web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 101
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 90
Total: 90

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบสอง I’ll Be There  (อ่าน 959 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบสอง I’ll Be There
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:33:03 »
บทที่ ยี่สิบสอง I’ll Be There


แม้รู้ว่าไร้ทางสู้แต่ก็ยังดื้อด้านจะสู้ ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังมากกว่า ด้วยเหตุผลแล้วเธอควรรีบยอมแพ้ตั้งแต่เริ่ม แล้วนี่... เธอทำอะไรลงไป

วรินธรเอ๋ย ความเป็นตัวของตัวเองของเธอหายไปไหนหนอ ความระมัดระวังรอบคอบที่เคยมี ทำไมเป็นไปได้ขนาดนี้... เธอกำลังจะเป็นประสาทเพราะผู้หญิงประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผี เพียงแค่เวลาหล่อนหายตัวไปทีไร เธอก็ต้องใจหายทุกที ไม่ว่าหล่อนจะหายตัวแวบไปต่อหน้าต่อตา หรือหายไปแบบโดนลักพาตัวอย่างตอนนี้ ก็ทำให้โหวงเหวงอึดอัดทรมานไม่ต่างกันนัก

มันยากจะระงับความกังวลใจทั้งหลายเมื่อไม่ได้เห็นหล่อนอยู่ในสายตา

เฮ้อ คนอะไรก็ไม่รู้ ชอบทำให้เหนื่อยอยู่เรื่อยเชียว เธอต้องเหนื่อยกับการค้นหาตัวเองว่ากำลังเป็นอะไร และตามตัวเองว่ากำลังทำอะไร มีความกลัวในส่วนลึกอีกต่อไปว่า แล้วตัวเธอเองจะสร้างเรื่องอะไรต่อ ทุกอย่างที่มีกานต์ชนิตเข้ามาเกี่ยวข้องล้วนอยู่เหนือการควบคุม ราวกับว่าเธอกำลังไร้ทางเลือก และต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่จิตใจของตนเอง

นานนับชั่วโมงทีเดียวที่เธอโดนกดตัวไว้ แล้วพวกมันก็ปล่อยเธอเป็นอิสระอย่างน่าแปลกใจ พากันยกโขยงออกจากห้อง โดยมีคนหนึ่งเดินมาบอกทิ้งท้าย

“กลับบ้านของเธอไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับคุณอินทนิลอีก”

เธอขอมองอย่างโลกสวยว่าเขากำลังเตือนเธอด้วยความหวังดีก็ได้ ทั้งที่น้ำเสียงตรงกันข้าม

พวกเขาเพียงแค่ไม่ต้องการให้เธอตามสองคนนั่นทันก็เท่านั้น

วรินธรยืดตัวยืนในห้องน้ำว่างเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่นี้เธอยังวิ่งไล่จับกับกานต์ชนิตอยู่เลย แวบเดียวที่เผลอประมาทเท่านั้นเอง ใจตอนนี้อยากจะติดตามกานต์ชนิตไปให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเธอเดินออกมาหน้าห้องและไม่มีบรรดาคนร้ายเหลืออยู่ ในใจจึงเกิดคำถาม

เธอจะเริ่มตามหาหล่อนจากที่ไหน?

ไทยมุงเหล่านี้น่ะหรือ คงไม่มีใครกล้าตอบ พวกเขาพากันหลบหน้าหนีไปห้องใครห้องมัน หนึ่งในนั้นมีเจ้าของบังกะโลรวมอยู่ด้วย และเขาไม่กล้าสู้หน้าเธอ เดาไม่ยากว่าเขามีส่วนรู้เห็นในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอแก่หมอรสด้วย

วรินธรเดินกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บกระเป๋า สำรวจดูอุปกรณ์พิเศษในเป้พลางนับจำนวน จากนั้นก้าวออกจากห้องพักตรงไปยังรถยนต์ที่จอด เป็นดังคาด พวกเขาปล่อยลมยางรถเธอซะแบนติดพื้นเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้เธอตามไปง่ายนัก วรินธรจึงเปลี่ยนทิศไปยังส่วนต้อนรับของบังกะโล

เจ้าของบังกะโลมองเธออย่างหวาดหวั่น

วรินธรส่งยิ้มเย็นให้เขา และล้วงอาวุธปืนสีดำเลื่อมวางบนเคาน์เตอร์ เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย

“ฉันอยากดูบันทึกจากวงจรปิดตัวนั้น ได้หรือเปล่า?”

เขาลนลานพยักหน้า และรีบเปิดวิดีโอย้อนกลับให้ดูทันที วรินธรยิ้มมุมปาก เก็บปืนใส่กระเป๋าพลางจับเมาส์เลื่อนความเร็วของวิดีโอ ย้อนกลับไปสองชั่วโมงก่อนหน้า

“ขอบใจมาก เอ้อ ถามอะไรอีกอย่างสิ”

“อะ... อะไรครับ”

“ทำยังไงฉันถึงจะมีพาหนะไปไหนต่อไหนได้ มีใครไม่รู้ปล่อยลมยางรถฉันหมดสี่ล้อ ฉันควรทำยังไงดี” เธอเอ่ยเหมือนกำลังปรึกษา แต่คนฟังรู้สึกว่ากำลังโดนข่มขู่

“ที่ตลาดมีอู่ซ่อมรถครับ... ถ้า...ไปที่นั่นเขาอาจจะสูบยางให้คุณได้”

“อื้ม ไม่ต้องไปถึงตลาดหรอกมั้ง ฉันเห็นเครื่องเติมลมยางหลังบ้านของนาย ในห้องเก็บของน่ะ ยังใช้ได้รึเปล่า”

เธอตวัดมองใบหน้าตกใจของเขา ก่อนจะกลับมาสนใจจอภาพต่อ เห็นรถตู้ของรสสุคนธ์แล่นเข้ามาจอด

“ยังไงก็ฝากเติมให้ด้วยนะ...” เธอเหลือบดูนาฬิกา “คงอีกสักยี่สิบนาที ฉันจะต้องรีบเดินทางแล้ว กรุณาอย่าให้ช้าไปกว่านั้น”

เจ้าของบังกะโลขมวดคิ้ว แต่เมื่อเธอหันไปส่งยิ้ม เขาจึงรีบพยักหน้าหงึกหงักและก้าวออกไปหลังบ้าน

วรินธรซูมไปยังทะเบียนรถตู้ ความละเอียดของภาพน้อยไปหน่อย เธอจึงล้วงมือถือออกจากกระเป๋าและกดโทรออก

“ฮัลโหล โทรมาก็ดี มีน้ำชาร้อนจะให้กินพอดี”

“ขอบใจละกัน ให้เดา น้ำชาร้อนๆ นั่นคือเรื่องหมอรสใช่ไหม”

“เอ๊ย รู้ได้ไง อย่าบอกนะว่า...” ยางโทนเอ่ยค้างอย่างเดาได้

“อืม เธอมาเอาตัวหมอหนึ่งกลับไปแล้ว”

“เฮ๊ย แสดงว่าไอ้สนตามไปไม่ทัน มันโผล่ไปหรือยัง แล้วแกล่ะเป็นยังไงบ้าง หมอทำอะไรแกบ้าง”

สนฉัตรรึ?

“ฉันโอเค ที่แกพูดเมื่อกี้หมายถึงอะไร ไอ้สนกำลังจะมาที่นี่เหรอ”

“ลูกน้องของไอ้สนตามหมอรสอยู่ แอบฟังจนรู้ว่าหล่อนหาพวกแกเจอแล้ว จากนั้นพวกมันก็รีบออกไปจนคลาดกัน ฉันกำลังจะยกหูโทรหาแกเนี่ยแหละ แกก็โทรมาพอดี”

“ข่าวช้าไปนะ เตือนไม่ทันแล้ว ตอนนี้ฉันอยากให้แกสืบเรื่องรถตู้ของรสสุคนธ์ เดี๋ยวฉันส่งภาพไปให้...” เธอหันมองเจ้าของบังกะโลซึ่งขะมักเขม้นเติมลมยาง ก็ล้วงกระเป๋าดึงสายเชื่อมต่อมือถือตัวเองกับซีพียูคอมพิวเตอร์ของบังกะโล จัดการแคปเจอร์และส่งออกภาพเบลอๆ ของทะเบียนรถให้เพื่อนอย่างว่องไว จากนั้นเก็บสายใส่กระเป๋าและหันมาฟังปลายสายบอกว่าได้รับไฟล์แล้ว

ยางโทนใช้เวลาไม่นานในการขยายสัญญาณภาพให้คมชัด ตัดสิ่งรบกวนออก ครู่เดียวเขาก็เอ่ยทะเบียนรถให้เธอฟังและถาม “นี่อยากให้ฉันหาทะเบียนรถแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะให้ค้นหาด้วยว่าเป็นรถของใครและมุ่งหน้าไปทางไหน”

“น่ารักมาก รู้ใจ” เธอชมเปาะ ปลายสายร้องฮึ่ม

“แล้วก็อย่าบอกนะว่าแกจะตามหมอหนึ่งไป...”

วรินธรเงียบพลางปิดภาพจากวงจรปิดเหล่านั้น ดึงเทปม้วนล่าสุดใส่กระเป๋า

“นี่อย่าบอกว่าแกหลงรักหมอหนึ่งเข้าแล้วจริงๆ ฉันคิดว่าแกแค่ถูกใจเฉยๆ ซะอีก”

“เออฉันไม่บอกแกหรอกน่า” เธอตอบยิ้มๆ รับฟังประโยคสุดท้ายของเพื่อน

“ไอ้พาย อย่าทำอะไรบ้าๆ นะเว้ย”

“ขอบใจมาก เจอข้อมูลอะไรแล้วก็รีบส่งเมลมา แล้วค่อยคุยกัน” จากนั้นวางสายพร้อมเก็บมือถือ

เออใช่ เธอกำลังบ้า บ้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเสียด้วย

เธอจ้องเจ้าของบังกะโลนอกอาคารเป็นคำถาม เขาผายมือว่าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดินออกไปยังรถเก๋ง โยนเงินให้เขานิดหน่อยเพื่อตอบแทน “กรุณาทำตัวเงียบๆ ไม่ต้องบอกใครเกี่ยวกับเรื่องของฉัน แล้วจะปลอดภัย”

มองใบหน้าซีดของเขาจึงตบบ่าปลอบใจซึ่งทำให้คนโดนปลอบสะดุ้งพรวด จากนั้นเธอจึงประจำคนขับ พาตัวเองและรถออกจากที่นี่ติดตามหัวจิตหัวใจที่ลอยไปก่อนหน้า

...ไว้ใจเถอะ ฉันไม่โง่วิ่งเข้ารังศัตรูตัวเปล่าหรอก...

เธอบอกสนฉัตรไว้อย่างนั้น แต่นี่เธอกำลังทำตัวเป็นคนโง่ที่เง่าที่สุดไปเสียแล้ว

...

กานต์ชนิตนั่งจดจำเส้นทางตลอดเวลาที่รถวิ่ง จึงได้รู้ว่ากำลังบ่ายหน้ากลับเมืองหลวง และเข้าไปในชุมชนหนึ่งย่านชานเมือง ไม่ได้พาไปสถานที่รกร้างอย่างที่นึกกลัว จนกระทั่งจอดหน้ารั้วบ้านครึ่งล่างเป็นปูนครึ่งบนเป็นกรงโลหะ ทำให้สามารถมองเห็นสวนหน้าบ้านจัดสวยงามภายใน มีลานน้ำพุเล็กๆ มุมหนึ่ง ศาลา และทางเดินไปสู่ตัวบ้านปูด้วยอิฐ คนขับรถเปิดประตูหน้าบ้านเสร็จก็เคลื่อนรถเข้าไปจอดเทียบชานหน้าบ้าน หมอรสหันมองเธอและเอ่ยบอก

“ถึงแล้ว”

เธอไม่รู้หรอกว่าถึงไหน ต่อให้หล่อนมองเธอจนทะลุเธอก็ไม่สามารถรื้อความจำที่เป็นของหมอหนึ่งขึ้นมาได้ ดวงตาเธอคงว่างเปล่าจนหล่อนขมวดคิ้ว พร้อมกับปลดเข็มขัดออกให้เธอ ซึ่งต้องคร่อมตัวปลดจากอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นอาการลนลานขยับหนีหมอรสจึงไม่พอใจและค้างท่านั้นไว้ เธอได้แต่เบียดตัวเองแนบเบาะเพราะไม่ต้องการจะแตะต้องอะไรอีกฝ่าย

“ทำไม รังเกียจฉันมากหรือไง”

กานต์ชนิตสบตาคนพูด “ขอโทษที่ฉันระงับอาการไม่เก่งนัก”

คนฟังกระแทกมือทุบเบาะดังปึง กานต์ชนิตชักเดือด เธอพยายามอดทนทำใจร่มจากความเป็นห่วงพาย ถึงตอนนี้ชักจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“ทำไมคุณต้องวางอำนาจขนาดนี้ด้วย ทำไมคุณต้องทำร้ายคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”

“หมายถึงผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คิดก่อนพูดบ้างก็ดีนะหนึ่ง”

“ก็เขาไม่ได้ทำอะไรคุณ ฉันบอกแล้วว่าฉันเต็มใจไปกับเขา”

“แต่เธอเป็นแฟนของฉันอยู่!”

เสียงตะคอกนั้นมาพร้อมกับแรงอารมณ์ที่หล่อนเก็บกลั้นไว้ตลอดทางเช่นกัน

“ทำไมเธอทำแบบนี้ ทำร้ายพี่แบบนี้ เธอใจร้ายมาก ถ้าจะไปจากฉันก็ควรบอกฉันดีๆ ควรเลิกกับฉันก่อน ไม่ใช่หนีกันไปหน้าด้านๆ”

โอ๊ย ไม่เคยหน้าด้านเว้ยยย

“ฉันบอกคุณแล้วว่าตอนนี้ฉันไม่ใช่หนึ่งของคุณ เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนอะไร พูดไม่ฟัง”

“ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะเธอไปไว้ใจผู้หญิงคนนั้น”

กานต์ชนิตกลอกตาขึ้นบน มันไม่ใช่เรื่องชู้สาวอะไรแบบที่หล่อนเข้าใจหรอก

“เออฉันทำอะไรไม่คิด เพราะฉันกำลังมึนไง เบลออยู่ เข้าใจป่ะ แล้วคุณก็มาทำตัวมาเฟีย คุณเป็นฉันคุณจะหนีไหมล่ะ”

ดวงตาของรสสุคนธ์วาววับด้วยความโมโห กานต์ชนิตฉวยโอกาสปลดเข็มขัดต่อจนเสร็จ พลางดันตัวอีกฝ่ายออกห่าง และก้าวลงจากรถก่อนจะเกิดอะไรไปมากกว่านั้น

รสสุคนธ์สบถกับตัวเองอย่างหงุดหงิด และก้าวลงออกจากรถ “ถ้าคิดว่าฉันเป็นมาเฟียจริงละก็ จงทำตัวให้ดีเอาไว้ อย่าลืมว่าฉันจะทำอะไรคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่เธอว่าก็ได้”

กานต์ชนิตถลึงตามองคนพูดด้วยความโมโห

รสสุคนธ์ขมวดคิ้ว สะบัดหน้ากลับไปเบื้องหน้าและเอ่ยบอก “นี่บ้านของเธอ”

กานต์ชนิตไม่ได้ตอบอะไร รสสุคนธ์ยื่นมือจะจูงมือเธอ เธอจึงรีบเบี่ยงตัวหนี “ฉันเดินเองได้ เดินนำไปสิ”

รสสุคนธ์ชักสีหน้าทันที “อย่าให้มันมากนักนะ”

เธอได้แต่ยิ้มเหยียดตอบ “ตัวเราเท่านั้นจะเป็นคนตัดสินว่าอะไรมากอะไรน้อย เรื่องนี้คุณอาจเห็นว่ามาก แต่สำหรับฉันมันน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”

คำพูดของเธอคงทำให้หล่อนสะอึกไม่น้อย และเมื่อเธอได้เห็นแววตาเสียใจของหล่อน ก็ทำให้เธอเริ่มรู้ตัวเอง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอจะพูดจาเสียดสีใคร เพราะการพูดจากทำร้ายจิตใจไม่ใช่นิสัยของเธอ และไม่เคยรู้สึกขวางหูขวางตาใครมากเท่านี้มาก่อน เมื่อกังวลในสิ่งที่หล่อนอาจจะทำกับวรินธร เธอก็ทนไม่ได้

“ถูกของเธอ บางเรื่องเธอว่าน้อย ฉันว่ามาก เธอไม่ใช่หนึ่งที่ฉันรู้จักอีกแล้ว” คนพูดทิ้งสายตาสิ้นหวังก่อนจะหันหลังเดินดุ่มไปยังในบ้าน

กานต์ชนิตกัดริมฝีปากตัวเอง เธออึดอัดใจและสับสนจนอยากร้องไห้ เธอเป็นห่วงพาย และไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว หันไปมองด้านหลังก็พบชายในชุดซาฟารีเดินตาม เธอคงจะไปไหนไม่ได้ แล้วเธอคงจะไม่มีวันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพาย

ท่านนาครี... สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยเหลือพายแทนฉันด้วยเถิด

เสียงเรียกจากบริเวณปากประตูบ้านทำให้เธอหันมอง

ภายในบ้านมีใบหน้าใครคนหนึ่งปรากฏ เป็นผู้หญิงมีอายุในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสวมใส่อยู่บ้าน อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เธออยู่แล้ว ส่งยิ้มดีใจและรีบเดินตรงเข้ามาหา

“หนึ่ง...หายไปไหนมาฮึ คนอื่นเค้าเป็นห่วงเดือดร้อนกันไปหมดจนพ่อกับแม่แทบจะไปแจ้งความกันอยู่แล้ว” น้ำเสียงหงุดหงิดแว๊ดบ่น แต่เธอสัมผัสได้ทันทีว่าไม่ใช่การบ่นแบบมีโมโห มันคือการบ่นระคนเป็นห่วง

“หน้าตาทำไมซีดอย่างนี้ แล้วนี่มือไปโดนอะไรทำไมต้องพันผ้า”

กานต์ชนิตใช้เวลาลำดับความคิดไม่นาน จึงพึมพำออกมาเบาๆ “แม่เหรอ”

คนเป็นแม่หยุดบ่นอะไรต่อทันทีและมองเธออย่างงุนงง “นี่จริงหรือที่หมอรสว่าหนึ่งความจำเสื่อม” แม่ดึงแขนเธอเข้ามาใกล้พร้อมค้นหารอยแผลบริเวณศีรษะ แตะหัวและลูบอย่างเบาๆ ทำให้ใจของกานต์ชนิตสงบลงราวกับของร้อนได้พบกับน้ำเย็น

“แล้วยังไม่ยอมให้หมอตรวจดีๆ อีก หนีไปเที่ยวไหนกับใครฮึหนึ่ง ทำไมทำตัวเหลวไหล แล้วถ้าเกิดเป็นอะไรมากกว่านี้จะทำยังไง”

กานต์ชนิตอ้ำอึ้งพูดตอบไม่ออก หันมองรสสุคนธ์ซึ่งมองเธอนิ่ง รสสุคนธ์ต้องการจะสื่อกับเธอว่ายังมีใครอีกคนรอคอยการกลับมาของหมอหนึ่ง และการที่เธอพาไม่ยอมกลับบ้านอย่างนี้ทำให้ใครเดือดร้อนบ้าง

เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มรู้สึกว่ารสสุคนธ์ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก เมื่อหันมองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นของวัยและความกังวลในดวงตา เธอจึงเอ่ยตอบตามจริง “ฉันไม่ใช่หนึ่งของคุณค่ะ” แม้รู้ดีว่าจะยิ่งสร้างความเป็นห่วงให้อีกฝ่ายก็ตาม

หญิงสูงวัยหน้าเสีย “โถ นี่อาการไม่น่าเป็นห่วงจริงหรือ คุณหมอรส ไหนว่าหนึ่งปลอดภัยดีแล้วไง”

รสสุคนธ์หันกลับมา “คุณอาสบายใจได้ค่ะ ถ้าหนึ่งเป็นอะไรมากคงมีอาการแสดงให้เห็นแล้ว แต่นี่ยังโลดโผนไปนั่นไปนี่ได้ ไม่น่ากังวลค่ะ”

“แต่ว่าหนึ่งดูแปลกไป...”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ค่ะ นอกจากฉันจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เท่านั้น” เธอคงจะแย่มากถ้ายืมร่างของอินทนิลมาใช้แล้วยังทำให้บุพการีของหล่อนเป็นห่วง เธอก็คิดถึงแต่ตัวเองมากไปจริงๆ

หญิงสูงวัยถอนหายใจ ลูบหลังเธอเบาๆ และดึงมากอดไว้ พร้อมกับพร่ำบ่นอีกหลายอย่างเกี่ยวกับความไม่ระมัดระวังของเธอ ล้วนแล้วแต่เป็นการพร่ำบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใย

จนกระทั่งเธอเดินเข้ามานั่งในบ้าน โซฟาไม้แกะสลักลายดอกไม้ รสสุคนธ์นั่งคอยอยู่แล้วบนโซฟาตัวหนึ่ง เธอพบคนเป็นพ่อยืนขึงขังมองเธอ

“ตอบพ่อมาซิ หนูหายไปไหนมา” เขาเป็นผู้ชายอายุเลยวัยกลางคนหลายปี รูปร่างสูงใหญ่ เส้นผมตัดสั้นเป็นสีเทา ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยแต่ยังมองเห็นความดุดันในแววตาและน้ำเสียงดังราวฟ้าผ่าของเขา

“พ่อก็อย่าเอ็ดลูกนักสิ” แม่ปรามเบาๆ ขณะเดินมานั่งข้างเธอ

“ก็มันทำให้คนอื่นเขาวุ่นวาย ดูซิต้องกวนหมอรสให้ช่วยหา หมอเองก็มีงานล้นมือ พ่อไม่ชอบเลยที่หนูหนีออกจากโรงพยาบาลทั้งที่ยังตรวจไม่เสร็จ ถ้าอาการหนักเป็นอะไรขึ้นมาจะว่ายังไง หนูต้องมีเหตุผลดีๆ มาตอบพ่อว่าหายไปไหนมา เพราะอะไร”

กานต์ชนิตอยากเอามืออุดหูแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่นิ่วหน้าและมองไปทางอื่น จนเห็นรูปบนตู้โชว์ของชายผู้นี้ในเครื่องแบบทหารสีเขียวบนบ่าติดดาวและมงกุฎบอกยศสัญญาบัตร เขาดูหนุ่มกว่าตอนนี้นิดหน่อย พลอยทำให้หายสงสัยว่าทำไมเขาถึงดูมีอำนาจนักและยังชอบสั่งการ

เธอยกมือไหว้เขาบอกเจตนาด้วยใจจริง “ฉันขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะ หลังจากเกิดอุบัติเหตุ มีหลายเรื่องทำให้ฉันสับสน ฉันก็เลยไม่ได้คิดถึงอะไรเลย”

คำตอบทำให้เขาจ้องเธอเขม็ง พลางส่ายหน้า “ลูกทำไมพูดกับพ่อแบบนี้”

กานต์ชนิตกลืนน้ำลายขณะมองตอบ คงจะเป็นสรรพนาม ก็คนใกล้ชิดกันนี่นา จะจับไม่ได้ก็แปลกเกินไปล่ะ เธอเองก็แสดงละครไม่เก่งเท่าวรินธรเสียด้วย จึงไม่คิดจะปิดบังอะไร น้อมรับสายตาเป็นห่วงนั้น

“หนึ่งต้องรีบไปตรวจเดี๋ยวนี้ วันนี้เลยก็ได้”

“คุณอาใจเย็นก่อนก็ได้ค่ะ เท่าที่รสดูอาการ หนึ่งแค่สูญเสียความทรงจำชั่วคราว อีกสักพักคงฟื้นได้เอง ไม่ได้มีอาการปวดหัว วิงเวียนอะไรใช่ไหมหนึ่ง”

นี่ก็อีกคน ชอบคาดคั้น เธอแอบถอนใจ แม้ไม่อยากตอบคำถามหล่อนสักเท่าใด ก็ต้องยอมรับว่าหล่อนพยายามช่วยเบาความห่วงของชายหญิงทั้งสอง

“ไม่ปวดค่ะ ฉันสบายดี กินได้นอนได้ถ่ายได้ตามปกติ”

รสสุคนธ์ทำหน้าไม่ถูก หรือเธออยู่กับวรินธรมากจึงติดนิสัยกวนประสาทมากันล่ะเนี่ย

“ไหนๆ หนึ่งก็กลับมาแล้ว และรสคิดว่าหนึ่งคงจะไม่หนีไปไหนอีก เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปตรวจก็ได้”

เธอพยักหน้าอย่างเสียมิได้ ทำให้บุพการีทั้งสองโล่งใจ

“ในเมื่อหมอรสว่าอย่างนั้น อาก็สบายใจ”

ดูท่าหมอรสคงจะเป็นที่น่าเชื่อถือสำหรับครอบครัวนี้มาก เพราะไม่ว่าหมอรสพูดจาอะไร คนทั้งคู่จะคล้อยตามไปกันหมด เธอก็เหมือนโดนคุมแจทางออมไม่ผิดนัก

ค่ำนั้นรสสุคนธ์อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วย จนกระทั่งเสร็จสิ้นหล่อนจึงขอตัวกลับ เธอจะดีใจมากถ้าหล่อนไม่เอ่ยปากว่า “หนึ่งเดินไปส่งพี่หน่อยสิ จะขอนัดเรื่องไปหาหมอพรุ่งนี้ด้วย”

สองสายตาของพ่อแม่เห็นด้วยทันที กานต์ชนิตจำใจอีกครั้งลุกตามร่างเพรียวสูงราวกับหุ่นของหล่อนออกสู่สวนหน้าบ้าน แสงโคมไฟส่องตามทางเดินตัวหนอนไปสู่ประตูรั้วข้างบ้าน เธอเริ่มสงสัยคำว่าเดินไปส่งที่หล่อนว่านั้น ดูท่าจะไม่ใช่เดินไปส่งที่รถเสียแล้ว

“เธอเหมือนหนึ่งคนเดิมอย่างหนึ่งก็ตรงนี้ คือเวลาโกรธเธอจะเงียบ ไม่ยอมพูดจาอะไรเลย”

กานต์ชนิตเหล่ตามองคนพูด จริงล่ะที่ว่าเธอยังโกรธ ก็เพราะชายในชุดซาฟารีเดินเพ่นพ่านนอกรั้วบ้าน ประจำตามจุดต่างๆ จึงทำให้แผนการหนีล่มไม่เป็นท่า แต่เธอยังมีความหวังว่าหล่อนจะเป็นคนดีบ้าง คงจะไม่ทำร้ายวรินธรรุนแรง

“นิสัยแบบนั้นคนก็เป็นกันค่อนโลก คุณอย่าทึกทักอะไรเองนักเลย”

“ตรงนี้และที่ไม่เหมือน ชอบย้อนฉันโยกโย้เหมือน...”

กานต์ชนิตรู้ทันทีว่าคนพูดหมายถึงใคร ดวงตาดุๆ ของหล่อนทำให้เธอตุบๆต่อมๆ ภาพที่ลูกน้องหล่อนจ่อปีนที่หัวของวรินธรยังติดตาเธอ จึงข่มความไม่ชอบใจสักครู่ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าดีที่สุด

“บอกฉันได้ไหม ว่าคุณสั่งให้ลูกน้องทำอะไรพายหรือเปล่า”

คนเดินนำรีบจ้ำพรวด เธอก็มีขา เธอจึงจ้ำตาม จากการติดตามวรินธรบ่อยๆ ความเร็วที่หมอรสเดินแค่นี้ ถือว่าสบายมาก “คุณคงไม่ใจร้าย ทำร้ายเธอจนถึงแก่ชีวิตใช่ไหม”

รสสุคนธ์หยุดเดินระหว่างทางเดินสลัวซึ่งนำไปสู่แนวรั้วบ้านไกลๆ มองเห็นประตูรั้วเล็กปลายทางเดิน

“ทำไมถึงคิดว่าคนอย่างฉันจะทำอย่างนั้นกับใครเขาได้”

ได้ยินอย่างนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“อย่างมากก็แค่หักแขนหักขาข้างสองข้าง ซ้อมให้หลาบจำสักหน่อยก็ปล่อยตัวไป”

พูดอย่างนี้ความไม่ชอบขี้หน้าหล่อนดูจะเพิ่มระดับกลับมาเท่าเดิม กานต์ชนิตคิดว่าเลิกคุยกับหล่อนดีกว่า คุยไปก็อารมณ์เสียเปล่าๆ จึงหันหลังจะก้าวเดินกลับ แต่ทว่ามือของอีกฝ่ายคีบต้นแขนเธอหมับ ดึงอย่างแรงให้หันกลับไปเผชิญหน้าจนตัวเธอชนเข้ากับตัวหล่อน และแขนทั้งสองข้างของหล่อนยังทำหน้าที่โอบรัดไม่ให้เธอผละหนีได้โดยง่ายเสียด้วย

“อย่าเดินหนีพี่อย่างนี้นะหนึ่ง”

กานต์ชนิตดันอกหล่อน ก็ดันไปโดนไอ้ส่วนนุ่มนิ่มที่ไม่ควรโดนเข้าอีก เอ้อ จึงเปลี่ยนไปผลักไหล่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเธอดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนอย่างไม่เต็มใจ

ไม่รู้หล่อนเป็นโรคอะไรชอบใช้ความรุนแรงแล้วก็ยังชอบเอาหน้ามาใกล้ ถลึงตาใส่ตลอด กานต์ชนิตมองเห็นความบ้าอำนาจในแววตาหล่อนชัด แต่เมื่อมองให้ลึก จนความโมโหเหล่านั้นเริ่มจางลง บัดนี้เธอมองเห็นความเศร้าโศกอาลัยปรากฏ แม้ว่าหล่อนจะพยายามเก็บอาการให้อยู่นิ่งก็ตาม

ขอให้ไตร่ตรองอย่างละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของรสสุคนธ์หน่อย นี่อาจเป็นการแฉความรู้สึกของคนคนหนึ่งซึ่งจู่ๆ ก็โดนพรากของรักออกไปจากตัว และต้องยอมรับโดยไม่เต็มใจ

ได้รับความเกลียดกลับมาชั่วข้ามคืน เป็นเรื่องน่าเห็นใจมากนะจริงๆแล้ว

“เพราะคุณเป็นพวกบ้าอำนาจอย่างนี้ ฉันถึงไม่ชอบ”

“หึ กล้าพูดได้ไม่เต็มปากออกมาได้นะว่าไม่ชอบ ทั้งที่เมื่อก่อนเธอบอกเองว่าเธอชอบให้ฉันสั่งการเธอเองแท้ๆ”

“หมอหนึ่งเนี่ยนะชอบโดนสั่ง ประสาท” สงสัยวิญญาณหมาจากปากวรินธรเข้าสิงปากเธอ จึงทำให้ดวงตาคนฟังวาวไม่สบอารมณ์ทันที กานต์ชนิตเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนอะไร เมื่อใบหน้าหล่อนโน้มเข้ามาใกล้ มือเธอจึงยกปิดปากหล่อนหมับทันการก่อนมันจะเข้ามาใกล้ปากเธอ

เหลือบมองเห็นขนอ่อนบนแขนพร้อมใจกันลุกเกรียว

สงสัยคงต้องใช้ไม้เดิม กานต์ชนิตตัดสินใจยกขาและกระแทกส้นลงบนหลังเท้ารสสุคนธ์ทันที เป็นผลให้วงแขนคลายออกชั่วครู่ แค่เพียงครู่นี้แหละที่เธอต้องการ บิดตัวออกจากอีกฝ่ายแล้วกระโดดหนี พลางโบกมือบ้ายบาย

“ไปล่ะ ยัยหมอมาเฟีย ฮึ้ย แหยงชะมัด” จากนั้นวิ่งปรู้ดเข้าบ้านอย่างไม่สนล่ะว่าหล่อนจะเดินไปทางไหนต่อ

เข้ามาในบ้านก็โล่งอก มองขนแขนที่กลับเข้าที่เข้าทางก็ถอนหายใจ กลับไปยังโต๊ะอาหารซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า ใครคงจะจัดการเก็บโต๊ะเรียบร้อยแล้ว บ้านหลังนี้มีสมาชิกสามคน คนเป็นพ่อ คนเป็นแม่ และอินทนิล

มีแม่บ้านช่วยเก็บกวาดบ้านในตอนเย็นและทำอาหารทิ้งไว้ให้ก่อนจะเลิกงาน มีพลทหารสองสามนายรับใช้แรงงานจิปาถะในบ้าน เช่นยกของนั่นนี่ ตัดแต่งสวน หรือรดน้ำต้นไม้ ซึ่งตอนเย็นก็จะกลับไปหมดอีกนั่นแหละ ดังนั้นเธอคิดว่าโต๊ะนี่คงจะเป็นพ่อไม่ก็แม่ของอินทนิลจัดการเก็บ

กานต์ชนิตหันหลังจากห้องนั้น ก็พบกับร่างทะมึนของพ่อยืนเงียบเบื้องหน้า ทำเอาใจร่วงไปตาตุ่ม

“คุยกับหมอรสเสร็จแล้วเหรอ”

เธอกลืนน้ำลาย ดีใจที่เขาไม่ทำเสียงฟ้าผ่าอีกแล้ว “ใช่ค่ะ คุยเรียบร้อยแล้ว...”

“ดีแล้ว ถึงแม้หนูยังจำอะไรไม่ได้ แต่หมอรสเนี่ยแหละเป็นคนเดียวที่ช่วยเหลือบ้านเราเสมอ แถมครั้งนี้ยังเป็นธุระตามหนูกลับบ้านมาอีกด้วย ขอบคุณเขาหรือยัง”

กานต์ชนิตไม่รู้จะตอบยังไง จะโกหกก็ไม่อยาก แต่จะบอกไม่ได้ขอบคุณก็กลัวฟ้าผ่าอีก

“ก็... ฉันก็เดินไปส่งแล้วนี่ไง”

“ฮึ ยอกย้อน”

แหมด่าเหมือนกันไม่มีผิด “บ้านใกล้กันแค่นี้ มันเหนื่อยขนาดนั้นเชียวเรอะ”

คราวนี้เธอตาโต “อ้อ ตกลงบ้านข้างๆ กันนี่ก็คือบ้านหมอรสหรอกเหรอคะ”

พ่อของหมอหนึ่งถลึงตาใส่เธอทันทีราวกับเธอกำลังพูดอะไรผิดหู จึงหัวเราะแหะ “เอ้อ ขอโทษค่ะ ฉันลืมไปหมด ฉันว่าฉันไป ไป นอนดีกว่าค่ะ ขอตัวคุณพ่อของหมอหนึ่ง เอ้อ คุณพ่อ ไปนอนก่อนนะคะ”

แว่วเสียงถอนหายใจตามมาเบื้องหลัง เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดหันกลับไปมองใบหน้ากังวลแวบหนึ่ง และรีบเดินขึ้นบันไดขึ้นไปชั้นสอง เสียงฟ้าผ่าจึงดังเป็นคำถาม

“แล้วรู้เหรอว่าตัวเองอยู่ห้องไหนน่ะ”

กานต์ชนิตอ้าปากค้าง ส่ายหน้าไหวๆ เขาส่งสายตาดุ แต่ปากก็บอก “ขึ้นบันไดไป ห้องมุมขวาสุด”

เธอประนมมือไหว้เขาและรีบเดินไวไปยังห้องของหมอหนึ่งทันใด เข้าห้องมาได้ รู้สึกเกร็งจนตัวจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว จะบ้าตาย ทำไมเธอต้องฝืนตัวเองขนาดนี้ด้วยเนี่ย เฮ้อ

ถามตัวเองไปอย่างนั้น เมื่อนึกถึงใบหน้าแสนกังวลและแววตาห่วงของพ่อและแม่หมอหนึ่ง เธอก็รู้คำตอบ จะทำยังไงได้ ก็เพราะเธอเป็นเธอ ถึงได้ทำให้เธอเป็นอย่างทุกวันนี้นี่นา

กานต์ชนิตเปิดไฟในห้องสว่าง ห้องนอนของอินทนิลกว้างขวาง มีเตียงขนาดใหญ่วางชิดมุม มีตู้เสื้อผ้าและชั้นวางของหลายขนาดเรียงรายไล่ระดับ โต๊ะเขียนหนังสืออยู่ข้างชั้นหนังสือ ยังมีตำราแพทย์หลายเล่มวางเรียงกันไว้บนโต๊ะ เธอเดินดูจนเห็นรอยคั่นตามหน้าต่างๆ บอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องคงจะคร่ำเคร่งอ่านหนังสือค้างเอาไว้แน่

ถ้าเธอออกจากร่างหมอหนึ่งไม่ได้ เธอจะต้องพยายามทำตัวเป็นแพทย์เหมือนหล่อนหรือเปล่านะ คิดแล้วเหนื่อย หน้าอย่างเธอน่ะหรือจะไปรักษาใครเขาได้ เธอเกิดมาเป็นเด็กหัวสมองปานกลาง มีชีวิตกลางๆ การเรียนกลางๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักนิด เรื่องเรียนหมอนี่เลิกคิดไปตั้งแต่ขึ้นมอปลายแล้ว

และยังเรื่องเป็นคู่รักกับหมอมาเฟียนั่นอีก เธอจะโดนจับปล้ำเมื่อไหร่ไม่รู้ หมอหนึ่งก็แรงน้อยอย่างนี้ เฮ้อ

จะทำอย่างไรต่อไปดีนะ

คำถามเกิดขึ้นขณะเธอพาตัวเองเปิดประตูกระจกบานเลื่อนออกสู่ระเบียงห้อง ภายนอกมีลมเย็นพัดผ่านคลายร้อนไปได้มาก แต่ไม่ได้ช่วยคลายความกังวลมหาศาลแม้แต่น้อย

“พายวรินธร”

เธอจะเป็นอย่างไรบ้าง

กานต์ชนิตกุมขมับและบีบคลึงเบาๆ มันเริ่มปวดตุบๆ จากความเครียดทั้งวัน มองมือตนเองที่มีปาสเตอร์ติดตามรอยถลอก ก็ถอนหายใจเฮ้อ

เวลาแบบนี้เธออยากได้วรินธรมาอยู่ใกล้ๆ

เวลาที่เธอซึมกระทือ คงจะดีถ้ามีปากมอมๆ ของหล่อนช่วยผ่อนคลายอารมณ์

เธออยากเป็นกานต์ชนิต...ผีเร่ร่อนที่ต้องคอยวิ่งตามเตาถ่านชื่อพายไปเรื่อยๆ มากกว่ายืมร่างคนที่เขาไม่เต็มใจ ถึงแม้จะร้อนบ้างหนาวบ้าง แต่สบายใจ

หล่อนไปอยู่ไหนนะ

เสียงตุ้บใกล้ตัวทำให้เธอสลายความคิดเลื่อนลอยไปสิ้น สติกลับคืนสู่ตัว บอกตัวเองว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลังและคงจะเป็นบนระเบียงห้องนี้แหละ จึงรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว กะว่าเป็นคนร้ายที่ไหนแม่จะถีบให้คว่ำ

แต่แล้วก็เป็นเธอซะเองที่ตาโตด้วยความอึ้ง

ร่างตะคุ่มในชุดสีดำอยู่ในเงามืดมุมระเบียงยืดตัวขึ้นเต็มความสูง สะพายเป้ใบหนึ่งด้านหลัง แม้จะมีหมวกแก๊ปปิดหัวและบังหน้าไว้กว่าครึ่งเธอก็จำได้

รอคอยสายลมพัดผ่านหน้าไปหนึ่งวูบ จึงได้พึมพำ

“พาย...”

สีขาวของฟันเรียงเป็นระเบียบสะท้อนแสงวับเมื่อหล่อนยิ้มเผล่อย่างกวนอารมณ์เช่นเคย และถ้อยคำที่ออกจากปากก็บอกให้รู้ว่าเป็นหล่อนแน่ๆ ไม่ใช่ใครสวมหน้ากากปลอมเป็นหล่อนเข้ามา

“ว่าไงยัยบื้อ อ้าปากค้างนานแล้วระวังแมลงวันบินเข้าปาก”

กานต์ชนิตจึงได้งับปากลง ใจอยากหยิกแขนหล่อน หากความเป็นห่วงมีมากกว่า มองสำรวจอีกฝ่ายตามเนื้อตัวแขนขาว่ายังอยู่ครบดีหรือไม่ รสสุคนธ์แค่ขู่เธอไปเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะหักแขนหักขาหล่อนจริงๆ “ปลอดภัยดีเหรอเนี่ย พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม”

วรินธรลูบเนื้อตัวเองขึ้นลงเป็นการแสดงว่าทุกอย่างยังอยู่ครบและหัวเราะ “ฉันปกติดีน่า เขาแค่จับฉันไว้เฉยๆ”

กานต์ชนิตยังคงมองพลางขยับตัวไปใกล้ จึงได้เห็นรอยช้ำมุมปากและโหนกแก้มของหล่อนในยามที่แสงภายในห้องส่องถึง จึงพึมพำบอก “เฮ้อ พาย เธอต้องเจ็บตัวอีกแล้ว”

คนฟังยักไหล่ กวาดตาไปยังสนามแวบหนึ่ง “แค่นี้เอง แผลเก๋ๆ”

กานต์ชนิตเริ่มยิ้ม หากยังคิดโทษตัวเองไม่หาย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ วรินธรคงไม่ต้องโดนทำร้าย “ฉันขอโทษ...”

วรินธรเลิกคิ้ว “ขอโทษเรื่องอะไร”

เธอจึงชี้ไปยังรอยบนใบหน้า วรินธรส่งยิ้มมุมปาก สายตาทอดต่ำมองดูคล้ายคำปลอบใจ และไม่ต้องพูด เธอก็รู้ว่าคำตอบจากดวงตาคู่นั้นคือคำว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียใจ ฉันอยู่ตรงนี้แล้วไง

ทำไมเธอถึงจินตนาการสายตาหล่อนไปไกลได้ขนาดนี้นะ

วรินธรอ้าแขนออก ปากก็ยิ้ม และพยักหน้า

กานต์ชนิตบอกตัวเองว่ามันดูง่ายดายเช่นนี้เอง สำหรับการกอดที่แสนอบอุ่น แค่เธออ้าแขนโอบตอบ รับความอบอุ่นจากร่างกายของหล่อนช้าๆ รับสัมผัสจากมือที่ลูบหลังเบาๆ ปัญหาที่แก้ไม่ตกเมื่อครู่พลันก็ถูกย่อส่วนจนเหลือเล็กจิ๋ว ความกลัวว่าหล่อนจะเป็นอะไรไปหายวับ

“เธอไม่ใช่คนซ้อมฉันสักหน่อย เธอจะขอโทษฉันทำไม”

“ฉันเป็นต้นเหตุไง...”

“เหรอ ฉันไม่ยักกะรู้”

เสียงคำตอบสะท้อนผ่านอกของหล่อน ก้องกังวานเข้าหูของเธอ ได้ยินเสียงหัวใจหล่อนยังเต้นปกติดี เธอจึงถอนหายใจยาวๆ เผลอออกแรงรัดตัวอีกฝ่ายแน่นขึ้น

“แหมดีใจจัง เธอคิดถึงฉันมากขนาดนี้”

กานต์ชนิตยิ้มอ่อนใจ ถึงหล่อนปากมอมไปนิด แต่ก็อุ่นใจ เธอไม่ได้คลายอ้อมแขนออก ตรงกันข้ามกับรัดแน่นกว่าเดิม จนอีกฝ่ายนึกแปลกใจ

“กานต์...”

“อยู่นิ่งๆ น่า เธออยู่แบบนี้ให้ฉันรู้สึกว่าเป็นเธอตัวจริงเถอะ”

วรินธรเงียบไป และทำตามที่เธอบอกอย่างน่ารัก ยังคงกอดเธอไว้อยู่เช่นเดิม

เป็นช่วงเวลาที่ทำให้กานต์ชนิตรู้ตัวว่าวรินธรเป็นสิ่งมีค่า และสำคัญมากจนทนไม่ได้หากว่าหล่อนจะเป็นอะไรไป

“เธอ... แปลกไปจริงด้วย หมอรสทำอะไรเธอหรือเปล่า” วรินธรสงสัย

คนฟังยิ้มลูบหลังหล่อนเบาๆ “หมอรสไม่ได้ทำอะไรฉันหรอกไม่ต้องเป็นห่วง”

คงไม่บ่อยนักที่วรินธรจะงงและเดาใจไม่ออก ถึงได้นิ่งเงียบไปอย่างนี้ จนกระทั่งกานต์ชนิตคลายอ้อมแขนออกและส่งยิ้มเรียบง่ายให้ หน้าวรินธรมีคำถามอย่างน่าตลก

“นี่กานต์รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังมองฉันอย่างซึ้ง”

กานต์ชนิตเกือบหลงกลไปกับคำยั่วของหล่อนแล้ว แต่เธอรู้ทันก่อน แล้วอีกอย่างเธอดีใจเกินกว่าจะระงับอาการเหล่านั้น เธอดีใจจริงๆ

วรินธรเอียงคอ

“เป็นห่วงฉันมากเหรอ”

“เธอเดาความคิดใครต่อใครได้ ทำไมถึงไม่รู้ล่ะว่าฉันคิดอะไร"




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบสอง I’ll Be There(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:33:51 »
(ต่อ)

วรินธรทำหน้าตกใจที่แสนจะเสแสร้ง “แหมย้อนเก่ง” กานต์ชนิตจึงขำ คงจะเป็นขำครั้งแรกนับตั้งแต่พวกเธอถูกจับแยกเสียด้วย วรินธรส่งยิ้ม

“ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกนะที่รู้สึกเป็นห่วง ตอนที่เธอถูกเอาตัวไป ฉันก็กลัวเหมือนกัน”

เวลาหล่อนพูดจาตรงไปตรงมาตามความรู้สึกหล่อนแล้ว มันก็น่าฟังดีเหมือนกัน เธอจึงยืนนิ่งมองหน้ารอให้อีกฝ่ายพูดต่อ วรินธรเริ่มกะพริบตาพลางขมวดคิ้วเพราะเริ่มเดาอารมณ์เธอไม่ถูก

จากนั้นยื่นมือแตะหน้าผากเธอ “เป็นป่วยแน่เลยกานต์ มองหน้าฉันอยู่ได้”

กานต์ชนิตดึงมืออีกฝ่ายลง มองมือที่มีรอยช้ำบนหลังมือก็ลูบเบาๆ จนหล่อนชักมือกลับ “เฮ๊ย กานต์ มาเล้าโลมอะไรตอนนี้ ระเบียงห้องนะเอ้อ”

เท่านั้นเธอก็หัวเราะ ตีแขนหล่อนตุบ “ยัยบ้า ยั่วจนได้”

“ต้องอย่างนี้สิถึงจะเหมือนเธอ โธ่เอ๊ยตกใจหมด”

“พาย เธอนี่ขี้อายกว่าที่ฉันคิดไว้นะ”

วรินธรกลอกตามองต้นไม้ด้านนอก ก่อนจะกลับมาสบตาเธอ “เธอพูดอะไรวะ งงแท้”

เออเธอรู้ทันแล้วกันน่า

เสียงฝีเท้าวิ่งตุบตับภายในสวนหย่อมทำให้เธอสองคนหยุดคุยกันและหันมองด้านล่าง บัดนี้มีชายในชุดซาฟารีหลายคนวิ่งพล่าน ส่งเสียงบอกกันจ้าละหวั่นว่ามีคนบุกรุก กานต์ชนิตหันมองคนตรงหน้าทันที และรีบลากแขนวรินธรกลับเข้ามาในห้องนอน ปิดประตูระเบียงและรูดม่านปิด

“พวกนั้นคงไม่ได้กำลังหาตัวเธอหรอกใช่ไหม”

วรินธรสบตาเธออย่างกับกำลังได้รับคำชม ทำเอาเธอหยิกแขนหล่อนจนร้องโอ๊ย “เฮ๊ย ซาดิสหรือไงกานต์”

“ก็ทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว เธอกำลังหาเรื่องใส่ตัว ทีนี้ละได้ตายจริง”

วรินธรถลึงตาใส่ “แช่งกันนี่ ฉันตายจริงละเธอจะร้องไห้ฟูมฟาย”

กานต์ชนิตถอนหายใจเฮ้อ “ฉันจะบ้า แล้วนี่ตามหาฉันเจอได้ยังไง”

“เรื่องแค่นี้เอง ทำไมฉันจะหาเจอไม่ได้”

แม้ยังกังวลอยู่มาก เธอก็ยอมรับล่ะว่าคำพูดขี้โม้คลายสถานการณ์ตึงเครียดได้อย่างง่ายดาย วรินธรหยุดขำ และมองด้วยสายตาอ่อนโยนลง “แค่ฉันยังเห็นเธออยู่ข้างหน้า และเธอยังเห็นฉันอยู่ข้างหน้า ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว หรือเธอว่าไม่จริง”

กานต์ชนิตมองตอบ กำลังรับความมั่นใจจากหล่อนรับมาอย่างเต็มที่จนต้องหลุบสายตาต่ำลง รู้สึกว่าร่างกายอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนชิดติดกัน วรินธรยื่นหน้าเข้ามาข้างหู

“เธอดีใจใช่ไหมล่ะที่ฉันมาหา”

หล่อนถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เหมือนถามเพื่อจงใจแกล้งเธอให้อายมากกว่า ใบหน้าเธอจึงแดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่แค่เธอถอยห่างหล่อนไปด้านหลังก็ได้ แต่เธอก็ไม่ก้าวถอย กลับยืนนิ่งมองใบหน้าใกล้แค่คืบอยู่อย่างนั้น สบสายตาเจือความหวานด้วยอุปาทานไปเองหรือไงไม่ทราบ

อย่างวรินธรน่ะหรือจะส่งสายตาหวาน

กับหมอรสเธอยังขนลุกแทบตาย แต่กับพายเธอกลับไม่เป็นอะไรเลย บางทีเธออาจจะไม่ได้โดนเหนี่ยวนำให้เป็นพวกชอบเพศเดียวกัน แต่เธอกำลังโดนเหนี่ยวนำให้เป็นคนที่กำลังชอบพาย...

เสียงเคาะประตูห้องดังสองทีปลุกทั้งคู่ให้สะดุ้ง แล้วสบตากันเป็นคำถาม พลันก็เดาได้ว่าคนภายนอกอาจจะเป็นหมอรสกำลังตามหาคนบุกรุกก็เป็นได้ ยังไม่ทันที่กานต์ชนิตจะตอบอะไรกลับไป ลูกบิดประตูก็บิดเพราะเธอไม่ได้ล็อก ฝ่ายนั้นจึงเปิดประตูอย่างง่ายดาย

เป็นจริงดังคาด ใครบางคนยืนหน้าเครียดอยู่ตรงปากประตู

“หมอรส!” กานต์ชนิตร้องอย่างตกใจ พร้อมกับหมอรสมองเห็นวรินธรและชี้หน้าร้อง

“แก!” อย่างตกใจเช่นกัน

กานต์ชนิตยื่นจับมือวรินธรไว้ทันที เป็นคราวที่เธอจะก้าวมาปกป้องหล่อนไว้บ้าง คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้หมอรสนำพายไปไหนเด็ดขาด

..................................................................................... จบบทที่ ยี่สิบสอง I’ll Be There

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.