web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 109
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 102
Total: 102

ผู้เขียน หัวข้อ: ดอกคาร์เนชั่นต้องห้าม (ฉบับปรับปรุง) บทที่ 14  (อ่าน 1471 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
บทที่ 14

สาวหน้าหวานตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายผละออกมา เธอรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นคล้ายภูเขาไฟจะระเบิด มันเป็นเรื่องที่ยากในการหักห้ามความรู้สึก หล่อนกัดฟันจนแน่น มือกำจนผิวขาวซีดเพื่อระงับความต้องการอันท่วมท้น นันทวรรณเหมือนจะเข้าใจ แม้ว่าในตอนแรกยังคงทำหน้าเหมือนเคลิ้มฝัน คนตัวเล็กมองเธอโดยไม่ได้เอ่ยคำใด หลายนาทีต่อมาพายุในใจก็สงบลง หล่อนจึงพูดออกไป

“พี่ขอโทษ”

“พี่อีฟไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เป็นความผิดของหนึ่งเอง” สาวน้อยบอก ดวงตาใสซื่อ

“มาเถอะ พี่ขอแก้ตัวนอนกอดละกันนะคะ” เธอยิ้มออกขี้เล่นเล็กน้อย และดึงคนตรงหน้าให้ล้มตัวนอนไปบนเตียงด้วยกัน

“พี่ว่าเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมเถอะ”

“เหมือนเดิมคือยังไงคะ” เสียงใสถามอย่างตกใจ เบิ่งตากว้าง

“คิดไปไหนน่ะเรา พี่หมายถึงกลับไปไม่แตะต้องตัวกันไงคะ” หล่อนหัวเราะเบาๆ ในลำคอรู้ว่าคนในอ้อมกอดคิดอะไรอยู่ อาจเพราะสิ่งที่หญิงสาวพูดออกไปไม่ได้ระบุชัดเจนแมวน้อยจึงเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าจะให้กลับไปเป็นพี่น้อง

“ก็พี่อีฟพูดซะ หนึ่งก็อดคิดไม่ได้สิคะ” คนอายุน้อยกว่าเบะปากด้วยความเคยชิน

“ไม่เอาไม่ทำหน้าแบบนี้นะ เดี๋ยวเกิดชาติหน้าเป็นเป็ดไม่รู้ด้วย” เสียงหวานล้อ อารมณ์ดีขึ้นทันตาที่ได้แกล้งคนที่รัก

“พี่อีฟใจร้าย หนึ่งไม่พูดด้วยแล้ว” ว่าแล้วนันทวรรณก็ซุกอกนิ่ม ถ้าไม่ได้อยู่ในลักษณะนี้หญิงสาวคงได้เห็นกวางน้อยสะบัดหน้าอย่างคนที่กำลังงอนไปแล้ว

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เธอรู้ว่าไม่จำเป็นต้องง้อ พลางจูบที่แก้มนุ่มเบาๆ



คนผมยาวตื่นแต่เช้าตรู่ แขนซ้ายรับรู้ถึงน้ำหนักที่กดทับ อรสายิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มใบหน้าลงไปเพื่อกระซิบว่า

“ตื่นเถอะค่ะ...เช้าแล้ว”

“อือ” แมวน้อยแสนจะขี้เซาส่งเสียขัดใจที่มีคนมาปลุกให้ตื่นจากการนอนหลับอันแสนสบาย ร่างอรชรขยับเล็กน้อย และนิ่งสงบเหมือนเดิม

เธอใช้มาตรการเด็ด บีบจมูกรั้นให้หายใจไม่ออก เดี๋ยวก็ต้องตื่นเอง แต่น้องสาวแสนขี้เกียจนั้นก็อ้าปากแทน หล่อนหัวเราะออกมา

“ไฟไหม้มม” สาวสวยตะโกนเสียงดัง

คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นจากเตียง ผมยุ่งไม่เป็นทรง หน้าตาตื่นตระหนกตกใจกับคำที่ได้ยิน หน้าเรียวหันมองทางซ้ายทางขวา คิ้วหนาขมวดอย่างงุนงงสงสัย

“ไฟไหม้ตรงไหนคะ” ในที่สุดคนผมสั้นก็หันมาถามหล่อน

“ไม่มีค่ะ” สาวปากอิ่มตอบหน้าตาเฉยๆ อดยิ้มไม่ได้

“ง่ะ พี่อีฟแกล้งหนึ่ง” แมวน้อยเบะปาก ทำหน้าตาน่าสงสาร

“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้ใส่พี่เลย ไหนเมื่อวานบอกว่าวันนี้จะตื่นแต่เช้าไง ฮึ” หล่อนทวงถามถึงสิ่งที่คนตรงหน้าเป็นคนพูดออกมาเอง

“แหมไม่ต้องเช้าขนาดนี้ก็ได้ค่ะ เพิ่งจะสว่างเอง ปิดเทอมทั้งทีขอพักยาวๆ หน่อยไม่ได้เหรอคะ” เสียงใสออดอ้อน มือเล็กเกาะแขนเธออัตโนมัติ

“อย่าอ้อนซะให้ยากค่ะ ไหนๆ ก็ตื่นแล้วไปอาบน้ำไป” ภูมิต้านทานของอรสาเพิ่มมากขึ้น จริงๆ ก็ไม่ยากแค่ไม่มองหน้าแฟนสาวเสียก็หมดเรื่อง นอกจากนั้นเวลาได้ยินเสียงใสๆ ก็ทำเป็นหูทวนลมซะก็พอ

ปิดเทอมครั้งนี้เป็นปิดเทอมเล็ก มหาวิทยาลัยให้หยุดเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น หล่อนจึงให้คนหน้าบึ้งพักเสียวันหนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปที่บ้านของพ่อซึ่งเธอไม่เคยเห็นหน้า

“ก็ได้ค่ะ” คนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองขอความเห็นใจเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลก็ยอมลุกเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี



เด็กสาวเดินตามหลังคนตัวสูงกว่าไปตามกำแพงวัด ซึ่งมีช่องมากมายให้ใส่อัฐิของผู้ที่เสียชีวิตเข้าไปพร้อมกับปิดด้วยหินอ่อนที่มีรูปหน้าและรายละเอียดของคนๆ นั้น

“นี่ไงแม่เรา” อรสาหยุดยืนที่หน้าหินอ่อนอันหนึ่ง

เธอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้หญิงในรูปมีใบหน้าคล้ายพี่สาวของหล่อนมาก เหมือนกันไปหมดทั้งรูปคิ้ว รูปหน้า จมูก ปาก เพียงแต่ดูเหมือนคนมีความทุกข์เก็บไว้ในใจไม่สวยสดใสอย่างคนตรงหน้าเธอเลย

“แม่คะ อีฟพาน้องมาเยี่ยมค่ะ” ตาสีน้ำตาลอ่อนมีน้ำใสคลอเต็มเบ้า เสียงสั่นเล็กน้อย

“ไหว้แม่สิหนึ่ง” คนผมยาวหันมาบอก เธอทำตามอย่างว่าง่าย ในอกมีก้อนอะไรสักอย่างแทรกอยู่ เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้เห็นคนที่อยากเจอมาทั้งชีวิต

“ทำไมแม่ไม่เคยบอกเลยคะว่าอีฟมีน้อง วันนี้อีฟจะไปบ้านพ่อค่ะ พ่อเองก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน” เสียงหวานหยุดลงเพียงเท่านั้นและเงยหน้ามองฟ้ากว้าง

“พี่อีฟ” นันทวรรณเรียก ก่อนจะเข้าไปกอดสาวสวยแน่น เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร มันสับสนไปหมด

“พี่ไม่เป็นไรหรอก” ปากอิ่มยิ้มเศร้า ใต้ตายังคงมีร่องรอยของความเปียกชื้น

“อย่างน้อยเราก็มีกันและกันนะคะ” หล่อนพูดด้วยความจริงใจ

“จ๊ะ” คนตรงหน้ารับรู้



การจราจรติดขัดพอสมควรเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนกรุงเทพฯ นิยมออกต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งเส้นทางที่หล่อนกำลังไปนั้นก็เป็นอีกเส้นหนึ่งที่คนนิยม

“อย่านั่งเพลินจนลืมบอกทางพี่นะคะเดี๋ยวเลย พี่ยิ่งไม่ชินทางด้วย” เธอเตือนคนข้างๆ ที่ทำท่าจะหลับ

“ไม่ลืมค่ะ” เด็กน้อยฉีกยิ้ม ดูไม่น่ามั่นใจเลยสักนิดเดียว

“ทำเป็นเล่นนะเรา” หล่อนว่าไม่จริงจังนัก พร้อมกับส่ายหัวให้คนที่ทำตัวสบายๆ

“เดี๋ยวเบี่ยงเข้าเลนซ้ายนะคะ” จู่ๆ ปากบางก็พูดออกมา

หญิงสาวถอนหายใจกับคำบอกกะทันหันแต่ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ดีที่ว่าหล่อนขับอยู่เลนกลางอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา

“บอกล่วงหน้าหน่อยสิคะ เดี๋ยวรถก็ได้ชนเอาหรอก” เธอเอ็ดด้วยเสียงขึงขัง รู้สึกเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็กมากกว่าจะพาน้องสาวกลับบ้าน หล่อนบ่นเหมือนคนมีอายุเข้าไปทุกที

“รับทราบค่ะ” นิ้วเรียวทำมือเฉียงๆ บริเวณหน้าผาก

“เฮ้อ” คนตัวสูงถอนหายใจ นิสัยขี้เล่นแบบนี้คงแก้ไม่หายเป็นแน่ แต่ไม่ว่ายังไงหล่อนก็ชอบทุกอย่างที่หนึ่งเป็น



เกือบสองชั่วโมงในการเดินทาง ในที่สุดทั้งสองก็มาถึง หล่อนเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามเสียงเจื้อยแจ้วทุกอย่าง และแล้วบ้านหลังเล็กน่ารักก็ปรากฏในสายตา

“ถึงแล้วค่ะ” สาวน้อยชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งถูกขนาบข้างด้วยบ้านสีสดใส เพราะความเรียบบ้านที่ถูกชี้จึงโดดเด่นขึ้นมาทันที

“เดี๋ยวหนึ่งลงไปเปิดประตูนะคะ” เด็กสาวพูดเสร็จก็ลงจากรถที่จอดนิ่งหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว ดูกระตือรือร้น

เธอถอยรถเข้าไปจอดในบ้านซึ่งมีขนาดพอดีสำหรับรถหนึ่งคัน ทั้งสองคนช่วยกันขนข้าวของไปกองที่ประตูหน้าบ้าน ก่อนที่คนตัวเล็กจะไขประตูเพื่อให้สามารถเข้าไปได้

หลังจากจัดของเสร็จเรียบร้อย หล่อนก็คิดว่าควรจะไปซื้อของสดมาเก็บไว้ในตู้เย็นสำหรับทำอาหารจึงชวนแมวน้อยให้ออกไปด้วยกัน

“ซื้อที่หน้าปากซอยก็ได้ค่ะ ร้านลุงอ้วนมีทุกอย่างเลย ผักก็มีตั้งหลายชนิด” เสียงใสพูดด้วยความร่าเริงอย่างคนชินพื้นที่มากกว่า

“ก็ได้ค่ะ” เธอเห็นด้วย



“อ้าวหนูหนึ่ง หายหน้าหายตาไปเลย” เสียงลุงอ้วนที่มีรูปร่างสมชื่อพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นหล่อนลงมาจากรถที่จอดหน้าร้าน

“สวัสดีค่ะลุง” เธอยกมือไหว้ยิ้มๆ

“ไปกรุงเทพฯ ทำไมไม่บอกลุงบ้าง ลุงไปถามยายข้างบ้านถึงรู้ว่าหนูไม่อยู่แล้ว” ชายสูงวัยถามเพราะข้องใจ

“ขอโทษค่ะลุง หนูลืม” เด็กสาวบอกตรงๆ อย่างง่ายๆ

“ยังสาวยังแส้ลืมซะแล้ว” เขายิ้มเอ็นดู

“เออเกือบลืม รอตรงนี้แปบนะ เดี๋ยวลุงไปเอาของมาให้” ว่าแล้วคนลงพุงก็หันหลังเดินเข้าไปในร้านด้วยความคล่องแคล่วผิดกับรูปร่าง

“เลือกของกันค่ะ” เสียงหวานพูด เธอจึงหยิบผักสดแต่ละชนิดขึ้นมาพิจารณาและถามความเห็นของคนข้างๆ

“สดๆ ทั้งนั้นเลย ตอนแรกพี่นึกว่าจะเหี่ยวหมดแล้วซะอีก” อรสาพูดพลางหยิบผักไว้ในมือมากขึ้นเรื่อยๆ

“สดค่ะ ลุงเขาขายแบบวันต่อวันไม่ค่อยเหลือหรอกค่ะ” เธอบอกอย่างรู้ดี เพราะอยู่ที่นี่มาตลอด

“อืม”

“หนูหนึ่ง” เสียงชายมีอายุเรียก

“หนูจำได้ไหมที่ลุงบอกมีเรื่องจะพูดน่ะ” เขาทวงถามสิ่งที่เคยบอก

“อ้อ จำได้ค่ะ” หล่อนนึกอยู่สักพักความจำจึงกลับมา ตอนที่ไปเรียนนั้นหัวของนันทวรรณจำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว

“ลุงแค่จะบอกว่าพ่อหนูฝากไอ้นี่ไว้ให้” ลุงอ้วนพูดเสร็จก็ยื่นซองสีน้ำตาลมาข้างหน้า เด็กสาวรับเอาไว้ ไม่มีการจ่าหน้าซอง เธอรับรู้ได้จากการสัมผัสว่าข้างในน่าจะมีกระดาษอยู่ปึกใหญ่

“มันคืออะไรคะ” คนผมสั้นถามงุนงง พี่อีฟถือพักในมือและเดินมายืนข้างหลังด้วยความสนใจ

“เอ ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน หนานเขาบอกว่าถ้าหนูอ่านแล้วหนูก็จะรู้เอง ลุงก็เลยไม่ได้ถามไปมากกว่านี้” คนผมน้อยเส้นคิ้วขมวด

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะลุง ไว้เดี๋ยวหนูทำกับข้าวมาให้นะคะ รับรองอร่อยเหมือนเดิม” หล่อนโม้

“เออดีๆ ลุงคิดถึงอาหารฝีมือหนูจะแย่ ขอเผ็ดๆ เหมือนเดิมนะ” ชายมีอายุยิ้มกว้าง ทำมือป้องปากก่อนบอก หนึ่งรู้ว่าคนตรงหน้าต้องแอบเพราะไม่อยากให้ภรรยารู้

“ค่ะ” เธอยิ้มรับ



หลังจากจ่ายเงินเสร็จทั้งสองก็หอบเอาข้าวของหลายอย่างที่ซื้อใส่ท้ายรถเก๋งก่อนจะกลับบ้านกัน คนตัวเล็กถือซองกระดาษไม่ยอมเปิดจนกระทั่งขนของใส่ตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เปิดดูเหรอคะ” หญิงสาวพูดเตือน

“ค่ะ” แมวน้อยค่อยๆ ใช้กรรไกรตัดปลายซองออก เผยให้เห็นกระดาษปึกหนึ่งอยู่ข้างใน นิ้วเรียวหยิบมันออกมา หล่อนเห็นแต่ตัวหนังสือที่เขียนด้วยลายมือเต็มหน้า มันคือจดหมาย

“หนึ่ง” คนตาสีท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบไป สายตากำลังไล่อ่านข้อความเหล่านั้นทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเศร้า หล่อนจึงอ่านตาม

‘หนึ่งลูกรักของพ่อ

ถ้าลูกได้อ่านแสดงว่าพ่อคงไม่อยู่แล้ว จริงๆ พ่อตั้งใจบอกลูกด้วยตัวเองถ้าลูกเรียนจบมหา’ลัย พ่อฝากสิ่งนี้ไว้กับตาอ้วนเผื่อไว้

ลูกจำได้ไหมที่เคยถามพ่อเรื่องแม่ของลูกตอนลูกเด็กๆ หนึ่งถามพ่อว่า ‘ทำไมหนูไม่มีแม่’ แล้วพ่อก็ไม่สามารถตอบลูกได้ พ่อพบว่ามันยากที่จะพูดออกไป พ่อหลีกเลี่ยงมันมาตลอด หนูเองก็ไม่ถามพ่ออีกเลยหลังจากไม่ได้รับคำตอบ จนกระทั่งตอนที่ลูกกลับมาจากการทำบัตรประชาชนครั้งแรก มันทำให้พ่อตัดสินใจเขียนสิ่งนี้ขึ้นมา เรื่องทุกอย่างมันเริ่มที่...



บทที่เหลือสามารถอ่านได้ในหนังสือค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 00:30:52 อาพัทธ์ อันธการ »



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.