web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 440
Most Online Ever: 440
(วันนี้ เวลา 03:05:22)
Users Online
Members: 0
Guests: 414
Total: 414

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 13  (อ่าน 1042 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 13
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 15:59:19 »
พี่ปริมจูบเค้าจริง ๆ ด้วย >_<
จูบแรกของเค้าเลยนะ จูบที่สองก็ด้วยอ่ะ
จูบที่สามกำลังจะโดนขโมยในอีกหนึ่งวินาทีข้างหน้านี่แล้ว

ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง!
ฉ่า~ ฉ่า~ ฉ่า~
อ๊ายยย~ เด็กน้อยเขินนน~ >//////////<

เด็กน้อยเขินจนพูดไม่ออก ขยับตัวไม่เป็น ตอนนี้อรินทิพย์เป็นได้อย่างเดียวคือสแตนด์อิน ให้พี่ปริมซ้อมบทจูบต่อไป
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ (ɔˆ ³(>/////<c)
...............

ตอนที่ 13
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ (ɔˆ ³(>/////<)
ริมฝีปากนุ่มนิ่มชื้นนิด ๆ ของแมวใหญ่ประกบแตะทาบไปบนริมฝีปากแดงอมชมพูจิ้มลิ้มของลูกแมวน้อย ลูกแมววัยแรกแย้มที่เพิ่งโดนแมวตัวโตเปิดซิงชิงสามจูบแรกในชีวิตได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ สัมผัสผะแผ่วไม่หนักไม่เบาคล้ายโดนขนมเจลลี่แตะริมฝีปากเพียงแค่นี้ อรินทิพย์สงสัยเหลือเกินว่าทำไมมันมีอิทธิพลนัก สัมผัสที่ริมฝีปากนิดเดียว แต่ส่งผลไปถึงอวัยวะอื่นได้มากมาย พอริมฝีปากของเธอแตะกับอวัยวะเดียวกันของพี่ปริม มันทำให้หัวใจของเธอเต้นสะดุดหยุดชะงักไปชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะเต้นตึกตักระรัวเร็วรี่ มันคงบีบคลายตัวเต้นให้เร็วขึ้นเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่แอบเต้นสะดุดไปเมื่อครู่ละมั้ง แล้วนี่จูบไปทำอะไรกับอวัยวะภายในช่องท้องของเธอกันหนอ? สัมผัสแผ่วที่ริมฝีปากมีฤทธิ์ทำให้อวัยวะในช่องท้องหายไปได้หรืออย่างไร? ทำไมเธอรู้สึกเหมือนตัวเองท้องไส้กลวงโบ๋หวิว ๆ แบบนี้ล่ะ?

“น้องอิน!... น้องอินคะ!... หายใจค่ะ!... หายใจ!”

พี่ปริมพูดเตือนแล้วทำท่าสูดลมหายใจเข้าดังฟื้ดให้ดูเป็นตัวอย่าง อรินทิพย์รีบทำตามที่ผู้ใหญ่บอก เด็กน้อยเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนลืมหายใจ ก็เพราะเธอมัวแต่ตกตะลึง ตกใจ ตื่นเต้น เขินอาย แล้วก็สงสัยด้วย อารมณ์ความคิดและความรู้สึกหลายอย่างในใจเธอกำลังแข่งกันชูมือขึ้นสูง เบียดเสียดชนไหล่ กระแทกก้นใส่กันไปมาพร้อมกับตะโกนปาว ๆ ขอให้เธอเลือกที่จะแสดงอารมณ์และความคิดเหล่านั้นออกมา

เอ... จะเลือกแสดงอารมณ์อะไร พาความรู้สึกไหนออกมาก่อนดีล่ะ?

เด็กน้อยถามตัวเองในใจแล้วก็ได้แต่ยืนนิ่ง กะพริบตาปริบ ๆ สองที เนื่องจากเลือกไม่ถูก

“ลูกแมวน้อย? น้องอินคะ? โดนพี่จูบจริงนิดเดียวถึงกับช็อกไปเลยเหรอเนี่ย!? ทำไงดี!? ทำไงดี!?...”
พี่แมวใหญ่จับต้นแขนเธอทั้งสองข้างและเขย่าตัวเธอไปมา ทั้งเสียงพูด สีหน้า แววตา อรินทิพย์เห็นชัดว่าพี่ปริมกำลังตื่นตระหนกตกใจ ลูกแมวน้อยจึงเริ่มสั่งให้ตัวเองขยับตัวและพูดอะไรเสียที ก่อนที่แมวใหญ่จะตกใจไปมากกว่านี้
“อ... อิน... อินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“เฮ้อ... ลูกแมวน้อยของพี่... พี่ทำให้น้องอินตกใจเหรอคะ พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษ”
พี่ปริมส่งเสียงถอนหายใจยืดยาวอย่างโล่งอก จากนั้นก็กอดเธอเอาไว้หลวม ๆ พร้อมกับเอามือลูบหัวลูบหลังเธอไปมา แถมพูดจาขอโทษขออภัยเป็นการใหญ่ อรินทิพย์จึงไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเลือกแสดงอารมณ์ความรู้สึกไหนออกมาเป็นการกระทำ คำพูดและการกระทำของพี่ปริมทำให้เธอแสดงกิริยาอย่างหนึ่งได้เองแบบอัตโนมัติ กิริยาที่ว่านั้นก็คือ... ยิ้ม ส่วนอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่โดดเด่น ชูมือให้เธอเห็นอย่างชัดเจนอยู่ในใจตอนนี้ก็คือ... มีความสุข รู้สึกดี ถัดจากอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวข้างต้น พี่ปริมก็ช่วยเธอเลือกแสดงอารมณ์ต่อไปได้อีกอย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจากกอดปลอบเธอได้สักครู่ ผู้ใหญ่ก็จับหัวไหล่ ผละตัวเธอให้ห่างออกมานิดหนึ่ง พี่แมวใหญ่ทำตาวับวาวยิ้มกรุ้มกริ่ม กระซิบเสียงเบาบอกกับเธอว่า...
“ไว้คราวหลัง... ก่อนพี่จะจูบน้องอิน พี่จะบอกก่อนละกันนะคะ น้องอินจะได้มีเวลาทำใจล่วงหน้า”
“...>////////<...”
“ขอจูบอีกทีได้ไหม?... จะจูบล่ะนะ...”
จุ๊บบบ~
แล้วแมวใหญ่ก็รับจูบที่สี่ของลูกแมวน้อยไป

อรินทิพย์แอบจดโน้ตเขียนให้ข้อสังเกตอยู่ในใจ การจูบในคราวนี้นั้นแตกต่างจากจูบสามครั้งก่อน การจุมพิตสามครั้งก่อนหน้านี้เป็นแค่การสัมผัสริมฝีปากกันเพียงชั่วเสี้ยววินาทีแล้วผละออก คล้ายกับที่พวกชาวตะวันตกจูบทักทายกัน แต่ครั้งที่สี่นี้มันไม่ใช่ มัน... เอ่อ... เนิ่นนานกว่าครั้งอื่นหลายวินาที มีการขยับริมฝีปากเล็กน้อย อวัยวะเดียวกันของเธอรับรู้ได้ถึงแรงดูดเม้มเบา ๆ จากริมฝีปากของพี่ปริมด้วย ส่วนฤทธิ์ต่อระบบประสาทและสมองของจูบแบบนี้ เด็กสาวเขียนดอกจันสามดอกเอาไว้ว่ามันมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าจูบสามครั้งแรกมาก นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อจังหวะการเต้นของหัวใจและทำให้ท้องไส้กลวง ๆ หวิว ๆ มันยังมีฤทธิ์กดประสาทการรับรู้ ทำให้เธอเกิดอาการหูอื้อ แถมมีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อ ทำให้แข้งขาของเธออ่อนแรงได้อีกต่างหาก >////////<...
 
“น้องอิน!... น้องอินคะ!... หายใจค่ะ!... หายใจ!”

เสียงพี่แมวใหญ่พูดเตือนเธอเหมือนเดิม อรินทิพย์ก็รีบทำตามเหมือนเดิมเช่นกัน
ฟื้ด... เฮ้อ... ฟื้ด... เฮ้อ...ฟื้ดดด~ เฮ้อออ~
หลังทำการปั๊มออกซิเจนเข้าปอด สูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ สามครั้ง เด็กน้อยก็เอามือลูบอกตัวเอง พอสติเริ่มกลับมา สมองพลิกป้ายหน้าร้าน หันคำว่า Open ออกด้านนอกให้อรินทิพย์เห็น เด็กน้อยก็เปิดประตูเข้าร้านสมอง เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ สั่งให้สมองออกคำสั่ง ส่งมือขวาที่กางจนแบนไปหาท่อนแขนของพี่ปริมที อ่อ คำสั่งพิเศษคือต้องเงื้อก่อน จากนั้นให้ทิ้งตัวลงด้วยความเร่ง a (acceleration) เท่ากับ 5 เมตรต่อวินาทียกกำลังสอง สมองพยักหน้าหงึกหงัก รับคำว่าได้ค่ะแล้วเขียนใบสั่งส่งให้มือขวา อวัยวะดังกล่าวทำตามคำบอกของเธออย่างเคร่งครัด ในห้องพักของพี่ปริมก็เลยมีเสียงดัง

เพียะ!
หลังเสียงดังกล่าว อรินทิพย์ก้มหน้าก้มตา สั่งให้ริมฝีปากขยับพ่นประโยคตำหนิต่อว่า
“พี่ปริมอ่า... พูดจบไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็ยื่นหน้าเข้ามาหาแล้ว ไม่เห็นจะให้เวลาอินได้ทำใจเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ... โอ๋ ๆ งั้นคราวหน้าพี่จะให้เวลาทำใจนานขึ้นนะคะ เอาเป็นสัก... 1 วินาที กับอีก 15 milli seconds ละกัน นานพอไหมคะ?”
เพียะ!
ลูกแมวน้อยกัดริมฝีปากล่าง ตีขาหน้าพี่แมวใหญ่อีกทีเพื่อแก้เขิน แมวโตเต็มวัยไม่อยากโดนตีอีกก็เลยกางขาหน้าสองข้างออกจากกัน โอบรัดรวบตัวลูกแมวเข้าอ้อมกอด คราวนี้ถึงอรินทิพย์จะรู้สึกเขิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำสีแก้มให้แดงขึ้น

ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้สองสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ต่างคนต่างสะดุ้ง เจ้าของห้องลอบถอนหายใจเบา ๆ และส่งเสียงจิ๊จ๊ะอีกหนึ่งทีก่อนจะพูดกับคนด้านนอก
“ค่า...” (เสียงเนือย)
“คุณปริมคะ คุณปู่ให้มาตาม อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ”
“รับทราบค่า...”
พี่แมวใหญ่พูดตอบคนมาตามเสียงดัง อันที่จริงประโยคที่พูดมันยาวกว่านี้ แต่คนด้านนอกไม่ได้ยิน ประโยคหลัง ๆ อรินทิพย์ได้ยินคนเดียวเพราะพี่ปริมยื่นหน้าเปื้อนยิ้มทำตาวาววิบมาพูดกระซิบกระซาบใกล้ใบหน้าของเธอ พี่แมวใหญ่บอกว่า...
“วันนี้พี่ไม่กินข้าวเย็นก็ได้นะเนี่ย กินจูบจากเด็กน้อยไปหลายคำ รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนบอกไม่ถูกเลยค่ะ”

อ๊ายยย~ พี่ปริมอ่า... จะพูดแกล้งเค้าให้ยิ่งรู้สึกเขินทำไมก็ไม่รู้ อินหน้าร้อนผ่าววูบ ๆ จนจะระเหิดหายกลายเป็นไอแล้วนะ

อรินทิพย์ก้มหน้าแดง ๆ ตะโกนโวยวายต่อว่าผู้ใหญ่อยู่ในใจ จากนั้นก็ส่งเสียงอุบอิบ
“อิ่มแล้วก็ไม่ต้องกิน แต่อินหิว อินจะไปกินข้าว ปล่อยอินได้แล้ว”
“ก่อนจะปล่อย ขอจูบอีกทีได้ไหมคะ?”
“ฮึ... ไม่ได้!”
“พอพูดขอให้ทำใจก่อนก็บอกว่าไม่ได้ งั้นทีหลังพี่จะไม่ขอละ ขโมยเอาเลยดีกว่า... จุ๊บ... คิคิ”
“พี่ปริมอ้ะ!”
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
แล้วเสียงคิคิ อิอิ ก็มีเสียงเพียะ เพียะ แทรกเป็นระยะ ๆ กว่าแมวใหญ่จะพาลูกแมวน้อยออกจากห้องได้ ขาหน้ากับไหล่ก็มีรอยนิ้วรอยอุ้งเท้าของแมวเด็กประทับตราอยู่เต็มไปหมด

5 นาทีต่อมา
ทั้งเจ้าบ้านและผู้มาเยือนทุกคนทยอยเดินมาจากต่างห้องต่างที่ สุดท้ายก็ครบองค์ประชุม สมาชิกทุกคนนั่งล้อมวงรอบโต๊ะไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวยาวที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน ปู่นรินทร์ให้คุณนมแจ่มและลูกชาย รวมทั้งคนรับใช้สาววัยกลางคนสองคนนั่งทานอาหารด้วยกันแบบไม่มีการแบ่งชนชั้นว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว อรินทิพย์กับคุณแม่ขยับกรามเคี้ยวข้าวสลับกับพูดคุยตอบคำถามของชายชรา ปู่นรินทร์สอบถามชวนคุยเรื่องราวทั่วไป อาทิอายุเท่าไหร่ เด็กน้อยเรียนอยู่ชั้นไหน คุณอรทัยทำงานอะไร เลยไปถึงเรื่องอาการเจ็บป่วยด้วย พอคนป่วยเล่าว่าอาทิตย์หน้าต้องเข้ารับการรักษาอีกครั้ง คุณปู่ก็ครางอืม
“ต้องรับยาคีโมครั้งที่สองอาทิตย์หน้ารึ? อรน่าจะมานอนพักฟื้นสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ไร่ของปู่นี่ คนรับใช้คนดูแลของปู่ก็มี ปริมจะได้ไม่ต้องไปจ้างคนจ้างพยาบาลมาเฝ้าให้เสียเงินด้วย”
คุณอรทัยหันไปมองหน้าสบตาคนออกเงินจ้างพยาบาลอย่างขอความเห็น  ปณิตาจึงออกความเห็นให้
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ ที่นี่อากาศดี เหมาะสำหรับคนป่วยจะมาพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย”
ถึงจะเห็นด้วยว่าที่นี่อากาศดีน่าอยู่ แต่คุณอรทัยมีเหตุผลมาแย้ง
“คงไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าดิฉันมาอยู่ที่นี่ น้องอินก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิคะ”
ปณิตาได้ยินดังนั้นก็รีบพูด “ให้น้องอินมาอยู่กับปริมก็ได้ค่ะ”
คุณอรทัยยิ้มมุมปาก หรี่เปลือกตาลงครึ่งหนึ่งพร้อมกับขยับริมฝีปากขมุบขมิบพูดแบบไม่มีเสียง ปณิตาจึงใช้วิชาอ่านริมฝีปาก อ่านแล้วได้ใจความว่า...

เข้าทางเลยสินะ แอบเตี๊ยมกันมาก่อนแน่ ๆ

หญิงสาวคนอ่านปากหัวเราะขำเบา ๆ และรีบโบกไม้โบกมือไปมา
“คุณปู่ท่านเสนอความคิดนี้ขึ้นมาเอง ปริมไม่เกี่ยว...”
ปณิตาพูดออกเสียงแค่นั้น แต่ในใจยังมีประโยคเหลืออีกครึ่งคือ... ปริมเกี่ยวตรงเสนอความคิดว่าจะให้อินไปอยู่กับปริม อิอิ

คุณอรทัยดึงเปลือกตาลงอีก 0.1 เซ็นติเมตร ปณิตาหัวเราะแหะ ๆ แล้วพูดโน้มน้าวใจต่อไป
“พี่อรมาอยู่ที่นี่ก็ดีนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลเรื่องน้องอินหรอกค่ะ เดี๋ยวปริมรับผิดชอบดูแลน้องเอง ถ้าน้องไปอยู่กับปริมนะ ปริมจะให้พี่เก้าขับรถไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน ข้าวปลาก็ไม่ต้องทำเอง ไม่ต้องซักผ้ารีดผ้าทำงานบ้านเองด้วย น้องอินจะได้ไม่เหนื่อย มีเวลาอ่านหนังสือทำการบ้านมากขึ้น”

คนเป็นแม่พอได้ยินว่าลูกสาวจะได้อยู่อย่างสุขสบายกว่าเดิมก็ชักจะเกิดอาการลังเลคล้อยตาม คุณอรทัยเริ่มแสดงอาการกลอกตาไปมาซ้ายขวา จากนั้นก็หันไปมองสบตาลูกสาว ก่อนที่เด็กน้อยจะได้พูดอะไรกับคุณแม่ ปณิตาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอกค่ะน้องอิน ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่ห่างจากคุณแม่นาน  ๆ ด้วย คุณแม่จะมาพักฟื้นที่ไร่นี่แค่อาทิตย์สองอาทิตย์หลังออกจากโรงพยาบาล จากนั้นพี่ก็จะมารับคุณแม่ให้กลับไปอยู่บ้านกับน้องอินเหมือนเดิมค่ะ”
สองแม่ลูกฟังจบก็หันไปมองหน้าสบตากันอีกครั้ง หญิงสาวเห็นเด็กน้อยพยักเพยิดหน้า บอกว่าแล้วแต่คุณแม่จะเห็นดีเห็นงาม ปณิตาจึงหันไปมองคุณอรทัย แอบกัดฟันรอผลอย่างลุ้น ๆ

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
“เยส!”
หญิงสาวกำมือสองข้างพลางส่งเสียงแสดงความดีใจเหมือนพวกนักฟุตบอลที่เพิ่งยิงประตูที่สาม ทำแฮตทริกได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตอนนี้ทอประกายไหววิบ คุณอรทัยเห็นเข้าก็หรี่เปลือกตาลงอีกครั้งเพราะรู้สึกหมั่นไส้
“พี่เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันไหม?”
“ไม่ทันแล้วค่ะ การตัดสินใจเมื่อครู่นี้ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ปริมสัญญาค่ะว่าจะดูแลลูกสาวพี่เป็นอย่างดี ไว้ใจได้ค่ะ”
พอได้ฟังประโยคท้ายสุด เด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มารดาก็ลดหรี่เปลือกตาลงบ้าง สองแม่ลูกทำหน้าทำตาเหมือนกันเป๊ะเลย ปณิตาเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะขำ ยกมือสามนิ้วขึ้นมา ทำท่าสาบาน
“ปริมจะดูแลน้องอินเป็นอย่างดี จะ... ทำ... เท่าที่ทำได้ ปริมเป็นคนจริงใจ พูดคำไหนคำนั้น สาบานค่ะ”
ประโยคตรงกลางที่มีการเว้นวรรคแปลก ๆ ทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างคุณปู่กับคนใช้สาววัยกลางคนแอบขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ก็สงสัยไม่มาก แปลความไปว่า ทำ ที่ปณิตาพูดคงหมายถึงการทำหน้าที่ดูแลเด็กสาวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คนที่รู้ความหมายแท้จริงของกริยาคำว่า ทำ อย่างอรินทิพย์และคุณแม่แสดงอาการต่างกันออกไป เด็กน้อยแอบกัดริมฝีปากล่างด้านใน ก้มหน้าลงต่ำ ทำแก้มแดงให้จานข้าวดู ส่วนคุณอรทัยมีรอยยิ้มผุดตรงริมฝีปากนิดหนึ่ง แล้วคนเป็นแม่ก็ผ่อนลมหายใจออก รู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อคุณนมแจ่มพูดขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงนะอร เดี๋ยวนมแจ่มจะช่วยดู ช่วยแล เป็นหูเป็นตาให้อีกแรง”
“อรฝากนมแจ่มดูแลน้องอินด้วยนะคะ”
“ไว้ใจได้เลยจ้ะ... ไว้ใจได้มากกว่าใครบางคนแน่นอน”

ฉึก!

เปลือกตาของคุณแม่นมหรี่ลงเหมือนเด็กน้อยกับคุณแม่ สายตารู้เท่าทันอันแหลมคมของหญิงสูงวัยถูกส่งพุ่งหลาวเป็นแนวโค้งทำมุม 45 องศากับแนวระนาบไปปักหัว “ใครบางคน” ดังฉึก ปณิตายกมือดึงสายตาแหลม ๆ ของคุณแม่นมออกจากข้างศีรษะ ผู้ถนัดด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิคแอบใส่เอฟเฟคต์เลือดกระฉูดพุ่งปรี๊ดให้ หญิงสาวแก้แค้นคุณแม่นมโดยการเอาลูกเหล็กกลม ๆ มาหนีบตรงข้างลำคอ แปลงร่างเป็นนักกีฬาประเภทลานเหมือนกัน แต่เป็นนักขว้างค้อน จัดการทุ่มค้อนส่งกลับไปให้...

นมแจ่มนิ่ จะมาพูดดิสเครดิตกันทำไมคะ

หลังสู้กันด้วยสายตา ปณิตาไม่กล้าปริปากพูดต่อล้อต่อเถียงแก้ตัวกับผู้สูงวัย รู้ตัวดีว่ามีคนหรี่ตาจ้องจะรุมเล่นงานเธออยู่ถึงสามคนด้วยกัน จะโวยวายไปทำไมล่ะ ถึงอย่างไรเธอก็ได้ตัวแมวน้อยมาอยู่ร่วมบ้านใต้ชายคาเดียวกันอยู่แล้วนี่นา อิอิ

หลังจากทุกคนรวบช้อนส้อมแล้วระยะหนึ่ง คุณปู่เจ้าบ้านวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ บอกกับแขกเหรื่อทุกคน...
“เอาล่ะ อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามสบาย แต่ถ้าใครอยากจะฟังเพลงช่วยย่อยอาหารก็ตามปู่กับปริมมา”
เด็กน้อยหันไปมองสบตาคุณแม่ มารดาอมยิ้มและพยักหน้าให้เธอ แถมเป็นคนจูงมือพาลูกสาวเดินตามคุณปู่ไป

ชายชราเจ้าของบ้านพาทุกคนมายังห้องห้องหนึ่งทางปีกขวา กึ่งกลางห้องมีเปียโนสีขาวงาช้างหลังใหญ่ตั้งอยู่ เครื่องดนตรีดูโดดเด่นสะดุดตาเหลือเกินเพราะฝาผนังห้องและพื้นบ้านทำด้วยไม้สีน้ำตาลอมแดงเข้มขรึม คนเป็นนักดนตรีเข้าไปนั่งประจำที่หน้าแกรนด์เปียโน เปิดฝาครอบแป้นกดออก ปณิตาพรมนิ้วไล่เสียงเล่นอยู่สักพักก่อนจะถามคุณปู่
“ปู่จะร้องเองไหม?”
“ไม่ล่ะ ปู่อยากฟังปริมร้องมากกว่า เห็นแล้วปู่นึกถึงภาพคุณย่าตอนสาว ๆ ที่นั่งร้องเพลงเล่นเปียโนจีบปู่”
หลานสาวได้ยินเข้าก็หัวเราะขำ “ปู่คิดไปเองทั้งน้าน~ คุณย่าบอกย้ำตั้งหลายครั้งว่าย่าก็เล่นเปียโนร้องเพลงให้คนในงานทุกคนฟังนั่นแหละ”
คุณปู่รีบเถียง “เห่ยยย... ย่าเขาอาย ไม่กล้าพูดความจริงต่างหาก”
“ปู่อยากฟังเพลงอะไรคะ?”
“พี่รักเจ้า”
พอได้ยินชื่อเพลงที่ปู่อยากฟัง หลานสาวก็ต้องหัวเราะเสียงใสและส่งเสียงแซวอีกรอบ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ พี่ ฝ่ายชาย ร้องให้ น้อง ฝ่ายหญิงฟังนี่นา
“เพลงนี้ปู่ต้องเป็นคนร้องสิ”
“ไม่รู้ อยากฟังเพลงนี้ แต่ปู่ขี้เกียจร้อง เดี๋ยวร้องผิดคีย์ อายเค้า แขกมาเต็มบ้านเลย”
คุณปู่พูดพลางทำท่าเอามือที่กำหลวม ๆ มาปิดปาก ปณิตาเห็นเข้าก็หัวเราะคิกคิก คุณปู่อายจริง ๆ นะนั่น หลานสาวรีบเปิดกระดาษแผ่นใหญ่ที่มีบรรทัดห้าเส้นและตัวโน้ตสำหรับการเล่นเปียโน หาหัวกระดาษที่มีตัวอักษรเขียนว่า พี่รักเจ้า ตัวโน้ตทุกตัวบนกระดาษของเพลงนี้ถูกเขียนด้วยมือ คุณย่าเป็นคนแกะโน้ตด้วยตัวเองเพราะคุณปู่ชอบฟังเพลงนี้มาก ปณิตาอ่านลายมือเขียนชื่อเพลงซึ่งดูแปลกตาอยู่หน่อย ๆ แล้วแอบยิ้มขำ เพราะคนเขียนไม่ใช่คนไทย คุณย่าของเธอเป็นชาวโปรตุเกส น่าเสียดายที่คุณย่าด่วนลาจากโลกนี้ไปเมื่อสองปีก่อน ก็เลยไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าว่าที่หลานสะใภ้ หญิงสาวคิดพร่ำรำพึงถึงญาติผู้ใหญ่อยู่ในใจพลางวางนิ้วลงบนแป้น ก่อนจะเริ่มลงมือบรรเลงเพลง ปณิตาขยายรอยยิ้มให้กว้างขึ้นเมื่อคิดได้ว่าสำหรับคนที่เธอรักแล้ว เธอก็เป็น พี่ นี่นา

“ปู่คงอยากจะมอบเพลงนี้ให้น้องมาร์ติน่าของปู่ ปริมเองก็มีน้องที่อยากจะมอบเพลงนี้ให้เหมือนกันค่ะ”

ปณิตาหันไปพูดกับคุณปู่ แต่ท้ายประโยคนั้นแอบส่งสายตาไปมอง น้องคนที่เธออยากมอบเพลงนี้ให้ หลังจากพูดจาทักทายผู้ฟัง เจาะจงฝากฝังเพลงนี้ให้ใครบางคนเป็นพิเศษเรียบร้อยแล้ว นักดนตรีก็เริ่มพรมนิ้วทั้งสิบลงบนแป้นกดสีขาวสลับดำเป็นท่วงทำนอง ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยเปล่งเสียงร้องหวานนุ่มประกอบการบรรเลง 

*พี่รักเจ้ายิ่งกว่าปลารักน้ำ
กินนรรักถ้ำ ไม่ล้ำพี่รักเจ้า
กุญชรหวงงา มฤคาหวงเขา
ยังไม่เท่าพี่หวงนงเยาว์ พี่หวงเจ้ากว่าดวงฤทัย
กระต่ายพะวงหลงจันทร์ ถึงมัวเมา
พี่หลงเจ้ามัวเมากว่านั้น นะชื่นใจ
พี่นี้แสนรักใคร่ รักเจ้ายิ่งสิ่งใด ปองฤทัยใฝ่หา
แม้พี่ขาดเจ้า เท่ากับพี่นี้ขาดใจ
สูญสิ้นอาลัย สิ้นใจเพราะขวัญตา
อยู่ไปไร้ในคุณค่า
ใจปองน้องนางร้างรา คงตรมน้ำตาร่ำไป
พี่รักเจ้ายิ่งกว่าคำรักนี้
ยุพารักพี่ ครึ่งนี้ได้หรือไม่
จงปลงน้ำคำ โน้มนำดวงฤทัย
พี่เพียงให้น้องนางรักใคร่ ได้ แม้ครึ่งพี่เอย

อรินทิพย์ขึงสายตาตัวเองรับประกายตาหวาน ๆ ของคนนั่งอยู่หน้าเปียโนหลังใหญ่ได้ครั้งละไม่กี่วินาทีก็ต้องหย่อนสายตาลงไปมองขาตั้งเปียโน พี่ปริมเล่นละสายตาจากกระดาษโน้ตและแป้นกดคีย์ หันมาส่งตรงความหวานจากนัยน์ตาให้เธอแบบไม่ยั้ง เนื้อเพลงก็หวานซะขนาดนั้น เสียงคนร้องก็ทั้งนุ่มทั้งหวานซะขนาดนี้ เมื่อรวมกับเสียงใสกิ๊งของเครื่องดนตรี ฟังแล้วเด็กสาวที่ถูกนักดนตรีกล่าวฝากฝังมอบเพลงนี้ให้ถึงกับเกิดอาการใจละลาย ขาแข้งอ่อนแรงจนยืนทรงกายแทบไม่อยู่ จากตอนแรกยืนตัวตรงฟังเพลง พอเพลงถูกขับร้องบรรเลงไปได้ครึ่งหนึ่ง เด็กน้อยต้องเปลี่ยนมายืนตัวเอน ก้าวถอยหลังไปสองก้าว พูดขอร้องให้คุณน้าฝาบ้านช่วยโอบไหล่แบ่งเบาน้ำหนักร่างกายหนูหน่อยเถอะ ถ้าน้าฝาบ้านไม่ช่วยพยุง หนูได้ทรุดกายลงไปกองกับพื้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แน่ ๆ

พอบทเพลงจบลง เสียงตัวโน้ตตัวสุดท้ายจางหายไปจากห้อง เสียงปรบมือเปาะแปะดังระรัวกึกก้องอย่างชื่นชมจากผู้ฟังทุกคนก็ดังตามมา แต่มีผู้ฟังอยู่คนหนึ่งที่ปรบมือเบา ๆ ทำตาลอยตาเยิ้ม ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มในใจไม่ได้จางหายจบลงไปตามเพลง เสียงคนอื่นพูดคุยอะไรกันต่อ อรินทิพย์ไม่ได้ยิน คนอื่นชักชวนกันเดินออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว แต่เด็กน้อยไม่รับรู้ เธอยังคงยืนพิงฝาบ้าน สายตาจับจ้องไปยังนักดนตรีซึ่งยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเปียโนหลังใหญ่

“ลูกแมวน้อย มานี่เร้ว”

นักดนตรีส่งยิ้มหวานและกวักมือเรียก ลูกแมวน้อยจึงเดินตัวลอยเท้าไม่ติดพื้นเข้าไปหา พอก้าวเดินไปจนอยู่ในระยะเอื้อมมือคว้าได้ นักดนตรีก็ดึงมือ รั้งร่างของเธอให้นั่งลงบนตัก อรินทิพย์ปล่อยตัวให้นั่งตะแคงบนต้นขาของผู้ใหญ่อย่างว่าง่ายราวกับคนกำลังโดนมนต์สะกด ถ้าเธอกำลังโดนสะกดจริง มนต์สะกดที่ว่าก็คือบทเพลงเนื้อหาหวานซึ้งเมื่อสักครู่ คนร่ายมนต์อ้าแขนโอบกอดเธอเอาไว้ ใบหน้าสวยคมเอียงเล็กน้อยแล้วกดแนบไปกับต้นแขนของเธอ พี่ปริมขยับโยกตัวไปมาซ้ายทีขวาที พาให้ตัวเธอเอนไปข้างหน้าข้างหลังสลับกัน มนต์สะกดบทเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มีแต่เสียงร้องล้วน ๆ ไม่มีท่วงทำนอง

พี่รักเจ้ายิ่งกว่าปลารักน้ำ
กินนรรักถ้ำ ไม่ล้ำพี่รักเจ้า
กุญชรหวงงา มฤคาหวงเขา
ยังไม่เท่าพี่หวงนงเยาว์ พี่หวงเจ้ากว่าดวงฤทัย

“พี่รักเจ้าจริง ๆ นะ... รักมากกก... รักมาก ๆ เลย รู้ไหม?”
“...>//////<...”
“น้องอินรักพี่ปริมไหมคะ?”
หงึก หงัก พยักหน้าแดง ๆ ขึ้นลง
“รักมากไหม?”
หงึก หงัก พยักหน้าแดง ๆ อมยิ้มจนแก้มตุ่ย
“แสดงให้ดูหน่อยซิว่ารักพี่แค่ไหน แค่นี้ได้รึเปล่า?”
เด็กน้อยหันหน้าไปมอง แค่นี้ ที่ผู้ใหญ่บอก พี่สาวคนสวยคลายอ้อมแขนข้างขวาออก ผละหน้าตัวเองออกห่างจากต้นแขนของเธอ ทำแก้มป่องหนึ่งข้าง เอานิ้วชี้จิ้ม ๆ ลงตรงกลางแก้มพอง เด็กน้อยยิ้มเขินจนแก้มเกร็ง สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดเพื่อรวบรวมความกล้า พอปริมาณความกล้าเพียงพอแล้ว อรินทิพย์ก็ขยับก้นให้ไปทางหัวเข่าของพี่ปริมมากขึ้นอีกนิด จะได้เอียงตัวไปหาใบหน้าของพี่ปริมได้ถนัดขึ้น แล้วก็...
จุ๊บ!
“!!!”
ปณิตาทำตาโต รู้สึกตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะรักเธอมากขนาดนี้
ก็... เมื่อกี้เอียงแก้มให้จุ๊บ “แค่นี้” แต่เด็กน้อยพาริมฝีปากเดินทางผ่านเลยแก้มป่องมาจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากของเธอ

อ๊า... ผู้ใหญ่เขินอ่า~>///////<

ผู้ใหญ่เขินหลับตาปี๋ กอดเด็กน้อยแน่น ๆ แล้วกดหน้าแดง ๆ แอบตรงต้นแขนของคนในอ้อมกอด คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวขี้เขินจะกล้าเป็นฝ่ายจูบปากเธอก่อนแบบนี้ แมวใหญ่พยายามถูหน้าตัวเองกับต้นขาหน้าของลูกแมวน้อยเพื่อลดความอาย ระหว่างนั้นก็ส่งเสียงร้องเหมียว ๆ ไปด้วย

“ลูกแมวน้อยจ๋า~” แมวตัวโตเรียกแมวตัวเล็กเสียงหวานหยด
“จ๋า~” แมวตัวเล็กขานตอบแมวตัวโตด้วยเสียงหวานเหมือนกัน
“พี่แมวใหญ่รักลูกแมวน้อยน้า~” แมวตัวโตร้องหง่าว ๆ บอกความในใจอีกครั้ง
“ลูกแมวน้อย... ก็... รักพี่แมวใหญ่น้า~” แมวตัวเล็กร้องมี้ ๆ บอกความในใจให้พี่แมวตัวโตได้ฟัง เสียงแอบสะดุดนิดหน่อยเพราะเขิน

กริ๊ก!

เสียงลูกบิดบานประตูห้องเปียโนดังขึ้นเบา ๆ คุณปู่ก้มตัวลงนิดหนึ่ง เอาตาข้างซ้ายมองลอดผ่านช่องแคบบานประตูแง้มเข้าไปในห้อง พอเห็นว่าหลานสาวกับเด็กน้อยที่พามาด้วยกำลังนั่งกันอยู่ในท่าไหน คุณปู่ก็ยืนตัวตรงแล้วค่อย ๆ ลงมือหมุนลูกบิด ขยับบานไม้แผ่นหนาถมปิดช่องแคบบานประตูจนมีเสียงกริ๊กดังขึ้นอีกครั้ง คุณปู่หันหลังไปพูดกระซิบบอกกับเจ้าบิงโกที่นั่งรอลุ้นอยู่ด้านหลัง
“ท่าทางปู่จะได้หลานสะใภ้นะ”
เจ้าบิงโกขยับหูเล็กน้อย ขมวดคิ้วนิด ๆ เอียงคอหน่อย ๆ คุณปู่อมยิ้ม ลูบหัวมันสองที
“ป่ะ ไปเปิดไวน์กินฉลองกันสักแก้วก่อนนอนดีกว่า”
“งี้ด~”
เจ้าสี่ขาร้องครางเบา ๆ บิงโกลุกขึ้นยืนแล้วกระดิกหางไปมา เดินนำเจ้านายชราภาพไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
...............
*หมายเหตุ: เพลงพี่รักเจ้า เนื้อร้องแต่งโดย แก้ว อัจฉริยะกุล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 16:02:31 UPsidedown »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.