web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 384
Most Online Ever: 384
(วันนี้ เวลา 17:48:43)
Users Online
Members: 0
Guests: 370
Total: 370

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 1  (อ่าน 1362 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 1
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 14:53:43 »

‘.....เอี้ยดดดดดดด...’ เสียงของยางรถยนต์ที่บดเสียดสีกับพื้นถนนลาดยางดังขึ้น หลังจากที่เด็กสาวคนหนึ่งยกมือโบกขึ้นลง เพื่อเป็นสัญญาณให้รถโดยสารสองแถวสีแดงขาดขาวมีโครงหลังคาเหล็กไว้กันแดดกันฝน หยุดการเคลื่อนที่ลงชั่วคราวเพื่อรับผู้โดยสารรายใหม่

เมื่อรถโดยสารสองแถวจอดสนิท เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมต้นเหลือบสายตามองไปยังที่นั่งทั้งสองข้าง ซึ่งบัดนี้ถูกจับจองไปด้วยบั้นท้ายของผู้คนมากหน้าหลายตาจนไม่มีที่ว่างเหลือให้เธอหรือใครได้นั่งสบายๆ อีก อย่าว่าแต่นั่งเลย ที่จะให้ยืนยังแถบไม่มี ดูซิห้อยโหนกันเป็นชะนีหลงป่าเชียว แต่ทำไงได้ ‘มันสายแล้วนี่’ ขี้เกียจไปยืนตั้งแถวให้เด่นเป็นสง่าเพราะถูกประจานว่ามาสายที่หน้าประตูโรงเรียนหรอกนะ โดยเฉพาะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกซะด้วย มาตรการคุมเข้มเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเหล่าอาจารย์ทั้งหลายจะขยันอะไรกันนักกันหนา ยิ่งมีเจ้า marlboro light ซุกอยู่ในกระโปร่งด้วยแบบนี้ ‘มันเสี่ยงเกินไป’ ยังไม่อยากให้เป็นที่หมายหัวของฝ่ายปกครองสักเท่าไหร่ ว่าแล้วก็รีบสาวเท้าพาร่างกายสูงกว่า 168 เซนติเมตร ก้าวเดินไปยังบันไดท้ายรถ พร้อมแปลงกายเป็นชะนีไปด้วยอีกตัว ‘เฮ้ย!!!’ อีกคน

ขณะที่พาหนะสี่ล้อนามว่าสองแถวแล่นไปตามเส้นทางเดินรถที่วิ่งวนเวียนอยู่เป็นประจำแล้ว ระหว่างทางก็มีผู้โดยสารลงบ้าง ขึ้นบ้างสลับสับเปลี่ยนไปตลอดสาย กว่าผู้คนจะเริ่มเบาบางลงก็เกือบครึ่งค่อนทางเข้าไปแล้ว เด็กสาวจึงได้มีโอกาสหย่อนสะโพกงามๆ นั่งลงพักขาพักแขนคลายความเมื่อยล้าจากการกลายร่างเป็นชะนีจำเป็น พลางทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ด้านนอกตัวรถ ที่เริ่มมีต้นไม้ใหญ่หลากสายพันธุ์ตามสองข้างทางของถนน รู้สึกดีเหลือเกินยามสายลมพร้อมไอแดดอ่อนๆ ตอนเช้าพัดผ่านใบหน้ากลมมนของตัวเองยิ่งนัก ‘ยิ่งนั่งก็ยิ่งเคลิ้ม’ จึงหลับตาที่เรียวรีแถบจะเป็นขีดเดียวของตัวเองลง รับสัมผัสเย็นสบายที่ตนเองชื่นชอบ พร้อมสูดอากาศที่คิดว่าแสนจะบริสุทธิ์เหลือเกินในตอนนี้เข้าเสียเต็มปอด

“นั่งหลับรึไงมึง” ลมอุ่นๆ พร้อมเสียงกระซิบกระซาบที่ดังผ่าวเบาอยู่ข้างหู ทำเอาเด็กสาวถึงกับขนลุกซู่สะดุ้งสุดตัวส่งเสียงร้อง ‘ว๊ายย!!’ สัญชาตญาณสั่งการให้รีบเอามือตะครุบจุดเสี่ยงที่บริเวณใบหูของตน พร้อมหันขวับไปยังแหล่งที่มาของเสียงและลมอุ่นชวนสยิว

“..ก๊ากกก...ฮ่ะๆ...ฮาๆ...ไอ้เดียร์ นี่มึงตกใจจนสาวแตกเลยเหรอว่ะ ดูดิหน้าก็เหวอเวิง แถมแก้มแดงเป็นตูดลิงอีก..ร้องว๊ายยด้วย..ฮ่ะๆ..ฮาๆ...ว๊ายยๆๆ” ตัวต้นเหตุนั่งกุ่มท้องหัวเราะเสียจนตัวงอไม่พอ ยังมาทำเสียงล้อเลียนกันอีกต่างหาก

“ไอ้ขวัญ!! เล่นเชี่ยไรของมึงเนี่ย กูตกใจหมด แล้วนี้หัวเราะดีใจญาติเสียรึไงห๊ะ!” เดียร์ หรือชลธิดา พิพัฒน์วานิช สาวร่างสูงหน้ากลมแก้มป่อง ต่อว่าต่อขานพลางตวัดสายตาพิฆาตที่เรียวรีระดับหนึ่งชั้นหรือที่เรียกว่าตาตี่นั้นแหละ กัดจิกใส่เพื่อนสาวขี้แกล้งที่ขึ้นมาบนรถโดยสารตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ‘เล่นเอาใจหายหมด กำลังถอดจิตเพลินเชียว’

“แหมๆ ล้อเล่นนิดหน่อยทำเป็นเคืองไปได้ ก็กูเห็นมึงนั่งทางในหลับตาพริ้มซะขนาดนั้น ป้ายหน้าก็ถึงโรงเรียนแล้ว กูกลัววิญญาณมึงจะกลับเข้าร่างไม่ทัน เลยต้องกระซิบอันเชิญซะหน่อย อิอิ” มิ่งขวัญพูดกลั้วหัวเราะ พลางยกมือขึ้นมาตบเบาๆ สองสามทีที่ไหล่ของชลธิดาเป็นเชิงขอโทษขอโพย

มิ่งขวัญ สัตยานนท์ เป็นสาวผิวขาวตัวสูงพอๆ กับชลธิดาแต่เตี้ยกว่า 8 เซนติเมตรพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน ผมหยักศกเป็นลอนลูกคลื่นสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นถึงติ่งหู ปลายผมบานออกเล็กน้อยรับกับใบหน้าขาวออกไปทางฝรั่งนิดๆ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้มีเชื้อสายของชาวตะวันตกผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย มิ่งขวัญเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับชลธิดาแถมยังพ่วงท้ายตำแหน่งญาติห่างๆ อีกซะด้วย แต่ห่างมากซะจนเพิ่งจะรู้ว่าเป็นญาติกันเมื่อไม่นานมานี่เอง มิ่งขวัญเป็นหลานของน้องสะใภ้ทางฝ่ายสามีของน้าสาวชลธิดา (เห็นไหมว่าห่างจริงๆ)

“เออ แต่คราวหน้าคราวหลังเรียกกันดีๆ ก็ได้ ดูดิขนแขนกูสแตนอัพยังไม่หายเลย” ชลธิดาว่าปัดๆ แต่ยังไม่วายส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกคน พลางยื่นทอนแขนเสลาขาวเนียนจนแทบจะกระแทกหน้าให้มิ่งขวัญดูว่าลุกจริงไรจริง

“เออน่ะ ไป๊! ลงรถได้แล้ว บ่นมากจริงแกเนี่ย เพลงโรงเรียนขึ้นแล้ว เดี๋ยวก็ได้เจอแจ็คพอตหรอกมึง”

สองสาวลงจากรถโดยสารได้พลันรีบวิ่งไปที่หน้าประตูโรงเรียนทันที จวนจะถึงเวลาตั้งแถวแล้ว เหล่าบรรดาเด็กนักเรียนทั้งหลายแหล่ที่มาไม่เช้า (เกือบสาย) ต่างสวมวิญญาณนักกีฬาโอลิมปิกวิ่งกรูกันไป ณ จุดมุ่งหมายเดียวกัน ‘ประตูโรงเรียน’ น่าภูมิใจจริงๆ ที่เหล่าเยาวชนของชาติทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันออกกำลังกายแต่เช้าเยี่ยงนี้ เมื่อมาถึงประตู ทุกคนต่างหยุดไหว้ทักทายอาจารย์พอเป็นพิธี แล้วรีบโจนทะยานแยกย้ายไปตามทางของแต่ละคนทันที รวมถึงชลธิดาและมิ่งขวัญด้วย

สองสาวเพื่อนซี้รีบพาร่างสูงพอๆ กันของตนเอง มายังลานกว้างหรือที่เหล่านักเรียนเรียกว่าสนามปูน ซึ่งเป็นลานเอนกประสงค์ใช้เป็นที่ระดมพลของนักเรียนมาเข้าแถวหน้าเสาธงในตอนเช้า อีกทั้งยังเป็นสนามกีฬาชนิดต่างๆ เป็นที่จอดรถในบ้างที และเป็นที่จัดงานต่างๆ ในบ้างครั้ง ด้วยขนาดความกว้างเทียบได้กับสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานหนึ่งสนาม มันจึงสามารถรองรับนักเรียนได้ตั้งแต่ชั้น ม.1 ถึง ม.6 จำนวนเกือบ 1,300 คนได้อย่างสบาย

โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ บริเวณเนื้อที่ใช้สอยมีขนาดกว้างขวาง มีหลายอาคารเรียนและมีสนามกีฬาถึงสองสนาม คือสนามปูนและสนามหญ้า สนามปูนเอาไว้ใช้สำหรับกีฬาพวกตระกร้อ วอลเลย์บอล บาสเกตบอล ฟุตซอล แบดมินตัน ซึ่งแบ่งแยกสนามออกเป็นสัดส่วนชัดเจนไม่ต้องตีเส้นทับซ้อนกันให้ปวดหัวเพื่อนสนามกีฬาบางแห่งที่มีพื้นที่จำกัด ส่วนสนามหญ้าไว้สำหรับกีฬาฟุตบอล เสียงเพลงมารช์โรงเรียนยังคงดังต่อไป ทำหน้าที่เรียกบรรดานักเรียนทั้งหลายให้เริ่มทยอยลงมาจากห้องเรียนและที่ต่างๆ มายังบริเวณสนามปูนเพื่อตั้งแถวทำกิจกรรมตอนเช้าประวันร่วมกันทุกชั้นปี

หลังจากที่ชลธิดาและมิ่งขวัญจำยอมต้องเอากระเป๋านักเรียนไปวางไว้ตรงโคนพุ่มต้นเข็มต้นหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับสนามปูนและติดกับตัวอาคารเรียนของตนเองเสร็จสรรพ เพราะเอาไปไว้บนห้องเรียนไม่ทันแล้ว ก็สาวเท้ามายังบริเวณที่ตั้งแถวเพื่อรอเพื่อนๆ ร่วมห้องของพวกเธอ

ทุกๆ เช้านักเรียนทั้งหมดต้องมาเข้าแถวตอนลึกตามลำดับห้องและชั้นปี โดยเรียงลำดับจากขวาไปซ้ายเริ่มจากนักเรียนชั้น ม.1/1 ไล่ไปเรื่อยจนสุดท้ายที่ ม.6/10 เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมร้องเพลงชาติ สวดมนต์ รับฟังข่าวสาร รวมถึงการอบรมเทศนาของอาจารย์ใหญ่ อาจารย์น้อยซึ่งสลับสับเปลี่ยนสรรค์หาเรื่องมาพูดได้แทบทุกวันช่างน่าเบื่อจริง และที่น่ากลัวที่สุด! คือการนำคนที่กระทำความผิดร้ายแรงต่างๆ มาลงโทษประจานกันหน้าเสาธง! พร้อมทั้งชื่นชมและโชว์ตัวผู้ซึ่งสร้างผลงานและชื่อเสียงให้แก่โรงเรียน ซึ่งอันนี้ชลธิดาแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ต้องการไปยืน ณ จุดนั้นแน่ๆ ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม

“มาแบบฉิวเฉียดอีกแล้วซิแกสองคน...ทำตัวได้สมกับฉายา 'คุณนายเกือบสายเสมอ' จริงๆ เลยนะ” อ้อม หรือชโลธร สิริวัฒนากุล สาวน้อยร่างบางเจ้าของความสูง 156 เซนติเมตร ขยับปากรูปกระจับส่งเสียงทักทายเพื่อนสาวเจ้าของฉายาทั้งสอง ชโลธรเป็นเด็กสาวน่าตาสะสวยผิวสีขาวอมชมพูนั้นขับรับกับใบหน้าเรียวงาม นัยน์ตาคม คิ้วเข้มโกง จมูกโด่งรั้นเชิดนิดหน่อย

ตามมาด้วยอีกสามสาวสามสไตล์คือ หนึ่ง หรือหนึ่งฤทัย ปรีชาเวชกุล สาวผิวสีน้ำผึ้ง ผมดำ นัยน์ตาแขก ริมฝีปากอิ่ม จมูกโด่งเป็นสัน ได้เชื้อมาจากฝั่งพ่อที่เป็นลูกครึ่งอินเดียมาเต็มๆ จึงทำให้เธอดูสวยแปลกตา แตกต่างไปจากเพื่อนๆ ในกลุ่ม นิสัยส่วนตัว ชอบทำตัวนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดมากจนใครๆ ต่างก็คิดว่าเธอเป็นเด็กเรียบร้อย แต่นิสัยโดยแท้จริงแล้วนางเป็นคนแรงส์มากที่สุดในกลุ่ม มีความมั่นใจในตัวเองและมีความเป็นผู้นำสูง หากคิดจะสิ่งใดแล้วล่ะก็ นางก็จะพยายามทำให้สำเร็จให้ได้ (ก็พ่อเธอสอนมาแบบนั้น ตามแบบฉบับของนักธุรกิจ) หนึ่งฤทัยเป็นลูกคนเดียวของแม่ แต่เป็นลูกคนโตของพ่อ ไม่ต้องแปลกใจพ่อแม่เธอแยกทางกัน แต่หนึ่งฤทัยไม่ค่อยสนใจกับเรื่องนี้นัก เพราะถึงแม้พ่อแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เธอก็ไม่เคยขาดความเอาใจใส่แถมพ่อแม่ยังคอยตามใจเธออีกต่างหาก นางจึงค่อยข้างเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นกับเฉพาะที่บ้านตัวเองเท่านั้นนะ

หนึ่งฤทัยเดินนำมาคนแรก ตามด้วยทัศ หรือทัศนีย์ ศรีเอี่ยม สาวร่างผอมบางจนไอ้คุณเดียร์ใจดีตั้งฉายาให้ว่า ‘ยัยไม้กระดานแผ่นเดียว’ (เพราะแยกไม่ออกว่าอันไหนด้านหน้าอันไหนด้านหลัง 555) นิสัยห้าวๆ เวลาใครมีเรื่องทัศนีย์มักจะออกหน้าให้ก่อนเสมอ แต่มักจะทำอะไรใครไม่ค่อยได้เพราะรูปร่างที่เสียเปรียบ เลยต้องยกหน้าที่ให้มิ่งขวัญและชลธิดาคอยเคลียร์แทน ทัศนีย์เป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้องอีกสองคน ที่บ้านมีกิจการเล็กๆ มีคนงานอยู่สิบกว่าคนกับห้องแถวสองคูหาที่ใช้ทำเป็นโรงงานผลิตรองเท้าสตรี ที่มีขายกันเกลือนตลาดคู่ละ 99 บาท นั่นไง

และคนที่เดินรั้งท้ายสุดคือ แม่สาวโตนมนามว่าชะเอมหรือที่เพื่อนๆ เรียกสั้นๆ ว่าเอม

“นั้นซิ จะมาให้เช้ากว่านี้ไม่ได้รึไงกัน...ทั้งคู่เลย” ชะเอม หรือนุชนารถ ทรัพย์ไพศาล สาวร่างเล็กแต่อกใหญ่เกินตัว เธอสูงเพียง 153 เซนติเมตร ตามมาตรฐานหญิงไทยวัยกำลังเจริญเติบโตแต่ดันเตี้ยสุดในกลุ่ม (สงสัยจะหนักอกหนักใจมากไปหน่อย ความสูงจึงไม่ค่อยขยับ อิอิ) มีผิวขาวเหลืองและนวลเนียนตามสไตล์อาหมวยเชื้อสายไทย-จีน ปากนิดจมูกหน่อยแต่ตากลับไม่ตี่เหมือนใครบางคน (แอบกัดนู๋เดียร์เล็กน้อย) ออกจะโตเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้หน้าตาจะไม่สวยคมหรือหวานบาดใจ แต่เครื่องหน้าก็ดูสมส่วนน่ารัก น่าหยิกใช่ย่อยเหมือนกัน เธอเดินเข้ามาสมทบและหยุดอยู่ข้างชโลธร ปากก็พูดไปแต่มือไม้กลับสาละวนอยู่กับจัดแต่งทรงผมและกระจกบานน้อย ก่อนจะแอบปรายตามองมาที่คนตัวสูงที่สุดของกลุ่ม

“แหะๆ มาช้ายังดีกว่าไม่มานะจ๊ะตัวเล็ก” เห็นแบบนี้แล้วก็อดที่จะแกล้งเจ้าหมวยน้อยของกลุ่มไม่ได้ ชลธิดาเผยยิ้มเจ้าเล่ห์เดินเข้าไปหาพลางวางมือเรียวไว้บนเรือนผมดำขลับของสาวหน้าหมวย ออกแรงโยกศีรษะสวยนั้นเล่นไปมานิดหน่อยให้คนตัวเล็กกว่าโว้ยวายขึ้นมาเล่นๆ

“ปล่อยเลยนะไอ้เดียร์ เดี๋ยวผมฉันเสียทรงหมด”

“เสียที่ไหนกันแค่นี้เอง ถ้าจะเสียมันต้องแบบนี้นี่ๆๆ ฮาๆๆๆ” ชลธิดาเปลี่ยนเป็นท่าล็อคคอให้หน้าอาหมวยซุกเข้ากับหน้าอกคับซีของตัวเองแทน แล้วใช้มืออีกข้างขยี้หัวคนห่วงสวยซะเลย

“โอ้ย!! ไอ้เดียร์ ไอ้บ้า ไอ้เสาโทรเลข ปล่อยฉันเดี๋ยวนี่เลยนะ!!” นุชนารถสบถร้องโว้ยวายดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนยาว พยายามเหลือเกินที่จะดึงใบหน้าตัวเองให้ออกจากอกนุ่มนิ่มนั้น พร้อมกับผลักดันร่างที่สูงกว่าให้พ้นตัว แต่ยิ่งดิ้นชลธิดาก็ยิ่งรัดแน่น ยิ่งแน่นมันก็ยิ่งโดน ‘โอ้ย..จะทนไม่ไหวแล้วนะเดี๋ยวแม่ก็หม่ำซะนี่’

“ไม่ปล่อยใช่ไหม..ด้ายย..เดี๋ยวแม่จั๊ดหั้ย” ว่าแล้วก็กระทืบส้นใส่เท้าอีกคนเข้าเต็มรัก ‘เล็กพริกขี้หนูสวนจริงๆ’

“โอ้ยย!!” คำเดียวสั้นๆ ที่ออกมาจากปากชลธิดา ใบหน้าเหยเกเขย่งเท้าด้วยความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณหลังเท้าของตน ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองโดยฉับพลันรีบปล่อยตัวสาวน้อยอันตรายแทบจะทันที ‘เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้แต่มือเท้าหนักชะมัด!’

“เป็นไงล่ะ เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับอิเอม ชิส์! สมน้ำหน้า” นุชนารถพยายามกลบเกลื่อนใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ พลางแกล้งชักสีหน้าและยิ้มเหยียดอย่างพึงพอใจกับผลงานของตัวเอง

“มันเจ็บนะโว้ยไอ้เอม แล้วฉันจะเดินได้ไหมว่ะเนี่ย กระดูกหักหรือเปล่าก็ไม่รู้” ชลธิดาทำตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ พลางก้มตัวเอามือลูบเท้าตัวเองแต่แอบยกยิ้มที่มุมปากไม่ให้อีกคนเห็น ไอ้ทีแรกก็เจ็บอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ คงเป็นเพราะใส่รองเท้าอยู่เลยไม่ค่อยเจ็บมากนัก

“อย่ามาทำสำออยสนิมสร้อยหน่อยเลย แค่เนี๊ยกระดูกมันไม่หักง่ายๆ หรอกโว้ย เดินไม่ได้ก็ไม่ต้องเดินเชอะ! เวอร์ซะไม่มีอ่ะ” นุชนารถยืนกอดอกเบ้ปากใส่คนขี้สำออย

“โห้ยยย...ไอ้หมวยตัวแสบ พูดอย่างเงี๊ยได้ไงว่ะ มารับผิดชอบฉันเลยนะแกเริ่มปวดแล้วด้วยเนี่ย”

“ธุระไม่ใช่..เท้าแกๆ ก็รับผิดชอบเอาเองดิ ไปเข้าแถวดีกว่า..แบร่...” เชิดหน้าว่าเข้าให้ พลางแลบลิ้นใส่ก่อนจะเดินไปตรงบริเวณหัวแถว ‘ก็ไม่ได้อยากไปซะหน่อยแต่ช่วยไม่ได้คนมันเตี้ย’ โชคยังดีที่ไม่ต้องไปยืนถึงหัวแถวสุดเพราะยังมีคนที่เตี้ยกว่าเธออีกสองสามคน ภูมิใจซะไม่มีล่ะ ฮี่ๆ

“จำไว้เลยนะแก ถึงตาฉันบ้างเมื่อไรจะแกล้งให้ร้องไม่ออกเลยคอยดู” พูดออกไปอย่างนั้นแหล่ะ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก เท้านี้ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายทำโว้ยวายไปอย่างนั้นแหละ ก็คนชอบแกล้งนี่นาสนุกดี

“เล่นกันพอหรือยัง แม่มึงมาเดินตรวจแถวแล้วนั้น” มิ่งขวัญทำท่าบุ้ยปากบอกเพื่อนให้มองตาม ก็เห็นอาจารย์ประจำชั้นห้องตัวเองกำลังเดินมาทางนี้

“เออๆ ไปดิ” ชลธิดาตอบแล้วขยับเท้าเดินเคียงคู่ไปกับมิ่งขวัญไปยังตำแหน่งท้ายสุดของแถวผู้หญิง (หนึ่งห้องตั้งสองแถวแบ่งหญิงชาย)

หลังจากทีเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธงเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็ปล่อยนักเรียนขึ้นห้องเรียนโดยให้เดินเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามลำดับห้องและชั้นปีของแต่ละอาคาร เพื่อความรวดเร็วและเริ่มเข้าสู่บทเรียนคาบแรกในเทอมสองของ ม.3/4

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 23:12:54 Admin »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.