web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 101
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 97
Total: 97

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่สิบเอ็ด Keep Warm  (อ่าน 1085 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบเอ็ด Keep Warm
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:06:40 »
บทที่สิบเอ็ด Keep Warm

ยัยผู้หญิงหัวดื้อ

ความอ่อนอกอ่อนใจเกิดขึ้นอีกครั้ง กานต์ชนิตมองคนระแวงที่ยังคงคอยแต่จะเหลือบตามองเธออย่างกับกลัวเธอจะไปขโมยของอะไรของหล่อน แม้เพื่อนหล่อนจะพูดอะไรให้ฟังมากมาย หล่อนก็คงไม่มีสมาธิฟังหรอก

แม้วรินธรจะระแวงเธอมากเท่าใด แต่คงฝืนสังขารไม่ได้ ร่างกายของหล่อนยังอ่อนแอและต้องการการพักผ่อนอยู่มาก ดังนั้นเมื่อเสร็จจากอาหารเช้าได้ไม่นาน หล่อนก็ปรือตาหลับไป กานต์ชนิตจึงลุกขึ้นยืนเมื่อจิงจ้อเดินเข้าห้องน้ำ เปิดประตูห้องออกไปข้างนอกดีกว่า อยู่ข้างในนานๆ เดี๋ยววรินธรจะเป็นโรคประสาทเสียเปล่าๆ

ความเย็นเข้ามาประทะวูบใหญ่เมื่อเธอเดินห่างจากห้องของวรินธร กานต์ชนิตรู้ตัวดีว่าเธอไม่ควรเดินเล่นออกมาไกลนัก เธอจึงหยุดที่สวนหย่อมระหว่างอาคาร และนั่งลงข้างบ่อปลาเล็ก มองสิ่งมีชีวิตในน้ำว่ายวน มันโผขึ้นมารอคอยคนให้อาหารราวกับเห็นว่าเธอนั่งอยู่

เธอส่งยิ้มรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ยังมีใครเห็นเธอบ้าง ครั้งแรกที่วรินธรมองเห็นเธอได้ เธอก็รู้สึกอย่างนี้ แต่มันกลับถูกบดบังหายไป เพียงเพราะว่าเมื่อหล่อนเห็นเธอแล้ว หล่อนเป็นทุกข์ใจเพราะความหวาดระแวงอย่างหนัก

ร่างโปร่งบางร่างหนึ่งปรากฏข้างกายกานต์ชนิต แสงสว่างเปล่งปลั่งเสียจนทำให้กานต์ชนิตต้องหันไปมอง ก็พบกับเด็กชายผู้หนึ่งในชุดกางเกงสีเงินพราวแสงระยิบระยับ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงสร้อยคอสีเดียวกับกางเกงประดับรอบคอเท่านั้น และที่กำไลข้อมือสีทองทั้งสองข้าง เส้นผมตัดสั้นรับกับศีรษะทุยได้รูป และไม่ใส่รองเท้า

คงจะเป็นความผ่องใสของผิวกายที่ทำให้กานต์ชนิตรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ มันเป็นผิวกายที่เปล่งรัศมีแบบผู้บำเพ็ญตบะมานาน คล้ายรัศมีของท่านนาครีที่บึงข้างหมู่บ้าน

ใบหน้าผ่องใสนั้นยิ้มน้อยๆ ดวงตาเจิดจรัสแจ่มใสจ้องมองที่เธอ

“เอ้อ... คุณเป็นใครคะ”

กานต์ชนิตเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่มองเงียบๆ ไม่ยอมพูดยอมจา อีกทั้งร่างกายที่เด็กกว่าทำให้เธอยกมือไหว้ไม่ถนัดนัก

ร่างเปล่งรัศมีตรงหน้ายิ้มกว้างขึ้น “ฉันนึกแล้วว่าเธอต้องไม่ธรรมดา”

น้ำเสียงของเขากังวานใสเหมือนน้ำในลำธาร ทันทีที่ได้ยินชวนให้จินตนาการถึงสวนน้ำเล็กๆ มีลำธารหลายสายไหลขนานกันไป

สิ่งที่เธอจิตนาการเห็นทำให้อีกฝ่ายยิ้ม “จินตนาการได้ดี ที่นี่เมื่อก่อนเคยเป็นอย่างนั้น แต่พอโลกเปลี่ยนไป สิ่งก่อสร้างมากขึ้น มันก็เลยกลายเป็นโรงพยาบาลอย่างที่เห็น”

“คุณอยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอคะ” หน้าตาเขายังเด็กอยู่เลย แต่สายตาที่มองเธอนั้นกลับฉายแววล่วงรู้ เป็นสายตาของคนที่ผ่านโลกมามาก

เขาพยักหน้า “ฉันมีนามว่า นทจร” รอยยิ้มของเขาช่างประหลาด เหมือนแสงอบอุ่นฉาย กานต์ชนิตอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ และเกิดคำถามในใจ

“คงเป็นเพราะว่าฉันเป็นผู้เฝ้าสายน้ำก็เป็นได้ จึงได้สามารถมองเห็นเธอ เจ้าพรายน้อย” เขาตอบคำถามเธอ ทำให้สีหน้าของกานต์ชนิตตกใจทันที

“คุณ เอ้อ ท่านอ่านใจได้เหรอคะ” อีกอย่าง เขาเรียกเธอเหมือนที่ท่านนาครีเรียกเลย

“ความคิดที่สับสนนั้นมักจะส่งเสียงดังเสมอ” ประโยคบอกเล่าง่ายๆ แต่กลับตรึงกานต์ชนิตได้อยู่หมัด มีเพียงรอยยิ้มของเขาเป็นคำปลอบใจ พลางทรุดตัวลงนั่งบนม้าไม้ข้างบ่อปลา เจ้าปลาตัวน้อยว่ายกรูไปหาเขา กานต์ชนิตรู้สึกว่าปลาเหล่านั้นกำลังดีใจ เหมือนกับได้พบเจ้าของ

“ฉันจะพยายามค่ะ”

“ตอนนี้เธอคงทำได้ไม่ง่ายนักหรอก”

กานต์ชนิตส่งสายตาแปลกใจและเป็นคำถาม คนพูดสบตาเธอ เขามองเห็นอะไรหลายอย่าง แต่ไม่อาจบอกเล่าให้ฟัง นทจรจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มเล็กๆ จนเห็นลักยิ้ม มองบ่อปลาพลางเอ่ย “เมื่อเราสร้างกรรม ย่อมมีผลกระทบลูกโซ่ไม่มีที่สิ้นสุด อย่ามัวสับสนเลยว่าที่มาของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร หรือตอนนี้เราต้องเรียกตัวเราเองว่าอะไร สิ่งใดที่เกินกำลังของเรา เราก็ต้องยอมรับว่ามันเกินกำลัง และยอมรับว่าตอนนี้เรากำลังเป็นอย่างนี้ แล้วควรทำอย่างไรถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดจะดีกว่า”

“ฉันไม่เข้าใจที่ท่านพูดทั้งหมดหรอกค่ะ” กานต์ชนิตยอมรับเสียงอ่อย ทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดู

“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”

“คะ?” เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน เธอจึงแปลกใจและสำรวจตัวเอง “ก็...ไม่รู้สึก...หนาวหรือร้อน รู้สึกเย็นสบายดี หรือเป็นเพราะท่านช่วยฉันเอาไว้คะ”

นทจรส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ฉันแค่เป็นผู้ดู ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ที่ถามนี่หมายถึงว่า เสียงท้องเธอมันร้องดังจนฉันได้ยิน ฉันก็เลยถามต่างหาก”

เลือดฝาดสีชมพูฉีดขึ้นหน้าเธอทันที พลางก้มมองท้องตัวเองที่มันส่งเสียงร้อง จริงๆ แล้วมันส่งเสียงร้องมาหลายมื้อแล้ว แต่เธอไม่รู้จะหาอะไรกินยังไงดี

“นี่กานต์ชนิต เธอยังคงอาศัยอยู่ในโลกของสิ่งมีชีวิตซึ่งต้องรักษากฎสมดุลของพลังงาน เธอไม่สามารถใช้ชีวิตโดยปราศจากการเติมพลังงานได้นะ”

กานต์ชนิตยอมรับว่าเธอฟังเขาพูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ จึงถามเสียงอ่อยอีกครั้ง “แปลว่าอะไรคะท่าน?”

“ก็เหมือนรถยนต์ ถ้ามันจะวิ่งได้มันก็ต้องเติมน้ำมัน เธอ...” เขาชี้ “ควรหาอะไรกินบ้าง”

เสียงท้องร้องจ๊อกประกอบคำพูดของเขาได้ดี เธอยิ้มรับแห้งแล้ง ฝ่ายคนมองก็เกือบจะหัวเราะ

“แล้วฉันจะกินได้ยังไงล่ะคะ ฉัน...ไม่มีเงินสักบาท แถมไม่มีใครเห็นฉันสักคน จะสั่งข้าวได้ยังไง”

นทจรลุกขึ้นยืน และกวักมือเรียกเธอให้เดินตาม เราเดินไปตามทางเดินซีเมนต์ขัดมันสีแดง มีพนักงานโรงพยาบาลชุดขาวชุดเหลืองเดินสวนบ้างประปราย แต่ไม่มีใครเดินชนพวกเรา เลี้ยวไปยังห้องโถงหนึ่ง ซึ่งมีม้านั่งและร้านขายข้าวราดแกงสองสามร้าน ที่นี่คือโรงอาหาร

ร่างผ่องรัศมีทรุดตัวลงนั่งบนชุดม้านั่งชุดหนึ่ง กานต์ชนิตนั่งลงตาม มองเขาอย่างงุนงง สักครู่เขาก็ชี้ชายผู้หนึ่งซึ่งซื้อข้าวราดแกงถือมาหนึ่งจานและน้ำอีกหนึ่งแก้ว ทรุดนั่งลงตรงข้ามกับพวกเรา เขากำลังจะตักอาหารเข้าปาก เสียงเรียกก็ดังขึ้น

“พี่! เมียพี่จะคลอดแล้ว! รีบไปเร็ว”

ชายหนุ่มอีกคนตะโกนลั่นโรงอาหาร ชายผู้นั้นที่ถูกเรียกว่า พี่ และเมียกำลังจะคลอด รีบลุกขึ้นยืนทันที วิ่งตามชายผู้ตะโกนโหวกเหวกออกไป ทิ้งผู้คนให้มองตามอย่างตื่นเต้นว่าเมียจะคลอดสำเร็จไหม ลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

นทจรยิ้มและตอบคำถาม “เขาจะได้ลูกชาย”

กานต์ชนิตอ้าปากค้างอย่างทึ่ง ยังไงก็ยังไม่ค่อยจะชินกับคนล่วงรู้อนาคตไปซะทุกอย่าง ได้แต่หลบตาที่ยิ้มขำของร่างเด็กตรงหน้า

“นี่กานต์ชนิต ทีนี้เธอก็กินข้าวได้แล้ว”

เธอมองข้าวในจานสลับกับมองเขา “ข้าวเนี่ยเหรอคะ”

“ใช่” นทจรพยักหน้า “รีบกินเร็วสิ โอกาสอย่างงี้ไม่ได้มีง่ายๆ นะ”

เธอยิ้มแหะ มองข้าวและกับข้าวอย่างชั่งใจ คิดได้ว่าเธอไม่ได้ทำผิด เธอไม่ได้ขโมยใคร แล้วอีกอย่างเหลือไว้เดี๋ยวก็มีคนหยิบไปทิ้ง น่าเสียดายแย่ จึงลังเลไม่นาน ก็เลื่อนจานนั้นเข้ามา พลางเริ่มตักอาหารคำแรกเข้าปากในรอบหนึ่งปี...

ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีและมีความสุขอย่างสูงสุด

ทุกอย่างเสร็จสิ้นด้วยความรวดเร็วมาก เธอต้องยกมือไหว้ของคุณเขาเป็นการใหญ่

“ฉันไม่ได้ทำอะไร บอกแล้วแค่เป็นผู้ดู” ลักยิ้มเล็กๆ ชวนทำให้เธอยิ้มตามไปด้วย พลางเดินกลับไปยังทางเดิมเป็นการรอย่อย พลันร่างสมส่วนของผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินผ่านหน้าอย่างว่องไว กานต์ชนิตหยุดเดินและมองตาม

“แพทย์หญิงคนนั้นเป็นหมอเจ้าของไข้ของคนที่มองเห็นฉันค่ะ”

เธอเล่าไปแล้วเพิ่งนึกได้ว่าเขาคงจะรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว เขาแค่พยักหน้า “หมอหญิงผู้นี้สร้างความดีไว้มาก”

เธอร้องอ้อ ดีเหมือนกันที่พายวรินธรได้หมอที่ดี ทีแรกที่เห็นแพทย์หญิงอินทนิล เธอรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกคล้ายอาการถูกชะตาก็อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด คลับคล้ายคลับคลาเหมือนมีเมฆหมอกมาบัง

อินทนิลกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังลานจอดรถ ซึ่งมีรถคันหนึ่งเพิ่งเข้ามาจอดพอดี คนขับเป็นผู้หญิงตัวสูงกว่าหล่อนค่อนข้างมาก รูปร่างเพรียวชะลูดในชุดกางเกงสแลคสีครีมอ่อน และเสื้อลายขวางคอปาดเอียงเก๋ ทั้งชุดดูเข้ากันดีจนมองเพลินเหมือนว่าเธอเป็นหุ่นหน้าร้านขายเสื้อผ้า เห็นแล้วชวนให้อยากได้เสื้อผ้าแบบนี้ไปใส่บ้าง

อินทนิลวิ่งเข้าไปจับมือผู้มาใหม่ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเมื่อผู้หญิงหุ่นร้านเสื้อผ้าหันหน้ามา กานต์ชนิตก็ตกใจตาโต พลางคว้าแขนท่านนทจรเขย่าด้วยความตื่นเต้น “ท่านคะ คนนี้ล่ะ คนนี้เลย ผู้หญิงที่พายตามหา ผู้หญิงที่เป็นคนร้ายค่ะท่าน”

นทจรหัวเราะพลางจับเธอให้หยุดเขย่า “รู้แล้ว ฉันเห็นแล้ว”

สองสาวเดินออกจากลานจอดรถเข้าสู่อาคารอีกหลังหนึ่ง กานต์ชนิตร้องบอกคนข้างกาย “ฉันจะตามไปค่ะ”

แล้วออกวิ่งทันที ทิ้งคนที่เหลือได้แต่มองและส่งยิ้มให้ ไม่ได้เดินตามไปแต่อย่างใด

กานต์ชนิตวิ่งข้ามทางเชื่อมจนเข้าสู่อาคารอีกหลังหนึ่ง เห็นหลังสองสาวไวๆ เดินลับมุมก็รีบเร่งฝีเท้าบ้าง พลันก็ชนกับหญิงคนหนึ่งจนกระเด็น เมื่อตั้งตัวได้ กานต์ชนิตได้แต่พึมพำขอโทษ พลางตรงเข้าไปจะช่วยเหลือ แต่พอได้เห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่ายที่มองหน้ามองหลังขึ้นลง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าหล่อนมองไม่เห็นเธอ และคงจะงุนงงไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตนเองวิ่งชนอะไรจนล้มลง

จังหวะนั้นเองที่ความเย็นยะเยือกวาบเข้าสู่สันหลัง กานต์ชนิตหันกลับไป เพิ่งรู้ตัวว่าได้ออกห่างจากห้องพักของวรินธรมาไกลเท่าใด ความอัดทึบของสายน้ำบีบรัดให้เธอเริ่มหายใจไม่ออก เธอเกาะราวทางเดินไว้แน่นเพื่อพยุงตัวเอง พยายามตั้งสมาธิต่อสู้กับความเย็นเสียดแทงผิวกายและช่องอก แต่ไม่อาจต้านทานได้

สติ...เธอต้องมีสติสิกานต์...

ได้แต่สั่งตัวเองซ้ำไปซ้ำมา สติเท่านั้นที่บอกให้เธอก้าวขากลับไปยังที่เดิม เลิกสนใจแพทย์หญิงสองคนนั่น และกลับไปยังห้องคนไข้ชื่อวรินธร ถ้าถึงที่นั่นแล้วเธอจะปลอดภัย ความคิดเวียนวนอยู่เช่นนั้น ระยะทางแค่ช่วงตึก กลับกินระยะเวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ และสร้างความทรมานให้กับเธอจนแทบทนไม่ไหว

ตราบจนกระทั่งเธอหยุดที่หน้าห้องของวรินธร เธอกลับไม่รู้สึกว่าทรมานลดลง จึงเปิดประตูเข้าสู่ภายในห้อง และก็เป็นจริงดังคาดการณ์ ไม่มีร่างของคนป่วยบนเตียง ภายในห้องน้ำก็ว่างเปล่า วรินธรออกไปข้างนอก และหล่อนคงอยู่ไกลจากที่นี่ เธอหวังว่าหล่อนคงจะไม่ไปไกลเกินไป หวังว่าหล่อนจะแค่ไปเดินเล่น...

ร่างอ่อนปวกเปียกเกินกำลังจะยืนได้อีก เธอทรุดตัวลงนั่งในห้องน้ำพลางเอนตัวพิงประตูหลับตา นับจังหวะเข้าออกของลมหายใจเพื่อให้ตัวเองสงบด้วยความยากเย็น...

..............................................................................................

ข่าวลือง่ายๆ แพร่สะพัดในบริษัทเฟเดอริกสตาร์ ในที่สุดก็ถึงหูเจ้าตัวจนได้ ภาพทิวาต้องคอยตอบคำถามเพื่อนร่วมงานหลายคนจนแทบไม่มีสมาธิทำงาน แล้วนายปิแอร์คนนั้นก็ยังจ้องเธออยู่ได้ เมื่อเช้าเธอพบเขาในลานจอดรถ กลางวันเธอออกมาหาอะไรกินกับเพื่อนในแผนก ก็พบเขาอยู่โต๊ะตรงกันข้าม บ่ายนี้ในห้องกาแฟอีก ทั้งที่นี่เป็นกาแฟแผนกเธอ ไม่ใช่ฝ่ายบุคคลอย่างเขาสักหน่อย

เป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการ ไม่รู้จักรักษาฟอร์มซะบ้างเลย มานั่งจ้องแบบนี้ รู้หรือเปล่าว่ากำลังสร้างเรื่องใหญ่โต

สุดท้ายเธอก็รีบหลับหูหลับตาทำงานให้เสร็จ แล้วรีบโทรเรียกคนขับรถที่คุณพ่อสั่งให้มารับมาส่งเธอ ระหว่างที่ยืนรออยู่ในลานจอดรถนั่นเอง ประตูรถสปอร์ตสีขาวคันหนึ่งก็เปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มหน้าฝรั่งที่เธอพยายามจะหนีแทบตาย ก้าวมายืนท่ามกลางแสงแดดบ่าย เขาดูโดดเด่นและเจิดจรัสเป็นอย่างมาก ทั้งรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ แต่อะไรก็ไม่เท่าดวงตาของเขาที่ส่องประกายแพรวพราวและคมกริบจับจ้องมายังเธอ

“ผม ปิแอร์ครับ”

เธอเพิ่งเคยได้ยินเสียงของเขาครั้งแรก เขาพูดภาษาไทยชัดมาก ภาพทิวาค่อนข้างจะรู้มารยาท เมื่อเขายื่นมือให้เธอจึงต้องยื่นมือจับพร้อมแนะนำตัว “ภาพทิวาค่ะ”

“ครับ คุณมิ้นท์” รอยยิ้มเก๋ประดับมุมปากของเขา เธอได้แต่มองอย่างตกใจ

“คุณรู้ชื่อฉัน?”

ปิแอร์หัวเราะ “มันก็ไม่ยากนี่ครับ” พลางหันกลับเข้าไปในรถ หยิบสิ่งหนึ่งจากเบาะหลังส่งให้เธอ เป็นดอกกุหลาบสีแดงปักในแจกันทรงกระบอก

ภาพทิวาตื่นตะลึง บอกตามตรงถึงแม้จะไม่ชอบเขา แต่การมีชายหนุ่มทั้งหล่อทั้งเท่แถมยังเป็นชาวต่างชาติอีกต่างหากมอบดอกไม้ให้กันแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกบอกไม่ถูกเหมือนกัน

“รับไปสิครับ ผมให้คุณ” เขายังคะยั้นคะยอ เธอสบตาพราวระยิบของเขา ก็ได้แต่ส่ายหน้า

“ฉัน... ไม่คิดว่าควรรับหรอกมั้งคะ ฉันเพิ่งเคยรู้จักคุณครั้งแรก...”

“แต่เราเจอกันหลายครั้งแล้ว” เขาขัดเรียบๆ “คุณก็เห็นผมในหลายๆ ที่ คุณคงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่ามันเป็นความบังเอิญ”

เจอตรงๆ แบบนี้ภาพทิวาก็ได้แต่อึ้ง นายปิแอร์ดูร้ายกาจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาพยักหน้าให้เธอรับจนได้ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมาก และเขากำลังใช้สายตาดุบังคับเธอ อะไรกันเนี่ย...

“ในนั้นใส่โอเอซิสไว้แล้ว ดอกนั่นมันคงอยู่ได้นานพอสมควร”

เขาอธิบายง่ายๆ ในเรื่องที่เธอไม่ต้องการจะรู้เลยสักนิด ได้แต่มองสีเขียวในแจกันอย่างเสียมิได้ พลางขมวดคิ้วมองเขา

“คนขับรถของคุณมาแล้ว” ปิแอร์ชี้มือไปยังรถเบนซ์คันสีดำเมื่อม ส่งยิ้มและล่ำลา “วันนี้คุณคงมีธุระก็เลยรีบกลับใช่ไหม เอาไว้ครั้งหน้าถ้าคุณว่าง เราค่อยไปทานอะไรอร่อยๆ กันนะครับ ผมขอตัวล่ะมีงานต่อ”

ร่างเพรียวสูงก้าวข้ามถนนกลับเข้าไปในอาคาร เหลียวกลับมาส่งยิ้มให้แวบหนึ่ง ก็หายลับไปหลังประตูกระจก ทิ้งให้ภาพทิวาได้แต่อ้าปากค้าง มองพนักงานหลายคนที่มองเห็นเหตุการณ์อย่างสนใจด้วยตาขุ่นขวาง แล้วรีบก้าวเข้าไปในรถดีกว่า ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใคร

แล้วเธอจะทำยังไงกับอีตาฝรั่งบ้าดี ไม่เคยเจอใครเดินเข้ามาจีบเธอโต้งๆ แบบนี้ เธอรู้สึกไม่ชอบและรับมือไม่ถูก ปกติในมหาวิทยาลัยเธอจะพบแต่พวกกล้าๆ กลัวๆ อย่างน้อยเกียรติศัพท์เรื่องพ่อของเธอก็ช่วยปกป้องเธอจากความกล้าบ้าบิ่นของคนเหล่านั้นได้

แต่นายฝรั่งนี่ ไม่ใช่เลย เขามั่นใจ เขานิ่งและไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

ก็แน่ละหนอ เขามีดีให้มั่น คิดแล้วก็หงุดหงิดจนได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดอยู่คนเดียว คนขับรถหันมาถาม “คุณหนูมีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่าขอรับ ให้กระผมบอกคุณพ่อให้ไหม”

นี่ก็อีกหนึ่งเรื่อง เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่พอมีปัญหาอะไรก็ฟ้องพ่อ คอยแต่จะให้พ่อช่วยเหลือนะ

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนายกว้าง ช่วยเข้าไปในมหา’ลัยหน่อย ฉันยังไม่อยากกลับ”

นายกว้างพยักหน้าพลางถามต่อ “จะให้ผมวนไปหน้าคณะของคุณหนูรึเปล่าครับ”

ภาพทิวาเงียบไป เบนสายตามองข้างทางครู่ใหญ่ ก็ตอบเสียงเบา “ไปห้องสมุดดีกว่ากว้าง ฉัน...อยากอ่านหนังสือ”

นายกว้างพยักหน้าว่าง่าย เธอไม่ได้อยากอ่านหนังสืออย่างที่ตอบนายกว้างไปหรอก แต่เธออยากไป เผื่อว่าอาจจะเจอใครบางคนที่หายตัวไปคนนั้นต่างหาก พริ้งแพรวพรรณ เธอไปอยู่ที่ไหนกันนะ

..............................................................................................

วรินธรบอกตัวเองว่าควรออกมาเดินเล่นเพื่อเก็บข้อมูล แต่จิตใจเธอกลับไม่ยอมเก็บอะไรสักอย่าง มันคอยแต่มองหาร่างในชุดเดรสสีขาวว่าอาจจะอยู่ตรงไหนสักแห่งในโรงพยาบาล แต่ก็กลับมองไม่เห็นเลย

เธอไม่ได้มีเวลาว่างพอจะเสียสมาธิกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้นะ แล้วการมีหล่อนอยู่ใกล้ๆ ก็ชวนจะทำให้ระแวงซะเปล่าๆ

ทั้งที่บอกตัวเองว่ามันคือเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ

ข้อเท้าเริ่มปวดขึ้นมาอีก หลังจากเธอเดินท่องไปสามตึก และถ้ายังฝืนเดินต่อ มีหวังคืนนี้เธอได้นอนเป็นผักอีกแน่ๆ นี่ขนาดเธอนอนมาเกือบทั้งบ่าย ยังไม่สามารถเติมพลังได้เลย เธอรู้สึกเพลียแทบจะตลอดเวลา เจ้าแบคทีเรียพวกนั้นมันทำพิษเสียแสบ เฮ้อ...

วรินธรตัดสินไม่เดินไปยังลานจอดรถ หันหลังกลับห้องตัวเองดีกว่า นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เมื่อเดินถึงหน้าห้องพบประตูห้องเปิดอ้า สีหน้าซีดเซียวเริ่มดีขึ้น พลางพาตัวเองก้าวขาเร็วอีกหน่อย แต่แล้วก็พบเพียงแค่พนักงานโรงพยาบาลที่นำถาดอาหารมาส่ง เธอพึมพำขอบคุณอีกฝ่าย พลางปิดประตูให้ มองอาหารบนโต๊ะอย่างเนือยๆ

นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอไม่วิ่งเข้าหาอาหาร แค่เดินไปนั่งอย่างเชื่องช้า แล้วตักใส่ปากราวกับระบบอัตโนมัติ ครู่หนึ่งเสียงเคาะประตูห้องก็ดัง เธอขานรับหลังจากเสร็จคำสุดท้าย เห็นนางพยาบาลหุ่นดีเดินยิ้มหวานเข้ามาก่อน ชูถ้วยยาเม็ดให้เธอดูเพื่อเตือนว่าถึงเวลาต้องกินยาหลังอาหารแล้ว

และตามด้วยร่างสมส่วนสูงปานกลางของหมอเจ้าของไข้ หน้าตาของหล่อนผ่องใสอิ่มเอิบ วรินธรเดาในใจว่าหล่อนต้องมีเรื่องอะไรดีใจมากแน่ๆ อาจจะเป็นวันนี้ไม่ต้องเข้าเวร หรือไม่ ก็มีนัดเดทกับคนรู้ใจ

“ไงคะหมอ วันนี้มีอะไรดีเหรอ” วรินธรอดไม่ได้หลุดปากแซว อินทนิลหน้าเก้อไปนิด ก็หรี่สายตา

“ทำไมทักหมอก่อนอย่างนี้คะ หมอสิควรถามคุณก่อน เป็นไง วันนี้ดีขึ้นหรือยัง”

เธอยิ้มเนือย “ก็ดีค่ะ แต่คงไม่ดีเท่าหมอแน่ๆ วันนี้พอจะเดินได้บ้างแล้วล่ะ แผลก็ ไม่ค่อยปวดแล้ว”

อินทนิลกวักมือเรียกพยาบาลมาช่วยล้างแผลที่แขนของเธออย่างเอาใจใส่ วันนี้หล่อนอารมณ์ดีจริงๆ ล่ะ มีการฮัมเพลงขณะทำแผลด้วย

“เสร็จแล้วค่ะ แผลค่อนข้างดีนะ ไม่อักเสบอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกไม่กี่วันก็หาย”

“ฉันก็หวังอย่างนั้น”

สายตาของวรินธรกวาดออกไปนอกหน้าต่าง พลางเอนตัวลงพิงที่นอน เมื่อสบตากับหมอ จึงได้เลิกคิ้ว

“วันนี้คุณดูเงียบๆ นะ”

“หืม ก็หมอไม่ได้ถามอะไรฉันนี่นา”

“ถ้าย้อนกันอย่างนี้ค่อยเหมือนเดิมหน่อย”

วรินธรยิ้มรับคำพูดนั้น พลางถามอย่างคาดเดา “ฉันว่าฉันก็ปกติดี หมอต่างหากที่ร่าเริง วันนี้คงมีอะไรพิเศษจริงๆ นั่นแหละ”

อินทนิลหัวเราะจนตายิบหยี แก้มทั้งสองข้างแต้มสีชมพู ทั้งจากเครื่องสำอางและจากอารมณ์ภายใน หล่อนดูดี และดูคล้ายกานต์ชนิตเหมือนกันนะ โดยเฉพาะแก้มอิ่มๆ ทั้งสองข้างนั่น

เมื่อรู้ตัวว่าได้เผลอไผลคิดไปเรื่องใด วรินธรก็เสสายตาไปทางอื่น ค่อยๆ ลอบถอนหายใจ

“วันนี้ฉันคงได้เลิกงานไวมั้งคะ ฉันตรวจคุณเป็นคนสุดท้ายแล้วก็จะกลับบ้านแล้วล่ะ”

“ถึงว่าสิ มีเวลาคุยกับฉันนานกว่าทุกที ส้มไหมคะหมอ” เธอหยิบส้มบนโต๊ะข้างเตียงส่งให้อีกฝ่ายง่ายๆ อินทนิลยังไม่รับ

“ส้มเยี่ยมคนไข้นี่นา”

“อือ ก็คนไข้ยกให้หมอจะเป็นไรไป ไหนๆ ก็ยังไม่ถึงเวลานัดนี่นา หมอนั่งคุยกับฉันรอไปพลางๆ ก่อนก็ได้” ดวงตาโตๆ ของหมอจ้องเธอทันที วรินธรเพียงแค่ยักคิ้วตอบ พลางกดรีโมททีวีเปิดหารายการดูอย่างไม่ต้องการปล่อยความคิดให้ว่าง

“ไม่ต้องถามหรอกว่าฉันรู้ได้ยังไง ก็หมอเอาแต่เหลือบมองนาฬิกาอยู่เรื่อย ชัดจะตายไป”

“เธอเนี่ย ร้ายกาจนะ อายุเท่าไหร่แล้ว”

“อ้าว มันก็เขียนบอกในประวัติคนไข้นี่นา หมอไม่ไปเปิดดูเองล่ะ”

อินทนิลค้อนขวับ และย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกข้างเตียงคนไข้ พลางเริ่มแกะส้มกินเช่นเดียวกับคนไข้ที่เริ่มแกะกินไปได้ครึ่งลูกแล้ว

“ถามอะไรทีต้องย้อนตลอดเลยนะ”

“ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้แหละ”

หมอส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจพลางส่งยิ้มให้เธอ เธอก็อดไม่ได้จะยิ้มออกมาบ้าง จวบจนกระทั่งเสียงมือถือของอินทนิลดังและหล่อนรับสายเสร็จ วรินธรจึงโบกมือลาหมอ

“ขอบคุณสำหรับส้มเยี่ยมคนไข้ค่ะ”

เธอยิ้มหวานตอบคนอารมณ์ดี “ด้วยความยินดีค่ะ”

อีกฝ่ายออกจากห้องไปแล้ว นำพาความอารมณ์ดีออกไปด้วย วรินธรรู้สึกเหนื่อยหน่ายฉับพลัน พลางเดินลงจากเตียง ลากเสาน้ำเกลือที่ดูจะเป็นเพื่อนยามยากไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งวันเพื่อเข้าห้องน้ำ จิงจ้อไม่รู้หายหัวไปไหน บ่ายนี้เธอยังไม่เห็นมันเลย คิดพลางปิดประตูห้องน้ำชักเข้าหาตัว พลันร่างใครคนหนึ่งที่พิงประตูอยู่ด้านในก็ไถลหงายหลังกับพื้นจนหัวโขกดังโป๊ก

“โอ๊ย”

วรินธรก้มลงเห็นศีรษะอันกลับหัวของอีกฝ่ายห่างปลายเท้าไปแค่ครึ่งซีกของลูกส้ม

“กานต์ชนิต?”

สีหน้าหล่อนโอดโอยก็จริง แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเธอสายตาที่ริบหรี่เพราะความเจ็บจึงเปิดกว้าง หน้าตาดีใจที่ได้เห็นเธอพลันก็ส่งยิ้มแหยให้ น้ำตาเม็ดเล็กไหลออกจากปลายหางตานิดหน่อย เจ้าตัวยกมือซับอย่างว่องไว วรินธรเงยหน้ามองฝักบัวและถอนหายใจ ลมหายใจที่นำพาความหวาดวิตกอึมครึมออกไปจนหมดสิ้น และอดไม่ได้ก้มหน้าลงส่งยิ้มกลับให้กับอีกฝ่าย

“ไปทำอะไรในห้องน้ำ”

แววตากานต์ชนิตเลื่อนลอยชั่วแวบ ก่อนจะยิ้มแหะดังเดิม “ฉันนั่งเฉยๆ แล้วเผลอหลับไปน่ะ”

คงเป็นความซื่อที่ทำให้ในใจของวรินธรรู้สึกเอ็นดู ห้องน้ำคงเย็นดีสำหรับหล่อน เพราะวันนี้อากาศค่อนข้างร้อน แต่มันตลกดีที่สามารถหลับในห้องน้ำก็ได้ด้วย คนอะไร เธอยื่นมือดึงให้หล่อนลุกขึ้นยืน แต่ว่ามือของหล่อนนั้นช่างเย็นเฉียบคล้ายขวดน้ำแช่เย็น เมื่อแสงส่องใบหน้าของอีกฝ่ายจนชัด จึงได้เห็นความซีดเซียวรวมทั้งริมฝีปากก็แทบจะกลืนไปกับสีเนื้อ

คิ้วของวรินธรขยับเข้าหากัน ทำไมหน้าตาของเธอเป็นแบบนี้... ทั้งที่เกิดคำถามในใจ แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับเป็นอย่างหนึ่ง “เธอหายไปไหนมาทั้งวัน แอบเอาเรื่องฉันไปเล่าให้ใครฟังล่ะสิ”

เป็นคราวของกานต์ชนิตที่ขมวดคิ้วบ้าง หล่อนกำลังน้อยใจ แววตานั้นบอกชัด และมันออกสีแดงเรื่อเหมือนคนกำลังกลั้นร้องไห้ เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอย่างที่เธอกล่าวหา แต่ปากเธอก็เป็นอย่างนี้ให้ทำยังไงได้

“ถ้าฉันเจอหน้าเธอแล้วเธอจะระแวงฉันทุกครั้งอย่างนี้นะ ฉันไม่มาให้เธอเห็นหน้าจะดีกว่า”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินจงใจชนไหล่เธอแรงๆ ก่อนผ่านออกไป วรินธรหันกลับหลังพลางดึงแขนอีกฝ่ายไว้ อาการทรงตัวไม่ค่อยได้ของหล่อนค่อนข้างชัดว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

วรินธรกุมแขนหล่อนแน่นดึงให้หันกลับมา “นี่ติดโรคจากใครรึเปล่า ทำไมเธอตัวเย็นอย่างงี้”

กานต์ชนิตมองเนื้อตัวของตัวเอง พลางส่ายหน้า “ตัวฉันมันเคยอุ่นเมื่อไหร่ล่ะ ฉันว่า...ฉันจะไม่ตามเธอแล้วล่ะวรินธร ฉันจะกลับไปอยู่ในที่ของ...ฉัน”

ไม่ทันสิ้นประโยคดี ร่างตรงหน้าก็เซวูบ เธอขยับตัวสอดแขนใต้รักแร้อีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ พยุงร่างอ่อนปวกเปียกไม่ให้ล้มไปกองกับพื้น พลางเขย่าตัวหล่อนแรงๆ

“เฮ๊ย กานต์ชนิต กานต์ เป็นอะไรไป”

กานต์ชนิตกลอกสายตาไปมาเรียกหาสติ แล้วมองโฟกัสใบหน้าเธอใหม่ สายตาหล่อนเลื่อนลอยครู่หนึ่งสักพักก็กลับมาเหมือนปกติ วรินธรรู้สึกได้ว่าต้นแขนที่เธอพยุงก็เย็นเช่นเดียวกับลำตัวที่ชิดติดกัน แก้มของหล่อนก็ซีดเซียวจนเหมือน... เธอกลืนน้ำลายลงคอ ... ใช่แล้วหล่อนเหมือนศพ วินาทีนั้นเองที่เธอเริ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นผี มืออีกข้างจึงยกทาบข้างแก้มเย็นๆ

ความอุ่นร้อนทำให้กานต์ชนิตสะดุ้ง

“เธอตัวร้อนมากเลยวรินธร”

“ฉันว่าเธอต่างหากที่ตัวเย็นมาก แล้วนี่หายไปไหนมาตั้งนานสองนาน ฉันเดินตา... เอ้อ ฉันนึกว่าเธอหนีกลับไปแล้ว”

“ฉัน...” ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองอย่างนึกคำตอบ คงจะเป็นเพราะขนตาเป็นแพนี่ล่ะมั้งที่ยิ่งทำให้ดูตาโต “เจอท่านเจ้าที่น่ะ”

เจ้าที่อีกแล้ว?

“เฮ้อ เธอไม่เชื่อฉันแน่ ไม่รู้ฉันจะเล่าไปทำไมให้คนฉลาดอย่างเธอฟัง”

ฟังคำประชดแล้ววรินธรกลับขำ “ก็ลองเล่ามาก่อนสิ”

หล่อนมองเธออย่างประหลาดใจ เธอพยักหน้าตอบให้เล่า สักพักหล่อนจึงเล่า “เขาเป็นเจ้าที่ของที่นี่ ตัวเขาเล็กเหมือนเด็กสิบขวบ แต่เวลาเขาพูดหรือมองหน้าฉัน ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าฉันมาก วันนี้เขาพาฉันไปกินข้าว”

กิจกรรมแต่ละอย่าง อดขัดไม่ได้จริงๆ “กินข้าว?”

“ใช่ ที่โรงอาหาร มีชายคนหนึ่งซื้อข้าวไว้แล้วเขาต้องไปดูภรรยาคลอด ฉันก็เลยได้กินข้าวของเขา”

“ไหนเธอว่าเธอเป็นผี แล้วทำไมต้องกินข้าว” วรินธรสงสัยหนัก ปล่อยมือที่พยุงอีกฝ่ายทันที กานต์ชนิตหน้าตาเหรอหรา เซเสียหลักไปนิดหน่อยก่อนพยายามจะยืนให้ตรงได้ในที่สุด

“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้ ฉันรู้แต่ตั้งแต่เธอเห็นฉันได้ ฉันก็เริ่มหิวข้าว ท่านเจ้าที่แนะนำว่าฉันควรกินข้าวก็เท่านั้นเอง”

เธอไม่เชื่อคนพูดร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ไม่เห็นแววโกหกจากดวงตากลมโตก็ตาม เมื่อตัดสินใจให้ตัวเองเชื่อหรือไม่เชื่อไม่ได้ ความสับสนจึงบังเกิด เธอเปลี่ยนเป็นเดินกลับไปนั่งบนโซฟา

“ถ้าเธอไม่เชื่อ เดี๋ยวฉันกินส้มนี่ให้ดูก็ได้”

ว่าแล้วหล่อนก็เดินไปหยิบส้มเยี่ยมคนไข้แกะแล้วใส่ปาก เคี้ยวๆ กลืนอย่างคนปกติ

“เห็นไหม ฉันกินได้จริงๆ”

วรินธรได้แต่มองหล่อนอย่างทึ่งจัด งุนงงสงสัย “เธอนี่มัน... เป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย”

กานต์ชนิตยิ้ม ริมฝีปากรูปหัวใจค่อยดูสดใสขึ้น พลอยทำให้สีเลือดฝาดปรากฏขึ้นด้วย

“ถ้าฉันรู้ ฉันคงไม่ต้องมาตามเธออย่างนี้หรอก ฉันคงไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบแล้ว” คนพูดก้าวเข้ามานั่งบนโซฟาข้างกายเธอ “นี่วรินธร เมื่อกลางวันฉันไปเจอใครบางคนมาด้วย”

ประโยคแรกยังทำให้วรินธรคิดไม่ทันสุด ประโยคหลังก็ชวนให้สงสัยอีกแล้ว หล่อนมองใบหน้าเธอนิ่งไปนิด ก็เอ่ยอีกเรื่อง “ตัวเธอนี่ อุ่นสุดๆ ไปเลยนะ อุ่นเหมือนเตาถ่าน”

มันก็เป็นแค่คำพูดง่ายๆ กับดวงตาซื่อๆ แต่คนฟังกลับคิดลึก จนเหล่ตามองหน้าหล่อนใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนไม่ได้ยั่วอะไรเธอใช่ไหม นี่คิดอะไรติดเรตหรือเปล่า หรือเธอคิดไปเอง

เอ้อ...วรินธรพยายามกะพริบตาเรียกสติทั้งที่ไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็รู้ตัวดีว่าอีกไม่ช้าหน้าของตนเองมันคงขึ้นสีเข้ม จึงหันหน้ามองไปคนละทาง และรีบกลบด้วยคำถาม

“พูดเรื่องอะไร ไม่เห็นเข้าใจ แล้วไปเจอใครมา”

“เอ้อจริงด้วย” กานต์ชนิตหันมองทีวีเช่นเดียวกับเธอ “เจอหมออินทนิลกับผู้หญิงคนที่เธอตามหา คนที่เป็นคนร้ายในโรงหลอมน่ะ”

“อะไรนะ!” วรินธรตาโต ลืมคิดเรื่องหน้าร้อนหน้าแดงไปซะหมด

กานต์ชนิตเองก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น “แพทย์หญิงคนที่อยู่ในมือถือของเพื่อนเธอไงล่ะ ฉันเจอที่ลานจอดรถตอนกลางวัน น่าจะรู้จักกับหมออินทนิลด้วย เพราะเขาคุยกันและเดินจูงมือกันไปในตึกตรงข้าม”

งั้นหล่อนก็ต้องเป็นหมอในโรงพยาบาลนี้ไม่ผิดแน่ “แล้วเธอเห็นรึเปล่าว่าแพทย์คนนั้นอยู่แผนกไหน”

กานต์ชนิตยิ้มเจื่อน “ฉันไม่ได้ตามไปขนาดนั้นหรอก ฉันตามไม่ได้... ฉัน แค่วิ่งมาหาเธอในห้อง แต่ก็ไม่เห็นเธอ”

วรินธรผุดลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาเพื่อคิด ข้อเท้าที่ปวดหนึบทำให้ตัวเองต้องใจเย็นรอบคอบ ไม่ผลีผลามฝืนสังขารจนเกิดเรื่อง จึงได้แต่กดมือถือโทรหาจิงจ้อ จิงจ้อปิดเครื่อง แสดงว่ากำลังปฏิบัติการบางอย่างที่สำคัญ จะข้อความทิ้งไว้ให้ กับเรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง เธอหยุดมองไปยังประตูห้อง คิดจะออกไปสำรวจเหมือนกัน แต่ใบหน้าอันสดใสของอินทนิลแวบเข้ามา วันนี้หล่อนคงไม่อยู่ในโรงพยาบาลแน่ และคงจะออกไปไหนต่อไหนแล้ว ดังนั้นเธอจึงกลับไปนั่งบนเตียง ปิดไฟ แล้วเอนตัวลงนอน

“อ้าว ฉันนึกว่าเธอจะรีบแจ้นออกไปตามหาซะอีก”

“ฉันก็อยากจะทำอย่างงั้น แต่วันนี้ฉันเดินมามากแล้ว คงต้องเป็นพรุ่งนี้”

“แล้วจะนอนเนี่ยนะ”

“นอนคิดเฉยๆ เธอจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย”

“ก็ฉันเจอคนร้ายที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้แล้วนี่ ฉันก็ต้องตื่นเต้นสิ เธอสิ ทำไมยังนอนได้หน้าตาเฉย”

วรินธรเบนหน้ามองคนบนโซฟา แสงไฟจากนอกอาคารสาดส่องใบหน้าหล่อนอันงงงวย “อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าหล่อนเกี่ยวข้องกับหมอหนึ่ง เท่านี้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้วล่ะ จะว่าไป เธอก็ใช้การได้เหมือนกันนะ”

กานต์ชนิตเอียงคอตามใบหน้าเธอที่เอียงซบกับหมอน วรินธรหลุดยิ้ม “เอียงคอทำไม”

“เธอเนี่ย ประหลาดที่สุดในโลก”

“นอนเถอะ พรุ่งนี้เราค่อยไปสืบกัน วันนี้เราต้องนอนเอาแรงนะ เอ เธอกินได้เหมือนคนปกติ แล้วง่วงได้เหมือนคนปกติหรือเปล่า”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:09:09 อาคาริ »




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่สิบเอ็ด Keep Warm(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 02:07:33 »
(ต่อ)

“ฉันหลับได้เหมือนคนปกตินั่นแหละ ทุกทุกทีที่เธอหลับ ฉันก็หลับ”

วรินธรหัวเราะหึๆ พลางเบนหน้ามองเพดาน และหลับตานิ่งไป ปล่อยให้ใครอีกคนที่เอียงคอมองดูอยู่ได้แต่ทึ่ง

“วรินธร..”

ความเงียบเป็นคำตอบให้กานต์ชนิต

“นี่ พาย หลับแล้วเหรอ”

วรินธรปล่อยความคิดรวบรวมเรื่องต่างๆ เข้ามาในสมอง และเข้าสู่สมาธิในที่สุด ไม่ได้สนใจฟังเสียงของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “นี่หลับแล้วเหรอ โหย คนอะไร หลับไวชะมัดเลย”

กานต์ชนิตบ่นกับตัวเอง จนแน่แก่ใจว่าวรินธรหลับจริงไม่ได้โกหก ก็ค่อยเอนตัวลงนอนบ้าง ดึงผ้าห่มที่ปลายเท้าห่มตัว รับรู้รังสีอุ่นๆ แผ่กระจายจากร่างนั้นก็ถอนหายใจ แม้จะไม่เข้าใจที่มา แต่เธอก็รู้ล่ะว่าจะเป็นการดีที่สุดถ้าจะอยู่ใกล้หล่อนเข้าไว้ เพราะวรินธรเป็นเตาถ่านเคลื่อนที่ไงล่ะ

... จบบทที่สิบเอ็ด Keep Warm

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.