web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 101
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 81
Total: 81

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบห้า This Kiss  (อ่าน 965 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบห้า This Kiss
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:41:51 »
บทที่ ยี่สิบห้า This Kiss

กานต์ชนิตนั่งขมวดคิ้วให้ดอกกล้วยไม้โดยไม่รู้ตัว จนแม่ของหมอหนึ่งทัก “เป็นอะไรไปน่ะลูก ลืมวิธีจัดกล้วยไม้ด้วยเหรอ”

เธอจึงได้ร้องอ้อ เผลอคิดอะไรไปไกลจนต้องรีบพยักหน้าตอบ เกรงว่าจะโดนเอ็ดอะไรอีก เช้านี้เธอก็โดนเอ็ดไปหลายรอบแล้ว แถมยังทำแก้วกาแฟของพ่อหมอหนึ่งร่วงแตกด้วย เพราะยัยตัวดีคนเดียว

สองสามวันนี้หล่อนชอบหายไปตอนใกล้รุ่ง และกลับมาในเวลาเช้าตรู่ เธอรู้ว่าหล่อนแอบไปสืบในบ้านหมอรส และเธอรู้สึกว่าบ้านหลังนั้นจะมีการเพิ่มกำลังเวรยามด้วย เห็นเดินกันขวักไขว่ ธรรมดาก็มีคนเฝ้าเยอะอยู่แล้ว นี่ยิ่งเพิ่มขึ้นอีก เธอไม่รู้เลยว่าวรินธรจะหลบตรงไหนถึงจะพ้น

หล่อนก็เป็นแบบนี้ ชอบทำให้เป็นห่วงแบบนี้ เตือนอะไรไม่เคยจะฟัง คิดบ้างหรือไม่ ถ้าโดนปืนจ่อหัวอีกที คราวนี้อาจจะไม่รอด หมอรสคงจะไม่ปล่อยหล่อนง่าย

เมื่อคืนก็เหมือนกัน เธอคิดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง โทรศัพท์ที่เธอแอบรับของหล่อนนั่นแหละ กานต์ชนิตบอกตัวเองว่าสะใจจริงๆ ที่ได้แกล้งคนสำเร็จ ได้ทีที่เธอจะสั่งสอนกลับเรื่องหล่อนชอบเอาตัวไปเสี่ยงไม่เข้าท่าเหมือนกัน

....

“นี่ฉันต้องโกรธเธอมากกว่านะ ที่แอบรับโทรศัพท์ของฉัน” หล่อนว่า

“แค่รับโทรศัพท์ไม่ถึงตายหรอกน่า” เธอก็เถียงทันควันเหมือนกัน

“แล้วอะไรที่ทำให้ถึงตายล่ะ เธอพูดอย่างกับ ฉันไปฆ่าใครตายอย่างงั้นน่ะ หรือโกรธที่ฉันแอบเข้าบ้านแฟนเธอน่ะหือ เดี๋ยวนี้อินใหญ่แล้วนะ”

กานต์ชนิตเหวี่ยงหมอนปาใส่อีกฝ่ายทันใด วรินธรรีบยกมือรับอย่างเฉียดฉิว ชักจะขึ้นเหมือนกัน “เฮ๊ย กินอะไรผิดสำแดงมาห๊ากานต์ชนิต”

แหมยังมีหน้ามาถาม เธอยิ่งตีหน้าบึ้งใส่ “เธอไม่ได้ไปฆ่าใครตายหรอก แต่เธอกำลังจะเอาตัวเองไปตาย รู้ตัวบ้างไหม ใครให้เดินดุ่มๆ ไปสำรวจบ้านนั้น ไม่เห็นหรือว่าลูกน้องหมอรสเดินทั่วบ้าน ถ้าจับตัวเธอได้ขึ้นมามันจะเกิดอะไรขึ้น คราวนี้ไม่ใช่แค่เอาปืนจ่อหัวขู่เฉยๆ แน่”

สีหน้าของวรินธรจึงได้อ้อ “โธ่เอ๊ย ไม่มีใครเห็นหรอก มือชั้นนี้แล้ว”

ตอบอย่างนี้ มันน่าโมโหไหมล่ะ “เพราะเธอเป็นอย่างนี้ คิดง่ายๆ แบบนี้ ถึงได้เกือบเอาตัวไม่รอดหลายต่อหลายครั้ง”

“แล้วนี่เธอจะมาสั่งสอนอะไรฉันนักหนา ก็นี่มันอาชีพของฉัน”

...

ใจความก็มีเท่านี้ เราก็เถียงวนกันไปกันมาจนเสียงเริ่มดัง แล้วพ่อของหมอหนึ่งก็เดินตึงๆ ลงมาส่งเสียงฟ้าผ่าใส่ พวกเราจึงได้แยกย้าย

ถูกแล้ว ใช้คำว่าแยกย้ายน่ะถูกที่สุด เพราะพอเธอแยกกลับห้องตัวเอง เธอก็เห็นหลังไวๆ ของหล่อนวิ่งแผล็วผ่านสวนมืด ไม่รู้ย่องออกไปไหนเสียแล้ว นี่ยังหัวค่ำอยู่เลย

น่าโมโหจริงๆ อยู่ไม่สุข ถ้าไม่เจอเรื่องอันตรายจะอยู่ไม่ได้ใช่ไหม

“นี่หนึ่ง จับเบาๆ สิลูก ช้ำหมดแล้ว”

กานต์ชนิตอยากทำหูทวนลมกับคำเอ็ด แต่เกิดมาเธอก็ไม่เคยชักสีหน้าใส่ผู้ใหญ่ จึงได้แต่ก้มหัวขอโทษและพยายาม “จับ” มันเบาๆ ตามที่อีกฝ่ายว่า

“อย่างนี้ต้องให้มือโปรจัดให้ซะแล้ว” เสียงยียวนทำให้เธอรีบหันขวับไปทางประตูหน้าบ้าน ปรากฏร่างเพรียวของวรินธรในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มสามส่วน ใส่รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งและมัดผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ใบหน้าแจ่มใสค่อนข้างมันเพราะเหงื่อ บอกให้คนพบเห็นรู้ว่า ไปออกกำลังกายตอนเช้ามา ไม่ได้หนีเที่ยวตั้งแต่เมื่อคืน

“อ้าว แม่ก็นึกว่าเธอหายไปไหนตั้งแต่เช้า นี่ออกไปวิ่งมาเหรอ”

“ใช่ค่ะ ซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่ตลาดมาฝากด้วย นี่ของคุณแม่ค่ะ” หล่อนยื่นให้ด้วยรอยยิ้มแป้นพลางบรรยายสรรพคุณ “นี่ผสมน้ำสมุนไพรด้วยนะ เค้าว่าจะบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ปอด ตับ ไต ไส้ตรงด้วยค่ะคุณแม่”

“โอ๊ย สมุนไพรอะไรจะบำรุงไปทุกส่วนอย่างนั้น” แม่ว่าแต่มือก็รับถุงมาแหวกดูด้วยความสนใจ

“เค้าว่าเป็นโสมแดงจากเกาหลีเหนือ โสมขาวจากเกาหลีใต้ โสมขิงจากหลังบ้านค่ะ”

“จ๊ะ แม่เกือบจะเชื่อเธอแล้ว เดี๋ยวก็เคาะด้วยด้ามเสียมหรอก” วรินธรหัวเราะก๊าก ยกมือขอโทษแล้วจัดการหาแก้วมาเทน้ำสมุนไพรให้แม่ของหมอหนึ่งทันที จากนั้นเหลือบมองเธอที่ยังก้มหน้าก้มตาจักกล้วยไม้ทำเป็นไม่สนใจ ครู่ใหญ่หล่อนก็เดินอ้อมโต๊ะตรงมาหา

“นี่น้ำเต้าหู้ของเธอ”

กานต์ชนิตบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร... นั่นสิเธอกำลังรู้สึกอะไร ทำไมถึงได้หงุดหงิดนักที่หล่อนทำตัวลึกลับ ชอบตามสืบนั่นสืบนี่ จู่ๆ ก็หายไป ทั้งที่วรินธรก็ชอบทำแบบนั้นอยู่แล้ว คงเพราะเธอชินกับการติดตามหล่อนไปไหนต่อไหนด้วยทุกที่รึเปล่า พอไม่ได้ตามมันก็หงุดหงิด

“มองหน้าแบบนี้ หรือจะให้ป้อน แหม จะให้หวานกันแต่เช้าก็ไม่บอก แต่นี่ฉันบอกให้แม่ค้าใส่น้ำตาลแล้วนะ หวานแล้ว” สายตาระยิบระยับของหล่อนทำให้เธอรู้ว่ากำลังโดนยั่วอีกแล้ว

เออ ครั้งนี้หล่อนยั่วสำเร็จ เห็นหน้าแล้วโมโห กานต์ชนิตรีบลุกขึ้นแล้วเดินหนีหน้าตาเฉย ทำเอาคนด้านหลังร้องอ้าว “จะไปไหนล่ะกานต์”

“จะเข้าบ้าน ร้อน”

“ร้อนอะไรกัน กำลังสบาย”

“เรื่องของฉัน”

“เฮ๊ย เป็นอะไรของเธอ” วรินธรรีบก้าวตามอย่างงุนงง กานต์ชนิตเดินไปยังก๊อกน้ำและเปิดน้ำล้างมือที่เปื้อนดิน

“ทำไมประจำเดือนขาดไวนักล่ะ วัยทองก็ไม่ใช่”

โอ๊ย ปากมอม ว่าแล้วเธอก็ฉีดน้ำใส่ปากมอมๆ นั่นเสียทีหนึ่ง จนหล่อนโวยวายลั่น “ยัยบ้า ทำอะไร เฮ๊ย แม่คะช่วยด้วย ลูกสาวแม่เป็นโรคประสาท”

กานต์ชนิตฉีดน้ำจนสาแก่ใจ แว่วเสียงเอ็ดจากคุณแม่ไกลๆ ก็ปล่อยสายยางพลางปิดน้ำ มองตัวอีกคนที่เปียกโชกไปกว่าครึ่งอย่างขำๆ ขมุมขมิบปากบอก “สมน้ำหน้า”

วรินธรงงหนัก รับฟังคำบ่นของแม่พักใหญ่ ก็โดนไล่ “ไปๆ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน อะไร จู่ๆ นึกอยากมาเล่นสงกรานต์ตอนนี้เหรอ"

กานต์ชนิตถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง พึมพำว่าขอโทษกับแม่ และตวัดสายตามองอีกคนที่พยายามถอดเสื้อกันหนาวตัวนอกออก เห็นเสื้อกล้ามตัวในแนบเนื้อ เธอจึงได้เบนหน้าหนี

“ลูกสาวแม่น่ะสิ...” ยังไม่ทันฟ้องเสร็จ เธอก็ชิงเดินหนีเข้าบ้าน วรินธรร้องอ้าว หล่อนคงจะสงสัย แต่ก็ยังได้ยินเสียงเย้าแหย่กับคุณแม่ของหมอหนึ่ง “แม่อยากเล่นเหรอ ม่ะ เดี๋ยวเปิดน้ำ”

“เอ๊ะ ลองดูซิ จะตีตายเลย”

ยั่วโมโหได้ทุกคนเลยสิน่า

กานต์ชนิตเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ จึงได้นั่งสงบสติอารมณ์บนโซฟาในห้องนอน เธอว่าเธอเคยเห็นอาการเหล่านี้จากคนอื่นมาก่อน เพียงแต่ว่าการเห็นคนอื่น กับการเกิดขึ้นเองกับตัวนั้นต่างกันมาก แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง เธอคงไม่ได้กำลังเป็นบ้าเพราะเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้น หรือบ้าเพราะกำลังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่องในชีวิตหล่อน

นั่นเพราะหล่อนเป็นพวกชอบวิ่งหาอันตรายไง เธอถึงอยากรู้ เพราะหล่อนไม่เคยเห็นชีวิตเป็นสิ่งมีคุณค่า มันน่าโมโหนัก อุตส่าห์มีชีวิตดีๆ แล้ว มีอวัยวะครบสามสิบสอง ดีกว่าคนทั่วไปมากมาย ทำไมนะ หล่อนถึงไม่ถนอม

คิดไปก็วนในอ่างซะเปล่าๆ เธอว่าเธอควรหาอะไรทำดับความฟุ้งซ่าน คนเราถ้าลองได้ทำสมาธิหลุดลอยแล้ว ก็ยากจะค้นหาคำตอบของปัญหา

กานต์ชนิตหันมองรอบห้อง เธอโตมากับหนังสือนี่นา ดังนั้นจึงพาตัวเองหยุดหน้าชั้นสูงท่วมหัว ไล่สายตาอ่านชื่อ พยายามหลีกหนีตำราแพทย์เพราะเธอคงอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านไปก็มีแต่สร้างความเครียดเท่านั้น มองหาหนังสืออ่านเล่นผ่อนคลายไม่นานเธอก็พบ แต่เพราะเจ้าของหนังสือคงไม่ได้หยิบหนังสือเหล่านั้นมาอ่านบ่อยนัก มันจึงถูกเก็บไว้บนชั้นบน เธอเขย่งสุดปลายเท้า เหยียดแขนสุดปลายนิ้ว ก็ยังดึงหนังสือออกมาไม่ได้

จนกระทั่งแขนยาวจากใครอีกคนด้านหลังยืดยาวกว่าจนสามารถใช้สองนิ้วคีบหนังสือเล่มนั้นได้ และพยายามจะดึงออกมาให้ กานต์ชนิตหันหลังไปจนชนคางของอีกฝ่าย จึงต้องรีบหันกลับมา คงจะไม่มีใครที่จะเข้ามาเงียบๆ อย่างหล่อนหรอก

“หมอหนึ่งนี่ก็เตี้ยแท้ๆ ยังจะอยากอ่านหนังสือสูงๆ อีกน้อ” เสียงงุงงิงกวนประสาทดังใกล้หู กานต์ชนิตหันไปจะเอ็ดอีกรอบ แต่เมื่อพบซีกแก้มใกล้ๆ และเนื้อตัวอุ่นเกือบชิดหลังเธอ ก็ทำให้ต้องชะงัก

หล่อนยังคงเขย่งเพื่อดึงหนังสือเล่มนั้นให้เธอ เธอว่าเมื่อครู่เธอยังโกรธหล่อนอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับใจเต้นแรงกระหน่ำ เพียงเพราะรับรู้ถึงไออุ่นจากเนื้อตัวด้านหลัง กานต์ชนิต...เธอกำลังเป็นศิลปินหรือ ติสใหญ่แล้ว

“มันเรื่องของฉัน แล้วก็กรุณาถอยไปห่างๆ ได้ไหม ไอ้พาย” เธอเริ่มศอกดันลำตัวอีกฝ่ายออกห่าง หล่อนจึงโวยวาย

“เฮ๊ย อย่าเพิ่งดัน เดี๋ยวหนังสือร่วง” กานต์ชนิตแหงนหน้ามองตาม หล่อนคีบหนังสือหลุดออกจากชั้น และร่วงลงคงจะถึงหัวเธอในไม่ช้า เธอก้มหน้าหลับตาปี๋ แว่วเสียงตุบตับของหนังสือตก ก็รู้สึกแปลกใจที่ไม่เจ็บ

นั่นเพราะว่ามือของวรินธรบังเหนือหัวเธอป้องกันไว้ให้นั่นเอง

“บอกว่าอย่า อย่า ฟังรู้เรื่องมั้ย หาเรื่องเจ็บตัวจริงเชียว” หล่อนบ่นเบาๆ ซึ่งทำให้เธอเงียบทันใด ตั้งหน้าตั้งตามองชั้นหนังสือ อ่านสันตำราแพทย์เงียบๆ จนคนบ่นชะโงกหน้าข้ามไหล่เธอเพื่อมองหน้าเธอ ให้ได้สะดุ้งตกใจ

“เป็นไรอ่ะกานต์ มันหล่นใส่เธอเหรอ ฉันว่ามันหล่นใส่มือฉันนะ นี่ไงแดงเลย” หล่อนแสดงหลังมือให้ดู

“เออฉันขอโทษก็แล้วกัน”

“ขอโทษเรื่องฉีดน้ำเมื่อกี้ด้วยสิ ฉันก็เลยต้องอาบน้ำแต่งตัวใหม่เลย”

“แล้วถ้าไม่เปียกเธอจะไม่อาบหรือไง เหงื่อท่วมตัวขนาดนั้น วิ่งไปไหนมาล่ะคราวนี้” กานต์ชนิตไม่ค่อยรู้เท่าทันอาการตัวเองมากนัก รู้แต่เพียงว่าเธอกำลังทำน้ำเสียงเหวี่ยงใส่อีกฝ่ายอีกแล้ว เหมือนเมื่อคืน จนอีกฝ่ายเงียบไป เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนกำลังคิดอะไร หรือตัวเองกำลังคิดอะไร เฮ้อ

แล้วคนเงียบก็ร้องอืมๆ ในลำคอ “วิ่งไปไกลถึงออฟฟิศ ส่งงานเสร็จก็แวะไปคลินิก ล้างแผลตามที่หมอหนึ่งนัดไว้แต่คราวนี้ให้หมอคนอื่นตรวจแทน พอกลับมาเสร็จ หมอหนึ่งตัวปลอมก็มาสาดน้ำใส่จนเปียกอีกรอบ”

เธอจึงได้รู้ตัว หันกลับไปเผชิญหน้า และก้าวถอยจนหลังติดชั้นหนังสือเพื่อเว้นระยะห่างสักหน่อย “ขอโทษก็แล้วกัน” พลางเหลือบมองปาสเตอร์ปิดแผลแบบกันน้ำ “แล้วมันจะอักเสบอีกไหม”

ดวงตาของหล่อนทอประกายวาววับ ทั้งที่ใบหน้ายังดูนิ่ง “ไม่เป็นไรหรอก หมอว่าแผลปิดสนิทแล้ว แค่ติดปาสเตอร์เผื่อเอาไว้ แล้วตกลงหนังสือโดนหัวรึเปล่า” ไม่พูดเฉยๆ ยังมีการเอามือปัดแล้วเขย่งเท้าเป่าฟู่ๆ ให้อีกต่างหาก นี่หล่อนจะยั่วเธอใช่ไหม จะเอาให้ได้ใช่มั้ยห๊ะ เธอรีบปัดมือหล่อนอย่างแรง

วรินธรเลิกคิ้ว “เอ๊ะทำไมชอบทำร้ายร่างกาย เธอแปรปรวนอะไรตั้งแต่เมื่อคืนหือ ทำไมต้องหน้าแดงด้วย”

เธอตกใจลูบใบหน้าตัวเองที่ยิ่งทวีความร้อนผ่าว จนคนมองตาโต หัวเราะและชี้หน้าล้อ “อ๊ะ อย่าบอกนะว่ากำลังเขินฉัน อุ๊ยต๊ายตาย”

กานต์ชนิตอยากปฏิเสธ แต่จู่ๆ ปากเธอก็ปิดสนิท นึกคำโกหกไม่ออก สบตาสนุกสีน้ำตาลทองนั้นแล้วได้แต่เมินหลบ และอาการนั้นเองทำให้หล่อนยิ้มค้าง

“อุ๊ยต๊ายตาย” หล่อนแซวเสียงเบาลงจนกระทั่งเงียบไป

แล้วเธอไม่ชอบเลยกับความนิ่งเงียบแบบนี้ มันทำอะไรไม่ถูก เชื่อว่าวรินธรก็คงทำอะไรไม่ถูก เพราะหล่อนไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหน รีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว “เอ๊ย เธอจะมาเขินอะไรเนี่ย ตลกจริง”

“ตลกเหรอ ทำไมไม่ขำล่ะ”

“แน่ะ ยังมีหน้ามาเล่นมุกนะ”

อย่างน้อยก็เป็นมุกที่คลายบรรยากาศแปลกๆ นั่น เธอรู้สึกทำอะไรไม่ถูกสักเท่าไหร่

วรินธรเหลือบดูเธอทีสองที “ตกลงหายโมโหฉันแล้วใช่ไหม”

จะพูดทำไมนะ เธอก็เลยนึกขึ้นได้เลย

“อย่าส่งตาขุ่นใส่ฉัน โดยที่ไม่บอกว่าโกรธอะไร”

เธออ้าปากจะเถียง หล่อนชี้นิ้วหยุดเอาไว้เหมือนจะบอกว่า ให้เธอตอบคำถามดีๆ อย่าเอาแต่โกรธพร่ำเพรื่อ เธอจึงเงียบ เสสายตามองทางอื่นไปเสีย

แว่วเสียงวรินธรถอนหายใจ วรินธรตระหนักว่ากานต์ชนิตคนนี้เวลาโกรธอย่างจริงจังจะเงียบ ปิดปากสนิท เหมือนไอ้เจฟไม่มีผิด เจฟนี่เป็นพวกแค้นฝังหุ่น เธอไม่รู้ว่าหล่อนจะเป็นเหมือนกันไหม ทางที่ดีเธอควรรีบเคลียร์ดีกว่า

“ไม่ชอบใจที่ฉันไปบ้านหมอรสงั้นสิ”

“รู้ตัวก็ดีจะได้ไม่ต้องพูดมาก”

“ต๊ายตาย เป็นห่วงฉันจนโกรธ น่ารักจริงนะกานต์” กานต์ชนิตตวัดสายตามองเธอทันที ก่อนจะหลุบลงหนี รอยแต้มสีชมพูบนแก้มทำให้วรินธรต้องกลืนน้ำลายระงับใจเต้นผิดจังหวะ

ทำไมต้องทำเขินถึงสองครั้งด้วยล่ะ รู้ไหมว่าหน้าตาแบบนี้น่ะมันไม่ดีต่อตัวเธอ อยู่ใกล้หล่อน เห็นหน้าหล่อน เธออาจจะเผลอทำอะไรแปลกๆ ไปอีก วรินธรไม่ชอบตอนตัวเองใช้หัวใจนำทางแทนมันสมอง ชีวิตนี้เธอเรียนรู้มามากพอ เรียนรู้จากคนใกล้ตัว และเรียนรู้ด้วยตัวเอง เธอควรระมัดระวังไม่ให้เพลี่ยงพล้ำ จึงตัดสินใจถอยออกมา

“ไม่คุยด้วยแล้ว ลงไปช่วยแม่เพาะกล้วยไม้ดีกว่า”

กานต์ชนิตรู้ได้ทันทีว่าวรินธรจะหนี มองใบหน้าเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่างของพายอย่างไม่เข้าใจ วรินธรไม่ค่อยจะทำหน้าตาแบบนี้นักหรอก หล่อนมักจะเก็บอาการ เก็บอารมณ์ไว้มิดชิด แต่คราวนี้เธอเห็นชัดถึงความวิตกกังวล มันคืออะไรกันล่ะ สิ่งที่หล่อนวิตกจะมีอยู่กี่เรื่องกัน

“เรายังคุยกันไม่จบ” เธอรั้งด้วยถ้อยคำเรียบๆ ซึ่งก็เหมือนยิ่งไล่

“โอ๊ยจะคุยอะไรอีก ไม่คุยแล้ว แม่เรียกแล้ว ได้ยินป่าว เดี๋ยวก็โดนจับแยกอีกหรอก ฉันไปล่ะ”

กานต์ชนิตอ้าปากค้าง และไม่รอช้ารีบออกเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆ วรินธรเหลียวกลับมาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเธอก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเร็วหนีเฉยเลย

“ไอ้พาย หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

“เฮ๊ย จะตามมาทำไม อยู่บนห้องไปสิ”

วรินธรเดินถึงศาลาในสวนในที่สุด กานต์ชนิตเกือบจะวิ่งตามก็ต้องรีบเบรกตัวโก่งเพราะเห็นแม่ของหมอหนึ่งนั่งทำตาคมจ้องเธอสองคนอย่างสงสัย

“เลิกทะเลาะกันเป็นเด็กๆ แล้วมาช่วยแม่ทำงาน”

วรินธรยิ้มร่าเริงตรงไปหาคนพูดทันใด กานต์ชนิตสงสัย ยัยพายจะหนีเธอทำไม ไม่เข้าใจเลย คงจะเป็นเรื่องงานเสี่ยงๆ ของหล่อนอีกแน่

..................................................................................

กานต์ชนิตทำให้เธอกำลังเป็นโรคประสาท อยากถอยห่างหล่อนเพื่อตั้งตัวแล้วจะได้แบ่งสมองไปคิดเรื่องการส่งมอบไต แต่ว่าสมองเธอคอยจะปรากฏใบหน้านวลๆ อยู่เรื่อย หนีไปไกลหล่อนได้ไม่เท่าไหร่ ประชุมงานอย่างไม่มีสมาธิ ใช่ล่ะ มันเป็นใบหน้าของหมอหนึ่ง เธอยอมรับว่าเธอติดใจหน้าตาของหมอ เพียงแต่ว่าถ้านี่คือหมอหนึ่งตัวจริง เธอคงจะไม่รู้สึกติดใจหรือสนใจมากเท่านี้หรอก เพราะว่าภายในนั้นคือกานต์ชนิตต่างหาก ทำให้เธอติดแหงก ไปไหนไม่ได้

เสียงฝีเท้าจากปากทางเข้าทำให้ต้องถอนหายใจ ตอนนี้เธอหลบอยู่หลังต้นกล้าและกระถางไม้ มันคงไม่ยากที่จะมองทะลุมาเห็น เมื่อหล่อนสบตาเธอ เธอก็รีบลุกขึ้นยืน หยิบกระถางที่ยัดกาบมะพร้าวเสร็จแล้วทำท่าว่าจะเอาออกไปให้แม่ แต่ว่าเมื่อเดินสวนหล่อน ก็เจอสายตาพิฆาตเข้าให้

“นี่จะหลบฉันไปถึงไหน”

“เปล่าหลบ ก็เข้ามาทำตามคำสั่งแม่” เธอทำท่าจะเดินต่อ แต่หล่อนคีบต้นแขนเธอหมับ

“ฉันรู้ว่าเมื่อวานเธอคุยกับเจฟ จะต้องมีงานอะไรสำคัญเข้ามาใช่ไหม เล่าให้ฉันฟังได้หรือเปล่า”

สายตาหล่อนเป็นห่วงเป็นใย ปนคาดคั้น “เอ๊ย นี่มันเรื่องภายในบริษัทของฉัน จะเล่าให้เธอฟังได้ยังไง”

“ไอ้พาย” หล่อนกระชากแขนเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ จากนั้นยืนค้ำหัวบีบไหล่เธอแน่น ท่าทางคุกคามเป็นอย่างยิ่ง นี่ถ้าหล่อนเอาขามาพาดเก้าอี้ด้วยจะเหมือนจิ๊กโก๋มาก

“อย่าทำซ่ามากนัก คราวนี้ฉันไม่ใช่ผีแล้วนะ ฉันไม่สามารถลอยไปช่วยเธอได้แล้ว”

วรินธรมองเห็นความกังวลในสายตาหล่อน แม้จะแอบทำให้รู้สึกปลื้มใจไม่น้อย แต่ว่าพอเห็นหล่อนหงุดหงิดอึดอัดใจเช่นนี้ เธอก็กลับไม่สบายใจไปด้วย แต่ปากน่ะเหรอ ก็ยังเป็นปาก

“เธอนี่ยังไงนะ ชอบคิดว่าฉันจะทำงานไม่สำเร็จอยู่เรื่อย ก่อนหน้าเธอจะโผล่มา ฉันก็เอาตัวรอดได้น่า”

“แต่ที่ฉันเห็นไม่เห็นเธอจะเอาตัวรอดได้สักหน”

วรินธรเริ่มขมวดคิ้ว “พูดงี้จะยั่วโมโหกันใช่ไหม ไปข้างนอกซะเถอะกานต์ เดี๋ยวจะทะเลาะกันเปล่าๆ”

วรินธรดันไหล่กานต์ชนิตออกห่าง แต่หล่อนขืน “ทำไมถึงดื้อด้านอย่างนี้ เธอจะต้องรอให้ตัวเองตายจริงๆ ก่อนหรือไง”

“ฉันไม่ตายหรอกน่า แช่งกันจริง นี่กานต์ ทำไมถึงยุ่งเรื่องของฉันนัก เอาเวลาไปคิดเรื่องออกจากร่างหมอหนึ่งให้ได้ดีกว่าไหม”

“ฉันไม่ได้แช่งเธอ อย่าเปลี่ยนเรื่อง เรื่องหาทางออกจากร่างมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

รู้ทันอีก วรินธรยกมือขยี้หัวแรงๆ “เธอนี่ชักจะเหมือนฮารุมากขึ้นทุกทีแล้วนะ”

กานต์ชนิตขมวดคิ้วมองอย่างหาเรื่อง หล่อนคงไม่ชอบใจนักที่เธอว่าหล่อนไปเหมือนใคร แต่ก็เป็นโอกาสให้เธอได้ปล่อยของดูสักที

“อย่าเซ้าซี้ฉัน รู้ไหมว่ามันน่ารำคาญ”

ใบหน้าหล่อนซีดลงทันใด มันก็แค่นั้นเอง วรินธรไม่เคยพลาดเรื่องการหลอกลวงใคร แม้จะแค่จ้องตากันเฉยๆ เธอก็ยังแสร้งฉายความเหนื่อยหน่ายให้หล่อนได้เห็นได้

“เออ ขอโทษ ฉันมันยุ่งไปเอง” กานต์ชนิตพึมพำและถอยออกไปยืนห่างจากเธอโดยง่ายดาย ใจจริงก็อยากแก้ตัวเหมือนกัน ก็ไม่อยากทำให้อึดอัดใจ แต่ว่าเธอก็ยังอยากมีสมาธิคิดงาน อยู่ใกล้หล่อนแล้วเตลิดตลอด จึงกอดอก “นี่ อย่างอนนะ ขี้เกียจง้อ”

เท่านั้นแหละ เธอก็โดนสายตาเคืองตวัดใส่ฉับ ดังที่คาดหมายไว้เด๊ะ ผิดกันแต่ว่าเธอรู้สึกผิดจนอยากจะรั้งแขนนั้นไว้ ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าห้ามทำ

กานต์ชนิตคงน้อยใจอย่างหนัก หันหลังกลับได้ก็รีบหลับหูหลับตาเดินหนี ไม่ทันได้มองนายทหารเกณฑ์ซึ่งแบกกระสอบดินเข้ามา จึงชนกันอย่างจังจนกระสอบไถลร่วง จะร่วงลงพื้นดีๆ ก็ไม่ร่วง ดันเฉเปลี่ยนทิศมาร่วงใส่เธอเฉย

วรินธรรีบยกมือรับกระสอบทั้งใบ ด้วยน้ำหนักของมันก็ทรงตัวยืนไม่อยู่ จึงหงายหลังล้มลงพร้อมกระสอบในอ้อมกอด ปากถุงเปิดทำให้ดินร่วนเททับอกเสื้อเธอเสียจนมองไม่เห็นว่าเดิมเสื้อสีอะไร

นายทหารรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แล้วตรงมาช่วยยกกระสอบออกให้ วรินธรโบกมือว่าไม่เป็นไร ปัดบรรดาขี้ดินออกจากตัวพลางจามฮัดชิ้วเพราะฝุ่นเข้าจมูก มีมือหนึ่งช่วยดึงให้เธอลุกขึ้น งึมงำด้วยน้ำเสียงงอนๆ

“สมน้ำหน้า”

คนพูดหน้าตาบูดบึ้ง ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็เขย่าเสื้อสลัดฝุ่นออกให้ วรินธรอ้าปากจะเถียง แต่เพราะสูดเอาฝุ่นเข้าไป จึงจามออกมาอีก กานต์ชนิตลากแขนเธอออกมาข้างเรือนเพาะชำ สั่งการให้นายทหารช่วยเก็บกวาดพื้นให้หน่อย จากนั้นเปิดก๊อกน้ำให้เธอล้างมือล้างหน้า

“ล้างซะ ล้างปากเธอด้วย จะได้พูดจาดีๆ กับเค้าได้”

วรินธรมองคนตาขุ่นที่ยังไม่ยอมสบตาเธอ เธอล้างมือต่อเงียบๆ จนสะอาดดี ลอบระบายลมหายใจออกคลายความอึดอัดในใจ ไม่รู้ว่าวิธีการไล่อีกฝ่ายไปไกลๆ ของเธอ จะยิ่งทำให้เธอไม่มีสมาธิรึเปล่า แทนที่จะกังวลหนึ่งเรื่อง ก็ต้องมากังวลสองเรื่อง

กานต์ชนิตหยิบผ้าเช็ดมือช่วยปัดเศษดินให้เบาๆ พึมพำบอก “ฉันรู้ว่าเธอชอบเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ที่พูดจาร้ายๆ ก็เพราะไม่อยากให้ฉันรู้เรื่อง โกรธเธอไปซะ จะได้ไปไกลๆ ไม่ต้องถามเธออีกใช่ไหม เออ บอกไว้เลยว่าเธอทำได้ผล คนอะไร ยั่วโมโหเก่งชะมัด แต่ใช่ว่าฉันจะไม่เสียใจกับคำพูดเธอ”

เธอไม่มีอะไรโต้แย้ง ปล่อยให้หล่อนก้มหน้าก้มตาเช็ดรอยดินตรงไหล่ใกล้คอเสื้อ ทำไมถึงต้องรู้ทันกันตลอดด้วยนะ หรือวิชาการแสดงของเธอแย่ลง ถึงไม่เคยหลอกหล่อนได้เลย หรือว่าเพราะกานต์ชนิตเป็นคนพิเศษ...พิเศษมากอย่างที่ไม่มีใครเหมือน

วรินธรมองน้าผากมนใกล้สายตา เห็นเหงื่อซึมบริเวณไรผมและแพขนตาหลุบลง ปกปิดความรู้สึกหลายอย่างในดวงตาคู่นั้น เธออยากขอโทษอยู่เหมือนกัน แต่ว่าก็ปากหนักเหลือหลาย เธอมักจะพูดคำพวกนี้ไม่ค่อยออก คำไม่กี่คำที่สำคัญ บางทีก็พูดยากกว่าคำอื่น

จึงได้แต่มองหล่อนเงียบๆ มองใบหน้าที่ก้มลงเล็กๆ เห็นเพียงโหนกแก้มสีนวล แต้มสีชมพูบางๆ จากความร้อนของอากาศ วรินธรถอนหายใจบางเบา หากหล่อนยังคงรู้สึกถึงลมหายใจร้อน เหลือบตามองเธอครู่หนึ่งก็ก้มลงเช็ดรอยดินออกต่อ หล่อนควรผละจากเธอได้แล้ว ควรถอยห่างจากกันไกลกว่านี้อีกหน่อย เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเกิดอันตราย

วรินธรขยับใบหน้าเข้าหาคนตรงหน้า เผลอแนบจมูกชิดโหนกแก้มใกล้ๆ และจูบลงบนแก้มนุ่มเบาๆ จนกานต์ชนิตเงยหน้าตกใจ เธอมองเห็นดวงตากลมโตที่เป็นของกานต์ชนิตไม่ใช่ของอินทนิลซ่อนอยู่ในนั้น นี่เองล่ะมั้งคือแรงดึงดูด ไม่ใช่ร่างกายของอินทนิลหรอกที่เธออยากเข้าใกล้ เธอมั่นใจ

วรินธรเผลอยิ้มและจูบต่อบริเวณปลายจมูก อีกทั้งยังเชยคางหล่อนเบาๆ แตะจูบลงบนริมฝีปากอิ่มระเรื่อ อย่างที่ใจต้องการมาตลอด แผ่วเบาเหมือนน้ำค้างยามเช้า แบบเดียวกับที่เธอเคยสัมผัสในฝันนั่นไง ในความจริงนั้นมันดีกว่าในฝันมาก อ่อนหวานและจับต้องได้

เวลาแสนสั้นไม่กี่วินาทีกลับสร้างความอิ่มเอมใจได้อย่างประหลาดนัก และเสียงเรียบของกานต์ชนิตก็ฉุดดึงสติของเธอกลับสู่ตัว “พายทำอะไรน่ะ”

วรินธรหน้าเหวอและเธอเพิ่งรู้ตัวว่าหัวใจเต้นรัวจนแทบทะลุออกมาจากอกราวกับเพิ่งเคยจูบใครครั้งแรก แต่เธอก็ยิ้มไม่ออก ไม่สามารถตอบคำถามคาดคั้นนั้นได้ เธอกำลังประหม่าเมื่อได้ตกอยู่ใต้สายตานิ่งสนิทของกานต์ชนิต ที่เธออ่านไม่ออกและไม่รู้ใจหล่อนเลย

“ฉัน... ฉันแค่...”

แค่อะไร เธอนึกไม่ออก แค่...เผลอ คงไม่ใช่

ฉันแค่ชอบเธอ

คำตอบนี้ดูใช่กว่า แต่ก็หน้าร้อนจนพูดไม่ออก นี่ไงคำอีกสองสามคำที่ว่า คนตรงหน้าก็ยังนิ่งชวนให้ทำอะไรไม่ถูก กานต์ชนิตนิ่งเกินไป จะว่าอะไรก็ไม่ว่า จะโกรธก็ไม่โกรธ หรือจะยิ้มให้รู้ว่าพอใจก็ไม่มี

จนกระทั่งกานต์ชนิตก้มลงปัดคอเสื้อเธอต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปัดจนแน่ใจว่าไม่มีเศษดินติดดีแล้ว ก็เดินออกจากบริเวณนั้นไปอย่างเงียบๆ

วรินธรมองตามหลังบอบบาง สูดลมหายใจเรียกหาสติ มีความตื่นเต้นปะปนกับความโหวงเหวงเกิดขึ้นในใจ เฮ้อ...จนได้สิน่า เกิดขึ้นจนได้ พายเอ๊ยพาย ใจหนอใจ จะจ้างใครมาบังคับใจเราได้ ขนาดตัวเองยังบังคับใจไม่ได้เลย เธอก้มหน้ายอมรับการกระทำของตนเอง และก้มหน้ายอมรับความกลัวซึ่งวิ่งวูบวาบในอก เธอรู้สึกกลัวความคิดของอีกฝ่ายเหลือเกิน

วรินธรกลับเข้าไปในเรือนเพาะชำ ไม่ทันได้สังเกตถึงใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ไกลๆ และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ทั้งคู่เดินออกจากเรือนเพาะชำเลยก็ว่าได้

........................................................................................

วรินธรร้องอืมรับคำปลายสาย ฟังแผนการของเจฟด้วยใจไม่จดจ่อ พยายามอย่างยิ่งจะเรียกสติคืน พลางวางสายเจฟแล้วถอนหายใจ

ค่ำนี้เธอกับกานต์ชนิตยังไม่ได้คุยกันเลย เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มบทสนทนายังไง เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์กระอักกระอวนใจเท่านี้มาก่อน หล่อนก็นิ่งเงียบจนผิดปกติ ไม่ยอมสบตาเธอแม้แต่น้อย เธอคิดว่าหล่อนอาจจะโกรธ แต่มันก็ต่างกันมากกับเมื่อวานที่หล่อนโกรธเธอ กานต์ชนิตไม่ได้โกรธเธอหรือยังไง แล้วกานต์ชนิตรู้สึกอะไรอยู่เหรอ

วรินธรกังวลใจจนนอนไม่หลับ ตวัดผ้าห่มออกจากตัว พาตัวเองเปิดประตูห้องเข้าไปในครัวด้านนอก รินน้ำให้แก่ตัวเองเสียหน่อย แล้วนั่งลงบนโต๊ะกินข้าว ขีดนิ้วกับพื้นโต๊ะและกุมขมับตัวเอง

และเพราะวรินธรเอาแต่ก้มหน้า จึงไม่ได้เห็นร่างของใครอีกคนตรงหัวบันได ซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นก่อนหน้านานแล้ว นานจนเกือบเช้าที่คนทั้งคู่นั่งเงียบๆ วรินธรเดินกลับเข้าห้อง และกานต์ชนิตจึงลุกขึ้น กลับเข้าห้องนอนของตัวเองบ้าง

....

กานต์ชนิตเดินผ่านหน้าบ้านไปยังเรือนเพาะชำ วรินธรบอกตัวเองว่าเธอควรสนใจภาพในจอมากกว่าหล่อน เธอควรมีสติจดจ่อกับงานและเสียงเพื่อนในทีมจากหูฟังข้างหนึ่งในรูหู แต่พอหล่อนผ่านเข้ามาในสายตา ใจเธอก็พลอยจะลอยไปจดจ่อที่หล่อนเรื่อย ได้แต่ถอนใจ

เธอนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ติดรั้วบ้าน ทำทีเหมือนกำลังอ่านหนังสือสักเล่ม และกางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเอาไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า หลังพุ่มไม้ข้างกายเธอซ่อนกล้องขนาดเล็กเอาไว้ มันกำลังทำหน้าที่กวาดไปมาราวร้อยยี่สิบองศาเพื่อฉายภาพในบ้านของรสสุคนธ์ทั้งแสงความยาวคลื่นที่ตามองเห็นและคลื่นอินฟาเรด ที่ตรวจวัดระดับความร้อน วันนี้เธอตื่นแต่เช้าทำเป็นวิ่งออกกำลังกายเพื่อติดตั้งกล้องแบบเดียวกันนี้เอาไว้สี่มุมของรั้วบ้าน เพราะการเข้าไปสำรวจภายในนั้นไม่ง่าย วันนี้มีทีมชุดซาฟารีหนาแน่นกว่าทุกวัน บอกถึงความมั่นใจว่า วันนี้คือวันสำคัญ ที่จะส่งมอบสินค้าสำคัญ

“อาสินจอดรถไว้ในสวนสาธารณะหมู่บ้าน” รายงานจากสนฉัตรดังเข้าหู

“มันเป็นแผนล่อ” บอสส่งเสียงตอบ เธอเดาว่าบอสและทีมงานของยางโทนคงอยู่ในรถตู้พร้อมอุปกรณ์ประมวลผลครบครันที่ไหนสักแห่งในระยะหนึ่งกิโลเมตรนี้ “คนอย่างอาสิน ไม่โง่จะไปส่งมอบของที่นั่นหรอก”

ไม่รู้ว่าปิแอร์ติดเครื่องดักฟังในบ้านไปถึงไหน เมื่อวานตอนเย็น ได้ข่าวแว่วๆ ว่าปิแอร์ตามพอลเข้าไปในบ้านหมอได้สำเร็จ แต่เพียงชั่วโมงเดียว และปิแอร์ก็โอกาสปลีกตัวลำพังไม่ได้ อย่างไรก็ตามเธอคิดว่าคนอย่างเจฟมีวิธีโยนเครื่องมือดักฟังเอาไว้เสมอ แค่อาจจะไม่มีประสิทธิภาพนัก

ใบหน้าเมินเฉยของกานต์ทำให้เธอขมวดคิ้วขึ้นมาอีก เธอจะบ้าตายอยู่แล้ว “ไอ้พาย เจออะไรบ้างไหม” เสียงยางโทนถามขึ้น

“ไม่มีอ่ะ นี่ก็จะเที่ยงแล้ว แกคิดไหมว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแผนลวงของพวกนั้นก็ได้”

“ภาวนาอย่าให้ลวงเลย เพราะถ้าลวงก็แสดงว่าอาสินมันสงสัยใครในเฟเดอริกสตาร์แล้วล่ะ ไม่พอลก็ปิแอร์”

วรินธรเริ่มวิตกตามคนพูด “แล้วนี่ปิแอร์ไปไหนวันนี้”

“มันโดนใช้งานออกต่างจังหวัด กับไอ้พอลนั่นแหละ แต่ไม่ต้องห่วงไป คุณสมิธไปด้วย” บอสเป็นผู้ตอบให้

เธอไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับนายสมิธมากนัก เพราะบอสเป็นคนตอบ เธอจึงคลายกังวลไปบ้าง

เธอเลือกจะปิดจอคอมและดึงแว่นกันแดดมาสวม แว่นนี้กับจอคอมแสดงภาพเดียวกัน เป็นดีสเพลขนาดจิ๋วเพื่อป้องกันคนภายนอกรู้ว่าเรากำลังดูภาพอะไร ในบ้านหมอรสยังคงไม่มีอะไรผิดปกติ น่าเบื่อที่สุด เธอไถลตัวยาวไปกับเก้าอี้ แหงนหน้าไปกับพนักพิง พลันก็พรวดพราดตกใจ เพราะภาพทิวายืนค้ำหัวด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“เฮ๊ย เธอ!” เข้ามาในนี้ได้ยังไง วรินธรเกือบหลุดถาม นึกอีกทีก็ไม่แปลก เพราะภาพทิวากับรสสุคนธ์รู้จักกันดี จะรู้จักอินทนิลดีจนเข้านอกออกในบ้านได้ก็ไม่แปลก แต่ว่ามันแปลกที่หล่อนโผล่มาวันนี้ เธอค่อยๆ เหลือบมองซ้ายมองขวาหารสสุคนธ์ว่ามาด้วยหรือไม่ เพราะถ้าหล่อนออกมาเดินเถลไถลในวันส่งไต ก็แปลว่าการส่งมอบไตนั้นของเก๊ เป็นแผนลวงอย่างแน่นอน

ตอนนี้เธอเห็นเพียงภาพทิวา ยืนตีหน้าเครียดใส่

“เธอต้องการอะไรกันแน่”

วรินธรไม่แน่ใจนักว่าหล่อนถามอะไร แต่บุกมาเงียบๆ อย่างนี้ เจตนาไม่บริสุทธิ์ “เธอนั่นเอง ยัยจุ้นจ้านวันนั้น”

หล่อนหน้าซีดไปนิด แต่ก็กลับมาปั้นหน้าเครียดได้ใหม่ “ฉันไม่คิดเลยว่าจะเป็นเธอ คนที่พี่หมอรสพูดถึง”

วรินธรเงียบ เป็นดังคาดจริงๆ รสสุคนธ์คงจะพูดคุยอะไรให้ฟังมากมาย ว่าแต่ว่าหล่อนรู้เรื่องส่งของพวกนี้หรือเปล่า อย่างไรก็ตามเธอปั้นหน้าตาย “หมอรส... รสสุคนธ์น่ะเหรอ”

ภาพทิวาไม่ได้แนะนำตัวอะไรเพิ่ม วรินธรจึงถามต่อ “เธอเป็นกิ๊กที่หมอรสซ่อนไว้นี่เอง”

ทำเอาอีกฝ่ายชักสีหน้าโมโห “ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่คนอย่างเธอที่จะแอบแย่งแฟนใคร”

“อ๋อเหรอ” เธอลากเสียงยาวพร้อมกับเก็บคอมพิวเตอร์ เก็บแว่นตาเสียบไว้กับสาบเสื้อ เพราะกลัวหล่อนจะเห็นภาพรางๆ ในแว่นตาแล้วจะสงสัยว่ามันไม่ใช่แว่นปกติ

“งั้นเธอเป็นใคร ชอบโผล่มาแล้วทำหน้าหาเรื่องใส่ฉันอยู่เรื่อย”

ภาพทิวามองเธออย่างเขม่น หล่อนอยู่ข้างพี่หมอรสของหล่อนเต็มตัว

“ฉันเป็นใครมันก็เรื่องของฉัน”

“เออ งั้นฉันไปล่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากรู้จักคนเพี้ยนๆ อย่างเธอเหมือนกัน” วรินธรว่าพลางอุ้มคอมพิวเตอร์หนีบรักแร้เดินหนีอย่างไม่ไยดี แต่มือหล่อนก็คีบต้นแขนเธอไว้ไม่ให้ไปไหน “เธอก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าพี่หมอหนึ่งมีแฟนอยู่แล้ว เธอนี่มัน คิดอะไรกันแน่”




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบห้า This Kiss(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:42:49 »
(ต่อ)
“แล้วเธอล่ะคิดอะไร เรื่องตัวเองก็ไม่ใช่สักนิด”

“เพราะพี่หนึ่งเป็นพี่สาวที่ฉันเคารพ”

น่าเบื่อ วันนี้เธอมีเรื่องกลุ้มมากพอแล้ว ไม่อยากยุ่งอะไรอีก แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุด “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้จริงใจกับพี่หนึ่ง เธอคิดจะหลอกอะไรพี่หนึ่ง”

เฮ้อ เด็กหนอ วรินธรปัดแขนอีกฝ่ายออกง่ายๆ “ไม่ได้หลอกอะไรทั้งนั้นแหละ เลิกคิดไปเองไร้สาระได้แล้ว”

ภาพทิวาขมวดคิ้ว “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ”

วรินธรงง “ผู้หญิงคนไหน”

“ก็ผู้หญิงคนที่เธอจูบที่โรงพยาบาลไง”

เธอจึงถึงคราวอ้อ เกาหัวแกรกๆ มองหน้าคนคาดคั้นก็คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้หล่อนฟัง กลัวก็แต่หล่อนเข้ามาใกล้เธอมาก เดี๋ยวจะเห็นภาพอะไรในแว่น เสียงสั่งการจากบอสผ่านหูฟังเล็กที่หูทำให้เธอตัดเสียงของภาพทิวาออกไปก่อน “มีความเคลื่อนไหวแปลกๆ ในบ้าน เหมือนจะมี ‘ข่าว’ ใหม่เข้ามา”

แต่ก็ยังได้ยินประโยคคำถามจนได้ “คุณจะหลอกพี่หมอหนึ่งใช่ไหม”

วรินธรพยายามตั้งสติประมวลผลสองเรื่องพร้อมกัน “คุณจูบกับผู้หญิงคนนั้น และคุณก็มาจูบกับพี่หมอหนึ่งอีก ฉันเห็นด้วยกับพี่หมอรสว่าคุณแค่เล่นๆ กับพี่หมอหนึ่ง”

วรินธรเลิกคิ้ว ตาวาววูบ ไม่รู้ว่าแม่หล่อนเป็นนักข่าวหรือเปล่า ถึงได้มีเลือดชอบแฉในตัวสูงอย่างนี้ แล้วดันเป็นเรื่องจี้ใจดำเสียด้วยสิ

“เธอเห็น?”

ได้ทีหล่อนแสดงสีหน้าแห่งชัยชนะ “ใช่ เต็มสองตาเลยล่ะเมื่อวาน”

วรินธรกลอกตา ป่านนี้ไมค์เธอคงทำหน้าที่ป่าวประกาศคำหล่อนให้ได้รู้กันทั่ว

“นี่แม่หนู นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน เธอ...ถ้าเข้ามานี่มีธุระแค่นี้ ฉันขอตัว ฉันมีงานเยอะ ไม่ว่างมาเล่นกับเด็ก”

“ฉันไม่ใช่เด็ก”

เธอดึงแขนหล่อนสะบัดทิ้ง อีกฝ่ายยังจะจับเธอให้ได้ พอดีวันนี้ความอดทนเธอน้อย จึงพลิกข้อมือนั้นแวบเดียวบิดผิดท่าพร้อมกับดันตัวหล่อนชิดกำแพงด้วยมือเดียวอย่างแรง อีกฝ่ายร้องวี้ดอย่างไม่ได้ตั้งตัว และครางด้วยความเจ็บไม่น้อย เจ็บทั้งข้อมือที่โดนบิดและทั้งไหล่ที่ชนกำแพง คงจะทำให้รู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง

“จะ... จะทำอะไร”

“จะสั่งสอนเด็กไม่รู้จักคิด และทีหลังเห็นอะไรก็ไม่ต้องป่าวประกาศ มันจะเป็นภัยกับตัวเอง เข้าใจไหม”

การสั่งสอนของเธอเหมือนพัดลมเป่าความเกรงกลัวไปจากหล่อนทันใด นัยน์ตาหล่อนวาวโมโห “คนที่จะมีภัยก็คือเธอนั่นแหละ เพราะทำอะไรผิดๆ ฉันถึงต้องแฉ”

“ปากหนอปาก ฉันนึกว่าฉันจะเป็นพวกปากเปราะคนเดียวซะอีก”

ไหนๆ ก็ไหน เธอคิดว่าภาพทิวามาถูกจังหวะ ในเมื่อพวกเราเข้าไปในบ้านหมอรสไม่ได้ ก็ติดไอ้นี่ไว้ที่หล่อนแล้วกัน วรินธรดึงไมค์ที่ติดเสื้อตัวเองหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อหล่อน และคว้ากล้องบางเฉียบแบบฉุกเฉินและเป็นเครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กกลัดติดชายเสื้อหล่อนไวๆ

จากนั้นทำเป็นโมโหออกกำลังดันแขนพับๆ ข้างนั้นชิดตัวหล่อนแรงขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บแต่อดทนไม่ร้องของหล่อนก็คลายมือข้างนั้นออก และปล่อยหล่อนในที่สุด

“ไปซะก่อนฉันจะอดใจไม่ไหว เอาเจ้าโน้ตบุ๊กนี่ตีหัวเธอตาย”

คงเพราะเสียงต่ำๆ และใบหน้าเอาจริงของวรินธรทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าเถียงอะไรอีก หล่อนลังเลแต่สุดท้ายก็เดินจากไป วรินธรกลืนน้ำลายพลางยิ้มมุมปาก ดึงมือถือออกมากดส่งข้อความ

...ไมค์และกล้องอยู่ที่ภาพทิวาแล้ว...

... จบบทที่ ยี่สิบห้า This Kiss

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.