web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 437
Most Online Ever: 437
(วันนี้ เวลา 21:24:59)
Users Online
Members: 0
Guests: 404
Total: 404

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 12  (อ่าน 919 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 12
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 15:50:10 »
ตอนที่ 12
นับตั้งแต่คืนสุดสัปดาห์วันอาทิตย์ เมื่อถึงยามย่ำค่ำหลังสนธยา แมวใหญ่ชอบไปนั่งจุมปุ๊กอยู่ข้างหน้าต่าง ยกอุ้งมือขวามายันรับน้ำหนักคาง เหม่อมองฟ้าครึ้มจับจ้องหยาดฝน ร้องเหมียวหง่าวแง้วแง้วพร่ำเพ้อสลับกับถอนหายใจดังเฮ้อ คร่ำครวญบอกกับกลุ่มไอน้ำหนาแน่นสีดำทมึนว่าพี่คิดถึงเธอจังเลยลูกแมวน้อย ก้อนเมฆได้ยินเข้าก็สงสาร ส่งเสียงครั่นครืนเบา ๆ ปลอบแมวตัวโตว่าอย่าเศร้าไปเลย รอหน่อยนะเจ้าแมวเหมียว อีกเดี๋ยวเดียวก็ได้เจอหน้าลูกแมวน้อยสุดที่รักแล้ว แมวใหญ่พยักหน้าและกล่าวขอบคุณก้อนเมฆที่ปลอบกัน มันยังขยันมานั่งอยู่ข้างหน้าต่างห้องนอนที่เดิมทุกวัน นั่งนับวันเร่งคืน อยากให้ถึงวันศุกร์เร็ว ๆ จนในที่สุด วันนี้ที่แมวใหญ่รอคอยก็มาถึง

บ่ายสามโมงครึ่งของเย็นวันศุกร์
รถตู้คันใหญ่สีบรอนซ์ทองแล่นมาตามทางภายในหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์แห่งหนึ่งแถว ๆ รังสิต รถค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงแล้วจอดสนิทหน้าบ้านหลังที่ปณิตาคุ้นเคย หญิงสาวรีบเปิดประตูรถตู้ ก้าวเดินไปเกาะรั้ว เมื่อมองลอดซี่เหล็กดัดเข้าไป ปณิตาเห็นเด็กน้อยกับคุณแม่นั่งรอการมาของเธออยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน ระยะห่างระหว่างมุมปากของหญิงสาวคลี่ขยายเพิ่มความยาวทันทีเมื่อสายตามองเห็นคนที่ตัวเองบ่นว่าคิดถึงแทบขาดใจ ปณิตากางยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นอรินทิพย์เดินหิ้วกระเป๋าใบเขื่องมาหาเธอพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ตลอดทาง พอคนขับรถของเธอรับกระเป๋าจากมือไปเก็บให้ เด็กน้อยที่มือว่างงานแล้วก็รีบยกมือไหว้และกล่าวทักทายเธอทันที
“สวัสดีค่ะพี่ปริม”
“น้องอิน...”
พี่แมวใหญ่ขยับปากส่งเสียงพูดได้แค่นี้แหละ ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งสามอาทิตย์ อีกไม่กี่วันจะครบเดือนเชียวนะ ดวงตาสวยคมของแมวตัวโตส่องประกายไหววิ้งระยิบระยับด้วยความดีใจ เผลอจ้องมองส่งตาหวานให้ลูกแมวอยู่นานจนเกือบจะลืมทักทายคุณแม่ของลูกแมวแน่ะ ปณิตารีบกระพุ่มมือไหว้และกล่าวสวัสดีคุณอรทัย เปิดประตูรถตู้ให้ ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งบนเบาะแถวหน้าด้านในสุด เด็กน้อยถูกเธอจูงมือ ดันหลังให้เข้าไปนั่งกับคุณแม่ ปิดท้ายด้วยตัวเธอเองเป็นคนสุดท้าย ปณิตาบอกนพเก้าว่าออกเดินทางได้ คนขับจึงสั่งให้ประตูรถตู้ค่อย ๆ เลื่อนปิดตัวเอง ประตูรถยังไม่ทันปิดสนิทดี ผู้โดยสารอีกคนที่นั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับเอี้ยวตัวหันมามองผู้โดยสารเบาะหลังแล้วพูดเสียงดัง
“ที่นั่งก็มีตั้งหลายแถวนะคุณหนู จะไปนั่งเบียดหนูอินกับคุณแม่ทำไม?”
คุณแม่นมนั่นเองที่หันมาถามแซว ปณิตาจึงรีบส่งเสียงเถียงกลับไป
“เบาะนั่งออกจะกว้าง นั่งสามคนสบาย ๆ ไม่ได้เบียดกันซะหน่อย เนอะน้องอินเนอะ”
คนที่โดนปณิตาลากไปเป็นพวกนั่งอมยิ้ม ไม่ขอออกความคิดเห็น เด็กน้อยกับคุณแม่พนมมือไหว้สวัสดีผู้มีอายุมากที่สุดบนรถ แน่นอนว่าหลังจากอรินทิพย์ลดมือลง ปณิตาก็รีบบุกจู่โจมจับมือซ้ายของเด็กน้อยมาเป็นตัวประกัน หญิงสาวกุมมือนุ่มนิ่มที่เล็กกว่ามือของตนอยู่เล็กน้อยอย่างทะนุถนอม บีบกระชับอุ้งมือบอบบางของลูกแมวเบา ๆ พลางกัดฟันข่มใจ แมวใหญ่อยากจะทำมากกว่าจับมือ อยากจะโอบอยากจะกอด อยากจะเอาปลายจมูกรูปสามเหลี่ยมไปแตะแก้ม แต่ตอนนี้ทำอย่างที่ใจอยากไม่ได้เพราะ ก ข ค อยู่กันครบ ทั้งคนขับรถ คุณแม่นม และคุณแม่ของอรินทิพย์

แง้ว~ ไว้ไปถึงที่พักก่อนเถอะ
พี่แมวใหญ่จะอ้าปากงับคาบตรงหลังต้นคอ ลักพาตัวลูกแมวเอาไปซ่อนในห้องให้ลับหูลับตาคน
หลังจากนั้นพี่แมวตัวโตจะกระโดดเข้าไปกอด เข้าไปรัด ขอฟัดแก้ม พรมจูบจุ๊บจุ๊บลูกแมวน่ารักสักร้อยครั้ง
งานนี้ถ้าไม่หายคิดถึง พี่แมวใหญ่จะไม่ยอมปล่อยลูกแมวน้อยออกจากอ้อมกอดแน่ ๆ (>﹏<)

รถตู้สีบรอนซ์ทองคันใหญ่แล่นฉิวไปตามถนนสายมิตรภาพ ระหว่างการเดินทาง อรินทิพย์หันไปสอบถามคนอาสาพาเที่ยว
“พี่ปริมบอกว่าจะพาไปเที่ยวสถานที่ที่อากาศดี บริสุทธิ์ติดอันดับโลก พี่จะพาอินไปเที่ยววังน้ำเขียวแน่ ๆ เลย ใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้ว ถูกต้องค่า น้องอินเคยไปเที่ยวที่นั่นไหม?”
“ไม่เคยค่ะ”
คุณแม่ของเธอช่วยพูดเสริมขยายความ “อินไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาที่ไหนไกล ๆ หรอกค่ะปริม พี่ไม่ค่อยมีเวลาพาลูกไปเที่ยว จะปล่อยให้ไปกับคนอื่นก็เป็นห่วง”
พี่สาวคนสวยได้ยินดังนั้นก็ชะโงกหน้าไปส่งยิ้มให้คุณแม่ “ขอบคุณที่ไว้ใจปริมนะคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้น พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณปริม ขอบคุณที่ช่วยพี่ตั้งหลายเรื่องจนพี่ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณยังไงได้หมด...”
“พี่อรไม่ต้องคิดมากเรื่องหาทางทดแทนบุญคุณปริมหรอกค่ะ เราคงเคยทำบุญทำคุณร่วมกันมา อาจจะเป็นเพราะว่าชาติที่แล้วพี่เคยช่วยเหลืออะไรปริมก็ได้นะคะ...”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงก็เถอะ พี่ก็เกรงใจปริมอยู่ดี”
“ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกค่ะ เอ่อ... ถ้าพี่อยากจะทดแทนคุณกัน ปริมขอแค่พี่อรยินดีรับความช่วยเหลือจากปริม มีความสุขจากการเป็นผู้รับ ผู้ให้อย่างปริมเห็นพี่กับน้องอินมีความสุขก็จะได้รู้สึกยินดีตามไปด้วย ปริมขอพี่อรแค่นี้ละกันค่ะ”
คำพูดของพี่ปริมทำให้คุณแม่และเธอถึงกับซาบซึ้งตื้นตันจนน้ำตาคลอ อรินทิพย์วางมือขวาของตัวเองทาบทับลงบนมือของผู้ใหญ่ที่กุมมือเธอเอาไว้ เด็กสาวเอนตัวเอียงหัวไปซบไหล่พี่สาวใจดี เธอพูดกับเจ้าของไหล่ที่เป็นหลักให้กายเธอได้พัก บอกกับคนที่เป็นหลักให้ใจเธอได้พึ่งพิง
“ขอบคุณมากนะคะพี่ปริม ขอบคุณที่พี่เดินเข้ามาในชีวิตของอิน ถ้าไม่มีพี่ อินนึกภาพไม่ออกเลยว่าวันนี้ของอินจะเป็นยังไง... ฮึก...”
“อ่า... น้องอินร้องไห้ซะแล้ว โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะคะไม่ร้อง”
เพราะคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่สาวคนดีทำเพื่อเธอ นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนกระทั่งถึงวันนี้ อรินทิพย์จึงยิ่งเกิดอาการซาบซึ้งจนน้ำตาไหล พี่สาวคนสวยรีบพูดปลอบเธอด้วยเสียงนุ่มและยกมือซ้ายขึ้นมาปาดเช็ดหยดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน พี่ปริมเอียงหน้ามาหา พยายามจะมองหน้าเธอให้ชัด อรินทิพย์จึงเลิกพิง กลับมานั่งตัวตรงแล้วหันไปหา ให้ผู้ใหญ่ใจดีได้มองหน้าเธออย่างเต็มตาตามที่ต้องการ เด็กน้อยมองสบตาของคนอายุมากกว่า กระแสที่ส่งมาจากดวงตาคู่สวยทำให้เธอรู้สึกอุ่นวะวาบขึ้นมาในใจ อรินทิพย์เห็นพี่ปริมส่งยิ้มให้และส่งมือขวามาหา นิ้วเรียวช่วยเกี่ยวเก็บปอยผมที่ตกลงมาปิดบังเกะกะดวงตาของเธอไปทัดหู จากนั้นก็ย้ายตัวสูงขึ้นไปวางบนศีรษะ พี่สาวคนสวยขยับมือลูบผมเธอไปมา ในขณะเดียวกันก็ขยับริมฝีปากพูดกับเธอไปด้วย
“จะไปคิดอย่างนั้นทำไมล่ะคะ? ในเมื่อน้องอินมีพี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน แล้วก็จะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ น้องอินตลอดไม่ไปไหน... หรือต่อให้โดนไล่ พี่ก็จะไม่ยอมไปไหนหรอก”
พี่ปริมหรี่เสียงประโยคท้ายสุด ยื่นหน้าเข้ามาพูดกระซิบตรงข้างหูให้เธอได้ยินเพียงคนเดียวแล้วถอยหน้าออกห่างมาส่งยิ้มให้ อรินทิพย์จึงเริ่มยิ้มออก เด็กน้อยเลียนแบบผู้ใหญ่ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พี่ปริมบ้าง
“เด็กที่ไหนจะกล้าไล่ผู้ใหญ่น่ารักอย่างพี่ล่ะคะ”
อรินทิพย์ส่งเสียงพูดดังผะแผ่วพอให้ได้ยินกันสองคน บอกพี่สาวคนสวยและใจดีไปอย่างนั้น เสร็จแล้วเธอก็ถอยหน้าออกมาส่งยิ้มหวาน ผู้ใหญ่น่ารักจึงยิ้มกว้างพร้อมกับออกแรงโยกศีรษะเธอไปมาเบา ๆ

เนื่องจากอรินทิพย์เพิ่งร้องไห้ไปเมื่อสักครู่ น้ำตาบางส่วนก็เลยไหลตามท่อเชื่อมจากตาลงมาสู่รูจมูกให้ต้องหายใจเข้าแรง ๆ ดังฟื้ด ผู้ใหญ่เห็นแล้วยิ้มขำ จับมือของเธอที่กำลังจะยกขึ้นมาเช็ดน้ำมูก เด็กน้อยมองคุณพี่คนสวยล้วงเอาห่อพลาสติกใส่กระดาษทิชชูออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ หยิบมันออกมาหนึ่งแผ่น ใช้มันปิดจมูกของเธอ อรินทิพย์อมยิ้มเมื่อนึกได้ว่านี่เป็นครั้งที่สามแล้วนะที่พี่ปริมทำแบบนี้ ถ้ามีคนถามว่าความประทับใจแรกที่มีต่อพี่ปริมคืออะไร คนที่ได้ยินคำตอบของเธอคงหัวเราะขำกลิ้ง

หนูรู้สึกประทับใจ เพราะพี่ปริมใจดี เช็ดขี้มูกให้หนูค่ะ

ฟื้ด
“คิคิ”
เด็กน้อยสั่งน้ำมูกไปหัวเราะไป ผู้ใหญ่จึงถาม
“ขำอะไรคะ?... ตั้งแต่เรารู้จักกันมา นี่พี่ต้องเช็ดขี้มูกให้น้องอินเป็นครั้งที่สามแล้วนะ ใช่ไหม?”
“...>//////<...”
“อ่าว... อยู่ดี ๆ ก็หน้าแดง เอ้อ... เมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ ขนตาไม่ทันแห้งก็ขำได้ อีกไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนอารมณ์มาเป็นเขิน น้องอินเปลี่ยนอารมณ์เร็วเหมือนเด็กสองขวบเลย... แล้วพี่ต้องเลี้ยงอีกกี่ปีถึงจะโตล่ะนี่?”
ประโยคหลังสุดนี้ผู้ใหญ่พาใบหน้าเปื้อนยิ้มล้อเลียนมาพูดกระซิบกระซาบถามใกล้ ๆ ใบหน้าแดงก่ำของเธอ อรินทิพย์จึงส่งเสียงกระซิบอุบอิบตอบกลับไป
“อีกสองปีนิด ๆ ก็สิบแปดแล้ว”
พี่ปริมอมยิ้ม ยื่นหน้ามาใกล้กว่าเดิม เธอจึงเอียงอวัยวะรับเสียงด้านซ้ายไปหา พี่ปริมเอามือป้องปาก กรอกเสียงเข้ามาในรูหู บอกกับเธอว่า...
“อายุครบสิบแปดเมื่อไหร่ พี่จะพาแม่ไปขอตอนเที่ยงคืนเลย”
“...>///////<... พี่พูดจริงเหรอ?” เด็กน้อยถามเสียงอุบอิบโดยไม่กล้ามองสบตาผู้ใหญ่
“จริงค่ะ”
ผู้ใหญ่พยักหน้า ตอบด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่นอยู่ในที เด็กสาวที่มีคนขอจับจองตัวล่วงหน้าถึงกว่าสองปีจึงแสดงอาการเขินอายมากมายหลายอย่างพร้อมกัน ทั้งอาการหน้าแดงแก้มร้อน กัดริมฝีปากล่างด้านในกักกันความเขิน มีการประสานมือกันตรงหน้าตักแล้วบีบจนแน่นด้วย อ่อ มีการยกไหล่ขึ้นนิดหนึ่งอีกต่างหาก ให้ใครมามองดูปราดเดียวก็รู้ว่าเด็กน้อยกำลังรู้สึกยังไง คุณอรทัยส่งมือไปลูบศีรษะลูกสาวพลางถามยิ้ม ๆ
“เขินอะไรพี่เค้าล่ะหืม? พี่ปริมแกล้งน้องอีกแล้วเหรอ?”
ประโยคแรกลูกสาวไม่ยอมตอบ แต่ประโยคหลังมีเสียงตอบกลับมา
“ปริมไม่ได้แกล้งน้า~... กระซิบ กระซาบ”
คุณอรทัยขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย คนชอบแกล้งลูกสาวเธอเล่นตอบปฏิเสธเสียงใสว่าไม่ได้ทำ แต่หลังจากนั้นก็หันไปเอามือป้องปากพูดกระซิบอะไรใส่หูน้อง พอคุณอรทัยเห็นลูกสาวยิ่งเกิดอาการเขินอายแก้มแดงเป็นริ้ว ๆ ผู้เป็นแม่กลับปล่อยคิ้วให้วิ่งกลับที่ของมัน คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรหรอก ปริมคงพูดแกล้งแหย่ลูกสาวของเธอให้เขินแบบที่ทำอยู่เป็นประจำนั่นแหละ

แล้วถ้ามันจะมี “อะไร” ขึ้นมาล่ะ?

เมื่อคำถามนี้ผุดขึ้นมาในสมอง หัวคิ้วของคุณอรทัยก็ขยับเข้ามาชิดกันได้อีกหน คราวนี้สิ่งที่ออกแรงดึงหัวคิ้วเข้าหากันไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นความรู้สึกกังวล คนเป็นแม่กำลังนึกเป็นห่วงลูกสาวสุดที่รัก เมื่อหันไปมองลูกผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เห็นอรินทิพย์แสดงอาการเขินมากมาย อมยิ้มเอียงอาย ทำตาหวานใส่ผู้มีพระคุณ คนเป็นแม่ก็เริ่มแน่ใจว่ามันคงมี “อะไร” เกิดขึ้นในใจของลูกสาวเธอแล้ว เมื่อแน่ใจว่าได้คำตอบของคำถามข้างต้น คำถามถัดไปก็ตามมา...

“แวะพักเติมน้ำมันครับผม ใครจะไปเข้าห้องน้ำ หรือว่าจะไปซื้อขนมก็เชิญตามสบายเลยคร้าบ”

ก่อนที่เธอจะส่งเสียงรำพึงเอ่ยประโยคคำถามให้ดังในใจ คนขับรถก็หันมา ตะโกนเสียงดังขัดจังหวะความคิด แถมลูกสาวยังหันมาถามว่าจะไปเข้าห้องน้ำไหม ความคิดของคุณอรทัยจึงสะดุดลงชั่วคราว ถึงจะสะดุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะลืมคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมองเมื่อครู่ เธอส่ายหน้าตอบคำถามลูกว่าจะไม่ไปเข้าห้องน้ำ พอลูกสาวกับผู้มีพระคุณลงจากรถไป ผู้เป็นแม่ส่งสายตามองตาม ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เป็นห่วงลูก อรทัยตัดสินใจว่าเธอจะต้องพูด ต้องทำอะไรบางอย่าง เธอไม่อยากจะให้เรื่องมันสายเกินแก้ เธอแค่ไม่อยากเห็นลูกสาวต้องมานั่งเป็นทุกข์

คงต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม...
.

.
เวลาผ่านไป ขณะนี้ใกล้จะหกโมงเย็น
รถตู้สีบรอนซ์ทองโบกมือลาถนนมิตรภาพ ย้ายมาวิ่งตามถนนทางหลวงสายชนบทในเขตจังหวัดนครราชสีมา ต่อด้วยเส้นทางคดเคี้ยว เลาะเลี้ยวไปตามไหล่เขา ผ่านอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง รถถูกบังคับให้เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ให้เวลาผู้โดยสารได้ชื่นชมภาพบรรยากาศสายหมอกเจือจางลอยเรี่ยผิวน้ำยามเย็นหลังฝนโปรย เพราะอากาศดีเย็นสบายตลอดทั้งปีและในฤดูฝนจะมีหมอกลงหนา บางคนจึงตั้งสมญาให้ว่าที่นี่คือสวิสเซอร์แลนด์แห่งแดนอีสาน

“ถึงแล้วจ้า~”
พี่ปริมประกาศเสียงดังคับรถก่อนจะเปิดประตูจนเธอต้องยิ้มขำความร่าเริงกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษของผู้ใหญ่ อรินทิพย์หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับก้าวตามพี่สาวคนสวยลงไปยืนบนพื้นปูน รถตู้มาจอดส่งผู้โดยสารบริเวณหน้าบ้านไม้หลังใหญ่ท้ายสวนองุ่นที่ปลูกอยู่บนเนินสูง ณ ตอนนี้เมื่อมองไปไกลสุดสายตา เธอเห็นดวงอาทิตย์ยามโรยราทอแสงอ่อนผ่านกลุ่มหมอกอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า สายลมเย็นโชยมา บอกต้นองุ่นที่ปลูกเรียงแถวเป็นแนวยาวให้โบกปลายยอดไหว ๆ ลาดวงตะวัน ภาพที่กำลังสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของเธอนั้นสวยงามเกินจะหาคำพูดมาอธิบาย อรินทิพย์ทำได้แค่เพียงพูดสรุปความ
“สวยจังเลยค่ะพี่ปริม”
“อยู่ ๆ ก็มาชมกันว่าสวย พี่เขินนะคะ”
ผู้ใหญ่แกล้งแสดงอาการยิ้มขวยเขิน บิดไหล่ไปมา ชะม้ายชายตามองเธอหนึ่งวินาทีแล้วก้มหน้า แกล้งทำเป็นอายตัวม้วนจนเกินพอดี ท่าทางนี่ยิ่งกว่าเธอตอนเขินสุดชีวิตซะอีกมั้ง เด็กน้อยจึงหัวเราะขำและส่งมือไปตีแขนพี่ปริม
“เค้าพูดชมวิวต่างหาก ไม่ได้ชมพี่ซะหน่อย”
“อ่าว... ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้เล่า ปล่อยให้พี่เขินเก้ออยู่ได้ตั้งนาน”
“เขินเก้อไม่ว่า จะเขินเยอะโอเวอร์แอ็คติ้งเกินไปละ อินเห็นแล้วหมั่นไส้”
“พี่ไม่ได้โอเวอร์แอ็คติ้งนะ พี่แค่ทำท่าเลียนแบบน้องอินเวลาเขิน อิอิ”
“ไม่จริงอ่ะ! อินไม่เคยทำท่าเขินอายอะไรมากมายแบบที่พี่ทำเมื่อกี้หรอก”
เธอพูดไปก็ผลักไหล่พี่ปริมไป ผู้ใหญ่ปล่อยตัวให้เซถลาถอยหลังไปสองก้าวแล้วปักหลักยืนอ้าปากหัวเราะร่าลงลูกคอเอิ๊ก ๆ ให้ท้องฟ้าฟัง แถมมีแว่วเสียงหัวเราะคิก ๆ ดังมาจากด้านหลังด้วย อรินทิพย์จึงหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นเสียงจากคุณแม่ของเธอเอง แค่มองสบตาทอประกายขบขันของมารดา เธอก็พอจะรู้ล่ะว่าคุณแม่คิดยังไง แม่คงเห็นด้วยกับพี่ปริมใช่ไหม ตกลงว่าตอนเธอเขินนี่จะมีอาการบิดไหล่ไปมา อายจนม้วนตัวแบบที่ผู้ใหญ่เขาทำให้ดูเมื่อครู่งั้นเหรอ...
“ไม่จริงอ่ะ! ไม่จริง... ตอนเขินอินไม่ได้ทำท่าแบบนั้นซะหน่อย”

เธอพูดโวยวายแก้ตัว แต่เสียงหัวเราะของพี่ปริมกับคุณแม่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง กลับดังขึ้นด้วยซ้ำไป อรินทิพย์จึงเดินหนี ปลีกตัวไปช่วยพี่เก้ายกกระเป๋า พี่สาวคนสวยรีบตามมาช่วยหิ้วกระเป๋าใบเดียวกันโดยถือหูอีกข้างของกระเป๋าเอาไว้ พี่ปริมกับเธอตามคุณนมแจ่มเดินขึ้นไปบนบ้านไม้หลังใหญ่ เท่าที่ได้พูดคุยสอบถามคนอาสาพามาเที่ยวตอนนั่งอยู่ด้วยกันบนรถ ผู้เป็นเจ้าของบ้านไม้สไตล์ยุโรปกลางไร่องุ่นหลังนี้คือคุณปู่ของพี่ปริมนั่นเอง พี่สาวคนสวยเล่าให้ฟังว่าคุณปู่ช่วยเพื่อนที่เดือดร้อนเรื่องเงิน ตกลงซื้อที่ดินแถวนี้เอาไว้กว่าร้อยไร่ พอได้มาสำรวจดูทำเลแล้วเกิดติดใจบรรยากาศเย็นฉ่ำเงียบสงบ ท่านตัดสินใจวางมือ ทิ้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างให้ลูกชายคนโตหรือลุงของพี่ปริมเป็นคนดูแล ส่วนตัวคุณปู่เองผันตัวมาเป็นเกษตรกรผู้ปลูกองุ่นรายใหญ่

พอเธอกับพี่สาวคนสวยก้าวพ้นบันไดเจ็ดขั้นขึ้นมายืนบนพื้นบ้าน เดินพ้นหัวบันไดมาได้นิดเดียว อรินทิพย์ก็ต้องส่งเสียงกรีดร้องด้วยความกลัว ละทิ้งสายกระเป๋าที่ถือมาแล้วสืบเท้าพาตัวไปหลบหลังพี่ปริม
“อ๊าย! หมาตัวเบ้อเริ่มเลย”

เจ้าสี่ขาสีทองตัวเบ้อเริ่มที่เธอว่าวิ่งปรี่เข้ามาหาเธอกับพี่ปริม ลูกแมวน้อยกลัวหมาใหญ่จึงรีบกระโดดไปหลบข้างหลังแมวใหญ่ อรินทิพย์ได้ยินเสียงพี่ปริมกรี๊ดเหมือนกัน

“อ๊าย! หยุด! หยุดเลย! เจ้าบิงโก! อย่านะ... ม่ายยย~”
พี่แมวใหญ่ตะโกนแง้ว ๆ ร้องห้ามหมาตัวโตซะเสียงหลง แต่หมาไม่ฟัง ยังพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วเท่าเดิม อรินทิพย์เห็นมันกระโดดเข้ามาหาเธอกับพี่ปริม เธอจึงร้องอ๊าย กำขยุ้มเสื้อยืดของพี่แมวใหญ่และหลับตาปี๋อยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตา ชะโงกหน้าพ้นสีข้างของพี่ปริมมาได้ ลูกแมวน้อยถอนหายใจอย่างโล่งอก เลิกเกาะเสื้อยืดของพี่แมวใหญ่แล้วกระเถิบตัวมายืนข้าง ๆ อรินทิพย์มองหมาใหญ่สีทองขนยาวยืนด้วยสองขาหลัง สองขาหน้าโอบเอวของพี่ปริมเสียแน่น มันเอียงหัวซบหน้ายาว ๆ ลงตรงอกของพี่สาวคนสวยพร้อมกับกระดิกหางไปมาอย่างบ้าคลั่ง แวบแรกเด็กสาวนึกอยากจะยิ้มขำ เจ้าหมาชื่อบิงโกนี่ทำท่ากอดพี่ปริมเหมือนคนไม่มีผิดเลย แต่ไป ๆ มา ๆ เธอกลับหัวเราะไม่ออก หน้าตาดูมีความสุขมากมายของมันยามได้กอดพี่ปริมทำให้ลูกแมวน้อยแอบดึงหัวคิ้วเข้าหากันนิด ๆ รู้สึกหมั่นไส้เจ้าสี่ขาขนยาวสีทองขึ้นมาตงิด ๆ

แง้ว~ เจ้าบิงโกเอียงหน้าซบอกพี่ปริม แถมหลับตาพริ้มด้วยอ่ะ มันจะเกินไปละ ลูกแมวน้อยอิจฉา
เจ้าหมาตัวโต แกจะกอดพี่แมวใหญ่ของเค้าอีกนานไหมน่ะ? ปล่อยพี่แมวใหญ่ของเค้าเดี๋ยวนี้น้า... แมวน้อยหวง แมวน้อยหวง

ลูกแมวน้อยแอบบ่นและส่งเสียงโวยวายอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าเข้าไปแยกหมาตัวโตออกจากพี่แมวใหญ่หรอก ก็หนูกลัวหมาจะขบหัวเอานิ่ มี้~
สุดท้ายฮีโร่ของลูกแมวน้อยก็ปรากฏตัว คุณปู่ของพี่ปริมเดินยิ้มไปใกล้หมาตัวโตแล้วเอาปลายไม้ตะพดเคาะหัวมันเบา ๆ พร้อมกับส่งเสียงดุ
“ไอ้หมาขี้หลี จะมากไปละ หน้าตาดูมีความสุขเชียวนะ”
หมาขี้หลีร้องดังอิ๋ง เจ้าบิงโกรีบกลับมายืนสี่ขาเหมือนเดิม มีการเดินหางตกไปยืนหลบหลังพี่ปริมแล้วเยี่ยมหน้าแหลม ๆ ไปมองคุณปู่ ถึงหมาขี้หลีแสนรู้จะทำตัวน่าหมั่นไส้ แต่อรินทิพย์มองมันแล้วก็อดขำไม่ได้

หลังเจ้าหมาใหญ่โดนคุณปู่ช่วยปลดออกให้พ้นจากตัว พี่ปริมก็แนะนำให้เธอกับคุณแม่รู้จักกับคุณปู่นรินทร์ หรือปู่รินทร์ คุณปู่ผู้เป็นเจ้าบ้านกล่าวสวัสดีทักทายเพียงสั้น ๆ บอกว่าเดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อบนโต๊ะอาหาร ชายชราสูงวัยสั่งสาวใช้ให้นำแขกเหรื่อไปยังห้องพักส่วนตัวที่ตั้งอยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ให้เวลาพักผ่อนล้างหน้าล้างตา หรือถ้าใครคิดจะล้างตัวก็ตามสบาย อีกสามสิบนาทีจะส่งคนมาเคาะประตูเรียกให้ไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ก่อนจะแยกตัวเดินเข้าห้องใครห้องมันซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน อรินทิพย์แอบขำและยิ้มเขินที่พี่แมวใหญ่ขยิบตาใส่ ทำปากขมุบขมิบแต่ไร้เสียง บอกว่ามาหาพี่หน่อยสิ นะ นะ เธอเอาแต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ปิดประตูหายตัวเดินตามคุณแม่เข้าไปในห้องพัก พอวางกระเป๋าลงบนพื้น อรินทิพย์ขอเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า พอกลับออกมาอีกที คุณแม่ที่นั่งอยู่ตรงริมเตียงก็ลุกขึ้น บอกกับเธอว่า

“แม่ขอตัวไปคุยอะไรกับพี่ปริมนิดนึงนะลูก เดี๋ยวแม่มา”   
“ค่ะ”

ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูสองครั้งดังขึ้นเบา ๆ
แมวใหญ่คิดว่าลูกแมวน้อยมาหา ปณิตาอยากจะเขย่งก้าวกระโดดจากมุมห้องด้านตรงข้ามไปให้ถึงประตู ขอเดินแค่สี่ก้าวแล้วไปถึงทางเข้าออกเลยได้ไหมเนี่ย ทำไมห้องมันใหญ่จัง เตียงนี่ก็กว้างจริง ต้องเสียเวลาเดินอ้อมตั้งห้าวินาทีแน่ะ

แกร็ก
“อุ่ย!”
แมวใหญ่หุบยิ้มฉับและร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะคนที่ยืนอยู่หลังบานประตูเป็นคุณแม่ของลูกแมวน้อย ปณิตายิ้มแหย ๆ กะพริบตาปริบ ๆ คิดในใจว่าส่งซิกแนลเป็นสัญญาณให้ลูกแมวแอบมาหา แต่เหตุไฉนแม่แมวมาแทนล่ะนี่

“เอ่อ... พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย แบบเป็นการส่วนตัวค่ะ”
“อ... อ่อ... ด... ได้ค่ะ”
ปณิตาพาแขกเดินข้ามห้องมายังบริเวณติดกับหน้าต่าง ผายมือเชื้อเชิญให้คุณอรทัยนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หนึ่งในสองตัว เธอเองหย่อนก้นลงบนเก้าอี้อีกฝั่งถัดจากโต๊ะเตี้ยกั้น หญิงสาวสังเกตสีหน้าท่าทางของแขกผู้มาเยือนแล้วรู้สึกใจไม่ค่อยดี พี่อรย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เม้มริมฝีปาก กลอกตาไปมาซ้ายขวา ดูเหมือนว่าเรื่องที่กำลังจะพูดสนทนากันจะมีแนวโน้มไปในทางลบ หรืออาจเป็นเพราะมีเรื่องอะไรอยากจะขอร้องรบกวนให้เธอช่วยแต่ไม่กล้าพูด ปณิตาคิดดังนั้นแล้วจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม ช่วยเปิดประเด็น
“พี่อรมีอะไรจะพูดกับปริมคะ?”
“คือ... พี่อยากจะมาพูดขอร้องปริม... เอ่อ... เรื่องเกี่ยวกับลูกสาวพี่”
“เกี่ยวกับอินเหรอคะ? พี่จะขอร้องปริมเรื่องอะไร พี่บอกมาได้เลยค่ะ ถ้าช่วยได้ ปริมยินดีจะช่วยทุกเรื่องอยู่แล้ว”
“เอ่อ... พี่... พี่อยากขอร้องปริมว่า... อย่าทำตัวใกล้ชิดกับน้องอินมากเกินไปนักจะได้ไหม?”
“!!!”
คุณอรทัยก้มหน้าหลบสายตาเธอพักหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเธออีกครั้ง ปณิตาฟังคำขอร้องแล้วหัวใจหล่นวูบไปอยู่ใต้ตาตุ่ม ไม่สิ ใต้ตาตุ่มยังสูงไป หัวใจของเธอตอนนี้ตกลงไปอยู่ใต้ฝ่าเท้า ทะลุผิวหนัง ทะลุไม้กระดาน หล่นตุบไปบนพื้นปูนใต้ถุนบ้าน และมันกำลังพยายามขุดแทรกผ่านด่านปูนซีเมนต์ พาตัวให้ต่ำลงไปสู่ใจกลางโลกถ้าทำได้ ปณิตาทำหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ สีเลือดจางหายไปจากใบหน้าเกือบหมด จะให้มีสีเลือดได้อย่างไร เพราะอวัยวะสูบฉีดเลือดของเธอมันหลุดจากช่องอกไปอยู่ใต้ถุนบ้านแล้วนี่

โฮ!... คุณแม่ของลูกแมวจับได้แล้วว่าเธอคิดยังไงกับลูกแมวน้อยใช่ไหม? และคุณแม่ไม่เห็นด้วย คุณพี่อรทัยกำลังจะสั่งห้ามเธอไม่ให้คบหากับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ!?

“ท... ท... ทำไม... ทำไมล่ะคะ?”
ปณิตาส่งเสียงถามคุณอรทัยแบบตะกุกตะกักเบาหวิว เสียงแต่ละพยางค์ต้องพยายามออกแรงมุดตัวลอดผ่านช่องฟัน ปีนริมฝีปากสั่น ๆ ออกมาเองด้วยความยากลำบาก คู่สนทนามองสบตาเธอแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง

“คือ... ลูกสาวพี่ยังเด็ก...”
“ค่ะ... น้องอินยังเด็ก... แล้ว... ยังไงต่อคะ?”
“ม... ไม่เคยมีใครมาทำดีด้วย ใกล้ชิดด้วยแบบที่ปริมทำกับอิน... พี่... พี่ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ...”
“............”
คุณพี่อรทัยเงยหน้าขึ้นมามองสบตาเธออีกครั้ง แต่ปณิตาไม่อยากสบตาด้วย เธอเป็นฝ่ายเบือนหน้าพาหน้าต่างของหัวใจหนีไปด้านข้าง ขอยกมือขึ้นมาเช็ดล้างซับน้ำที่เริ่มซึมล้นออกจากหน้าต่างก่อน หญิงสาวพยายามคิดว่าเธอจะพูดจะบอกคุณแม่ของเด็กน้อยว่าอย่างไรดี เมื่อครู่เธอพูดว่าถ้าช่วยได้ เธอยินดีจะช่วยทุกเรื่อง คำขอร้องนี้เธอช่วยทำให้ได้ก็จริง แต่เธอไม่รู้สึกยินดีที่จะทำมันเลย ปณิตาสูดน้ำมูกที่มีส่วนผสมของน้ำตาดังฟื้ด เวลานี้เธออยากจะให้เด็กน้อยเอาทิชชูมาปิดจมูกเธอบ้างจัง

“ป... ปริมร้องไห้เหรอ!?”

คุณแม่ของเด็กน้อยถาม ปณิตาตอบด้วยเสียงฟื้ด แถมด้วยหยดน้ำที่ร่วงหล่นมาอาบแก้ม หญิงสาวกะพริบตาถี่ ๆ หัวสมองกำลังคิดหาคำพูดเพื่ออธิบายความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเด็กน้อยให้คุณแม่ฟัง ยังไงก็ต้องพูด ยังไงก็ต้องลองเจรจาพยายามขอร้องดูก่อน แต่เธอคงใช้เวลาคิดนานไป คุณอรทัยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามไล่เบี้ยเธอแทน

“ปริม... ปริมคิดยังไงกับลูกสาวพี่!?”
“เอ่อ... ปริม... ปริมรักลูกสาวพี่”
“รัก!... รักแบบไหน?”
ปณิตาก้มหน้า กำมือกุมขากางเกงยีนส์จนมันยับย่น เอาล่ะ ได้โอกาสพูดแล้ว บอกไปเลยว่า...
“ก็... ปริมรัก... รักน้องอินแบบ... แบบที่พี่อรรักคุณพ่อของน้องอิน”
“!!!”
“...........”

สารภาพไปแล้ว...
บอกไปแล้ว...

หญิงสาวกลิ้งนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนให้เหลือบขึ้นไปด้านบน เหล่มองสบตาคุณอรทัยทั้งที่ตนยังก้มหน้าอยู่นิด ๆ ทำสีหน้าจ๋อย ๆ เหมือนเด็กทำอะไรผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ พอเห็นคุณแม่ของลูกแมวน้อยย่นคิ้วทำตาดุใส่ ปณิตารู้สึกว่าตัวเธอลดขนาดลงเหลือเท่าแมว

“ปริมกับอินแอบคบกันอยู่รึเปล่า?”
“เอิ่ม... ก็... จะพูดอย่างนั้นก็ได้มั้งคะ”
“ทำไมมีมั้งด้วยล่ะ?”
“คือ... คือ... เอ่อ... เอิ่ม... ม... ไม่มีก็ได้ค่ะ”
“ตกลงว่ายังไงกันแน่ พูดมาให้ชัด ๆ ซิ”
“ปริมรักน้องอิน ปริมบอกให้น้องรู้แล้ว และน้องก็บอกว่ารักปริมเหมือนกัน ที่ปริมใส่คำว่ามั้งไปด้วย เป็นเพราะปริมไม่เคยพูดขอน้องว่าจะคบกันเป็นแฟนนะ ก็เท่านั้นเองล่ะค่ะ... เฮ้อ...”
ปณิตาพูดสารภาพจนหมดเปลือกแล้วส่งเสียงถอนหายใจปิดท้าย พอเปลือกหมด อย่างน้อยมันก็ทำให้ตัวเธอรู้สึกโล่งเบาขึ้นนิดหนึ่ง งานนี้แมวใหญ่ขอสู้ตาย ถ้าคุณแม่ไม่ยกให้ เราจะคาบลูกแมวหนีไปด้วยกันดีไหมนี่? แล้วจะหนีไปที่ไหนดี? แมวเด็กจะยอมหนีตามไปด้วยไหม? ถ้าไม่ยอมจะทำยังไง?

“คิดจะพรากผู้เยาว์เหรอปริม?”

เฮือก!
แมวใหญ่ที่โดนพูดดักทางสกัดความคิดรีบเบรกตัวเองจนหลังโก่ง แต่ตัวจริงปณิตานั้นกำลังสะดุ้งโหยงนั่งหลังตรงแหน่ว หญิงสาวยิ้มแหย หัวเราะแหะ ๆ บอกกับคุณอรทัยไปว่า...
“ถ้าไม่อยากให้ปริมพรากผู้เยาว์ ผู้ปกครองอย่างพี่อรก็ยกน้องอินให้ปริมสิคะ”
“.........”
“ปริมรักลูกสาวพี่จริง ๆ นะคะ”
“.........”
“รักจริงหวังแต่งเลยนะคะ”
“พ่อกับแม่ของปริมล่ะ ท่านจะยอมให้แต่งเหรอคะ?”
“เอ่อ... คือ... คุณพ่อคุณแม่ของปริมยังไม่รู้เรื่องที่ปริมคบกับน้องอินหรอกค่ะ แหะ ๆ”
“เฮ้อ...”
“แต่ถ้าพี่อรไฟเขียวให้ปริมคบกับน้องอินแบบนี้ ปัญหาก็หมดไปครึ่งหนึ่งแล้วล่ะค่ะ”
“พี่ยังไม่ได้พูดสักคำนะว่าจะอนุญาต”
คุณอรทัยจิกตาเหวี่ยงค้อนให้คู่สนทนารับวงเบ้อเริ่ม แต่คนรับค้อนทำหน้าระรื่น ส่งเสียงขำคิก ๆ ปณิตากลับอมยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ตอนแรก... ที่พี่บอกกับปริมว่ากลัวน้องอินเสียใจ พี่กลัวว่าน้องอินกำลังตกหลุมรักปริมข้างเดียวใช่ไหมคะ?”
“มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว เฮ้อ... ถ้าวันนี้พี่ไม่มาถามนี่ ไม่มีใครคิดที่จะบอกพี่เลยใช่ไหม?”
“ปริมก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังพี่อรหรอกนะคะ ปริมอยากให้เวลาน้องอินได้คิด อยากจะลองคบกันไปสักระยะจนน้องแน่ใจว่าปริมคือคนที่น้องรัก เป็นคนที่ใช่จริง ๆ แล้วถึงจะบอกให้พี่รู้”
พอคุณอรทัยได้ฟังคำอธิบายของเธอ มุมของริมฝีปากก็ยกขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มเปิดประเด็นสนทนากันมา เมื่อคุณแม่ของเด็กน้อยลุกขึ้น ปณิตาก็ลุกขึ้นยืนตาม คุณอรทัยส่งยิ้มให้ ก่อนจะขอตัวออกจากห้องเธอไป คุณแม่ของเด็กน้อยพูดขอร้องเธอหนึ่งประโยค
“พี่ขอให้ปริมรักลูกสาวพี่จริง ๆ เถอะ”
ปณิตาฟังคำขอแล้วอมยิ้ม “พี่อรไม่ต้องขอหรอกค่ะ เพราะมันเป็นอย่างนั้นอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่พี่อรยังไม่ได้พูดขอด้วยซ้ำไป”
คุณอรทัยแอบเหวี่ยงค้อนให้อีกหนึ่งวง “เพราะคารมดีอย่างนี้สินะ เด็กถึงได้หลง”
ปณิตาหัวเราะร่วน “ปริมไม่ได้คารมดีพร่ำเพรื่อกับคนอื่นหรอกนะคะ เป็นคนรักเดียวใจเดียวค่ะ”
“จริงรึ?”
“จริงซิ”
“แน่นะ?”
“อ๋อ แน่ซิ... แน่ะ!... พี่อรอ้ะ อย่ามาชวนปริมร้องเพลงคนแก่สิ เดี๋ยวปริมโดนลูกสาวพี่แซวเอา... เรื่องอายุเนี่ย น้องอินชอบเอามาพูดแซวกัดปริมนักล่ะ”
ประโยคแรกเธอพูดด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน แต่พอประโยคหลัง ปณิตาทำหน้ายู่ พูดบ่นให้คุณแม่ของน้องอินฟังเหมือนเป็นการฟ้อง คุณแม่รับคำร้องเรียนมาอ่าน แต่พออ่านเสร็จก็เอามือปิดปากหัวเราะขำกิ๊ก
“ตอนโดนแซวก็อย่าเต้นแร้งเต้นกาให้คนแซวได้ใจซิ นิ่งไว้ ยอมรับความจริงซะว่า... แก่... กว่า... อิน...เยอะ... เดี๋ยวน้องก็เลิกแซวไปเอง”
“ง่ะ!”
พี่อรคะ... เล่นพูดเน้นตอกย้ำซะชัดถ้อยชัดคำเชียว
เดี๋ยวปริมจะไปแก้แค้นเอากับลูกสาวพี่ อิอิ

ปณิตายิ้มร่า ขอเดินตามแม่แมวเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้าม หญิงสาวเดินเข้าไปหาเด็กน้อย คราวนี้ไม่จับแค่มือละ โอบไหล่โชว์คุณแม่ซะเลย
“ปริมขอตัวลูกสาวพี่แป๊บนึงนะคะ”
“ห้ามทำอะไรลูกสาวพี่มากกว่าจูบนะ พี่ไม่อนุญาต”
“ค่า”
ปณิตารับคำเสียงใส ส่วนเด็กน้อยนั้นทำหน้าไม่ถูก ทั้งตกใจ ทั้งเขิน ทั้งสงสัย

อรินทิพย์เข้ามาในห้องส่วนตัวของผู้ใหญ่ โดนโอบไหล่พาตัวมาแบบมึน ๆ พอรู้ตัวอีกทีก็โดนเจ้าของห้องกอดรัดจนขยับตัวไม่ได้ เด็กน้อยยืนห่อไหล่ตัวเกร็งแข็งทื่อ พี่ปริมเอาครึ่งปากครึ่งจมูกมากดจิ้มกลุ่มผม หอมมันดังฟอด ส่งเสียงครางดังหื้มบอกว่าห้อมหอม จากนั้นครึ่งปากครึ่งจมูกก็เลื่อนลงมา หอมแก้ม จูบหน้าผาก จูบแก้ม จูบจมูก แล้ว... แล้วก็...

จุ๊บ
เบา ๆ ที่ริมฝีปาก

หลังจากทำอย่างนั้น พี่ปริมก็ถอยหน้าออกมาส่งยิ้มหวานทำตาเป็นประกายให้ คนอายุมากกว่าคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นมา แตะปลายนิ้วชี้กับริมฝีปากของตัวเอง

“พ... พ... พี่... พี่... พี่จูบเค้าเหรอ!?”
“อือฮึ”
หลังเสียงครางในลำคอดังอือฮึ พี่ปริมจับมือขวาที่บดบังริมฝีปากของเธอออกไป เคลื่อนใบหน้าของตัวเองมาใกล้อีกหน กระทำการ “จูบเค้าเหรอ” อีกครั้งหนึ่ง
จูบจริง ไม่ใช้สตันท์ แต่ใช้สแตนด์อิน
ใช่... สแตนด์ อิน
อิน กำลัง stand (ยืน) ให้พี่ปริมจูบอยู่นิ่

พี่ปริมจูบเค้าจริง ๆ ด้วย
จูบแรกของเค้าเลยนะ จูบที่สองก็ด้วยอ่ะ
จูบที่สามกำลังจะโดนขโมยในอีกหนึ่งวินาทีข้างหน้านี่แล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 15:56:06 UPsidedown »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.