web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 101
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 73
Total: 73

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ สิบแปด The Truth  (อ่าน 1354 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ สิบแปด The Truth
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:23:52 »
บทที่ สิบแปด The Truth

วรินธรเงยหน้าจากตู้เสื้อผ้า พร้อมกับหอบผ้าห่มสำรองพาดไหล่พร้อมกับหมอนข้างเดินออกมายังห้องรับแขก ห้องทำงาน หรือห้องนอน ซึ่งเป็นห้องเดียวกัน แต่เพื่อนร่วมบ้านคนใหม่ก็เอนตัวหลับไปเสียแล้ว บนฟูกผืนใหม่ที่เธอเพิ่งปูเมื่อครู่

เธอนั่งยองข้างคนหลับคุดคู้ จึงห่มผ้าให้ และยังคงนั่งมองหล่อนต่อ แม้ว่าจะเป็นใบหน้าของอินทนิล แต่เธอรู้สึกว่าหล่อนคือกานต์ชนิตอยู่ดี

หางตายังมีคราบน้ำตา บทจะอ่อนแอขึ้นมา หล่อนก็เป๋ไปเลย ก็น่าเห็นใจ วันสองวันมานี้เจอแต่เรื่องน่าตื่นเต้นทั้งนั้น จะทนไม่ไหวบ้างก็ไม่เห็นแปลก เธอไล้ปลายนิ้วชี้เช็ดน้ำตาออกให้ พลางยื่นไปลูบศีรษะเบาๆ ถามตัวเองว่าเชื่อไหมในสิ่งที่เกิดขึ้น... เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังสบสนอยู่

เธอเชื่อว่าคนตรงหน้านี้คือกานต์ชนิตตัวจริง สิ่งที่หล่อนทำไม่ใช่ละคร มันคือความรู้สึกของคนจริงๆ เป็นชีวิตจริงของคนที่ถูกพลัดพรากจากสิ่งที่รักโดยที่ยังไม่พร้อม

แต่เธอไม่เชื่อว่าผีมีจริงในโลกนี้

เธอเคยเถียงกับพ่อบ่อยๆ พ่อเป็นมัคนายกของวัดประจำหมู่บ้าน พ่อมักจะบอกเล่าปนเทศนาให้เธอฟังเสมอ ว่าจักรวาลนี้ไม่ได้มีแต่สิ่งมีชีวิต แต่ยังมีสิ่งที่อยู่ข้างบน และสิ่งที่อยู่ข้างล่าง ถ้าทำดีก็จะได้ขึ้นบน ทำไม่ดีก็ลงล่าง

ภพภูมิอื่นนั้นมีจริง แค่เราไม่มีความสามารถจะมองเห็นได้ เธอไม่เคยเชื่อไง ก็มันพิสูจน์ไม่ได้ เธอจึงเชื่อในวิทยาศาสตร์ที่มันอธิบายง่ายกว่า พอเจอกับตัวอย่างนี้ เธออธิบายไม่เป็นเลยทีเดียว สงสัยต้องค้นหาต่อไปว่า ผี มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง แล้วบางทีอาจจะจัดประเภทผีอยู่สถานะของสสารสักสถานะ

คิดแล้วก็ขำพิลึก จ้างให้แลปไหนของมิทซึคิงก็คงยังไม่ได้วิจัยเรื่องนี้แน่ๆ

มือเธอเลื่อนไปลูบแก้มนุ่มเบาๆ แล้วหยุดค้างเมื่อเธอมองนิ่งเห็นรอยแดงใต้ตา

เฮ้อ กานต์ชนิตผู้น่าสงสาร

อ่อนแอร้องไห้ กลายเป็นเธอซะเองที่แตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก ลืมแผนการในการเข้าไปสืบหาความจริงในบ้านหลังนั้นไปหมด วันนี้เธอยอมให้ก่อนก็ได้ ...เพราะเห็นแก่น้ำตานองหน้าของเธอหรอกนะ กานต์...

วรินธรปัดเส้นผมปรกหน้าออกให้ แล้วก็ก้มลง จรดริมฝีปากแนบหน้าผากเกลี้ยงอย่างปลอบใจ อ้อยอิ่งได้สักครู่หนึ่งจึงผงะ

เอ๊ะ

เธอเผลอทำอะไรไป!

วรินธรรีบถอยใบหน้าออกห่าง มองคนหลับที่ยังหลับสนิท ก็โล่งใจนิดหนึ่ง กลืนน้ำลายระงับอาการใจเต้นโครมคราม

ไม่ใช่หรอกนะ เธอแค่เผลอน่ะ เพราะคิดอะไรไปเรื่อย ก็เลยเผลอไปเท่านั้นเอง

แค่เผลอไป แค่เผลอไป

เธอกล่อมตัวเองอย่างจริงจัง เป็นเพราะนี่คือหน้าของอินทนิลแน่ๆ เลย เธอถึงได้เผลอ อินทนิลหน้าตาสเป๊กเธอไง อินทนิลสวย ฉลาด เป็นหมอ เก่ง บลาๆๆๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่

วรินธรพยายามจะลุกขึ้นเพื่อก้าวไปยังโซฟา แต่แล้วความฝันเมือคืนวันนั้นก็ย้อนมาในความทรงจำ

เธอฝันว่าจูบกานต์... คนที่เป็นกานต์ชนิต ไม่ได้เป็นอินทนิล แล้วเธอจะเอาเหตุผลนั้นมาแก้ตัวได้อย่างไร

วรินธรชะงัก พลางทรุดตัวลงนั่ง กลืนน้ำลายลงคออีกอึกด้วยความหวั่นใจ เบนหน้ามองนอกหน้าต่าง บนฟ้าสีม่วงเข้ม เห็นแสงพระจันทร์ทอดผ่านรำไร

คืนนี้มัน...เป็นค่ำคืนที่สวยไม่ใช่หรือ

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในใจเธอนั้น... มันเป็นความรู้สึกที่ดีไม่ใช่หรือ

คำถามมาพร้อมกับอดีตที่พยายามแทรกแซงเหมือนเป็นของแถม ประสบการณ์นั้นสอนให้เธอรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเหลือเกิน ความรู้สึกดีที่ว่านั้นมันเป็นแค่ทิวทัศน์บนเขาสูง ถ้าเรามองเพลินไม่ทันระวังตัว เราอาจจะเดินหล่นลงไปในหุบเหวลึกเบื้องหน้า

กานต์ชนิตเป็นคนหรือผีก็ยังไม่รู้เลย จะหายตัวไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอจินตนาการออกว่าเหวชนิดไหนรอเธออยู่ ถ้าเกิดยังปล่อยใจลอยไปไม่ยั้งคิด อาจเกิดอันตราย

คนตรงหน้านี้เป็นได้แค่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ หรืออย่างมากอาจเป็นเพื่อนกัน ไม่มากกว่านั้นหรอก

วรินธรเดินกลับไปยังโซฟาทิ้งตัวนอนหลับตา พลางพลิกตัวแพล้งกิ้งไปกับพื้น ค้างท่าตายอย่างนั้นอยู่นานเพื่อข่มอารมณ์ แล้วปล่อยให้จิตใจตัวเองทิ้งดิ่งไปยังแดนฝันนิทรารมณ์เสีย แต่ในเมื่อทำไม่ได้ จึงได้แต่ลุกนั่งเอามือยีผม

พลันก้าวไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อและกางเกงสีดำออกมาใส่ พร้อมหน้ากากสวมปิดหน้า

ใจเธอไม่สงบเสียแล้ว คงจะต้องหาทางดับความว้าวุ่นเสียหน่อย อย่างน้อยวันนี้เธอต้องได้หลักฐานยืนยันว่ากานต์ชนิตเป็นคนตายแล้ว ได้ความจริงมาสักเรื่อง คนทำให้ตัวเองรู้สึกดีเอง

..................................................................................

วรินธรวางเท้าลงบนพื้นไม้ปาเก้อย่างเงียบกริบ ห้องครัวยังคงเป็นห้องที่หละหลวมที่สุดดังเคย กลอนหน้าต่างบานนี้ไม่เคยล็อก เธอจึงลักลอบเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ในบ้านเวลานี้มืดสนิท ทุกคนคงกำลังนอนหลับใหล ชั้นล่างเธอสำรวจไปแล้ว วันนี้คงจะเป็นคิวของชั้นบน ห้องนอนใหญ่ตรงปีกขวาคงเป็นของสองสามีภรรยา ส่วนปีกซ้ายติดหน้าบ้านคงจะเป็นของพวงชมพู อีกห้องติดระเบียงหลังเป็นของลูกสาวคนเล็กที่เป็นนางแบบ...พิมพิมล ถ้าเธอจำชื่อไม่ผิด ทั้งสามห้องนี้เปิดไฟไปเมื่อตอนหัวค่ำ จึงเหลือห้องกลางปีกซ้ายเพียงห้องเดียว ที่น่าจะเคยเป็นของลูกสาวคนกลาง กานต์ชนิต

วรินธรพาตัวเองมาหยุดหน้าห้องเป้าหมาย ลูกบิดติดล็อกเธอจึงล้วงกุญแจผีออกมาไข การป้องกันไม่ได้มากมายอะไรเพราะเป็นบ้านคนปกติ เธอจึงเข้าสู่ภายในห้องโดยง่ายแล้วดึงไฟฉายในกระเป๋าเปิดส่อง

ห้องนอนของกานต์ชนิตมีฝุ่นบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับถูกปล่อยทิ้งร้างอย่างห้องเก็บคีย์บอร์ดด้านล่าง แสดงว่าคนในบ้านยังระลึกถึงหล่อนอยู่เสมอ มีรูปถ่ายหลายบานใส่กรอบเรียงในตู้กระจก ใบหน้าของกานต์ชนิตในวัยต่างๆ เป็นหลักฐานชิ้นที่หนึ่งพิสูจน์ว่าหล่อนเป็นลูกสาวบ้านหลังนี้จริง ชั้นถัดไปข้างบนเป็นที่ตั้งของโล่และเกียรติบัตร ล้วนแล้วแสดงถึงความสามารถทางด้านดนตรีของเจ้าของห้อง เป็นหลักฐานที่สองว่าหล่อนมีตัวตนจริง มีโรงเรียน มีสังคม มีความสามารถ

ถึงว่าทำไมหล่อนจึงร้องเพลงเพราะ เป็นนักดนตรีนี่เอง

ถัดจากตู้โชว์ก็คือตู้หนังสือ ซึ่งสูงกว่าตู้โชว์เกือบเท่าตัวและยังบรรจุหนังสือจนแน่นขนัด แทบจะไม่ต่างจากตู้หนังสือตรงชั้นล่าง มีคละเคล้ากันไปหลากหลายประเภท ทั้งหนังสือเก่าและใหม่ กานต์ชนิตคงจะเป็นลูกคนโปรดของพ่อ นิสัยโปรดปรานหนังสือจึงตกมาถึงหล่อนด้วย ไม่แปลกใจล่ะว่าทำไมหล่อนจึงรู้จักเครื่องวัดรังสีในวันนั้น จนกระทั่งสายตาเธอหยุดที่โต๊ะทำงานเล็กๆ มีลิ้นชักสามอันด้านล่าง ภายในห้องนี้ไม่มีลิ้นชักส่วนไหนจะดูน่าปลอดภัยเท่าตรงนี้ สัญชาติญาณเธอบอกว่าถ้าใครจะเก็บเอกสารสำคัญละก็ต้องเก็บไว้ในลิ้นชักล่างสุดอย่างแน่นอน จึงคุกเข่าและดึงลิ้นชักออก ไม่ได้ยากอะไรกับการปลดล็อกของลิ้นชักอีกชั้น จนดึงลิ้นชักออกได้

ไม่ผิดจากที่คาด ในลิ้นชักบรรจุแฟ้มเอกสารสำคัญประจำตัวหลายอย่างเช่นพวกบัตรประจำตัวต่างๆ สำเนาบัตร บัญชีธนาคารเก่า ประวัติการศึกษาจากสถาบัน ระเบียนสะสม และใบมรณะบัตร...

ใช้เวลาไม่นานในการกวาดตาอ่านข้อความในกระดาษสีขาว มีทั้งชื่อนามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน วันที่ เวลา และสาเหตุการตาย ทั้งลายเซ็น ตราปั๊มทุกอย่าง ใบมรณะบัตรใบนี้ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน

กานต์ชนิตจมน้ำตายในบึงหลังบ้านเธอ วันที่คือเมื่อหนึ่งปีก่อนตามที่หล่อนเคยบอกไว้ วรินธรนึกย้อนกลับไปวันนั้น เธอจำได้ว่าเป็นวันก่อนหน้าเธอจะขอทำวีซ่าไปญี่ปุ่น และเป็นวันที่ถ่ายแบบกับหล่อนนั่นเอง

เราถ่ายแบบด้วยกันแล้วหล่อนก็ตาย เอ้อ รู้สึกโหวงเหวงยังไงไม่ทราบ คงไม่ใช่เพราะอารมณ์ช็อกหรอก เธอคิดว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไม่อยากยอมรับความจริงมากกว่า กานต์ชนิตเป็นบุคคลที่เธออธิบายสถานะไม่ได้ แล้วเธอจะคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้อย่างไร

วรินธรถอนหายใจเฮ้อ มือขยับพลิกดูเอกสารอื่นแผ่นล่างๆ ก็กะจะพลิกไปเรื่อยตามประสาคนช่างคุ้ย พลันก็เหลือบไปเห็นเอกสารด้านล่างสุดซึ่งมีสีซีดกว่าแผ่นอื่นจึงสะดุดตาจนเผลอกวาดตาอ่านหัวกระดาษ

ใบสำคัญการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม... และอดไม่ได้กลอกสายตาลงมองชื่อสกุลของผู้รับและผู้ถูกรับรองเป็นบุตร

ผู้รับก็คือนายพจน์และอีกชื่อคงจะเป็นภรรยาของเขา รับ...เด็กหญิงกานต์ชนิต แสนสุขใส...เป็นบุตรบุญธรรม วันที่และเวลาที่ออกใบนี้ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว คงตั้งแต่สมัยกานต์ชนิตยังเด็กมาก หล่อนอาจเป็นเด็กกำพร้าหรืออาจจะพ่อแม่ยกให้โดยเต็มใจก็เป็นได้ เพราะการรับเป็นบุตรบุญธรรมมีหลายกรณี

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แค่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงเท่านั้นเอง

วรินธรเก็บเอกสารทุกอย่างใส่แฟ้มพลางลุกขึ้นยืน เธอควรออกจากบ้านหลังนี้ได้แล้ว แต่ก่อนออกไปเธอยังแอบขโมยเสื้อผ้าในตู้พร้อมกับหนังสือสองสามเล่มบนชั้นติดมือ สายตาเห็นเครื่องดนตรีชนิดเป่าข้างกองหนังสือ เม้าธ์ออแกน หรือภาษาไทยคือหีบเพลงปาก ก็เลยหยิบติดมือไปเผื่อเจ้าของด้วย

จากนั้นเธอก็จัดการปีนออกจากหน้าต่างห้องครัว ทางเดิมกับที่ลักลอบเข้ามา ดึงกระจกบานกว้างปิดลงพร้อมกับ เดินตัดสวนหย่อมปีนข้ามรั้วบ้านกลับสู่บ้านตนเองได้ในที่สุด ในตอนนี้แสงทองเริ่มรำไรทางทิศตะวันออก วันใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น วรินธรใช้เวลาเสพบรรยากาศยามเช้าที่ท่าน้ำหลังบ้านชั่วอึดใจ ก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงานเป็นห้องเดียวกัน เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดลำลองปกติ และวางข้าวของของกานต์ชนิตไว้ข้างตัวคนหลับ

..............................................................................................

กานต์ชนิตตื่นขึ้นมาพบบ้านว่างเปล่าเหมือนเช่นเมื่อวาน หายไปแต่เช้าอีกแล้ว แสงแดดยามเช้าสาดส่องจากหน้าต่างห้องกระทบตัวเธอ เกิดเงาพาดไปบนพื้นทำให้เธอก้มมองตนเอง และลูบใบหน้าลูบตัว จึงนึกได้ว่าอาศัยร่างใครอยู่ อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้วิญญาณของอินทนิลจะไปไหน

เห็นข้าวของที่วางอยู่ข้างตัวก็ตกใจ นี่มันของของเธอนี่นา Mouth organ อันนี้เธอจำได้ หรือว่าเมื่อคืนนี้ยัยตัวร้ายจะแอบเข้าไปในบ้านเธอ หน็อยแน่ะ ยัยพาย

“พาย”

เธอลองเรียก ไม่มีเสียงขานรับ มีเพียงเสียงพูดคุยกันจากหน้าบ้าน ทำให้เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปตามเสียง เปิดประตูบ้านออกไป ก็เห็นร่างเพรียวสูงของวรินธรยืนเกาะรั้วเตี้ยเท่าอกคุยกับใครอีกคนข้างนอกรั้ว

“พาย คุยกับใครอ่ะ”

เจ้าของชื่อหันมา พร้อมกับเธอเห็นหน้าคนนอกรั้ว เธอก็ตาโต

“อ้าว นั่นเพื่อนพายเหรอคะ” พิมพิมลมองเธอและเอ่ยถามคนใกล้กันแจ้วๆ พลางโบกมือทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อพิมค่ะ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าบ้านนี้มีคนย้ายเข้ามาแล้ว ทีแรกนึกว่าบ้านผีสิงซะอีก”

วรินธรหัวเราะ “ตอนแรกก็คงใช่ล่ะ แต่ตอนนี้ผีไม่สิงที่บ้านแล้ว ไปสิงที่อื่นแทน”

“พายพูดอย่างกับเป็นผีซะเอง” พิมพิมลหัวเราะ

กานต์ชนิตมัวแต่อึ้ง ดีใจก็ดีใจ คิดถึงก็คิดถึง จึงไม่ทันรับมุกของคนกวน วรินธรจึงหันมาแซวต่อ “พิมหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนฉันรึเปล่า นิ่งไปแล้ว เห็นไหม สงสัยไม่เคยเห็นนางแบบ”

พิมพิมลหัวเราะคิกคัก พลางหันไปหยอกล้อกับวรินธรใหม่อย่างไม่สนใจเธออีก

เอ้อนี่... สองคนนี้ไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้หยอกล้อกันคิกคัก แล้วดูอาการแล้วพิมพิมลจะชอบวรินธรอยู่ไม่น้อย เพราะแววตาเป็นประกายที่มองอีกฝ่ายนั้น บอกให้รู้ว่ากำลังสนุก

หรือว่ายัยพายจะ...

เฮ๊ยจะหว่านเสน่ห์ใส่ใครก็ทำไปสิ ยกเว้นน้องสาวของเธอไว้คนหนึ่ง

เธอจึงเดินเข้าไปชิดกำแพงบ้าง และส่งยิ้มให้กับน้องสาวตนเอง “ฉันชื่อหนึ่งค่ะ จะเรียกพี่หนึ่งก็ได้”

พิมพิมลส่งยิ้มและเอ่ยตอบอย่างว่าง่าย “ค่ะพี่หนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“แล้วนี่พายไปเจอน้องเค้า...ได้ยังไงเหรอ” เธอถาม

“ฉันออกไปตลาดมา ไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋หน้าหมู่บ้าน แล้วก็ซื้อมาเผื่อเธอด้วย” คนตอบชูถุงให้ดู

พิมพิมลจึงบอกเล่าเพิ่ม “ฉันเห็นพายเดินผ่านมาเข้าบ้านหลังนี้ ก็เลยตกใจ พอดีพ่อบอกว่ามีคนย้ายมาใหม่ เลยคิดว่าเป็นคนไม่ใช่ผี”

วรินธรหัวเราะเออออห่อหมกกับคนพูดไปด้วย ทำเอากานต์ชนิตต้องเหล่ตามองขุ่นคลักเพื่อเบรกไอ้สิ่งที่หล่อนกำลังจะทำ หล่อนเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“อ่ะ ทำหน้าอย่างกับโมโหหิว งั้นพิม ฉันไปกินข้าวเช้าก่อนนะ ดูหน้าหนึ่งสิจะงับหัวฉันอยู่แล้ว”

พิมพิมลขำและโบกมือลาบอกว่าตามสบาย กานต์ชนิตมองจนน้องสาวกลับเข้าบ้าน ก็หันมาถลึงตาใส่คนข้างกาย

“อะไรของเธอน่ะ” วรินธรถามงงๆ

“เธอสิกำลังจะทำอะไร”

วรินธรมองตัวเอง “ทำอะไรอ่ะ ก็ชวนเธอกินข้าวเช้าน่ะสิ หิวหรือยัง”

“เธอกำลังจีบน้องสาวฉันใช่ไหม” เธอถามเสียงดุ พลางจ้องอาการอึ้งของหล่อน สักพักหล่อนก็หัวเราะก๊าก

“อย่างงี้ไม่เรียกจีบหรอกนะหนูกานต์ ฮ่าๆ”

“ไม่จีบก็หว่านเสน่ห์ล่ะ ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ห้ามยุ่งกับน้องฉัน เธอมันตัวอันตราย”

วรินธรจับนิ้วชี้เธอที่ชูชี้หน้าหล่อนหมับ เอ่ยยิ้มๆ “ฉันก็คุยกันธรรมดาประสาเพื่อนบ้านอ่ะ เธอนี่ก็หวงไม่เข้าเรื่อง แล้วยังว่าฉันเป็นตัวอันตรายอีก แหมถ้าฉันอันตรายจริงเธอไม่รอดมาถึงตอนนี้หรอกน้องสาว”

กานต์ชนิตดึงมือออก แต่อีกฝ่ายกำแน่นดึงเท่าไหร่ก็ไม่หลุด วรินธรหัวเราะ

“ทำไม แค่ชวนเพื่อนบ้านคุยผิดตรงไหน”

“แน่ใจเหรอว่าแค่ชวนคุย เธอยิ่งเป็นพวก เห็นคนหน้าตาดีหน่อยไม่ได้...”

“นี่เธอเป็นพวกเดียวกับฉันแล้วเหรอ” วรินธรถามยิ้มๆ ทำเอาเธองง

“พวกเดียวอะไร”

“ก็เธอพูดอย่างกับหึงฉันแน่ะ”

เท่านั้น หน้าเธอก็ขึ้นสี ร้องด่าว่า “บ้า” อีกฝ่ายจึงหัวเราะ “สำคัญตัวเองผิดไปแล้วย่ะ ฉันหวงน้องฉันต่างหาก”

“แหม ก็อุตส่าห์ดีใจที่ทำให้เธอค้นพบตัวเองได้สักที” วรินธรยังคงตีหน้าล้อเลียนต่อ พลันก็ต้องสะดุ้งพรวดเมื่อเสียงเข้มมีอำนาจดังแทรกขึ้นมา

“ปล่อยมือออกจากอินทนิลเดี๋ยวนี้!”

เธอทั้งคู่หันมองหน้าบ้าน ตอนนี้มีผู้หญิงตัวสูงเด่นหน้าตาบึ้งตึงยืนวางท่าอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นไกล...หมอรสนั่นเอง ของหายก็ต้องมาตามทวงคืนเป็นธรรมดา พาหนะที่พาหล่อนมาคงเป็นรถเก๋งคันสวย คันเดียวกับที่พวกเพื่อนๆ ของวรินธรเข้าไปขโมยของ

วรินธรตกใจวูบหนึ่ง แต่สามารถคุมสติได้ดี ปั้นหน้านิ่งได้ก็หันกลับไปเอ่ย “อ๊ออ๋อ ที่แท้ก็คุณหมอนี่เอง ตามฉันมาถึงนี่เชียวหรือ หาบ้านของฉันเจอได้ยังไง”

ทว่าพายกลับดึงมือเธอให้ค่อยๆ ถอยหลัง รู้สึกได้ถึงการระวังตัว

กานต์ชนิตขมวดคิ้ว นึกเป็นห่วงเจ้าของบ้านที่ถูกตามเจอแถมยังอยู่ในหน้าจริงอีกด้วย

“ฉันมีวิธีการของฉันก็แล้วกัน” รสสุคนธ์ตอบคำถามพร้อมหัวเราะหึๆ

วรินธรไม่มีสีหน้าแปลกใจอีกทั้งยังสบตาวาววับกับคนพูดนิ่ง กานต์ชนิตรู้สึกถึงประกายไฟแลบออกมาจากตาคนสองคนนี้ยังไงไม่ทราบสิน่า

“นับเป็นวิธีการที่ช้าเอาเรื่อง เพราะกว่าจะหาได้ก็ผ่านไป ตั้งสองคืน แล้ว จะเหลืออะไรบ้างก็ไม่รู้” วรินธรจงใจเว้นช่องว่างเพื่อเน้นคำ พอจะรู้ว่าพายนั้นช่างยั่ว แต่นี่มันยั่วผิดเวลาไปหน่อยไหมหือ ดูฝ่ายพญามารเริ่มพ่นไฟแล้ว

“ฉันต้องการตัวคนของฉันคืน” รสสุคนธ์แค่นเสียงต่ำบอกถึงความพยายามจะระงับอารมณ์

“ที่นี่ไม่มีใครเป็นของใครทั้งนั้นแหละ เราเป็นประเทศประชาธิปไตยลืมไปแล้วเหรอหมอ” ขณะแถไปเรื่อย วรินธรก็เอนตัวกระซิบบอกเธอเร็วๆ “รีบเข้าบ้านไปก่อนกานต์เร็วๆ เข้า”

“อ้าวแล้วเธอล่ะพาย”

วรินธรกลอกตาเห็นอาการคุกคามของผู้บุกรุกก็รีบดึงมือกานต์ชนิตให้ถอยเข้ามาหลบหลัง เอ่ยเสียงเรียบ “ขอโทษ ตอนนี้ฉันไม่รับแขก”

จากนั้นหันหลังขวับอย่างไม่ต้องการเสวนาด้วย ยังก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่ มือแข็งๆ ของคุณหมอก็คว้าหมับที่ไหล่ของเจ้าของบ้าน พายหลับตาพลางถอนหายใจ

พายจะเลี่ยงการปะทะได้นานแค่ไหนกันนะ กานต์ชนิตนึกไม่ออกเลยจริงๆ

ทันทีที่รสสุคนธ์หันมองหลัง พลันก็มีชายฉกรรจ์สองคนก้าวออกมา วรินธรหันกลับไปตั้งหลักรับมือพวกมาเฟีย ที่ถือวิสาสะก้าวบ้านอย่างคุกคาม

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่รับแขก เชิญคุณกลับไปเถอะ” วรินธรยังคงเอ่ยด้วยเสียงเรียบต่ำดังเดิม

รสสุคนธ์ยิ้มเย็น “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่ขอตัวหมอหนึ่งกลับบ้านเท่านั้น”

“เห็นทีคงจะไม่ได้”

คำตอบของวรินธรเหมือนคำท้าทาย สร้างความไม่พอใจของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น “แต่คุณไม่มีสิทธิกักตัวเธอไว้ที่นี่”

“ฉันเปล่ากักตัว หนึ่งเต็มใจมากับฉันเอง”

รสสุคนธ์โกรธจนแก้มกระตุก มองคนพูดอย่างอาฆาต วรินธรชิงเอ่ยก่อนที่อีกฝ่ายจะสั่งการลูกน้อง

“ฉันยังใจดีมากที่ยอมให้คุณเข้ามาในบ้าน แต่ถ้าคุณแตะต้องตัวฉันหรือหนึ่งอีกละก็ ฉันจะแจ้งความว่าคุณกำลังทำร้ายร่างกาย”

รสสุคนธ์หรี่ตา “คิดเหรอว่าข้อหาแค่นั้นฉันจะกลัว”

“พูดงี้แสดงว่ามีเส้นสายกับตำรวจ”

“รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไปเอาตัวอินทนิลมา!” สิ้นคำสั่งลูกน้องก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด วรินธรผลักกานต์ชนิตถอยหลัง แล้วซัดชายทั้งคู่ด้วยถุงน้ำเต้าหู้คนละถุง น้ำเต้าหู้ร้อนๆ ก็ทำให้เกิดเสียงซู้ดซ้าดได้เหมือนกัน แต่ก็ก่อความโกรธเพิ่มด้วย คนหนึ่งตั้งตัวได้จึงรี่เข้ามาหา วรินธรคอยจังหวะอยู่แล้วจึงขัดขาเขาล้ม พร้อมกับเตะเข้าใส่คนที่สองที่บุกเข้ามา

“ฤทธิ์มากนะ”

กานต์ชนิตเก็บเสียงร้องไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นชายสองคนพยักหน้าใส่กัน ล้วงไปในกระเป๋าหลังดึงมีดออกมาคนละอันและร่วมมือกันจู่โจม วรินธรในตอนนี้เหมือนแม่ไก่พร้อมจะกางปีกปกป้องเธอ ดวงตากร้าวมองตรงไปข้างหน้า เธอรู้ว่าวรินธรนั้นปกป้องเธอได้ แต่คงไม่คุ้มรึเปล่า ถ้าหล่อนต่อสู้ มันก็คือการเปิดเผยว่าวรินธรมีความสามารถอะไรบ้าง ยิ่งเพิ่มความน่าสงสัย แล้วถ้าเกิดพลาดพลั้งได้แผลขึ้นมาอีกจะทำยังไง

คิดถึงตรงนี้ กานต์ชนิตก็ทนไม่ได้ รีบก้าวออกมาบังหน้าวรินธรเอาไว้ก่อนกำปั้นพวกนั้นจะพุ่งเข้าใส่ เสียงสั่งการก็ดังทันการ

“หยุด! ห้ามลงมือ!”

เธอคาดไม่ผิด หมอรสจะต้องไม่กล้าทำร้ายเธอ แต่ตอนนี้เธอโกรธเสียแล้ว

“หนึ่งออกมาปกป้องมันทำไม!”

“ก็ที่นี่มันบ้านของเขา คุณจะมาทำตัวเป็นอันธพาลแถวนี้ไม่ได้”

“ก็เค้าลักพาตัวหนึ่งออกจากโรงพยาบาลทำไม หนึ่งยังไม่หายดี...”

“ฉันเต็มใจมากับเขาเองค่ะ คุณกลับไปเถอะ”

“หนึ่ง!” รสสุคนธ์โกรธ “อุตส่าห์พูดดีๆ ด้วยแล้วนะ เธอก็รู้นี่ว่าถ้าพี่โมโหแล้วจะเป็นยังไง”

กานต์ชนิตข่มความกลัวแม้จะเริ่มสั่น “ฉันไม่รู้หรอก ฉันจำคุณไม่ได้และไม่รู้จักคุณ”

เท่านั้นคนโมโหก็ตะคอก “นี่เธอความจำเสื่อมจริงหรือแกล้งหลอกฉันกันแน่!”

พลางถลันกายตรงมากระชากแขนเธอ แต่มือของวรินธรนั้นไวกว่า กำข้อมือของรสสุคนธ์ออกแรงบีบแน่น สายตาของพายเย็นเยียบจนกานต์ชนิตแอบรู้สึกขนลุกวูบหนึ่ง รสสุคนธ์รู้สึกคงเช่นเดียว เพราะหล่อนขมวดคิ้วนิ่วหน้าและชะงักไป หากสักครู่ก็พยายามฝืน วรินธรกัดฟันครางฮึ่มฉวยโอกาสนั้นพลิกข้อมือรสสุคนธ์รวดเร็วเป็นท่าฝืนก่อให้เกิดความเจ็บปวดจนเจ้าตัวร้อง จากนั้นจึงปล่อยมือแล้วผลักหมอออกไปห่างๆ

“คุณเหมาะจะเป็นหมอมากกว่า ไม่เหมาะกับเรื่องตบตีกับใครหรอก...” วรินธรยังไม่ละพยายามจะเบรกรสสุคนธ์ และต้องการจะสื่อว่าจะเข้ามาจับตัวกันไม่ง่ายนัก ทว่าไม่ได้ทำให้รสสุคนธ์ถอย หล่อนมองวรินธรอย่างอาฆาตและเอ่ยสั่งเสียงต่ำ “จับมัน!”

ลูกน้องทั้งสองกรูเข้าใส่พวกเธอทันที แล้วก้อนหินสองก้อนก็ลอยลิ่วใส่ชายสองคนนั้นจนร้องโอ๊ย “ใครวะ”

“มีโจรบุกรุกบ้านหลังนี้ค่า ใครก็ได้ช่วยด้วย มีโจรร้ายบุกบ้านค่า”

เจ้าของเสียงทำให้กานต์ชนิตยิ้ม เห็นพวงชมพูป้องปากตะโกนอยู่หน้าบ้านตัวเอง พลางหันไปรับไม้กวาดทางมะพร้าวจากพิมพิมลเพื่อตรงเข้ามาช่วยเหลือเธอสองคน ปากก็ยังร้องตะโกนดังไปสามบ้านแปดบ้าน

รสสุคนธ์ถลึงตามองคนเสนอหน้า ใจหล่อนคงอยากจะเอาตัวเธอไปให้ได้ แต่รู้ว่ามีอุปสรรคเสียแล้วเมื่อตอนนี้ใครต่อใครชะเง้อคออกมาดู และพวงชมพูและพิมพิมลก็ก้าวเข้ามาในรั้วบ้านของวรินธรพร้อมกับยืนจังก้า

“ถ้าคุณยังไม่รีบออกไป ฉันจะฟาดด้วยไม้กวาดนี่ล่ะ แล้วฉันไม่ผิดกฎหมายด้วย เพราะคุณเป็นผู้บุกรุก” พวงชมพูเอ่ยเสียงดัง พิมพิมลรีบเอ่ยเสริม

“ใช่ พี่สาวฉันไม่ใช่คนธรรมดานะเว้ย นี่อัยการมาเอง ถ้ายังไม่อยากมีเรื่องละก็ รีบๆ ไปซะ”

คำบอกเล่าพร้อมกับมาดของพวงชมพูในชุดเรียบร้อยเป็นทางการเตรียมพร้อมไปทำงาน และคำคงทำให้รสสุคนธ์รู้สึกเกรงขึ้นมาบ้างล่ะ

การจัดการคนถึงสี่คนไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายรสสุคนธ์ก็จำเป็นต้องถอย ยังคงทิ้งสายตาแค้นเคืองให้กับวรินธร พลางหันมองเธอ

“อย่าคิดว่าแค่นี้จะทำให้พี่ยอมง่ายๆ นะหนึ่ง”

ถ้าชี้นิ้วด้วยจะเหมือนจิ๊กโก๋มาก เธอรู้สึกว่าพอหล่อนไปความตึงเครียดค่อยจาง แต่มือไม้ยังสั่นระริกไม่หาย

พวงชมพูมองรสสุคนธ์และลูกน้องจากไปจนลับสายตา ก็หันกลับมาหา “นี่เธอสองคนไปทำอะไรให้เค้าโกรธเนี่ย น่ากลัวจริงคนอะไร”

วรินธรไม่ตอบ นัยน์ตาของหล่อนวาวแสงด้วยแรงอารมณ์อันไม่ปกตินัก ปกติวรินธรไม่ค่อยจะเครียดให้เธอเห็นหรอก คิดอะไรอยู่น่ะพายถึงได้มองเธออย่างนี้

กานต์ชนิตหันไปส่งยิ้มฝืดๆ ให้กับคนถาม “มีเรื่องกันนิดหน่อยน่ะค่ะ”

“ไม่นิดหน่อยแล้วมั้งคะคุณ ถึงขนาดพกคนมาด้วยอย่างนี้ กะจะรุมซ้อมกันเลย” พิมพิมลออกความเห็น

“ดูเหมือนพวกเขาอยากให้หนึ่งกลับไปด้วย...” พวงชมพูเอ่ยลอยๆ จับตามองเธอและวรินธรซึ่งหันหนีไปมองต้นปีบ

“มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่หรือเปล่าเอ่ย” พวงชมพูถามลอยๆ อีกครั้ง

พี่สาวของเธอก็เหมือนเรด้าจับความจริง ไม่งั้นจะทำอาชีพนี้ได้ดีหรือ ดังนั้นกานต์ชนิตจึงอึดอัดไม่รู้จะเล่ายังไงดี จะบอกความจริงก็ดูเกินจริง แต่ครั้นจะโกหกก็ไม่รู้จะเริ่มแต่งเรื่องจากตรงไหน วรินธรก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน หล่อนเอามือเสยผมจนยุ่ง ถอนหายใจทิ้งความเครียดไปเสีย ในที่สุดก็เอ่ย

“ผู้หญิงคนนั้นชื่อรสสุคนธ์” และเบนสายตามองเธอ “เป็นแฟนของหนึ่ง”

คลื่นความตกใจลอยในความเงียบสองสามคลื่น เธอตามหล่อนไม่ค่อยทันนักหรอกว่าคิดจะทำอะไร แต่วรินธรก็แค่มองเธอนิ่งๆ สลับกับสบตาพี่สาวเธอ

มันเป็นเกมจิตวิทยาง่ายๆ โดยไม่ต้องบอกกล่าวอะไรมากเลย ก็สามารถทำให้หล่อนบังคับความเข้าใจของพี่และน้องเธอให้ไปในทางเดียวกันได้ ร้ายนักนะวรินธร...นี่เธอต้องยอมรับว่าเป็นพวกเดียวกับหล่อนแล้วเหรอเนี่ย

พิมพิมลตาโต “หมายความว่า...”

พวงชมพูเองก็ตกใจ ข้อหนึ่งการคบเพศเดียวกันนั้นก็แปลกมากพออยู่แล้ว ยิ่งมีการหึงหวงซับซ้อนสัมพันธ์ไปอีก ก็ยิ่งต้องให้เวลาช่วยผลักดันความคิด

“อย่าบอกนะว่าคุณขโมยแฟนของผู้หญิงคนนั้นมา แล้วเจ้าของเขามาเอาคืนน่ะ” พิมพิมลคาดเดา

“หน้าตาหนึ่งเนี่ยเหมือนคนที่กำลังโดนขโมยหรือว่าเต็มใจล่ะ” วรินธรเอ่ยเรียบๆ การไม่แก้ต่างยิ่งส่งเสริมว่ากำลังเข้าใจถูกเพิ่ม พิมพิมลร้องฮึในลำคอ ทำเอากานต์ชนิตไม่รู้จะมองหน้าพี่น้องตัวเองยังไงติด ได้แต่เหล่ตามองคนข้างกันอย่างเคืองๆ

“ฉันนึกแล้วว่าเธอต้องร้ายกาจ” พวงชมพูไม่รีรอจะเอ่ยชมวรินธรให้ทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มรับก็ไม่เชิงบึ้งก็ไม่ใช่

สายตาของพวงชมพู่หลุบลงมองมือคนสองคนที่ยังจับประสานกันอยู่ก็ถอนหายใจเฮ้อ “อ่ะ ที่จริงเธอ...พายก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรผิด...ในทางกฎหมาย หนึ่งมีสิทธิจะอยู่ที่ไหนก็ได้ และผู้หญิง...แฟนหนึ่งน่ะก็ไม่มีสิทธิจะบังคับขืนใจใครด้วย เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจ ดูท่าจะไปกันใหญ่ ฉันว่าเขาไม่ยอมจบง่ายๆ แน่”

วรินธรยักไหล่ ทอดสายตามองกานต์ชนิตด้วยความเป็นห่วงสุดซึ้ง ซึ่งเธอมองออกว่ามันเสแสร้ง

“ฉันก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน พี่พู่มีวิธีแก้ปัญหาให้ฉันไหมล่ะ วันนี้แต่งตัวโก้หรูเชียว จะไปขึ้นศาลที่ไหนเหรอ” วรินธรแซวยิ้มๆ

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยค่ะคุณน้อง ไม่รู้สึกกลัวอะไรบ้างเหรอ ตะกี้ฉันเห็นเขาถือมีดมาด้วยนะ”

“กลัวสิ ขาสั่นพับๆ ไปหมดแล้ว แต่ฉันก็ทนยืนเฉยๆ ไม่ได้นี่นา” วรินธรตอบยิ้มๆ

“ทำเป็นเล่นตลอดเลยเธอนี่”

“เฮ้อ ก็ไม่รู้จะทำไงนี่ หรือฉันจะไปหลบในบ้านพี่พู่ดีล่ะ พอหล่อนมาหาฉันที่บ้านจะได้หาใครไม่เจอไง”

พวงชมพูส่ายหน้ากับความขี้เล่นไม่เข้าเรื่องของคนพูด พลางยกนาฬิกาดูก็เอ่ยลา “ฉันต้องไปแล้วล่ะน้องๆ ไว้พี่จะไปบอกยามหมู่บ้านให้ว่ามีคนบุกรุกที่นี่ ให้เขาตระเวนมาดูบ่อยหน่อย แล้วเธอล่ะพิม มีงานเช้าไม่ใช่เหรอ”

“อุ๊ยจริงด้วยค่ะพี่พู่”

จากนั้นทั้งสองก็โบกมือลา เธอทั้งคู่รีบเอ่ยขอบคุณ มองคนทั้งคู่จนขับรถออกจากบ้าน จึงค่อยหันมามองหน้ากันเอง พลางถอนหายใจเฮ้อใหญ่ “ทีนี้จะทำยังไงกันต่อดีล่ะพาย”

“เสียดายน้ำเต้าหู้ชะมัดเลย” วรินธรพูดหน้านิ่ง

“นี่ใช่เวลามาห่วงของกินมั้ยเนี่ย” ทำเอากานต์ชนิตต้องแหวใส่

วรินธรยิ้มบางๆ แต่นัยน์ตานั้นฉายความเครียดขึ้นมาอีก

“พาย...” กานต์ชนิตรู้ว่าหล่อนหนักใจ บางทีเธออาจจะกำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับหล่อน

“ทำไมเธอถึงยังช่วยฉันล่ะพาย ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบเปิดเผยตัวจริง แต่ทำไมเธอช่วยฉันทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้”

“อ้าว ก็ใครล่ะที่ร้องให้ฉันช่วยแย้วๆ เมื่อวันก่อน”

เธอหน้าเก้อ “ก็ตอนนั้น... เหตุการณ์มันพาไปอ่ะ ก็ฉันไม่ทันคิดนี่นา แต่เธอขี้ระแวงจะตาย ทำไมถึงตัดสินใจช่วยฉันง่ายนัก เธอก็รู้นี่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” เมื่อไม่รู้จะแก้ต่างให้ตัวเองยังไง เลยโทษคนตรงหน้าซะเลย

วรินธรขำพรืด “อะไรกัน ไม่ช่วยฉันก็โดนด่า ช่วยฉันก็โดน ทำไมทำบุญทีมันยากอย่างงี้ รู้งี้ทำบาปต่อไปดีกว่า”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยพาย” วรินธรยักไหล่ไม่ใส่ใจ ทิ้งความเงียบให้ปกคลุม เธอได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ วรินธรไม่ใช่คนเปิดเผย ตรงกันข้าม หล่อนยังเป็นคนเก็บงำความคิดไว้เป็นส่วนตัวมากๆ ด้วย และเพราะอย่างนั้นเวลาทำอะไรแต่ละทีถึงได้เดายากไปหมดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ

“ฉันคิดว่าเธอน่ะ...ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ จริงอย่างที่เธอว่า หมอรสคงไม่ทำร้ายอะไรฉันหรอก เดี๋ยวฉันจะกลับไปหาเขา แล้วหาวิธีออกจากร่างนี้ดู” กานต์ชนิตตัดสินใจ

คนตรงหน้าส่งสายตารู้ทันพลางแซวยิ้มๆ “เธอไม่กลัวหมอรสแล้ว?”

เธอกัดริมปากล่างและพยักหน้า “ไม่กลัวแล้ว”

วรินธรยิ้มหึ “โกหกไม่เก่งเลยกานต์”

“ก็แล้วจะให้ทำยังไง ถ้าฉันยังอยู่กับเธอ หมอรสก็จะตามมาอีก ถ้าเกิดเขารู้ว่าเธอเป็นใครมันจะเกิดอะไรขึ้นคิดบ้างไหม” กานต์ชนิตเอ่ยเสียงดัง

“เฮ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องโมโหขนาดนั้นก็ได้” วรินธรดูเหมือนจะตกใจจริงๆ กับการที่เธอตวาดใส่ กานต์ชนิตรู้สึกหงุดหงิดหนัก กับท่าทางแสร้งว่าไม่เครียดของหล่อน

“ขอโทษที่ตะโกนใส่...” พลันก็รู้สึกตื้อขึ้นมาเสียเฉยๆ พยายามระงับอารมณ์ปรี๊ดที่จู่ๆ มันก็โผล่มา ไม่ทราบที่มา

วรินธรเดินเข้ามาใกล้และยกมือโอบไหล่เธอปลอบใจ “ไม่ต้องขอโทษ ฉันไม่ได้ว่าอะไรเธอสักคำ เธอนี่...ประจำเดือนยังไม่มาหรือไง ขี้โมโหจริง”

ยังเล่นไม่เลิกอีก ยัยพายบ้า

วรินธรส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ ยกนิ้วจิ้มกลางระหว่างคิ้วของเธอ

“เธอกำลังดูถูกฉันอยู่นะรู้เปล่า”

กานต์ชนิตไม่เข้าใจ วรินธรสบตาเธอด้วยรอยยิ้มจางๆ “เธอคงคิดล่ะสิว่าฉันจะเสียท่าให้กับหมอรสง่ายๆ ชะ ยังไม่รู้ฤทธิ์ที่แท้จริงของฉันซะแล้ว”

วรินธรเป็นคนมั่นใจและขี้โม้ เธอรู้ดี บางทีหล่อนก็เลือกใช้มันได้ถูกจังหวะ เมื่อความหมั่นไส้มาแทนที่ ความคุกรุ่นก็มลาย

“หมอรสไม่ธรรมดา มีพรรคพวก” เธอเอ่ยแย้ง

“กำลังต่อให้เยอะแค่ไหนก็แพ้นี่” วรินธรชี้ไปยังสมองของตัวเอง

กานต์ชนิตมองเห็นความดื้อดึงของหล่อนชัด นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ลองได้ลงความเห็นว่าจะทำ ก็คือต้องทำ




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ สิบแปด The Truth (ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:25:16 »
(ต่อ)

กานต์ชนิตมองเห็นความดื้อดึงของหล่อนชัด นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ลองได้ลงความเห็นว่าจะทำ ก็คือต้องทำ จะสำเร็จไม่สำเร็จก็คือต้องทำดูก่อน นี่หล่อนคงตัดสินใจตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่ช่วยเธอจากหมอรสแล้ว และเพราะอย่างนั้นเธอถึงได้เป็นห่วง

“แต่เธอกำลังเอาตัวมาเสี่ยง...”

“ฉันไม่ได้ลืมนะว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้ตั้งสองครั้งน่ะ” หล่อนชูสองนิ้ว

กานต์ชนิตถอนหายใจ “สรุปว่าที่ช่วยนี่ก็เพื่อตอบแทนกัน”

“ถูก สรุปได้ดี”

“แน่ใจเหรอว่าใช่เหตุผลจริงๆ น่ะ” เพราะหล่อนไม่เหมือนคนสำนึกบุญคุณคนสักเท่าไหร่

วรินธรเลิกคิ้ว เสร็จแล้วจึงเบนสายตาไปทางอื่น “ก็เหตุผลจริงๆ น่ะสิ...” เก็บแขนกลับไปไว้ข้างตัวดังเดิม

“ไม่ใช่ว่าถือโอกาสนี้วางแผนสืบเรื่องของหมอรสหรอกนะ”

วรินธรอึ้ง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ พยักหน้าหงึกหงัก “เอ้อ... จริงด้วยสินะ แหมเธอเนี่ยตั้งแต่มาอยู่ใกล้ฉันดูฉลาดขึ้นเยอะ”

กานต์ชนิตทำหน้าเอือม เสียงแตรรถหน้าบ้านเรียกให้วรินธรหันไป รถซาเล้งสีแดงแล่นมาจอดหน้าบ้าน คนขี่สวมชุดสีตุ่นแขนยาวขายาวและมีหมวก เขาตะโกนถาม

“มีอะไรเก่าๆ มาขายไหมคร้าบ น้ำชากาแฟวันนี้ดื่มหรือยัง”

คำถามทำให้กานต์ชนิตต้องเงยหน้ามองบ้าง เมื่อจ้องชัดๆ จึงได้รู้ว่านั่นคือสนฉัตร เพื่อนร่วมงานชาวอีเว้นท์ของพายนั่นเองที่ปลอมตัวมา วรินธรจึงหันบอกเธอว่า “เธอเข้าบ้านไปก่อนแล้วกัน มันคงสงสัยเรื่องเธอล่ะมั้งถึงได้มาถามถึงที่”

จากนั้นก็เดินไปเกาะขอบรั้วกับคนรับซื้อของเก่าผู้นั้น

... จบบทที่ สิบแปด The Truth

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.