web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 110
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 100
Total: 100

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 6  (อ่าน 1902 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 6
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:24:42 »
Chapter 6

“พี่อาร์ท โยมิไปไหนแล้วอ่ะ!”

ไอถามพี่ชายทันทีที่เธอตื่นขึ้นแล้วไม่พบหญิงสาวเจ้าของชื่อ ผู้ที่ส่งโปสการ์ดมาให้เธออยู่ในห้อง

“คุยอยู่กับแม่น่ะอีกห้องนึงน่ะ ค่อยๆ ลุกสิเดี๋ยวก็เวียนหัวหรอก” ช่างซ่อมเครื่องบินร้องบอกเมื่อเห็นน้องสาวตลบผ้าห่มแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

ไม่ทันที่สาวตาหวานจะลุกออกจากเตียง พัชรินทร์ก็เปิดประตูห้องนอนซึ่งเป็นห้องคอนเน็คเข้ามาในห้องที่สองพี่น้องนั่งอยู่ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับสาวญี่ปุ่นที่คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยพร้อมกับสีหน้ากังวล

“ไอ... เป็นยังไงบ้างลูก” คุณครูประถมถามลูกสาวที่นั่งอยู่บนเตียง สีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้นมาก

“โอเคแล้วค่ะ...” ไอตอบแล้วละสายตาจากแม่ของตัวเองไปมองที่สาวร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ดีแล้วจ้ะ ที่นี้พวกเราจะได้แต่งตัวกันสักที เดี๋ยวงานกินเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว น้าปิงโทรศัพท์ตามแม่อยู่ยิกๆๆ แล้วเนี่ย” พัชรินทร์พูดอีกครั้งแล้วหันไปมองโยมิ “Thank you very much for your help (ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วย)”

“Don’t mention it, I didn’t do anything (ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย)”

สาวญี่ปุ่นสบตาคนที่นั่งอยู่บนเตียง หลังจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “If you don’t have anything, may I excuse myself? (ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ)”

“Wait! (เดี๋ยวก่อน!)” เสียงของสาวตาหวานดังขึ้นมาทันที หลังจากนั้นเธอก็รีบเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าสาวร่างสูงที่กำลังจะหยิบกระเป๋าเป้

“What can I do for you? (จะให้ฉันช่วยอะไรเหรอคะ)”

“Where do you go? (คุณจะไปไหนเหรอ)”

โยมิถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “Back to my hostel, I’m tired (ก็กลับไปที่โรงแรมน่ะสิ ฉันเหนื่อยแล้วนะ)”

ใบหน้าของไอเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย “Sorry, I just wanna clarify (ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่อยากจะทำให้มันกระจ่าง)”

“Clarify? About why I sent the postcards? Listen, I just do my job and if it bother you this much I’m sorry (กระจ่างเหรอ... เกี่ยวกับไอ้ที่ฉันส่งโปสการ์ดให้คุณน่ะเหรอ... ฟังนะ ฉันแค่ทำงานของฉัน แล้วถ้าสิ่งที่ฉันทำมันรบกวนคุณมากถึงขนาดนี้ล่ะก็... ฉันขอโทษ)”

สาวตาหวานส่ายหน้าเร็วๆ “No no, I’m glad to get them… all of them. I just don’t understand (ไม่ๆ ฉันดีใจที่ได้รับโปสการ์ดพวกนั้น แค่ฉันไม่เข้าใจเท่านั้นเอง)”

“Something no need to be understood, may be the person who hired me love you so much. I’m just a traveler who accidentally met and accepted the request (บางสิ่งบางอย่างมันไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ บางทีคนที่จ้างฉันคงจะรักคุณมาก ฉันมันก็แค่นักท่องเที่ยวที่บังเอิญเจอเค้าแล้วก็รับปากว่าจะทำให้)”

ไอก้มหน้าลงแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เธอเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดดี แต่ในใจของเธอก็ยังคงสงสัยในตัวอยู่หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเธอสงสัยอะไรก็ตาม!

“Tomorrow, where will you go? (แล้วพรุ่งคุณจะไปไหนเหรอคะ)”

“I’ll walk around the city and afternoon I plan to go to another district (ฉันกะว่าจะเดินเที่ยวรอบๆ เมืองแล้วช่วงบ่ายก็จะไปอำเภออื่น)”

“And how long will you stay in Thailand? (แล้วคุณจะอยู่เมืองไทยอีกนานเท่าไหร่)”

สาวญี่ปุ่นทำท่าคิด “Around the middle of next month, I think (ก็ราวๆ กลางเดือนหน้านะ)”

สาวตาหวานกลั้นหายใจแล้วหันไปมองหน้าแม่และพี่ชายของเธอ เธอหันมาสบตากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พูดออกมาว่า

“I’ve vacation for 3 weeks before I go back to attend the class. And I think… I’ll use that time to travel with you (ฉันมีวันหยุดประมาณ 3 อาทิตย์ก่อนที่จะกลับไปเรียน แล้วฉันว่า... ฉันจะใช้เวลา 3 อาทิตย์นั้นเดินทางไปกับคุณ)”

ทุกคนอ้าปากค้างเมื่อไอพูดจบโดยเฉพาะคนในครอบครัวของเธอ อาร์ทรีบเดินมาดึงตัวน้องสาวเข้ามาใกล้ๆ เขากับแม่ทันที

“ไอ... พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเค้าเลย แล้วจะไปกับเค้าได้ยังไง” ช่างซ่อมเครื่องบินพูด

“ไอตัดสินใจแล้ว...” สาวตาหวานพูดออกมาสั้นๆ แล้วหันไปมองหน้าแม่ของตัวเอง “หนูตัดสินใจแล้วค่ะแม่ หนูรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่หนูอยากจะเอาชนะความกลัวที่หนูมี หนูอยากจะหายจากโรคนี้ แล้วหนูก็อยากรู้ว่า... ใครเป็นคนที่จ้างให้เค้าส่งโปสการ์ดมาให้หนู”

คุณครูประถมนิ่งไปพักใหญ่แล้วหันไปมองสาวร่างสูงที่ยังคงยืนอึ้งอยู่ “แม่เข้าใจนะไอ แต่หนูทำแบบนี้จะไม่ทำให้โยมิเค้าลำบากใจเหรอ ก็อย่างที่อาร์ทพูด... หนูเองก็ไม่รู้จักเค้า เค้าเองก็ไม่รู้จักหนู อีกอย่าง คนญี่ปุ่นน่ะเท่าที่แม่รู้มานะเค้าถือความเป็นส่วนตัวมากกว่าอะไรทั้งหมด ทำแบบนี้ถ้าเค้าปฏิเสธขึ้นมาแล้วหนูจะทำยังไง”

ไอนิ่งเมื่อฟังคำพูดของแม่ สายตาของเธอไปที่โยมิ

“What do you think about my idea? (คุณคิดยังไงกับความคิดของฉัน)”

สาวญี่ปุ่นยักไหล่ “I’ll accept your request, if you can follow my rules (คุณจะไปกับฉันก็ได้ถ้าคุณทำตามกฎของฉันได้)”

“What rules? (กฎอะไร)”

นิ้วมือของสาวร่างสูงยกขึ้นมาทำท่าเป็นเลขหนึ่ง “Rule number 1, I’m not your baby sister nor care taker. You have to take care of yourself, do not expect me to protect you in any cases (กฎข้อที่ 1 ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กหรือผู้ดูแลของคุณ เพราะฉะนั้นคุณต้องดูแลตัวเอง อย่าคาดหวังว่าฉันจะปกป้องคุณไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม)

โยมิเพิ่มนิ้วเป็นเลขสองแล้วพูดต่อว่า “Rule number 2, if you wanna visit in any places that I don’t want to, go by yourself I won’t go with you. In that case, if I won’t meet you in the meeting time and place, we will separate I won’t looking for you or find you (กฎข้อที่ 2 ถ้าคุณคิดจะแยกตัวไปเที่ยวที่อื่น ในสถานที่ๆ ฉันไม่อยากไปก็ขอให้คุณไปคนเดียว ฉันจะไม่ไปด้วย แล้วถ้าเกิดกรณีนั้นจริงๆ ถ้าเกิดคุณไม่ได้มาเจอฉันที่จุดนัดพบหรือเวลาที่พวกเรานัดกันเอาไว้ ฉันจะถือว่าคุณแยกตัว ฉันจะไม่รอคุณและจะไม่ตามหาคุณ)

“The last one, rule number 3. From the time you need to go back, I won’t go with you. You must go back by yourself (กฎข้อสุดท้าย กฎข้อที่ 3 เมื่อถึงเวลาที่คุณจะต้องกลับ ฉันจะไม่ไปด้วย คุณต้องกลับไปคนเดียว)”

สาวตาหวานกลั้นหายใจเมื่อได้ฟังกฎทั้งสามข้อของอีกฝ่าย ดูเหมือนสาวร่างสูงจะตั้งกฎยากๆ เพื่อพยายามบีบให้เธอต้องเดินทางคนเดียวถ้าไม่ทำตามกฎเหล่านั้น เพราะดูเหมือนโยมิจะรู้ว่าอาการของเธอนั้นทำให้เธอไม่กล้าที่จะเดินทางคนเดียวหากไม่มีคนช่วยหรือดูแล และอีกฝ่ายก็ออกตัวไว้เลยว่าจะไม่ช่วยเหลืออะไรเธอทั้งสิ้นเมื่อเกิดปัญหา

“No need to give me an answer this time, you have time to think. If you think you can follow my rule, meet me in front of Nan Museum 9 AM tomorrow with your stuffs (คุณไม่จำเป็นต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ฉันให้เวลาคุณเอาไปคิดก่อน ถ้าคุณคิดว่าคุณทำตามกฎของฉันได้ พรุ่งนี้ก็มาเจอฉันที่หน้าพิพิธภัณฑ์น่าน 9 โมงเช้าพร้อมกับของๆ คุณ)”

สาวญี่ปุ่นยกกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง “Have fun with the wedding party, good bye (ขอให้สนุกกับงานแต่งงานนะ ลาก่อน)”

สาวร่างสูงโค้งให้กับพัชรินทร์และอาร์ท เธอสบตากับไอนิดหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไป

...
เมื่อโยมิกลับมาถึงที่พัก เธอก็แวะทักทายเจ้าของเกสต์เฮ้าส์พร้อมกับบอกว่าเธอจะเช็คเอ้าท์ในวันพรุ่งนี้ ช่วงระหว่างที่กำลังรอชำระเงินอยู่นั้นเธอก็หันไปมองโปสเตอร์ที่ติดเอาไว้อยู่ด้านข้างของเคาน์เตอร์ มันเป็นรูปของชาลี แชปลิ้น นักแสดงตลกชื่อก้องโลก และใต้ภาพของเขามีข้อความเขียนเอาไว้ว่า

“Nothing is permanent in this wicked world, not even our troubles (ไม่มีอะไรที่คงทนถาวรเลยสักอย่างในโลกที่โหดร้าย แม้กระทั่งความทุกข์ของชีวิต)”

“I love that quote, and I think he was right (ฉันชอบข้อความนั้นนะ แล้วก็คิดว่าเค้าพูดถูก)” เจ้าของเกสต์เฮ้าส์พูดเมื่อเห็นลูกค้ายืนมองโปสเตอร์อยู่นาน

“Yes? (อะไรนะคะ)” สาวญี่ปุ่นถามกลับ

“Nothing is permanent in this world (ไม่มีอะไรที่คงทนถาวรในโลกใบนี้)” 

สาวร่างสูงยิ้ม “I see, thank you (ค่ะ ขอบคุณนะคะ)”

โยมิเดินกลับเข้าห้องพักของตัวเองพลางเก็บของลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่พลางคิดถึงใบหน้าและคำพูดของไอเมื่อช่วงบ่าย ใบหน้าที่จริงจังของสาวตาหวานกับคำพูดที่บ่งบอกว่าต้องการที่จะรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนที่จ้างเธอให้ส่งโปสการ์ด สาวญี่ปุ่นส่ายหน้าน้อยๆ กับกฎที่ตัวเองตั้งขึ้นมาอย่างทันท่วงทีเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะเดินทางไปกับเธอด้วย กฎที่ค่อนข้างจะดูโหดร้ายสำหรับหญิงสาวที่เป็นโรค PTSD หญิงสาวที่เพิ่งจะกล้าที่จะออกนอกบ้านหลังจากที่ได้รับโปสการ์ดจากเธอ แต่กฎนี้จะทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นแน่นอนถ้าไม่ถอดใจและล้มเลิกความคิดนี้ไปเสียก่อน... ล้มเลิก... ล้มเหลว... เหมือนกับเธอ...

“ฟังนะโยมิ... ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป พี่จะไม่รอเธอแล้วนะ” คำพูดของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายกับเธอดังขึ้นมาในมโนภาพ

หญิงสาวคนนั้นแต่งชุดนักเรียนในระดับมัธยมปลาย รูปร่างแบบบาง ผมสีดำปลายลอนยาวสลวยเคลียแผ่นหลัง ดวงตากลมโตสดใส ผิวขาวราวกับหิมะ ตัดกับริมฝีปากบางสีแดงที่กำลังส่งยิ้มมุมปากให้กับคนที่กำลังเดินตามมา

“ก็... ก็พี่ทำไมทิ้งฉันแบบนี้ล่ะ” สาวร่างสูงในชุดนักเรียนระดับมัธยมปลายด้วยเครื่องแบบที่ไม่เหมือนกับอีกฝ่ายตอบกลับ

“เธอไม่รักษาเวลา ไม่รักษาสัญญา ที่พี่ยืนรอนี่ก็เห็นว่าเธอเป็นน้องพี่นะ กับคนอื่นพี่ไม่รอแล้ว ขืนเป็นแบบนี้จะไปอเมริกาด้วยกันได้ยังไง ถ้าเธอเป็นแบบนี้พ่อไม่ยอมให้พวกเราไปแน่” พูดจบหญิงสาวคนนั้นก็วิ่งนำหน้าโยมิไป

“พี่ยูคาริ... รอด้วยสิ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ให้ฉันไปด้วยเถอะนะ” สาวญี่ปุ่นรีบวิ่งตามไปสมทบ จนกระทั่งตามอีกฝ่ายทัน

“เอางี้... ถ้าเธออยากจะไปกับพี่ด้วยจริงๆ พี่จะตั้งกฎเอาไว้ 2 ข้อ กฎที่เธอต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เข้าใจมั้ย” ยูคาริพูด

“ได้สิ”

“อ้ะๆๆๆ อย่าเพิ่งรับปากกันง่ายๆ อย่างนั้นสิโยมิ เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากันก่อน ใครผิดสัญญาต้องกลืนเข็มพันเล่ม โอเคมั้ย”

สาวร่างสูงนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วยกนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นมา หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ายิ้มแล้วยกนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวก้อยอีกฝ่าย

“กฎข้อที่ 1 เธอต้องดูแลตัวเอง อย่าคาดหวังว่าพี่จะดูแลเธอได้ทุกอย่าง ถึงพี่จะเป็นพี่ของเธอ แต่ให้คิดเอาไว้ว่าพวกเราต้องรับผิดชอบตัวของตัวเอง”

“ค่ะ... แล้วกฎข้อที่ 2 ล่ะ” โยมิตอบ

“กฎข้อที่ 2 ถ้าพี่อยากจะไปในที่ๆ เธอไม่อยากไปก็ขอให้เธออยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปกับพี่ และถ้าเธออยากไปในที่ๆ พี่ไม่อยากไป เธอก็ไปโดยไม่ต้องห่วงพี่ และถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเราจะไม่โทษอะไรกันว่าใครเป็นคนผิดหรือใครเป็นคนถูก”

ผู้ฟังนิ่ง หลังจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ได้ไงล่ะพี่ยูคาริ แบบนั้นพ่อต้องไม่ยอมแน่”

“ถ้าเธออยากไปกับพี่เธอต้องทำตามกฎ... ถ้าไม่ทำตามก็อย่าหวังซะให้ยาก พี่จะไม่ขอร้องพ่อให้เธอไปด้วยหรอกนะถ้าเธอไม่ทำตามกฎ” เจ้าของชื่อตอบกลับด้วยท่าทางจริงจัง

สาวญี่ปุ่นกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ “ก็ได้... ฉันสัญญา”

ยูคาริยิ้มแล้วร้องเพลงออกมาว่า “ดีมาก... เอาล่ะ เกี่ยวก้อยสัญญา ใครผิดสัญญาต้องกลืนเข็มพันเล่มๆๆ”

สาวร่างสูงตื่นขึ้นมาจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งดังขึ้นมา เธอสะดุ้งแล้วมองดูที่ชื่อของคนที่โทรเข้ามาหาเธอ

“Yes? (ค่ะ)”

“She knew already, do you wanna terminate the plan? (เธอรู้แล้ว คุณจะให้ยกเลิกมั้ย)”

โยมิเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่พูดออกมาอย่างยืดยาว เธอทำได้แค่เพียงส่งเสียงตอบรับในลำคอเท่านั้น 

หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอก็พูดออกมาว่า “Ok, yes, bye (โอเคค่ะ ค่ะ บาย)”

“Kuso! (โธ่เว้ย!)” สาวญี่ปุ่นพูดออกมาเบาๆ หลังจากที่กดวางสาย เธอล้มตัวนอนลงบนเตียงแล้วหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่

‘ทำไมฉันถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้นะ... หรืออาจจะเป็นเพราะ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสูญเสียไปในคืนนั้น’ สาวร่างสูงคิด

“Anything you want? (คุณต้องการอะไรอีกมั้ย)” คำถามสุดท้ายของคนที่โทรมาหาดังก้องอยู่ในหัวของโยมิ มันเป็นคำถามที่เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะสิ่งที่เธอจะตอบนั้นก็คือคำว่า 

“Help! I don’t wanna be like this anymore (ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกต่อไป)”

“Kimi ni aitai, Yukari Onee San (พี่ยูคาริ ฉันคิดถึงพี่)” โยมิพูดออกมาเบาๆ กับตัวเอง

...
“ไอ... เก็บกระเป๋าทำไม” อาร์ทถามน้องสาวหลังจากที่เขากลับขึ้นมาจากงานแต่งงานแล้ว

สาวตาหวานไม่ตอบพี่ชาย แล้วหันมาถามว่า “พี่อาร์ท ไอขอแลกกระเป๋ากับพี่อาร์ทได้มั้ย พี่อาร์เอาเป้ใบใหญ่มาไม่ใช่เหรอ”

“ได้ๆ เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าไอจะไปพรุ่งนี้กับโยมิ”

“อื้อ”

ช่างซ่อมเครื่องบินรีบเดินเข้าไปจับมือน้องสาวที่กำลังจัดของให้หยุดทันที “พี่ไม่เห็นด้วย... ไม่เห็นด้วยอย่างแรงที่ไอจะไปกับเค้าแบบนั้น เราไม่รู้จักเค้า แถมกฎที่เค้าตั้งมันเป็นอะไรที่... ไม่รู้ล่ะ พี่ไม่อนุญาตให้ไอไปกับโยมิ”

“ทำไมพี่ถึงไม่อนุญาตล่ะคะ”

“ก็เพราะเราไม่รู้จักเค้าไง... แถมจะไปไหนก็ยังไม่รู้ด้วย แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ ใครจะช่วยไอถ้าเกิดเรื่องร้ายๆ อะไรขึ้นมา”

ไอมองพี่ชายแล้วพูดว่า “ไอเข้าใจว่าพี่อาร์ทเป็นห่วง แต่ไอว่าแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าไอทำตัวติดกับเค้า กฎข้อ 2 ก็คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน”

“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ เจ้าตัวเค้าก็ออกปากแล้วว่าจะไม่ช่วย” อาร์ทพูดต่อ

“ไอคิดว่าเค้าแค่ขู่เฉยๆ” สาวตาหวานตอบ “ไอมั่นใจว่าเค้าต้องช่วยไอแน่นอน โยมิไม่น่าจะเป็นคนใจร้ายขนาดนั้น”

“ไอเอาอะไรมาพูด เอาอะไรมาการันตีว่าเค้าจะช่วยไอ”

“ตอนที่อยู่ที่ร้าน... หน้าร้านมีรถชนกัน ไอเห็นแล้วรู้สึกไม่ดี จะเป็นลม โยมิก็ช่วยไอไว้”

“นั่นอาจจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ได้ เค้าอาจจะช่วยแค่ตอนนั้น แต่หลังจากนี้อาจจะไม่ช่วยแล้วก็ได้” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดต่อไป

“ก่อนหน้านั้นตอนที่ไอเจอเค้าบนรถเมล์ เค้าก็อยู่เป็นเพื่อนไอตลอด ปลอบไอตอนที่ไอฝันร้ายด้วยแถมยอมให้ไอจับมือได้ตั้งนาน... แล้ววันนี้อีกล่ะ พี่อาร์ทบอกว่าเค้าจะรอจนกว่าไอจะตื่นแล้วค่อยกลับไม่ใช่เหรอ แล้วก็ยอมให้ไอจับมือจนแม่ขอคุยด้วยถึงจะปล่อยออกนี่นา”

“ก็ใช่... แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่เหมือนกันนะ”

“ไอรู้สึกว่าเค้าเป็นคนใจดี ท่าทางของเค้าอาจจะแค่ขู่ไอเฉยๆ เพราะไม่อยากให้ไอไปด้วย เหมือนที่พี่อาร์ทเป็นห่วง... แต่พี่อาร์ท... ไออยากจะรู้ว่าใครเป็นคนจ้างเค้า แล้วไอก็อยากจะหายจากโรคนี้ ไออยากจะออกจากบ้านเดินทางไปเที่ยวที่ต่างๆ ได้เหมือนเค้า เขียนโปสการ์ดด้วยตัวเอง แล้วส่งให้คนอื่นๆ บ้าง นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ไอได้หาทางรักษาตัวเอง พิสูจน์ตัวเองนะ”

อาร์ทนิ่ง “พี่เข้าใจ แต่ยังไงพี่ก็ไม่เห็นด้วยที่ไอจะต้องไปกับเค้านี่นา อยากเที่ยวพี่ก็พาไปได้ แม่ก็พาไปได้ หรือไปกับเพื่อนๆ ของไอก็ได้ แล้วทำไมต้องไปกับเค้าล่ะ บอกตรงๆ ว่าพี่ไม่ไว้ใจ และวางใจไม่ได้”

“ไอเข้าใจว่าพี่อาร์ทเป็นห่วง แต่ไอตัดสินใจแล้ว”

ช่างซ่อมเครื่องบินถอนหายใจ “ไม่รู้ล่ะ พี่ไม่ให้ไป”

“พี่อาร์ท... ไม่เอานะ ไอไม่ยอม”

“พี่รู้อยู่แล้วล่ะว่าไอต้องไม่ยอม งั้นถ้าแม่บอกว่าไม่ให้ไปก็ถือว่าเป็นคำขาด... แล้วไอต้องทำตามที่แม่บอก” อาร์ทพูด “เข้าใจมั้ย”

ไอเม้มริมฝีปาก “ค่ะ”

สองพี่น้องนั่งรอจนกระทั่งพัชรินทร์กลับเข้ามาในห้อง คุณครูประถมทำหน้างงเมื่อเห็นลูกๆ นั่งอยู่หน้ากระเป๋าเดินทางด้วยหน้าเครียดๆ เมื่อเธอเดินเขามาใกล้ อาร์ทก็พาเธอมานั่งที่ขอบเตียงทันที ในขณะที่ตัวเองไปลากเก้าอี้จากหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเข้ามานั่งใกล้ๆ

“มีอะไรกันเหรอลูก” พัชรินทร์ถาม

“พวกเรากำลังคุยกันเรื่องที่ไอขอตามโยมิไปเที่ยวกันครับแม่ อาร์ทไม่อยากให้ไอไป แล้วทีนี้ถ้าแม่ไม่อนุญาต ไอก็จะได้ไม่ต้องไป”

คุณครูประถมมองหน้าลูกชายแล้วหันมาหาลูกสาวนี่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ สาวตาหวานส่งสายตาอ้อนวอนมาให้กับเธอ

“ที่ไอตัดสินใจเมื่อตอนบ่ายมันก็ดีนะ มันบอกว่าไอรู้ว่าไอเป็นอะไรแล้วก็อยากจะหายจากสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ”

ไอยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่พูด แต่ก็ต้องทำหน้าม่อยเพราะประโยคถัดไป “แต่แม่ก็ยังเป็นห่วงอยู่นะ ผู้หญิงสองคนเที่ยวกันแบบนี้มันอันตราย”

“ไปกันสองคนไม่อันตรายหรอกค่ะ โยมิไปเที่ยวคนเดียวก็น่ากลัวออก เป็นคนต่างชาติด้วย เป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยถ้าไปเจอคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้” สาวตาหวานพูด

“ไม่ต้องมาพูดขัดแม่เลยนะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูด

“นี่สองคนเอาอีกแล้วใช่มั้ยว่าเอาคำตัดสินของแม่เป็นคำขาด” พัชรินทร์พูดพลางส่ายหน้า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่จะต้องตัดสินใจสามีและลูกๆ ก็มักจะให้เธอตัดสินแล้วพูดว่า ‘คำตัดสินของแม่คือคำขาด’ ทุกครั้ง

สองพี่น้องพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ทำเอาคุณครูประถมส่ายหน้า

“เอาล่ะ แม่ตัดสินใจแล้ว... ไอ...”

หญิงสาวเจ้าของชื่อกลั้นหายใจรอรับคำตัดสินของแม่

“อยากไปก็ไอเถอะลูก ดูแลตัวเองให้ดีๆ แล้วก็คอยช่วยโยมิเค้าด้วยนะ”

ไอยิ้มกว้างแล้วโผเข้ากอดแม่ “ขอบคุณค่ะแม่ๆๆๆ”

อาร์ทอ้าปากค้าง “ได้ไงอ่ะแม่ ทำไมละครับ ทำไมให้ไอไปกับโยมิละครับ”

“ตอนที่แม่คุยกับเค้าน่ะ แม่คิดว่าเค้าไม่ได้เป็นคนเย็นชาหรือใจร้ายอย่างที่เค้าพูดตอนที่ตั้งกฎขึ้นมาหรอกนะ แล้วเท่าที่ดูแม่ว่าเค้าก็เป็นห่วงหนูด้วย ดูท่าทางพึ่งพาแล้วก็ไว้ใจได้ เพราะแม่เองก็ถามเค้าอยู่เหมือนกันว่าเลือกสถานที่ๆ ไปเที่ยวยังไง หรือเลือกที่นอนยังไง เค้าก็เซฟตัวเองอยู่เหมือนกันนะ อีกอย่าง... ผู้หญิงคนเดียวเดินทางมันก็น่าจะลำบากอยู่ แม่ก็ถามว่าทำไมไม่มีเพื่อนมาด้วย เค้าก็เงียบ ดูท่าทางเค้าก็คงเหงาๆ อยู่เหมือนกัน”

พัชรินทร์ลูบผมลูกสาว “แต่แม่ก็ขอให้หนูโทรหาแม่หรืออาร์ททุกครั้งเวลาที่จะออกเดินทาง ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน อยู่ตรงไหน พักที่ไหนทุกวัน ถ้าแม่ไม่รับก็ให้ส่งข้อความมาบอก ก่อนนอนก็โทรหาแม่ด้วย เข้าใจมั้ยลูก”

“ค่ะ เข้าใจค่ะแม่... ขอบคุณค่ะ”

“งั้นก็จัดของให้เสร็จแล้วจะได้รีบนอน จำเอาไว้ว่าหนูไปกับคนอื่น ไม่ได้ไปกับที่บ้านอย่าไปเป็นตัวถ่วงเค้า ดูแลตัวเองดีๆ มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย แล้วก็...”

“แล้วก็อะไรคะ...” สาวตาหวานถาม

“อย่าปล่อยให้เค้าคลาดสายตาไปไหน ขืนหลงกันไปเค้าทิ้งหนูแม่ไม่รู้ด้วยนะ”

ไอยิ้ม “แม่ก็... พี่อาร์ท คำตัดสินของแม่คือคำขาดนะ”

“รู้แล้วล่ะน่า” อาร์ทตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ช่วยสาวตาหวานเก็บของลงกระเป๋าเป้ของช่างซ่อมเครื่องบิน นอกจากนั้นไอก็ยังต้องนั่งฟังพี่ชายแนะนำเรื่องการเดินทางและเทศนาเธอเสียยืดยาวในเรื่องการปฏิบัติตัวระหว่างไปเที่ยวและการระวังตัวเองเสียยกใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของแม่ แต่ก็ต้องยอม

“ระวังตัวให้ดีๆ โดยเฉพาะพวกผู้ชาย อย่าพูดด้วย อย่าคุยด้วยถ้าไม่จำเป็น”

“ค่ะๆ คุณอิทธิวัฒน์ ให้ระวังแต่ผู้ชายใช่มั้ยคะ”

“ผู้หญิงก็ต้องระวังด้วยสิ บางคนชอบใช้ผู้หญิงเป็นนกต่อ ใช้ให้มาตีสนิทด้วย เผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จพวกนั้นล่ะ”

“ค่ะๆ ให้ระวังตัวเอาไว้ เกาะติดโยมิไว้ตลอด อย่าเข้าใกล้ผู้ชายถ้าไม่จำเป็น...”

“แล้วก็อย่าเข้าใกล้ผู้หญิงด้วย ถ้าคนนั้นไม่ใช่โยมิ” อาร์ทบอก

“โอเคค่ะ”

...
“Majide! (เอาจริงดิ!)” โยมิพูดเมื่อเห็นไอและครอบครัวมายืนรอเธอที่หน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านเมื่อใกล้ถึงเวลานัด

“Morning (อรุณสวัสดิ์)” สาวตาหวานร้องทักสาวญี่ปุ่นที่เดินตรงเข้ามาหาเธอ

“Good morning (อรุณสวัสดิ์)” สาวร่างสูงทักตอบ หลังจากนั้นก็โค้งให้กับพัชรินทร์และอาร์ทที่ยืนอยู่ข้างๆ

โยมิเหลือบมองกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ช่างซ่อมเครื่องบินถืออยู่ข้างๆ น้องสาวแล้วพูดว่า “So, I can guess what your answer is (ฉันพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าคำตอบของคุณคืออะไร)”

“Would you mind? (แล้วคุณจะรังเกียจมั้ยละคะ)” ไอถาม

“No, at least I have someone to talk to and person who can speak Thai (ไม่ค่ะ อย่างน้อยๆ ฉันก็มีเพื่อนคุยแล้วก็มีคนที่พูดภาษาไทยได้)”

สาวตาหวานหัวเราะ “About my condition, as you saw yesterday I think you might know something when I’m not well (เกี่ยวกับอาการของฉัน เท่าที่คุณเห็นเมื่อวานฉันคิดว่าคุณคงเดาได้ว่าฉันจะเป็นยังไงถ้ารู้สึกไม่ดี)”

สาวญี่ปุ่นพยักหน้าน้อยๆ

“I don’t want to be a burden to you as you mentioned in the first rule, so I’ll stop if I feel I can’t stand anymore (ฉันไม่อยากจะเป็นภาระให้กับคุณ แบบที่คุณบอกในกฎข้อแรก ฉันจะหยุดถ้าฉันรู้สึกว่าฉันทนต่อไปไม่ได้)”

“Will see on the time being, I’ll wait you at the entrance (ไว้รอจนถึงเวลานั้นก็แล้วกัน ฉันจะรอคุณที่ทางเข้านะ)” สาวร่างสูงพูดแล้วโค้งให้กับคุณครูประถมและอาร์ทอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เดินจากมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้ลาครอบครัว

“เดินทางปลอดภัยนะลูก อย่าลืมโทรหาแม่นะ” พัชรินทร์เดินเข้าไปกอดลูกสาว

“ค่ะแม่... หนูจะโทรหาแม่ทุกวัน... สัญญาค่ะ”

ช่างซ่อมเครื่องบินเดินเข้ากอดน้องสาว “อย่าลืมที่บอกเอาไว้ล่ะ”

“รู้แล้วล่ะน่าพี่อาร์ท ไอจะระวังตัวนะ”

ไอขอกระเป๋าเป้จากพี่ชายขึ้นมาสะพายหลังแล้วออกเดินไปตามทางที่มุ่งสู่ประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านที่โยมิยืนรออยู่ด้านหน้าอยู่แล้ว

“กลับเถอะอาร์ท” คุณครูประถมพูด

“แม่ไม่ห่วงไอเลยเหรอครับ”

“ห่วงสิ... ลูกสาวแม่ทั้งคนทำไมจะไม่ห่วง”

“ห่วง... แล้วทำไมแม่ถึงยอมให้ไอไปกับโยมิละครับ”

“ถ้าขืนเราห่วงอยู่แบบนี้ ประคบประหงมไออยู่แบบนี้ แม่ว่าอีกหน่อยมันก็คงกลับเข้าอีหรอบเดิม... ไอก็คงเก็บตัวอยู่กับบ้านเหมือนเดิม คิดมากเรื่องพ่ออยู่เหมือนเดิม อาร์ทไม่เห็นเหรอว่าเมื่อคืนไอเป็นยังไง” พัชรินทร์ถามกลับ

“เหมือนเป็นไอคนเดิมก่อนที่จะเกิดเรื่อง” ช่างซ่อมเครื่องบินพูด “ผมดีใจที่เห็นน้องเข้มแข็งขึ้น อาการดีขึ้น แต่เล่นแบบนี้ผมกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดี... ผู้หญิงไปกันแค่ 2 คน”

“แม่ว่าไม่เป็นไรหรอกมั้ง เมื่อคืนแม่โทรไปปรึกษาคุณหมอมาเหมือนกัน คุณหมอเค้าก็ห่วง แต่ก็บอกว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ไอหายกลัว เพราะอาการล่าสุดไอเริ่มมีอาการพวกโรคกลัวที่ชุมชน*บ้างแล้ว ที่แม่พาไอมาที่นี่แบบกะทันหันก็อยากให้ไอดีขึ้น”

*โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia) คือภาวะที่บุคคลมีอาการวิตกกังวลในสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยหรือรู้สึกว่าตนเองควบคุมได้น้อย สิ่งเร้าสำหรับอาการวิตกกังวลนี้ได้แก่ ฝูงชน ที่โล่งแจ้ง หรือการเดินทาง (แม้ระยะทางสั้นๆ) ผู้ที่มีโรคกลัวที่ชุมชนจะมีอาการตื่นตระหนกในสถานการณ์ที่ตนเองอึดอัด รู้สึกไม่ปลอดภัย ควบคุมไม่ได้ หรือห่างไกลจากสิ่งที่สามารถช่วยเหลือได้
 
“เหรอฮะ” อาร์ทหันไปมองที่อาคารพิพิธภัณฑ์ก็ไม่พบสองสาว เขาเดาว่าทั้งคู่ไปเดินเที่ยวด้านในแล้ว “ถ้าแม่กับคุณหมอว่าอย่างงั้นผมยอมก็ได้”

“ขอบใจนะลูก”

“เอ้อ... ผมก็ยังสงสัยเหมือนไออยู่ดีว่าใครเป็นคนจ้างโยมิให้ส่งโปสการ์ดให้ไอ”

คุณครูประถมตอบออกมาว่า “เดี๋ยวไอก็คงหาทางให้โยมิบอกได้เองละมั้ง ไปเถอะลูกน้าปิงรออยู่”

...

สองสาวใช้เวลาเดินเที่ยวอยู่ในพิพิธภัณฑ์อยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็เดินออกมาเที่ยวที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม โยมิมองไอด้วยความสนใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายสวดมนต์พลางทำปากขมุบขมิบท่องบทสวดมนต์ไปด้วย เธอพยายามทำตามสาวตาหวานด้วยการยกมือขึ้นมาพนมพลางมองคนที่นั่งข้างๆ ไปด้วย

“What did you pray? (คุณอธิษฐานอะไรเหรอ)”

“I chanted (ฉันสวดมนต์ต่างหาก)”

“Chanted? How? (สวดมนต์เหรอ... ยังไงล่ะ)”

“We use Pali and Sanskrit Language for chanting. We have enormous chanting mantras like worship, salutation, praise… I cannot remember all (พวกเราใช้สวดมนต์โดยใช้ภาษาบาลีกับสันสกฤต บทสวดมนต์มีเยอะมากทั้งบทบูชา นมัสการ สรรเสริญ ฉันจำพวกนั้นไม่หมดหรอก)”

“I see (อย่างนี้นี่เอง)” สาวญี่ปุ่นแล้วก็ยิ้มให้

“How about in Japan? How do you pray or chant? (แล้วที่ญี่ปุ่นละคะ คุณอธิษฐานหรือสวดมนต์ยังไง)”

สาวร่างสูงหัวเราะน้อยๆ “I don’t know about chanting, actually. But for pray we have 3 steps called Nihai Nihakuchu Ichihai (เอาจริงๆ นะฉันไม่รู้หรอกว่าบทสวดมนต์มันมีอะไร แต่เวลาเราสักการะจะมี 3 ขั้นตอนเรียกว่า นิไฮ นิฮะคุชุ อิจิไฮ)”

ไอหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “Show me, please (โชว์ให้ดูหน่อยได้มั้ยคะ)”

โยมิยิ้มแบบอายๆ แล้วชวนให้อีกฝ่ายออกไปด้านนอกอุโบสถ เมื่อทั้งสองเดินออกมาด้านนอกแล้วเธอก็อธิบาย

“Hai means bow, so nihai means you have to bow 2 times (ไฮหมายถึงการโค้ง เพราะฉะนั้นนิไฮหมายถึงโค้ง 2 ครั้ง)” สาวญี่ปุ่นโค้งคำนับ 2 ครั้ง โดยที่มือทั้งสองของเธอวางไว้ที่บริเวณต้นขา แล้วก้มตัวลง หลังของสาวร่างสูงทำมุม 90 องศาพอดีเป๊ะ

“Haku means clap, nihakuchu is clap 2 times (ส่วนฮะคุ หมายถึงตบมือ นิฮะคุชุก็คือตบมือ 2 ครั้ง)” โยมิตบมือ 2 ครั้ง “To clap, right hand must lower than the left around a finger joint then clap (เวลาตบมือมือขวาต้องอยู่ต่ำกว่ามือซ้ายประมาณ 1 ข้อนิ้ว แล้วค่อยตบมือ)”

“Ichihai is bow one time (อิจิไฮ ก็คือโค้งอีก 1 ครั้ง)” โยมิโค้งอีก 1 ครั้ง “This is Nihai Nihakuchu Ichihai (นี่ก็คือนิไฮ นิฮะคุชุ อิจิไฮ)” 

สาวตาหวานลองทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ดู ทั้งคู่หัวเราะออกมาหลังจากนั้นก็เดินเท้าเพื่อไปหาของกินก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป

“Where we will go? (เราจะไปไหนกันเหรอคะ)” ไอถามขณะที่ทั้งสองเดินกำลังเดินไปที่ บขส.

“Here (ที่นี่ค่ะ)” สาวญี่ปุ่นพูดแล้วชี้ไปที่แผนที่ ระบุว่าเธออยากจะไปที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน “We need to catch the bus go to… Ban Na Meun (เราต้องขึ้นรถไปที่... บ้านนาหมื่น)”

“I wanna visit a place called… Doi Samer Dao… Do you know… (ฉันอยากจะไปที่... ดอยเสมอดาว คุณรู้จัก...)” สาวร่างสูงพูดไม่ทันจบจู่ๆ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หายไปเสียแล้ว

“Ai? Shimatta! (ไอ... ชิหายแล้ว!)” โยมิพูดแล้วมองซ้ายมองขวาหาสาวตาหวานอยู่นาน ในใจพลางคิดถึงเรื่องร้ายๆ ต่างๆ นาๆ นี่ขนาดเพิ่งเริ่มต้นเดินทางก็เกิดเรื่องแล้วเหรอเนี่ย!

หลายนาทีต่อมาสาวญี่ปุ่นรู้สึกว่ามีคนสะกิดจากด้านหลังเมื่อหันไปก็พบคนที่เธอตามหาอยู่ ก่อนที่เธอจะเปิดปากพูดอะไรออกมาไอก็ชูแผนที่ขึ้นมาแล้วพูดว่า “I got it from local people here before I left the hotel, I just went to ask staff here for the bus (ฉันได้เจ้านี้มาจากคนพื้นที่ก่อนที่จะออกจากโรงแรม เมื่อกี้ฉันก็เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่เรื่องรถมา)”

“Oh… thank you (โอ้... ขอบคุณนะ)” สาวร่างสูงพูดแล้วถอนหายใจ เธอยกมือขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ราวกับว่ากำลังชมเธออยู่ สัมผัสที่ได้ทำให้สาวตาหวานรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

หลังจากที่ขึ้นรถสายนาน้อย-นาหมื่นเรียบร้อยแล้วโยมิก็สังเกตได้ว่าคนที่นั่งข้างๆ มีท่าทางกระสับกระส่าย สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เธอเห็นไอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก สาวตาหวานคุยโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนแสร้งว่ากำลังสบายดี ทั้งๆ ที่ใบหน้าของเธอดูไม่ดีเลย และเมื่อวางสายแล้ว สาวญี่ปุ่นก็พูดขึ้นมาว่า

“Have you ever watched The Lord of The Rings, The fellowship of the Ring? (คุณเคยดูหนังเรื่องอภินิหารแหวนครองพิภพตอนพันธมิตรแห่งแหวนมั้ย)”

“Yes… but I almost forget it (ค่ะ แต่ก็เกือบจะลืมไปหมดแล้ว)

“In the movie, Frodo told Sam that ‘It's dangerous business, going out your door, you step onto the road, but if you're not keep your feet, there is no knowing where you might be swept off to’ So I’d like to tell you the same phase and honestly this phase knocked me to go out from what I was (ในหนังโฟรโด้บอกกับแซมว่า ‘มันเป็นเรื่องที่อันตรายที่ก้าวออกนอกประตูบ้าน แต่ถ้าเราไม่ก้าวเดินต่อไปเราก็ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของถนนอยู่ตรงไหน’ ฉันอยากจะบอกกับคุณด้วยประโยคเดียวกันนี่แหละ และด้วยความสัตย์จริงเลยนะประโยคนี้ทำให้ฉันออกจากสิ่งที่ฉันเคยเป็น)”

สาวตาหวานมองหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน ก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “Thank you (ขอบคุณค่ะ)”

-------------

ค่อยๆ รู้เรื่องราวของโยมิมากขึ้นแล้ว... เป็นคนที่มี “ปม” ในใจซะงั้น แล้วจะช่วยไอได้มั้ยเนี่ย!

มาตอน 6 ก่อนวันปีใหม่ไทย พร้อมประกาศ “ดอง” อีกสักรอบ

การดองครั้งนี้มาจากปัญหาทางสายตาของอีคนเขียนค่ะ ตอนนี้ไม่สามารถใช้จ้องหน้าจอคอมพ์ได้นานเหมือนแต่ก่อน คำวินิจฉัยของคุณหมออาจจะเป็นการผ่าตัดเล็ก (ในอนาคตอันใกล้) ค่ะ เพราะงั้นแค่ใช้สายตาในการทำงานประจำก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว การเขียนนิยายจำเป็นต้องพักจนกว่าอาการจะดีขึ้นค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.