web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 440
Most Online Ever: 440
(วันนี้ เวลา 03:05:22)
Users Online
Members: 0
Guests: 363
Total: 363

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 22  (อ่าน 1535 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 22
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:33:49 »
ตอนที่ 22.1
วันที่ 25 ธันวาคม 2556
ปณิตาตื่นนอนแต่เช้าตรู่ รีบอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนมีระบายตรงสาบเสื้อกับกระโปรงยาวพอดีเข่าสีเทา เตรียมตัวไปทำงานตามปกติ แต่ก่อนจะออกจากบ้าน หญิงสาวหอบกระเป๋าและเสื้อสูทเดินตรงไปยังโต๊ะกลมสีขาวบริเวณสวนหน้าบ้าน เพราะบิดามารดาของเธอกำลังนั่งจิบกาแฟกันอยู่ที่นั่น ปณิตาหัวเราะคิกคักเบา ๆ เมื่อสายตาเธอเห็นเจ้าชิคกี้เดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ปลายเท้าของคุณพ่อ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อคุณแม่”
คุณนายรวิวรรณยิ้มหวาน ส่งคำทักทายยามเช้าแบบเดียวกันให้ลูกสาว ส่วนคุณปณิธีหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... พอได้ยินเสียง เห็นว่าแม่มา ชิคกี้มันทิ้งคุกกี้ รีบวิ่งแจ้นไปหาเลยแฮะ”
ปณิตายิ้มขำ วางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ พาดเสื้อสูทไว้บนพนัก เธอโน้มตัวก้มลง ใช้มือที่ว่างจับอุ้มลูกชายคนโปรด... เอ้ย... ตัวโปรดขึ้นมาแล้วพูดโอ้อวดเสียงใส
“หลานชายพ่อน่ารักใช่ไหมล่า~ ไก่แจ้ขาวหางดำซะด้วย”
“หาหลานชายให้พ่อได้แล้ว... แล้วเมื่อไหร่จะหาลูกเขยให้?”
คำแซวของคุณพ่อเปลี่ยนยิ้มกว้างของปณิตาให้เป็นยิ้มแหยยิ้มเจื่อนได้โดยใช้เวลาเพียงชั่วเสี้ยววินาที คนเป็นลูกสาวหัวเราะแหะ ๆ ในใจพูดเสียงอุบอิบว่า...
ปริมไม่ได้หาลูกเขยให้
มีแต่ว่าที่ลูกสะใภ้วัยละอ่อน ยังเรียนอยู่ชั้น ม.4
ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้า จะว่าอะไรไหมอ่า >_<

พอเห็นลูกสาวเกิดอาการยืนนิ่งเป็นรูปปั้นคนอุ้มไก่ แสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณปณิธีจึงชิงตัวหลานชายไก่แจ้มาอุ้มและเลิกคิ้วถาม
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? ไม่ต้องคิดมากลูก พ่อก็ถามแซวไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้เร่งรัดรีบร้อนให้ปริมหาคู่หาแฟน”
“.........”
“รึที่นิ่งไปนี่เพราะมีแฟนแล้ว แต่ไม่ยอมบอกพ่อกับแม่?”
“.........”
ปณิตายืนยิ้มแหย เริ่มมีเหงื่อซึมบริเวณหน้าผาก กำลังคิดชั่งใจ จะบอกเรื่องแฟนของตนให้คุณพ่อคุณแม่ทราบตอนนี้เลยดีไหมน้า ไหน ๆ คุณพ่อก็เปิดประเด็น ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ปณิตาคิดพร้อมกับสูบลมเข้าปอด รวบรวมความกล้า ริมฝีปากอิ่มสั่นนิด ๆ เริ่มขยับอ้าออกจากกัน...
“คุณพ่อคุณแม่คะ... ปริม...”
บุพการีทั้งสองท่านจ้องมองเธอตาเขม็ง ปณิตาจึงหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้น ลอบกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ความกล้าที่รวบรวมจากอากาศมาเมื่อครู่สลายตัวหายลงคอไปหลายร้อยล้านโมเลกุล
“คือว่า... คือว่าปริม...”
“........” คุณพ่อจ้องตาไม่กะพริบ คุณแม่นั่งลุ้นจนลืมหายใจ เจ้าไก่ชิคกี้อ้าปากน้อย ๆ เอียงคอมองเธอ
“คือว่า... คือว่า... ป... ปริมไปทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ รถติดมากกว่าเดิม ปริมกลัวไปทำงานสาย ไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”

ปณิตาพูดเสียงระรัวจนลิ้นพันกัน หลังพนมมือไหว้ลาบิดามารดา เธอก็หิ้วกระเป๋าคว้าเสื้อสูท เดินฉิวตัวปลิวไปยังรถยุโรปสีดำคันโต ท่าทางรีบร้อนลุกลี้ลุกลน ทำตัวเหมือนแมวโดนหมาวิ่งไล่

แง้ว~... ตอนนี้แมวใหญ่ยังไม่กล้าบอกคุณพ่อคุณแม่อ่า
อยู่ ๆ คุณพ่อก็ถาม
แมวใหญ่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ
แมวใหญ่ยังไม่พร้อม
แมวใหญ่กลัว (>ω<“)

พอมุดตัวเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของรถได้ ปณิตาก็บอกกับนพเก้าด้วยเสียงสั่น ๆ ว่าให้รีบไป คนขับรถได้ยินเจ้านายสาวถอนหายใจดังเฮือกจึงเหลือบตาไปจ้องกระจกมองหลัง ภาพสะท้อนบนนั้นคือปณิตาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า จับมันซับแตะตามไรผม ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง
“พวกคุณท่านว่ายังไงบ้างครับ?”
“ไม่ได้ว่ายังไง เพราะปริมยังไม่ได้บอกเลยค่ะพี่เก้า... เฮ้อ...”
“แล้วคิดจะบอกให้พวกคุณท่านรู้เมื่อไหร่ล่ะ?”
“ภายในปีนี้แหละ”
นพเก้าหัวเราะขำ “พูดเหมือนนานเลยนะครับ... ปีนี้ที่ปริมว่า มันเหลือเวลาอีกแค่เจ็ดวันเองนา”
“เฮ้อ...”
“ทำใจดี ๆ ไว้ครับ อย่าลืมสิว่าอย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่ถือหางข้างปริมอยู่แล้วตั้งสองคน ทั้งคุณปู่ แล้วก็นมแจ่ม”
“คุณปู่กับนมแจ่มจะช่วยปริมได้แค่ไหน? พ่อกับแม่จะคิดยังไง? จะยอมรับความรักของปริมกับน้องรึเปล่า? ถ้าพวกท่านไม่ยอมรับ ปริมจะทำยังไงดี?...”
“ใจเย็นครับ ใจเย็น ๆ”
“เฮ้อ... มันเย็นไม่ไหวอ่ะพี่เก้า ปริมร้อนใจ กังวลใจไปล่วงหน้า เมื่อคืนก็นอนแทบไม่หลับ”
“เรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ปริมกังวลก็ได้”
“ปริมก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นค่ะ... เฮ้อ...”

ความวิตกขับไล่ลมออกจากปอดของแมวใหญ่อีกครั้งดังเฮือก ปณิตาบอกกับตัวเองให้พยายามคิดในแง่บวก ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอะไรก็ดีไป หรือถ้าท่านจะว่าอะไร จะขัดใจ ไม่สนับสนุน ไม่ยอมรับความรักของเธอกับน้องอิน เธอก็พร้อมที่จะปักหลักสู้ไม่ถอย เธอพร้อมที่จะสู้เพื่อความรักก็จริง แต่ปณิตาคิดว่าคงจะดีกว่า ถ้าเรื่องจบลงแค่การเจรจา ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น และจะดีที่สุด ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยอมเข้าใจธรรมชาติของความรัก

ธรรมชาติของความรัก... ที่บริสุทธิ์ เกิดขึ้นได้ในใจของทุกชีวิต
ธรรมชาติของความรัก... ที่ไม่เคยคิดแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ไม่เคยกะเกณฑ์ห้ามปราม ออกกฎหมายห้ามว่าใครกับใครรักกันไม่ได้
ธรรมชาติของความรัก... ที่ทำให้คนมีรักรู้สึกหวงแหนผูกพันกับมัน ผู้ใดที่มีสิ่งก่อสร้างแห่งรักปลูกอยู่ในใจ มันยากนักที่จะห้ามมิให้ทำการต่อเติม สร้างเสริมสิ่งปลูกสร้างนี้ให้มั่นคง
และผู้ที่มีรัก ย่อมไม่มีทางยอมให้ใครมารื้อถอนทุบทำลายรักลง ทลายสิ่งปลูกสร้างซึ่งตนกับใครบางคนร่วมกันก่อจากก้อนรักทีละก้อนนี้ได้โดยง่าย

ปณิตาไม่อยากทำให้คฤหาสน์ความรักของบุพการีในใจเธอมีรอยร้าว ไม่อยากให้บ้านแห่งความรักหลังโตของเธอกับเด็กน้อยที่เพิ่งจะปลูกสร้างเสร็จใหม่ ๆ โดนคำสั่งเวรคืนไล่ที่ อยากให้ผู้คนและความรักทั้งสองบ้านอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ถ้อยทีถ้อยอาศัย...

ปณิตาคิดในใจดังนั้นแล้วพนมมือ ก้มศีรษะลงจนกระทั่งนิ้วโป้งทั้งสองจรดตรงหว่างคิ้ว สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คงมีแค่การอธิษฐาน ขอให้กุศลผลบุญที่เธอได้ทำมา ทั้งในชาติที่แล้ว ๆ มาและในชาตินี้ ช่วยส่งเสริมหนุนนำ ทำให้ความรักของเธอที่มีต่อทั้งสองฝ่าย ทั้งความรักที่มีต่อบุพการี และความรักที่มีต่อคุณแฟนเด็กน้อย ขอให้ความรักทั้งสองสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันในใจเธอได้อย่างสงบสุขด้วยเถิด สาธุ
.
.
เย็นวันเดียวกัน
หลังรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของวันเสร็จ ปณิตาก็เดินตามบิดามารดาไปนั่งลงบนเบาะหนังหุ้มนวมนุ่มของโซฟารับแขก ผู้เป็นพ่อเสียบเครื่องเก็บข้อมูลขนาดจิ๋วเข้ากับโทรทัศน์จอแบนเครื่องใหญ่ จากนั้นก็กลับมานั่งเอนหลัง พูดบรรยายสไลด์รูปภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ อวดให้ลูกสาวดูว่าพ่อกับแม่ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ปณิตาอมยิ้ม ดูรูปคุณพ่อคุณแม่ยืนโอบไหล่กัน แต่ภาพฉากเบื้องหลังนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ตั้งแต่หอนาฬิกาบิ๊กเบน หอไอเฟล กำแพงเบอร์ลิน กำแพงเมืองจีน ฯลฯ จนกระทั่งถึงประเทศสุดท้ายที่ไปมา ภาพท้ายสุดคือคุณพ่อคุณแม่กับลูกแกะนิวซีแลนด์ขนปุยหยิกหยอง ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องส่วนตัว ปณิตาเกิดอาการสะดุ้งเฮือกตกใจ นั่งตัวแข็งหลังตรง เพราะอยู่ ๆ คุณพ่อก็ถาม
“วันนี้วันเกิดน้องอินใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“พ่อกับแม่ฝากบอกแฮปปี้เบิร์ธเดย์น้องด้วยละกัน”
ปณิตารีบรับปากรับคำว่าจะทำตาม เธอลุกขึ้นยืน เตรียมจะเดินขึ้นห้อง
หญิงสาวลอบผ่อนลมออกจากปอด ฉีกยิ้มหวานอย่างโล่งใจ นึกขำตัวเองอยู่หน่อย ๆ แค่คุณพ่อเอ่ยชื่อน้องอินแค่นี้ ทำเป็นหายใจหายคอไม่ทั่วท้องไปได้

“เดี๋ยวก่อนลูก”
เสียงของคุณแม่ดังมาจากด้านหลัง ลูกสาวจึงหันทั้งตัวกลับไปมอง รอให้คุณแม่เดินมาหา จากนั้นปณิตาก็เกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องอีกหน เพราะคุณแม่บอกกับเธอว่า
“ว่าง ๆ ก็พาน้องอินกับคุณอรมาทานข้าวที่บ้านเราหน่อยซิ”
“ค่ะ”
ปณิตาพูดแค่นั้นแล้วยืนนิ่ง ไม่ยอมกะพริบตา ไม่ยอมขยับตัวเดินไปไหน คุณแม่ที่เดินผ่านตัวเธอไปแล้วจึงหันหน้ากลับมาถาม
“เป็นอะไรไปล่ะลูก?”
“ปละ... เปล่าค่ะแม่ ม... ไม่มีอะไร ปริมไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
ปณิตาเอ่ยคำพูดปฏิเสธแล้วรีบวิ่งแซงคุณแม่ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง แต่ก็ยังไม่วาย มีเสียงตะโกนตามหลัง
“อย่าลืมที่แม่บอกนะ ไปชวนน้องอินกับคุณอรมาทานข้าวที่บ้านเราด้วย”
“ค่ะ ๆ ไม่ลืมค่ะ ปริมจะโทรไปชวนเดี๋ยวนี้เลย”

ปณิตาเปิดประตูห้องนอน เดินไปทิ้งตัวหงายผึ่งกลางเตียงแล้วเอาสองมือปิดหน้า นึกสงสัยและกังวลใจ ทำไมคุณแม่ถึงย้ำนักย้ำหนา พูดกำชับกำชาถึงสองหน มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง บอกให้เธอชวนน้องอินกับคุณอรมาทานข้าวด้วยกันให้ได้ อยู่ดี ๆ คุณพ่อคุณแม่คงไม่นึกอยากจะชวนใครมาทานข้าวที่บ้านอย่างแน่นอน นี่คุณพ่อคุณแม่รู้ระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับน้องแล้วรึยังไง? แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากเธอขอร้องทุกคนที่รู้เรื่องราวความรักของเธอให้ปิดปากเงียบ เธอต้องการบอกกล่าวเรื่องสำคัญนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ทราบด้วยตัวเอง...

คิดจะบอกให้รู้อยู่แล้ว แต่ใจเธอตอนนี้รู้สึกทั้งกลัว ทั้งเกร็ง ทั้งเกรง
แค่คุณพ่อคุณแม่เอ่ยชื่อน้องอิน เธอก็เกิดอาการยืนนิ่ง ตัวแข็ง ปากสั่น
พอถึงเวลาต้องพูดต้องสารภาพจริง ๆ เธอจะกล้าพูดไหม

“โอ๊ย... ไม่บอกให้รู้วันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ต้องบอกอยู่ดี”

ปณิตาตะโกนเสียงอู้อี้เพราะยังมีมือปิดหน้าปิดปาก จากนั้นก็สปริงตัวลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปยังโต๊ะเครื่องแป้งข้างหัวเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก พอปลายสายกดรับ เธอก็รีบพูดธุระทันทีโดยไม่เอ่ยคำทักทาย
“น้องอินคะ วันศุกร์นี้พี่จะไปรับน้องอินกับคุณแม่มาทานข้าวที่บ้าน น้องอินกับคุณแม่สะดวกไหม?”

และแล้ว... วันเวลาก็เคลื่อนคล้อยผันผ่าน เข็มนาฬิกาหมุนวนไปทางขวาอีกเกือบสี่รอบ เมื่อถึงวันเวลานัดหมาย วันที่ 27 ธันวาคม หลังเลิกทำงานในวันศุกร์สุดท้ายของปี 2556 ปณิตาเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของรถยุโรปสีดำคันใหญ่ สั่งให้นพเก้าขับรถพาเธอเดินทางไปรับคุณแฟนเด็กน้อยที่โรงเรียน ต่อด้วยการไปรับคุณแม่ของเด็กน้อยที่บ้านพัก

ขณะนั่งอยู่ในรถด้วยกัน อรินทิพย์ส่งสายตาลอบมองคุณแฟนหลายครั้ง ตั้งแต่เธอก้าวขึ้นรถมา พี่ปริมกุมมือเธอเอาไว้ตลอดเวลา วันนี้พี่แมวใหญ่นั่งนิ่งเงียบขรึม พูดน้อยผิดปกติ รังสีความตึงเครียดแผ่กระจายออกมาจากร่าง เมื่อจังหวะพอเหมาะ คนที่เธอแอบมองหันหน้ามาจ้องเธอเช่นกัน เธอเห็นพี่ปริมรีบลบแววกังวลออกจากสายตา ส่งมือมาลูบศีรษะเธอ ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้มเบาบาง ก่อนจะถูกใช้เป็นทางผ่านของน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน พี่ปริมบอกกับเธอว่า...

“น้องอินไม่ต้องกลัวนะคะ พี่รักน้องอินนะ”

อรินทิพย์จึงส่งยิ้มให้ เธอรู้ดีว่าพี่ปริมเองก็กำลังนึกหวั่นและกังวลใจอยู่เช่นกัน แต่ผู้ใหญ่ก็ยังอุตส่าห์พูดปลอบใจเธอ เด็กสาวบีบกระชับมือนุ่มนิ่มของคุณแฟนให้แน่นขึ้นอีกหน่อย และขอเอนตัว เอียงหัวไปซบไหล่ ในเวลานี้ เธอเองก็คิดไม่ออกว่าจะพูดให้กำลังใจพี่ปริมอย่างไรดี ประโยคเดียวที่เธอคิดได้คงหนีไม่พ้น...
“อินก็รักพี่ปริมค่ะ”
“อื้อ... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยังรักกันเหมือนเดิมนะคะ”
“ค่ะ”

อรินทิพย์ดึงเปลือกตาลงมา ริมฝีปากมีรอยยิ้มติดอยู่ ความกลัวและความกังวลของเธอโดนคำรักของพี่ปริมเข้ามาเบียดแย่งพื้นที่คืน ความรู้สึกหวั่นวิตกที่เกาะกุมใจเธอโดนผลักจนลื่นล้มหล่นหาย ลูกแมวน้อยบอกกับตัวเองว่าตนไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ได้ยินคำยืนยันจากพี่แมวใหญ่ว่าจะรักกันต่อไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อรถยุโรปสีดำคันใหญ่จอดเทียบบันไดหน้ามุข สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รีบเดินมาต้อนรับแขก คุณปณิธีและภรรยาส่งยิ้มทักทาย พนมมือรับไหว้ ผายมือเชื้อเชิญ เดินนำทุกคนไปยังห้องอาหาร ระหว่างรับประทานมื้อเย็น คุณปณิธีและคุณนายรวิวรรณช่วยกันลอบสังเกตอาการท่าทางของลูกสาว ปณิตาคอยตักกับข้าวบริการน้องตลอด ซักถามว่าอร่อยไหม พูดจาเสียงใสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พ่อกับแม่ฟัง ซึ่งทุกเรื่องที่พูดก็หนีไม่พ้นเรื่องของคนที่นั่งข้าง ๆ บอกว่าน้องอินดีอย่างนั้น น้องอินน่ารักอย่างนี้ สายตาที่มองน้องนี่ก็ไม่คิดที่จะปิดบังแววหวาน คนเป็นพ่อเป็นแม่สังเกตเห็นดังนั้นก็ลอบมองตากัน แอบส่งเสียงทอดถอนใจ ไม่ต้องพูดจากันแบบออกเสียง ทั้งสองสามีภรรยาแค่มองสบตากัน ต่างคนต่างก็อ่านใจ อ่านความคิดกันออก

สิ่งที่เราสองคนนึกห่วงคิดกังวล
กลัวว่าลูกสาวของเราจะรักใคร่ชอบพอสาวน้อยชื่ออิน
แค่ดูสีหน้าแววตาของลูกที่มองเด็กคนนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราก็รู้
สิ่งที่เรานึกคิดกังวลกันอยู่ มันเป็นอย่างที่เราคาดเดาเอาไว้จริง ๆ

เมื่อเจ้าบ้านเห็นว่าทุกคนวางรวบช้อนส้อมไว้กลางจาน ยกแก้วดื่มน้ำไล่อาหารลงกระเพาะกันแล้วครู่หนึ่ง คุณปณิธีก็หันไปพูดกับลูกสาว
“ปริมเอารูปที่พ่อกับแม่ถ่ายตอนไปเที่ยวกันมาให้น้องดูซิ นั่งดูกับทีวีในห้องนั่งเล่นนั่นล่ะ เดี๋ยวให้นมแจ่มยกผลไม้ตามไปเสิร์ฟ”
“เอ่อ... คุณพ่อคะ... ปริมมีเรื่อง...”
“มีอะไรเดี๋ยวค่อยพูดกันนะลูกนะ พ่อกับแม่ขอคุยอะไรกับคุณอรก่อนแป๊บนึง เดี๋ยวตามไป”
“ค่ะ”

ปณิตาจำใจต้องพยักหน้า กลั้นเรื่องกลืนคำที่ตนอยากจะเอ่ยปากบอกลงคอไปก่อน เธอทำตามที่คุณพ่อสั่ง จูงมือเด็กน้อยไปยังห้องนั่งเล่น เปิดไฟล์รูปภาพรูปถ่ายให้น้องดู ปล่อยให้พ่อแม่ผู้ปกครองพูดคุยกันตามลำพัง สองตาของหญิงสาวมองดูรูปที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์ แต่ปณิตาไม่มีกะจิตกะใจจะส่งเสียงบรรยายภาพ หรือถึงแม้เธอมีอารมณ์จะพูด ปณิตาคิดว่าน้องคงไม่มีสมาธิมาตั้งอกตั้งใจฟังเธอแน่ ๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟายาว ทั้งสองสาวได้แต่กุมมือเย็นชืดชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่นานนักคุณนมแจ่มก็ตามมา คุณแม่นมมองสบตาคุณหนูและแฟนเด็กของคุณหนู วางจานแบนใส่ผลไม้ลงบนโต๊ะเตี้ยพร้อมกับส่งยิ้มให้ คุณนมแจ่มพูดกระซิบปลอบ บอกกับทั้งสองคนว่าไม่เป็นไร คุณแม่นมเกือบจะได้รับยิ้มตอบกลับ แต่ก็เพียงแค่เกือบ เพราะยิ้มของคุณหนูโดนเสียงโหด ๆ ของคุณปณิธีตะครุบจับไว้

“ปริม!”
“ค... คะ?”

ปณิตาสะดุ้งสุดตัว นั่งหลังตรงแหน่ว ใครมาเห็นคงอยากแซว นึกว่าเธอโดนพนักโซฟากลั่นแกล้ง พ่นเข็มแหลมเฟี้ยวจิ้มปักเอาตรงแก้มก้น หญิงสาวค่อย ๆ เอี้ยวคอเอี้ยวตัว หันกลับไปมองคุณพ่อ พอเห็นใบหน้าบึ้งตึงแดงก่ำของบิดา สีหน้าปณิตาเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามกับคุณพ่อทันที หญิงสาวเกิดอาการหน้าซีดปากสั่น กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ คุณพ่อทำท่าหงายมือ ขยับนิ้วสี่นิ้วงอเข้าหาตัว กวักเรียกเธอให้ไปหา พูดเสียงเข้มว่ามานี่ซิ ปณิตาจึงต้องลุกขึ้นยืน หญิงสาวหันไปมองสบตาคุณแฟนเด็กน้อย ปณิตารับกำลังใจในรูปแบบของรอยยิ้มและแรงบีบตรงมือมาถือเอาไว้ ก่อนจะเดินตามคุณพ่อไปยังห้องอาหาร เมื่อเท้าก้าวถึงประตู ปณิตาชะงักหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่สองสามอึดใจ เพราะสายตาส่งแฟ้มภาพใบหน้าและตาแดง ๆ ของคุณแม่ให้เธอดู แถมหูยังเดินมาบอกว่าได้ยินเสียงคุณแม่สะอื้นไห้อีกด้วย ปณิตาเริ่มขยับตัวได้อีกหนเพราะโดนคุณพ่อเรียกและร้องเร่ง บอกให้รีบมานั่งประจำที่ คนเป็นลูกสะดุ้งเฮือก เดินตัวลีบเข้าห้องอาหาร ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ในคอกจำเลย เอ้ย เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ทางตำแหน่งขวามือของคุณพ่อที่นั่งคุมหัวโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามกับคุณแม่ และฝั่งตรงข้าม เยื้องกับคุณอรทัย

“รู้ไหมว่าที่โดนเรียกตัวมาคุยนี่... เพราะเรื่องอะไร?”

เสียงถามเนิบ ๆ ของหัวหน้าคณะลูกขุนอย่างคุณปณิธีดังก้องไปทั้งห้องอาหาร หลังจากปล่อยให้ลูกสาวนั่งนิ่ง ก้มหน้าก้มตาฟังเสียงสะอื้นของคุณแม่อยู่นานสองนาทีกับอีกสิบสี่วินาที จำเลยออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย ตอบเสียงตะกุกตะกักทั้งที่ยังก้มหน้า ปณิตาพูดเสียงเบาหวิวขาดห้วง
“คิดว่า... ทราบ... นะคะ”
หัวหน้าลูกขุนถามเสียงเข้ม “ทำไมถึงทำแบบนี้?”
ปณิตากลอกนัยน์ตาไปมาซ้ายขวา ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี คุณพ่อถามว่าทำไมทำแบบนี้ เธอทำอะไรลงไปล่ะ? ก็แค่หลงรักเด็กสาวคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่สิ เหตุผลน่ะ มันก็มีอยู่ เพราะน้องอินน่ารักไง แต่จะให้ตอบคุณพ่อไปแบบนั้น เธอคงได้โดนคณะลูกขุนออกคำสั่งประหารก่อนจะได้พูดชี้แจงอะไรต่อไป เอ... แล้วเธอมีอะไรจะพูดชี้แจงให้ศาลบุพการีที่เคารพฟังกันล่ะ? ระหว่างที่ปณิตาคิดถามตัวเองอยู่นั้น หัวหน้าคณะลูกขุนก็ถามอีกครั้ง

“มีอะไรจะพูดไหม?”

จำเลยลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ เพื่อเคลียร์ลำคอให้โล่ง ถึงแม้ลำคอจะปลอดโปร่งแล้ว แต่เสียงที่ออกมาก็ยังเบากว่าเสียงพูดปกติ ปณิตามีแค่ประโยคเดียวที่อยากจะสารภาพให้คณะลูกขุนได้ฟัง ประโยคที่ว่านั้นก็คือ...

“ปริม... ปริมรักน้องอินค่ะ”

แล้วห้องทั้งห้องก็เงียบกริบไปสิบสองวินาที ก่อนที่หนึ่งในคณะลูกขุนอย่างคุณรวิวรรณจะเอ่ยปากซักถามจำเลยบ้าง

“มีอะไรรึว่าคบกับใครอยู่นี่ไม่คิดจะมาปรึกษาหารือ ไม่คิดจะบอกพ่อกับแม่เลยใช่ไหม? แต่ปริมกลับบอกให้คุณอรรู้ มันหมายความว่ายังไง?”

จำเลยยอมเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพราะคุณแม่ถามเสียงสั่น ออกแนวต่อว่า บ่งบอกถึงความรู้สึกน้อยใจ ปณิตาพูดแก้ข้อกล่าวหาด้วยเสียงสั่น ๆ ไม่แพ้คนถาม
“ก็... ก็... ก็ปริมกลัว... กลัวว่าพ่อกับแม่จะโกรธ จะรับไม่ได้นี่นา”
พอปณิตาพูดจบ คุณพ่อก็ส่งเสียงดุ ๆ
“พูดแบบนี้ฟังแล้วยิ่งน่าโกรธนะ ปริมดูถูกความรักของพ่อกับแม่เหรอลูก?”
“เอ่อ... คือ... ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
ปณิตาปฏิเสธเสียงหลง แต่ก็โดนลูกขุนรองโจมตีซ้ำ คุณรวิวรรณถามด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“ลูกคิดว่าแม่กับพ่อเป็นคนใจแคบใช่ไหม?”
“เปล่า... เปล่าค่ะ”
“ถ้าเปล่า แล้วทำไมไม่ยอมบอกให้พ่อกับแม่รู้ล่ะ?... มีอะไร คบกับใคร ก็ไม่เคยมาบอกกล่าวปรึกษาพ่อแม่เลย คนอื่นเขารู้เรื่องรู้ราวกันหมดแล้วยกเว้นพ่อกับแม่ใช่ไหม... คุณอรก็รู้ ปู่รินทร์ก็รู้ นมแจ่มก็รู้ นายเก้าก็รู้... นี่ถ้าพ่อกับแม่ไม่เชิญให้คุณอรกับหนูอินมาที่บ้าน ชาตินี้พ่อกับแม่จะได้รู้ไหมนี่ว่าทำไมลูกสาวถึงไม่ยอมชายตาเหลียวแลมองหนุ่มคนไหนเสียที... ฮือ... คุณคะ ลูกคิดว่าเราสองคนใจแคบจริง ๆ ด้วย”
คุณปณิธีก็ว่า “แทนที่จะบอกกล่าวให้รู้บ้างว่าคบกับหนูอินอยู่ แม่ของน้องรู้แล้วและไม่ได้ว่าอะไร ปริมไม่บอกไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้พ่อกับแม่คิดมาก เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ กลัวว่าทางคุณอรจะไม่ยอมให้คบกับลูกสาวเขา”
 
คุณแม่บ่นถามตัดพ้อเสียยืดยาวแล้วปล่อยโฮ คุณพ่อก็ต่อว่าเสียยาวยืดที่ทำตัวให้เป็นห่วง ส่วนคุณลูกสาวตอนนี้เกิดอาการตกตะลึงนั่งอึ้งอ้าปากหวอ ปณิตายังปรับจูนคลื่นสมองไม่ทัน

ทำไมเรื่องมันกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ?
เหตุไฉนเรื่องราวพลิกกลับตาลปัตร
ผิดไปจากที่คาดคิดกังวลไปล่วงหน้าแบบหันหัวกลับ 180 ํ อย่างนี้ไปได้ล่ะเนี่ย?
เอ... เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้
งั้นก็แสดงว่า...

“คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ... ที่ปริมกับน้องรักกัน?”

ปณิตาต้องรอจนกระทั่งคุณพ่อเดินไปหาคุณแม่ โอบกอดปลอบคุณภรรยาผู้มีอารมณ์อ่อนไหวมากมายให้หยุดร้องไห้เสียก่อน จึงจะได้รับคำตอบ คุณพ่อบอกกับเธอยิ้ม ๆ ว่า
“ถ้าพ่อกับแม่จะว่าจะห้ามปริมนะ พ่อกับแม่คงพูดไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว... มานี่เลย มากราบขอโทษคุณแม่ซะ”
ปณิตายิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายไหววิบด้วยความยินดีปนตื้นตัน ผู้เป็นลูกสาวรีบลุกไปหามารดา นั่งคุกเข่าลงกับพื้นข้างเก้าอี้ของคุณแม่ พนมมือแล้วก้มกราบลงบนตัก ปณิตาเงยหน้าขึ้นมา เธอกุมมือของมารดาเอาไว้แล้วเอ่ยคำขอโทษ ต่อด้วยคำชี้แจง
“ปริมขอโทษนะคะแม่... ปริมแค่เป็นห่วงความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นเอง ไม่เคยคิดดูถูกความรักของคุณพ่อคุณแม่หรอกนะคะ ในทางกลับกัน ที่ปริมไม่กล้าบอกเรื่องที่ปริมคบกับน้องอิน เป็นเพราะปริมคิดว่าคุณพ่อคุณแม่รักปริมมาก อาจจะรับไม่ได้และรู้สึกผิดหวัง เสียใจที่ลูกสาวคนเดียวรักผู้หญิงด้วยกันแบบนี้... ปริมไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้ไปตลอดหรอกนะคะ เมื่อกี้ตอนกินข้าวเสร็จ ปริมจะพูดบอกคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว แต่โดนคุณพ่อไล่ออกนอกห้องไปก่อน”
คุณนายรวิวรรณได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้นก็เริ่มยิ้มออก แต่หันไปส่งตาค้อนให้คุณสามี คุณปณิธีอุทานว่าอ้าว ถามคุณภรรยาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“สรุปว่าผมผิดใช่ไหมเนี่ย?”
“ใช่/ใช่ค่ะ”
คุณภรรยากับคุณลูกตอบพร้อมกัน จากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะยิ้มขำดังลั่นห้อง

ทางฝ่ายของเด็กน้อยที่นั่งรอคอยผู้ใหญ่อยู่ในห้องนั่งเล่น อรินทิพย์นั่งนิ่ง มือที่ประสานกันอยู่บนตักบีบเข้าหากันจนข้อนิ้วเป็นสีขาว เด็กสาวรู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจจนเหงื่อตก ภาพหน้านิ่วคิ้วขมวดของคุณลุงธี คุณพ่อของพี่ปริมตอนออกมาตามตัวลูกสาวให้กลับเข้าไปคุยด้วยยังติดตาเธออยู่เลย ลูกแมวน้อยจึงเป็นห่วงพี่แมวใหญ่เป็นนักหนา พี่ปริมจะโดนตำหนิต่อว่าอะไรบ้าง จะโดนสั่งห้ามไม่ให้คบหากับเธออีกต่อไปรึเปล่าก็ไม่รู้

มี้~ ลูกแมวน้อยกังวลใจ ลูกแมวน้อยกลัว (>人<“)
ไม่อยากให้เรื่องเป็นอย่างที่คิดเลย


“ลูกแมวน้อยจ๋า~”

เสียงหวานใสเจื้อยแจ้วของพี่แมวใหญ่ดังคับห้องโถง ลูกแมวน้อยสะดุ้งโหยง หลุดออกจากภวังค์ความคิด อรินทิพย์ยิ้มออกทันที พี่แมวใหญ่ร้องเรียกเธอด้วยน้ำเสียงเริงร่าขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องราวจบลงด้วยดี ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอกับพี่ปริมนึกกังวลไปล่วงหน้าใช่ไหม?

ต้องใช่แน่ ๆ

เพราะว่าพี่ปริมคลี่ยิ้มหวานมาแต่ไกล ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วคว้าตัวเธอไปกอดเสียแน่น ไม่ใช่แค่กอดอย่างเดียวเสียด้วยสิ มีเสียงฟอดฟอด จุ๊บจุ๊บ ดังตรงแก้มขวาของเธออีกต่างหาก อรินทิพย์จึงเกิดอาการหน้าแดงแจ๋ เนื่องจากตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ของพี่ปริมและคุณแม่ของเธอพากันมานั่ง รวมตัวกันอยู่บนโซฟารับแขก เด็กน้อยรู้สึกเขินอายจนอยากจะหนีหายแทรกตัวเข้าไปในเบาะของโซฟา
พี่แมวใหญ่อ่า... กล้ากอดจูบหอมแก้มหนูต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่เลยเหรอคะ
หนูอายจะตายอยู่แล้วน้า~ 

แล้วลูกแมวน้อยก็ต้องเพิ่มระดับความเขินอายขึ้นอีกสี่ร้อยยี่สิบสามจุดสามเก้าเท่า เมื่อได้ยินพี่แมวใหญ่พูดเสียงดังลั่นห้องนั่งเล่น

“น้องอินจ๋า...”
“>///////<”
“พี่ไม่อยากรอแล้วอ่า”
“ร... รออะไรคะ?”
“รอวันที่จะได้อยู่ด้วยกันไง...”
“!?”
“น้องอินคะ”
“คะ?”
“เรา... แต่งงานกันเถอะ”
“!!!”
O_O!!!

เมื่อกี้... อินไม่ได้หูฝาดใช่ไหมคะ?
พี่ปริม... ขออินแต่งงานเหรอ!!?

แต่งงาน...
ขอแต่งงาน...
พี่แมวใหญ่ขอหนูแต่งงานล่ะ...

อ๊ายยย~ ลูกแมวน้อยเขินนน~ >//////<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 20:42:07 Admin »




ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 22.2
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:35:40 »
ตอนที่ 22.2
ช่วงหัวค่ำของวันที่ 31 ธันวาคม 2556
ณ บ้านไม้หลังใหญ่กลางไร่องุ่นของคุณปู่นรินทร์
ปณิตาเดินออกจากห้องน้ำ อากาศที่หนาวยะเยือกจับใจทำให้เธอต้องรีบหาเสื้อยืดและกางเกงขายาวมาสวม ขอเพิ่มเกราะกันความเย็นโดยใส่เสื้อกั๊กไหมพรมแขนกุดสีขาว แถมด้วยเสื้อคาดิแกนแขนยาวสีแดงเลือดนกอีกหนึ่งตัว ก่อนจะออกจากห้อง ปณิตาหยิบหมวกไหมพรมถักแบบยาวปิดหูสไตล์เกาหลีในตู้เสื้อผ้าติดมือมาด้วยสองใบ

ก๊อก ก๊อก
เสียงใครมาเคาะบานประตูไม้ของห้องที่เธอพักอยู่ อรินทิพย์จึงส่งเสียงให้คนด้านนอกได้ยินแล้วรีบสอดมือเข้าไปในเสื้อแขนยาวสีชมพูแบบมีฮู้ด เด็กสาวเดินตรงไปยังประตู ขยับมือหมุนลูกบิด ผลักให้มันแง้มอ้าออกพร้อมกับยกมุมริมฝีปากปล่อยยิ้มหวาน จากนั้นเธอก็ยืนนิ่ง ๆ เพื่อให้พี่ปริมสวมหมวกไหมพรมปิดหัวปิดหูป้องกันความเย็นให้ หลังเธอกล่าวคำขอบคุณจบ พี่ปริมก็จับจูงมือเธอเดินลงจากบ้านหลังใหญ่ เหยียบย่ำไปบนพื้นหญ้าชุ่มน้ำค้าง บ้านสวยกลางไร่นี้ปลูกอยู่บนเนินสูง พี่ปริมพาเธอเดินไปใกล้สุดขอบริมเนิน ตรงนี้มีเสื่อผ้าใบปูลาดคลุมทับต้นหญ้าอยู่ พี่แมวใหญ่พาเธอไปร่วมวงนอนหงายดูดาวกับเบาะนอน หมอนหนุนและผ้าห่มผืนหนา พี่ปริมบอกว่าจะพามานอนดูดาว ทำกิจกรรมสองอย่าง ทั้ง count ดาว และ count down แต่สายตาของพี่น่ะ ไม่ได้จับจ้องเพ่งมองที่ท้องฟ้าเลยนะ พี่ปริมนอนตะแคง ใช้ศอกรองรับน้ำหนักของศีรษะ จ้องเธอตาไม่กะพริบมาหลายนาทีละ อรินทิพย์จึงขอหันไปถามแซวคุณแฟนเสียหน่อย
“พี่มองเห็นดาวอะไรบ้างคะ?”
“ก็... เห็นดาวดวงเดียวกันกับที่น้องอินเห็นนั่นแหละค่ะ”
“จะเห็นได้ยังไง?”
“เห็นสิ เพราะว่า... พี่มองตาของน้องอินอยู่... พี่กำลังมองภาพดวงดาวที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของน้องอินไงคะ”
พี่แมวใหญ่ส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาสวยคมทอประกายระยิบระยับวับไหว สว่างวาบวับวาวยิ่งกว่าแสงของดวงดาวที่เธอเห็นบนท้องฟ้าเมื่อสักครู่เสียอีก ลูกแมวน้อยมองสบประสานสายตากับพี่แมวได้แค่สองวินาที จากนั้นก็ทนมองต่อไปไม่ไหว มองสบตาพี่แมวใหญ่แล้วรู้สึกเขินยังไงก็ไม่รู้ ลูกแมวน้อยขอหันหน้ากลับไปมองดูดาวอย่างเดิมดีกว่า

ลูกแมวอมยิ้ม หันหน้ากลับไปมองดาว แล้วพี่แมวใหญ่ล่ะ ทำอะไร?

“พี่ปริม!... มือน่ะ อย่าซน!”
ลูกแมวน้อยร้องแง้วส่งเสียงแหว รีบจับมือซนที่ซอกแซกสอดมุดเข้ามาในกระเป๋าเสื้อแขนยาว ขยับยุกยิกอยู่ตรงข้างเอวของเธอ ซึ่งพี่แมวใหญ่ เจ้าของขาหน้าซน ๆ ก็ร้องหม่าวหม่าว อธิบายว่าที่พี่ทำแบบนี้เป็นเพราะว่า...
“พี่หนาวอ่ะ มือพี่เย็นเจี๊ยบเลยเห็นไหมคะ? ขอซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“กระเป๋าเสื้อของพี่ก็มีนิ่” >///////< อย่าขยับมือสิคะ ลูกแมวน้อยเขิน ลูกแมวน้อยจั๊กจี้
“เสื้อกันหนาวของพี่มันบาง อุ่นสู้เสื้อของน้องอินไม่ได้”
“งั้นก็ลุกขึ้นเลยค่ะ ไปหาเสื้อกันหนาวตัวใหม่มาใส่เลย”
“ลูกแมวน้อยใจร้ายอ่า~”
เธอดึงอุ้งเท้าหน้าของพี่แมวใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วตีซ้ำ พี่แมวใหญ่จึงร้องเหมียว ส่งเสียงโอดครวญตัดพ้อแล้วทำปากยื่น พลิกตัวหันหลัง นอนตะแคงหันหน้าไปทางอื่น ลูกแมวจึงยิ้มขำ ที่พูดที่ทำอย่างนั้นก็แค่อยากจะแกล้งแหย่ให้พี่แมวงอนเล่น

อรินทิพย์ลุกขึ้นนั่ง จับไหล่พลิกร่างของพี่ปริมให้นอนหงาย หยิบมือเย็น ๆ ของผู้ใหญ่มากุมเอาไว้ด้วยสองมือของเธอ เด็กน้อยยกมันขึ้นมาจรดกับริมฝีปาก เป่าลมหายใจอุ่นร้อนใส่เข้าไป ทำให้มือของผู้ใหญ่อุณหภูมิสูงขึ้น แล้วเธอก็ต้องคลี่ยิ้มหวาน เมื่อโดนมือที่เพิ่งจะอุ่นขึ้นนั้นประคองแก้ม แล้วจากประคองแก้ม มือข้างหนึ่งของพี่ปริมก็เริ่มเบื่อ อยากเปลี่ยนที่อยู่ สไลด์ตัวสอดอ้อมไปหลังคอ เหนี่ยวรั้งเธอให้ก้มลง อรินทิพย์ไม่ได้แข็งขืนฝืนร่าง ยอมปล่อยกายให้โน้มต่ำตามแรงดึง พี่ปริมจัดท่าทางนอนใหม่ ให้เธอนอนหนุนไหล่ นอนอยู่ในอ้อมแขน เธออดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินพี่ปริมบ่นเป็นหนที่ร้อยสามสิบห้า บ่นว่า...
“เวลาผ่านไปช้าจัง เมื่อไหร่น้องอินจะอายุครบสิบแปดซะที พี่ต้องรออีกตั้งสองปีเชียวเหรอ พ่อกับแม่เราก็ไฟเขียวให้คบกันได้แล้ว ทำไมไม่เปิดไฟเขียวอีกอัน ยอมให้พี่กับน้องอินอยู่ด้วยกัน”
“แล้วพี่จะรีบไปไหน? เราคบกันได้ยังไม่ถึงหกเดือนเลยนะคะ”
“เพราะพี่เป็นวัยรุ่นปีสุดท้ายแล้วไง ก็เลยใจร้อนเป็นพิเศษ”
“อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เดี๋ยวพี่ก็จะมีอายุเลยช่วงอายุที่เรียกว่าวัยรุ่นไปแล้ว เดี๋ยวพี่ก็คงจะใจเย็นลงเองล่ะค่ะ อิอิ”
“ยังค่ะ... ถึงจะขึ้นปีใหม่ พี่ก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ มันยังไม่ถึงวันเกิดพี่เสียหน่อย... น้องอินนิ่ ชอบพูดเหมือนเร่งอายุให้พี่แก่ขึ้นเร็ว ๆ... เอ้ย อายุมากขึ้นเร็ว ๆ อยู่เรื่อยเลย”
“ก็ถ้าพี่... แก่... ขึ้น มันก็หมายความว่าอินโตขึ้นไงคะ พี่บ่นอยู่ทุกวัน อยากให้อินโตเร็ว ๆ ไม่ใช่เหรอ? อิอิ”
“เน้นจริงนะ คำว่าแก่เนี่ย พี่ทนไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวจับจูบเร่งโตซะเลย”
คุณพี่ใจร้อนพูดขู่จบก็จัดการพลิกตัวเองมานอนทับเธอทันที เตรียมจะมอบจูบเร่งโตให้ แต่เด็กน้อยส่งมือไปปิดปากผู้ใหญ่เอาไว้ อรินทิพย์ส่งเสียงขำ พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ถ้าจูบแล้วโตเร็วขึ้นอย่างที่พี่ว่าจริง อินจะยอมให้พี่จูบ”
ผู้ใหญ่แกะมือเธอออกจากปากแล้วพูดยิ้ม ๆ “จูบแล้วโตเร็วขึ้นจริง ๆ นะ”
เด็กน้อยส่ายหน้าดิก “ไม่จริงอ่ะ อินไม่เชื่อ”
ผู้ใหญ่หัวเราะคิกคิก ก้มหน้าลงไปหาเด็กน้อยอีกนิด “เป็นเด็กเป็นเล็ก ผู้ใหญ่บอกอะไรก็ต้องเชื่อสิ”
เด็กน้อยอมยิ้ม พูดเสียงอุบอิบ “เรื่องอะไรจะเชื่อง่าย ๆ... ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ชอบเอาเปรียบเด็กหลอกเด็กมีเยอะแยะ”
ผู้ใหญ่ลดระดับความสูงของใบหน้าลงอีกหน่อย พูดกระซิบเสียงแผ่ว บอกเด็กน้อยว่า “จูบแล้วโตเร็วขึ้นจริง ๆ นะคะ... ไม่ใช่น้องอินที่โตขึ้น แต่เป็นความรักของพี่ที่จะโตขึ้นอีกนิดนึง”
เด็กน้อยเริ่มเชื่อที่ผู้ใหญ่พูด แต่ขอถามย้ำอีกที “จริงเหรอคะ?”
“จริงค่ะ”
อรินทิพย์ยิ้มเขิน ปิดปรือเปลือกตาลงเล็กน้อย เผยอริมฝีปากนิดหน่อย ยอมให้ผู้ใหญ่จูบแต่โดยดี...

ถ้าจูบแล้วจะทำให้ความรักของพี่โตขึ้น
อินยอมให้พี่จูบก็ได้
ขอให้โตเร็ว ๆ นะคะ...
ความรักของพี่ปริม >///////<
...........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 20:42:48 Admin »

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.