอง
“พี่คงเป็นห่วงมากไปเอาเป็นว่าช่วงนี้พักก่อนก็แล้วกันนะงานอื่นๆเดี๋ยวพี่ดูแลเอง”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่”
หทัยภัทรทิ้งประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะเดินออกจากห้องไป ช่วงนี้เธอคงต้องลงไปกำกับมัทนาด้วยตัวเองแต่ก็ดีเหมือนกันเพราะดูเหมือนนรีรัตน์จะใจดีกับยัยเด็กนั่นเกินไป คงถึงเวลาแล้วที่มัทนาจะต้องเจอของจริงซะที