web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 149
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 178
Total: 178

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 2  (อ่าน 1102 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 2
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 14:50:13 »
ตอนที่ 2

“สาวน้อย...”

“.................”

“นี่... ตื่นได้แล้ว”

สิ้นเสียงนุ่มหวาน อรินทิพย์ก็รู้สึกถึงแรงเขย่าตรงแขน เด็กสาวจึงค่อย ๆ ดึงเปลือกตาขึ้น เสียงนุ่มหวานดังขึ้นอีกครั้งโดยที่ต้นกำเนิดเสียงอยู่สูงถัดศีรษะของเธอไปนิดเดียว

“ถึงบ้านฉันแล้ว ลงจากรถได้แล้ว”
อรินทิพย์ขยับหน้าขยับตัวออกห่างจากร่างอุ่น ๆ ที่เธอแอบอิง ใช้เป็นที่พักพิงในการหลับใหลในรถ เด็กสาวเคลื่อนตัวลงจากรถคันหรูอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง รู้สึกเสียดายความอบอุ่นและกลิ่นโคโลญหอมกรุ่นที่ตนเพิ่งจากมา อรินทิพย์ยืนรอให้พี่สาวคนสวยลงจากรถ พอคนที่ลงมาทีหลังเท้าแตะพื้นยืนตัวตรงได้ปุ๊บ เสียงนุ่มหวานที่ฟังดูทรงอำนาจอยู่ในทีก็ดังขึ้น

“ตามฉันมา”

อรินทิพย์เดินตามหลังคนออกคำสั่งไปอย่างว่าง่าย หมุนคอหันซ้ายขวามองสำรวจสถานที่ที่พี่สาวคนสวยเรียกว่า ‘บ้าน’ เด็กสาวคิดในใจว่าไม่น่าจะเรียกว่าบ้าน ที่ถูกต้องควรเป็นคฤหาสน์ หรือถ้าจะหลอกเธอว่านี่เป็นวัง ส่วนตัวของลูกท่านหลานเธอพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เธอคงเชื่อว่าพี่สาวคนสวยพูดเรื่องจริง

แล้ว... ท่านชายหื่นกามคนไหนที่พี่สาวคนสวยประมูลตัวเธอมาถวายล่ะ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จากที่เคยมองดูความหรูหราโอ่อ่าของบ้านหลังใหญ่โตอยู่เพลิน ๆ ราวกับตัวเองมาเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ความประหวั่นพรั่นพรึงก็เริ่มกลับมาเกาะกุมใจดวงน้อยเอาไว้จนหนักอึ้ง ความกลัวไหลจากอกไปเกาะที่ขาและเท้าด้วยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะอรินทิพย์รู้สึกว่าเท้าเล็ก ๆ ของเธอมันหนักเหลือเกิน กว่าจะยกกว่าจะย่างได้แต่ละก้าว...

“กลับมาแล้วเหรอคะคุณหนู”
เสียงแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยได้ยินทำให้เด็กสาวหันไปมองต้นกำเนิดเสียงทันที เจ้าของเสียงเป็นหญิงสูงวัย ผมสั้นสีน้ำตาลแดงมีสีขาวแซม 
เด็กสาวไล่สายตามองตามร่างของท่านผู้สูงอายุที่กำลังเดินตรงรี่คลี่ยิ้มเข้ามาหาพี่สาวคนสวย อรินทิพย์ประมาณอายุผู้สูงวัยว่าน่าจะราว ๆ สัก 50 เห็นจะได้



“กลับมาแล้วค่ะนมแจ่ม วันนี้มีอะไรกินบ้าง?”

คนที่ถูกเรียกว่าคุณหนูพูดพลางเดินเข้าไปกอดเอวของคุณนม พอรู้ว่ามีแกงกะทิสายบัวใส่ปลาทู อรินทิพย์ก็เห็นคุณหนูหอมแก้มที่เริ่มมีริ้วรอยแห่งวัยของคุณนมเสียฟอดใหญ่ อ่อ... คุณพี่สาวคนสวยชอบทานแกงกะทิสายบัวหรือนี่ เด็กสาวเผลอสังเกตและจดจำรายละเอียดเล็กน้อยนี้ลงในสมองส่วนความจำถาวร

“แล้วเด็กคนนี้ แขกของคุณหนูเหรอคะ?”

เสียงของคุณนมถามคุณหนู อรินทิพย์เห็นคุณนมมองมา ด้วยความเป็นเด็กมีสัมมาคารวะ มือจึงเข้ามาประกบกันตรงหว่างอก ศีรษะก้มต่ำโดยอัตโนมัติ เธอกล่าวคำสวัสดีทักทายผู้สูงวัยแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหย เด็กสาวไม่ได้แนะนำตัวเองเพิ่มเติมว่าตัวเองมาที่นี่ในฐานะอะไร จะว่าเป็นแขกของคุณหนูคงจะไม่ถูกต้องนัก คงต้องให้ผู้เป็นเจ้าบ้านประกาศฐานะของเธอว่าเป็น...

“... เป็นเด็กในอุปการะของปริมค่ะ”

“!?”
อรินทิพย์ขมวดคิ้วเอียงคอมองคนที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้มีอุปการะคุณของเธอด้วยความงุนงง แต่เมื่อมาคิดดูให้ดี เด็กสาวก็เลิกทำหน้าสงสัย 
รอยยิ้มเหยียดตรงมุมปากนิด ๆ ปรากฏขึ้นในเวลาต่อมา อรินทิพย์คิดว่าคุณพี่คนสวยก็เป็นผู้มีอุปการะคุณของเธอจริง ๆ นั่นแหละ เขาจะจ่ายเงินให้เธอตั้งเป็นล้านเชียวนะนี่ เธอควรจะรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในบุญคุณของผู้อุปถัมภ์รายใหญ่คนนี้สินะ
อรินทิพย์สังเกตเห็นว่าผู้มีอุปการะคุณเอามือป้องปาก กระซิบกระซาบบอกอะไรคุณนม ผู้สูงวัยเอียงหูฟัง ตาเหลือบมามองเธอเป็นระยะสลับกับมองคุณหนูของตน พอเห็นคุณนมส่งยิ้มบาง ๆ ให้ อรินทิพย์กลับรีบเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสู้หน้ามองสบตา เด็กสาวคิดว่าสิ่งที่คุณพี่คนสวยกระซิบเสียงเบาบอกคุณนมเมื่อครู่นั้นคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบอกฐานะที่แท้จริงของเธอ บอกว่าเธอมาที่นี่ทำไม

เฮ้อ... ชีวิตเธอช่างน่าอดสูยิ่งนัก อรินทิพย์รู้สึกอับอายมากจนไม่กล้ามองหน้าใคร

ระหว่างที่เด็กสาวก้มหน้าก้มตา หูก็ได้ยินคนที่ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘ปริม’ พูดเต็มเสียง บอกให้คุณนมพาเธอไปยังห้องอาหาร อรินทิพย์จึงเดินตามผู้สูงวัยไป ก่อนที่เธอจะได้เดินไปไหนไกล คุณนมก็พูดกับเธอว่า

“ส่งกระเป๋ามาให้ป้าสิหนู เดี๋ยวป้าเอาไปเก็บให้”

“เอ่อ... มันหนักเอาการอยู่นะคะ คุณป้าจะเอาไปเก็บไปวางตรงไหนคะ? เดี๋ยวหนูแบกไปเองก็ได้ค่ะ”

เพราะเธอบอกว่าอย่างนั้น ผู้สูงวัยจึงส่งยิ้มให้แล้วพาอรินทิพย์เดินไปยังชุดโต๊ะเก้าอี้รับแขกซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องโถงกว้าง เมื่อกระเป๋าที่เกี่ยวไหล่เกาะหลังเธอถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะเรียบร้อย คราวนี้คุณนมก็พาเธอไปยังห้องอาหาร เด็กสาวก้มหัวเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณที่คุณนมเลื่อนเก้าอี้ตัวที่ติดกับหัวโต๊ะออกให้เธอ อรินทิพย์ได้ยินคุณนมสั่งหญิงสาวอีกคนซึ่งกำลังยกถาดใส่ถ้วยชามเดินเข้ามาในห้องอาหาร บอกให้ยกจานและแก้วน้ำมาอีกชุด เธอได้ยินคุณนมพูดแว่ว ๆ ว่า ‘คุณหนูพาเด็กในอุปการะมาทานข้าวด้วย...’

เข้าใจเลือกใช้คำจังนะคะคุณพี่ ฟังดูถนอมน้ำใจกันดีเหลือเกิน

อรินทิพย์คิดในใจ พาให้มุมของริมฝีปากอิ่มยกขึ้นได้นิดหน่อย เด็กสาวสังเกตชุดจานเปล่าและแก้วน้ำ นอกจากมันจะวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า
เธอแล้ว ก็มีอีกชุดหนึ่งวางอยู่ตรงที่นั่งบริเวณหัวโต๊ะ แสดงว่าคนที่จะมาร่วมรับประทานอาหารกับเธอมีเพียงคนเดียว ซึ่งก็คงไม่ใช่ใคร...

“กินสิ... แกงนี่อร่อยนะ... เห็ดหอมสดผัดน้ำมันหอยก็อร่อย... ปลากะพงทอดน้ำปลานี่มีแต่เนื้อทั้งนั้น เคี้ยวได้เลยไม่ต้องกลัวก้าง”

คุณพี่คนสวยพูดเชิญชวนเป็นระยะ แถมมีบริการตักกับข้าวมาวางให้บนจานของเธออีกด้วย อรินทิพย์เอ่ยคำขอบคุณเสียงอุบอิบ หยิบช้อนส้อมต้อนตักข้าวและกับข้าวเข้าปาก รสชาติของอาหารอร่อยอย่างที่เจ้าบ้านคุยโว แต่เด็กสาวทานอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากอรินทิพย์กลืนความรู้สึกหวาดหวั่นหวาดกลัวเข้าไปอยู่ในท้องด้วย ไม่นานนักเธอก็พึมพำบอกว่าอิ่มแล้วค่ะ ขยับมือรวบช้อนส้อมเข้าหากันโดยต้องวางหลบกองข้าวสวยที่เหลือเกือบครึ่งจาน มือขวายกแก้วน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบขึ้นมาจิบแล้วนั่งก้มหน้านิ่ง รอให้พี่สาวคนสวยทานจนอิ่ม ระหว่างที่รอ มือบางที่แอบประสานกันอยู่บนหน้าตักก็เริ่มชื้นเพราะเหงื่อไหลซึม เด็กสาวต้องคลายฝ่ามือออกจากกันเป็นบางครั้งเพื่อไหว้วานให้กระโปรงนักเรียนสีกรมท่าเช็ดความชื้นบริเวณฝ่ามือให้

“อิ่มแล้วค่ะ”
ริมฝีปากบนบางหยักสวยกับริมฝีปากล่างอวบอิ่มขยับออกห่างจากกัน ปล่อยเสียงหวานนุ่มให้ดังมาเข้าหูเธอ อรินทิพย์จึงเลิกก้มหน้า หมุนคอไปทางซ้ายเพื่อมองใบหน้าเจ้าของเสียง พอเห็นคุณพี่คนสวยจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาสวยคมทอประกายวาววับ อรินทิพย์ก็เกิดอาการหน้าร้อนแก้มแดง รีบหมุนคอให้กลับมาตั้งตรงเพื่อหลบสายตาเป็นประกายไม่น่าไว้วางใจนั้น

“อืม... กินอิ่มแล้ว... แล้วทำอะไรต่อดีล่ะ?”

เสียงนุ่มติดจะสดใสร่าเริงเกินกว่าเหตุถามเธอ แต่อรินทิพย์นั่งก้มหน้าหุบปากสนิท ก็เธอไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป ‘ดี’ นี่นา สิ่งที่เธอนึกได้ตอนนี้นั้นมีแต่อะไรที่ทำแล้ว ‘ไม่ดี’ มันไม่ดีสำหรับเธอ แต่สำหรับคนโรคจิตหื่นกามชอบมีอะไรกับเด็กสาวบริสุทธิ์ มันคงเป็นเรื่องดี
“คุณนมคะ... ไปเรียกพี่เก้าให้ที บอกพี่เก้าไปว่าเด็กในอุปการะของปริม
กินข้าวอิ่มแล้ว”

“!!!”
อรินทิพย์เงยหน้าขึ้นมา หมุนคอซ้ายหัน เบิกตากลมโตให้โตขึ้นอีก 
แล้วตากลม ๆ ก็เริ่มรับภาพใบหน้าสวยคมของคนอายุมากกว่าได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

“ฮึก... ฮึก...”

เสียงสะอึกสะอื้นมาพร้อมกับน้ำตาหยดโตที่ร่วงผล็อย

ปณิตาเห็นเด็กสาวใจเสียจนน้ำตาไหลพรากก็เลยเปลี่ยนใจ จากตอนแรกคิดว่าจะแกล้งทำเป็นส่งเด็กสาวไปให้ชายหนุ่มคนขับรถ อุตส่าห์เตี๊ยมกับนพเก้าเอาไว้แล้วว่าให้เขาแสร้งแสดงละคร รับบทเป็นหนุ่มหื่นกาม ปณิตาแค่อยากจะสั่งสอนให้บทเรียนแก่เด็กสาวเท่านั้น แต่สุดท้ายก็หันไปส่ายหน้าบอกกับคุณแม่นมว่าไม่ต้องไปตามลูกชายมาแล้วล่ะ เพราะผู้กำกับละครเกิดใจอ่อน ทนไม่ได้ แพ้น้ำตาเด็ก

ปณิตาถอนหายใจดังเฮือก ลุกจากที่นั่งตรงหัวโต๊ะ เดินเข้าไปยืนข้างเก้าอี้ที่เด็กสาวนั่งอยู่ เธอส่งมือไปโอบกอดรอบไหล่บางที่สั่นสะท้าน รั้งศีรษะเด็กสาวให้มาแนบตรงพุง มือขยับลูบผม ปากก็เอ่ยเสียงนุ่มพูดปลอบ

“โอ๋ ๆ... หยุดร้องไห้ซะน้า ฉันไม่ส่งเธอไปให้ใครทำอะไรหรอกน่า ฉันแค่พูดเล่นแกล้งเธอไปอย่างนั้นเอง” 

“ฮึก... ฮึก... ฮือ...”

“ถ้าคนที่ประมูลเธอได้ไม่ใช่ฉัน ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ กับอีแค่แบนไอดี ประจานในเว็บแค่นั้น พวกคนร้ายมันจะกลัวรึ? เธอก็เห็นอยู่ว่าในเว็บมีคนโดนประจานอยู่เป็นสิบ ๆ แสดงว่ามีคนกล้าเบี้ยว แล้วนี่ถ้าเธอเกิดโดนล่อลวง เขาจะไม่ใจดี ปล่อยให้เธอแจ้งเว็บมาสเตอร์ได้หรอก 
ดีไม่ดีเกิดโดนพาไปขังไปขายตามซ่องล่ะ เธอเคยคิดถึงตรงนี้บ้างรึเปล่า?”

“ฮึก... ฮึก... โฮ... ไม่ต้องคิดแล้ว ฮึก... ก็ฉันกำลังโดนคุณหลอกอยู่นี่ไง... ฮือ...”
ปณิตานิ่งไปนิด ขอเวลาอึ้งหน่อยเถอะ จากนั้นก็เป็นเวลาขำ
 “ฮะ ๆ ๆ ๆ... เด็กคนนี้นี่ มันน่าตีจริง ๆ”

หญิงสาวหัวเราะชอบใจเสียงใส เผลอออกแรงกดใบหน้าเด็กสาวลงกับหน้าท้องแบนราบของตัวเองด้วยความหมั่นไส้ เธออุตส่าห์พูดเตือนสั่งสอนเสียยืดยาวด้วยความหวังดีแท้ ๆ แต่พอมาคิดดูอีกที เธอก็กำลังหลอกเด็กอย่างที่โดนเด็กต่อว่าเอาจริง ๆ แต่ที่เธอหลอกนี่ก็เพราะหวังดีนะ

“ป... ปล่อย... ห... หายใจไม่ออก”

เด็กน่าตีทำการประท้วงโดยเอามือตบหลังเอวเธอดังตุบ ๆ พร้อมกับมีเสียงอู้อี้บอกว่าหายใจไม่ออก ปณิตาจึงยอมคลายอ้อมแขน ใบหน้าของเด็กสาวที่ผละออกมานั้นเลอะน้ำมูกเปรอะน้ำตา ปลายจมูกแดงแจ๋ ตาแดงก่ำ เด็กสาวยังปล่อยโฮร้องไห้ไม่หยุด

“ก็... ฮึก... ฮือ... ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่... ฮือ... ถ้าฉันไม่รีบหาเงินมารักษาแม่... ฮึก... แม่จ๋า... ฮือ ๆ”

ปณิตาใจอ่อนวูบ รู้สึกสงสารเด็กสาวจับใจ เธอดึงร่างเด็กน้อยเข้ามากอดปลอบลูบหลังลูบไหล่อีกครั้ง 
“โอ๋ ๆ... ฉันรู้แล้ว... ฉันรู้ถึงความจำเป็นของเธอ...”

“ฮึก... ฮึก...”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องคุณแม่นะ ฉันจะช่วยเธอเอง”

เด็กสาวผละใบหน้าออกมามองสบตาเธอทันที ปณิตาคลี่ยิ้มให้ มือลูบศีรษะของเด็กสาว เธอพูดย้ำอีกครั้งให้คนฟังแน่ใจว่าไม่ได้หูแว่ว

“ฉันจะช่วยเธอเอง ฉันจะออกเงินค่ารักษาคุณแม่ให้”

“จริงเหรอคะ?”

“จริงค่ะ”

“แล้ว... แล้ว... แล้วคุณต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทน?”

“ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”

เด็กสาวนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นปณิตาก็เห็นเด็กสาวส่ายหน้าไปมา 
“ฉันไม่ยอมให้คุณช่วยฟรี ๆ หรอกค่ะ”

ปณิตาแอบถอนหายใจ “มีศักดิ์ศรีขึ้นมาเลยเชียว ก่อนหน้านี้ยังคิดจะขายพรหมจรรย์ ขายศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงอยู่แท้ ๆ”

“ถ้าศักดิ์ศรีมันขายได้ ถ้ามันจะช่วยแม่ฉันได้ ฉันก็จะขายค่ะ”

แววตาเด็ดเดี่ยวของเด็กสาวทำให้ปณิตารู้สึกชื่นชม เอาเถอะ ถือซะว่าเห็นแก่ความกตัญญูของเด็กคนนี้ หญิงสาวคิดว่าเธอเลือกช่วยคนไม่ผิด เพราะเขาว่ากันว่าความกตัญญูคือเครื่องหมายของคนดีนี่นา ตอนแรกที่เธอคิดเอาไว้น่ะ เรื่องราวน่าจะเป็นเหมือนในข่าว เด็กสาวที่มาประกาศขายพรหมจรรย์คงจะเป็นพวกเด็กสาวใจแตก อยากจะนำเงินไปเที่ยวเล่น ซื้อหาข้าวของแบรนด์เนมมาใช้ทั้งที่ตนเองยังอยู่ในวัยเรียนแท้ ๆ

“ถือว่าฉันขอยืมเงินคุณมารักษาคุณแม่ได้ไหมคะ? ไว้ถ้าฉันเรียนจบ 
มีงานมีการทำ ฉันจะหาเงินมาใช้หนี้คุณค่ะ จะคิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้”
ปณิตาวิ่งออกจากห้วงความคิดของตัวเองมาฟังสิ่งที่เด็กสาวพูด 
เธอยิ้มนิด ๆ แล้วพยักหน้า
 “ตกลง เอาตามที่เธอเสนอก็ได้”

“จะให้ฉันทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้นะคะ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันเชื่อใจเธอ”

“เชื่อแล้วเหรอคะ? ก่อนหน้านี้ฉันพูดอะไรไป คุณยังไม่เชื่อเลย”

“แนะ! แอบกวนนะเธอนี่”

ปณิตาบีบจมูกของเด็กสาวเล่นด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็ต้องสะบัดมือ
ไปมา
 “อี๋! ขี้มูกติดมือเลยอ่ะ”

“สม... อยากมาแกล้งเค้าก่อน”

เด็กสาวพูดยิ้ม ๆ ส่วนปณิตาฟังแล้วหัวเราะขำ 
หญิงสาวเอื้อมมือไปดึงกระดาษทิชชูออกจากกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารมาหนึ่งแผ่น จัดการเช็ดน้ำมูกที่ติดปลายนิ้วก่อนจะเอาปลายอีกด้านที่ยังไม่เลอะของกระดาษแผ่นนั้นไปอุดจมูกที่พ่นขี้มูกใส่เธอ

“เอ้า... เด็กขี้แย สั่งขี้มูกซิ”

อรินทิพย์มองจ้องใบหน้าคนที่เรียกเธอว่าเด็กขี้แย ตอนนี้ใจเธอเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าววูบวาบ

“เร็ว ๆ เมื่อยมือแล้วนะ”

คนถือกระดาษทิชชูแปะจมูกเธอร้องเร่ง อรินทิพย์แอบยิ้มเขิน สั่งน้ำมูกดังฟื้ดเบา ๆ แล้วยกมือสองข้างมาจับกระดาษทิชชูเอาไว้เอง แล้วก็ตอนนั้นแหละที่มือของเธอได้สัมผัสกับมือของพี่สาวคนสวย เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่ามีกระแสอะไรก็ไม่รู้วิ่งปรู๊ดจากปลายมือตรงเข้าสู่หัวใจ แล้วหลังจากนั้นหัวใจเธอก็เต้นเร็วขึ้น แรงขึ้น...
นี่พี่สาวคนสวยทำอะไรเธอ?

“เมื่อกี้... พี่เล่นกลเหรอ?”

อรินทิพย์ถามเสียงเบาราวกับคนละเมอ สรรพนามที่เธอใช้เรียกคนอายุมากกว่าเปลี่ยนไปเป็นสรรพนามที่เธอแอบใช้เรียกอยู่ในใจ

ทางด้านปณิตา หญิงสาวรีบปล่อยมือออกจากกระดาษทิชชู เธอตอบคำถามของเด็กสาวด้วยเสียงเบาคล้ายคนกำลังเพ้อ บอกว่า...

“เธอต่างหากที่เล่นกล”

ก็เมื่อกี้เธอรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ วิ่งผ่านแขนจนขนลุกเกรียว แถมพอเธอมองสบตากลมโตใสแจ๋วราวกับตาลูกกวางของเด็กสาว หัวใจชักจะเต้นไม่เป็นจังหวะ และแอบรู้สึก... เขิน... นิด ๆ 
หญิงสาวมองลูกกวางตาใสพลางกะพริบตาปริบ ๆ

โดนกลโดนทริกอะไรเล่นงานเข้าล่ะเนี่ย... สาวน้อย เธอทำอะไรกับใจฉัน?

“คุณปริมครับ!”

ปณิตาหยุดหาคำตอบของคำถาม หันขวับไปทางทิศที่มาของเสียงเรียก เป็นนายนพเก้าที่วิ่งเข้ามา หน้าตาตื่น ๆ ของชายหนุ่มทำให้ปณิตารีบเอ่ยถามทันที

“มีอะไรคะพี่เก้า?”

“แย่แล้วครับ ย... แย่แล้ว... แย่แล้ว...”

พอตื่นเต้นทีไร นพเก้าจะเกิดอาการพูดติดอ่าง และนั่นก็ทำให้คนฟังยิ่งลุ้นว่าอะไรที่แย่แล้ว ปณิตาช่วยพูดถามเพื่อเชียร์ให้ชายหนุ่มพูดออกมาเสียที

“อะไรแย่คะ?”

“ต... ตำรวจครับ... ต... ตำรวจมาหาผม!!!”

ชายหนุ่มพูดรายงานสิ่งที่ว่าแย่ออกมาในที่สุด 
ปณิตากลับยังใจเย็นอยู่ได้ เธอถามเสียงเรียบ ซักต่อไปว่า
 “แล้วตำรวจมาหาพี่ทำไม?”

“เอ่อ... มา... มา... เรื่อง... เรื่อง...”

สายตาชายหนุ่มมองไปที่เด็กสาว ปณิตาจึงเลิกถาม เธอเดาได้แล้วว่าตำรวจมาบ้านเธอด้วยเรื่องอันใด หญิงสาวออกคำสั่งให้คนขับรถไปเชิญคุณตำรวจเข้ามานั่งคุยกันในบ้าน พอนพเก้าออกไปแล้ว ปณิตาก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ

“พี่เก้าคงโดนตั้งข้อหาว่าพรากผู้เยาว์ เฮ้อ... งามหน้าแล้วไหมล่ะ ก่อนจะได้ทำบุญ ฉันคงต้องบูชาโทษก่อนเสียแล้วล่ะมั้ง” 

เด็กสาวถึงกับหน้าถอดสี แต่ปณิตาไม่แสดงท่าทีทุกข์ร้อน หญิงสาวพยายามตั้งสติ คิดหาทางรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในเมื่อเธอเป็นคนผูก 
คนแก้ก็ต้องเป็นเธอ ปณิตาย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกไปมาซ้ายขวา เริ่มสั่งการให้สมองประมวลผลคิดหาทางหนีทีไล่อย่างเร็วจี๋ ตำรวจมาตามจี้ เอ้ย! ตามจับพี่เก้าถึงบ้านแล้ว จะทำยังไงดี?

“อ... เอ่อ... พาฉันไปหาที่หลบดีไหมคะ? ถ้าพวกตำรวจหาตัวฉันไม่เจอ พวกเขาก็ไม่มีหลักฐาน”

เด็กสาวให้คำแนะนำ แต่ปณิตาส่ายหน้า 
“ทำไมจะไม่มีหลักฐาน อย่างน้อย ๆ ก็ภาพและประกาศประมูลขายพรหมจรรย์ในเว็บไซต์นั่น ถ้าตำรวจไม่มีหลักฐาน เขาจะตามกลิ่นมาถึงนี่ได้ยังไงล่ะ... ใจเย็น ๆ เถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง นั่งรออยู่นี่ก่อนนะ”

ปณิตาทั้งปลอบทั้งสั่ง จากนั้นก็เดินตัวปลิวออกไปยังห้องโถง เธอยืนรออยู่ไม่นาน นพเก้าก็พานายตำรวจสองนายกับผู้ชายสองคนเข้ามา ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน หนึ่งในผู้ชายสองคนที่ไม่ใช่ตำรวจก็ตะโกนเสียงดังลั่น


“อิน!... อินอยู่ไหนน่ะ!?”

คนที่ส่งเสียงเรียกคนชื่อ ‘อิน’ เป็นเด็กหนุ่ม อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กสาว ดูจากเครื่องแต่งกายชุดนักเรียน ปณิตาเดาได้เลยว่าคงเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องของอรินทิพย์ ถ้าอย่างนั้น... เด็กสาวคนนี้ก็มีชื่อเล่นว่าอินล่ะสิ ในสายตาของเธอ ท่าทางเด็กหนุ่มจะเป็นห่วงคนที่ชื่ออินมาก ๆ เพราะปณิตาเห็นว่าตอนนี้เขาปราดไปยืนตรงหน้านพเก้า กระชากคอเสื้อแล้วเค้นเสียงถามใหญ่เลยว่าคนที่เขาตามหานั้นอยู่ที่ไหน

“ปิ๊ก... อย่า!”

เด็กหนุ่มหันขวับไปทางทิศที่เสียงนั้นถูกส่งมา เขาปล่อยมือออกจากคอเสื้อของนพเก้าแล้ววิ่งเข้าไปหาเด็กสาวทันที ไม่ได้เข้าไปหาเฉย ๆ 
แต่เข้าไปกอด ปณิตามองเด็กหนุ่มกอดเด็กสาว หัวคิ้วหักมุมลงมาด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ

อายุเพิ่งจะเท่าไหร่กันเอง แถมมากอดกันต่อหน้าผู้ใหญ่และคนแปลกหน้า เด็กสมัยนี้นี่ใช้ไม่ได้เลย เป็นน้องเป็นนุ่งล่ะจะจับมาตีให้ก้นบวมจนนั่งไม่ได้เลยเชียว ฮึ่ม...

ปณิตาบ่นพึมทำเสียงฮึ่มฮั่มฮึดฮัดอยู่ในใจ หญิงสาวรีบเบือนหน้าหนีภาพที่ทำให้รู้สึกขุ่นเคือง หันไปมองคุณตำรวจแทน อ่า... คุณตำรวจร้อยเวรรูปหล่อในชุดสีกากีฟิตเปรี๊ยะ มองแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย หญิงสาวเป็นฝ่ายกล่าวสวัสดีพูดจาทักทายคุณตำรวจก่อน ปณิตาผายมือเชื้อเชิญให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั่งลงด้วยประโยคที่ว่า

“เราคงมีเรื่องจะต้องคุยกันยาวค่ะ”

ปณิตาตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดให้คุณตำรวจฟัง แล้วเธอก็ฟังเรื่องราวจากทางฝั่งของคุณตำรวจว่าใครเป็นคนแจ้งความ ที่แท้เด็กหนุ่มชื่อเล่นว่า ‘ปิ๊ก’ ที่มาพร้อมกับคุณตำรวจเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอรินทิพย์ ผู้ชายอีกคนที่มากับเด็กหนุ่มคือบิดาของปิ๊กนั่นเอง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนมีปัญหาอะไร และแอบไปสืบรู้มาว่าเพื่อนสาวแก้ปัญหาด้วยวิธีไหน ปิ๊กสารภาพว่าเขาใช้เลขที่บัตรประจำตัวประชาชนของพ่อในการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ลามกอนาจารดังกล่าว เขาเข้าเว็บเพื่อประมูลพรหมจรรย์ของเพื่อน 
เสนอเงินไปถึงห้าแสน นึกว่าจะไม่มีใครกล้าจ่ายขนาดนี้ แต่กลับมีคนมาประมูลแข่งกับเขา ปั่นราคาสู้กันจนถึงหลักล้าน แล้วปิ๊กก็แพ้การประมูลไปอย่างฉิวเฉียด เขาร้อนใจมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี ก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง และให้พ่อช่วยไปแจ้งตำรวจ ทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตามสืบมาถึงบ้านได้ถูกก็เพราะกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาล คุณตำรวจบอกว่า

“คดีนี้เป็นคดีอาญานะครับ ยอมความกันไม่ได้”

“ดิฉันทราบค่ะ แต่ว่า... คุณควรจะเห็นใจทางฝ่ายดิฉันบ้าง สิ่งที่ดิฉันทำไปนั้น ดิฉันกระทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ดิฉันไม่อยากให้เป็นข่าว... 
หมายถึงเด็กสาวคนนี้ และอีกหลาย ๆ คนน่ะค่ะ ถ้าเกิดเป็นข่าวขึ้นมาปุ๊บ อนาคตของเด็กกตัญญูที่น่าสงสารคนนี้จะเป็นยังไง แล้วถ้าเป็นข่าวขึ้นมาว่ามีเว็บไซต์ประมูลขายอะไรกันแบบนี้ รู้ว่ามีคนยอมจ่ายเงินเป็นล้านเพื่อแลกกับการได้มีอะไรกับเด็กสาวบริสุทธิ์ ฉันว่ามันจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกนะคะ เกิดมีเด็ก ๆ สิ้นคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่างขึ้นมาล่ะ?”
เมื่อเห็นนายตำรวจสองคนมองหน้ากัน เด็กหนุ่มชื่อปิ๊กกับบิดาสบตากัน ปณิตาก็ลอบยิ้ม 
“ดิฉันขอร้องล่ะค่ะ ดิฉันก็แค่อยากจะช่วยเด็กคนนี้ ถ้าไม่เห็นใจดิฉัน 
ก็นึกเสียว่าเห็นใจเด็กเถอะค่ะ คนเราเวลาจนตรอกก็อาจจะคิดสั้น 
ทำอะไรไม่ยั้งคิด แกยังเด็กอยู่เลยนะคะ ดิฉันอยากจะขอร้องคุณตำรวจ ขอให้ช่วยกันฉันกับผู้เกี่ยวข้องเป็นพยานแทนได้ไหมคะ? ดิฉันมีเพื่อนเป็นโปรแกรมเมอร์ฝีมือดี เขาสามารถแฮกเข้าเว็บพวกนี้ได้ ดิฉันว่าถ้าคุณตำรวจจับเจ้าของเว็บได้ มันน่าจะเป็นการแก้ไขที่ตรงจุดตรงประเด็นมากกว่า”

ในที่สุด... ปณิตาก็พูดจาชักแม่น้ำทั้งห้า โน้มน้าวใจให้คุณตำรวจเห็นด้วยกับความคิดของเธอได้ เธอกับคนขับรถจะถูกกันให้เป็นพยาน ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กสาวนั้น ทางตำรวจสัญญาว่าจะไม่เขียนลงรายละเอียดไปในสำนวนการสืบสวนสอบสวน ปณิตาอมยิ้ม ยังไงเธอก็จะไม่ปล่อยให้เขียนลงไปอยู่แล้ว เดี๋ยวจะบอกให้เพื่อนแฮกเข้าเว็บ ลบชื่อลบกระทู้ที่อรินทิพย์ตั้งขึ้นเพื่อประมูลขายพรหมจรรย์ทิ้งซะ หญิงสาวขอร้องให้คุณตำรวจช่วยลบข้อมูลที่ทางตำรวจได้มีการเซฟหน้าเว็บ กระทู้ที่มีใบหน้าของเด็กสาวออกจากเครื่อง ให้ค่าปิดปากเป็นซองขาวบรรจุเช็คระบุตัวเลขไปว่ามันมีค่าเท่ากับ 50,000 บาทไทย เพียงเท่านี้นายร้อยเวรรูปหล่อกับจ่าพุงพลุ้ยก็ยิ้มหวาน  ตะเบ๊ะทำความเคารพเธอก่อนลากลับสถานีตำรวจต้นสังกัด บอกว่าจะรีบกลับไปแก้บันทึกการแจ้งความให้ หญิงสาวที่ยืนส่งแขกตรงหน้ามุขของบ้านถึงกับเป่าลมออกจากปากดังฟู่เพื่อส่งรถกระบะของคุณตำรวจออกจากบ้าน พอเธอหันกลับมามองตัวต้นเรื่อง ปณิตาก็เกิดอาการหนังตากระตุก

จะยืนติดกันมากเกินไปไหม? เป็นเด็กเป็นเล็กเป็นสาวเป็นนาง ปล่อยให้ผู้ชายโอบไหล่ จับมือถือแขนได้ยังไงฮ้า!?

ปณิตาหันหน้าหนี เบนสายตากลับไปมองส่งท้ายรถกระบะของคุณตำรวจอีกครั้ง บอกกับตัวเองว่าจะขุ่นจะเคืองไปทำไม ญาติก็ไม่ใช่ แต่เธอก็อดถอนหายใจยาวด้วยความไม่พอใจไม่ได้...

“ฟู่~ เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
เสียงคุณพี่คนสวยพูด อรินทิพย์ถึงกับร้องไห้ด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด เพราะเธอแท้ ๆ คนดีอย่างคุณปริมก็เลยต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“ขะ... ขอโทษนะคะ... เพราะฉันแท้ ๆ... คุณปริมก็เลย...”

“ไม่หรอก ฉันมันแส่หาเรื่องยุ่งใส่ตัวเองแหละ เฮ้อ...”

“คุณพูดอย่างนี้... ฮึก... มันยิ่งทำให้ฉัน... ฮึก... รู้สึกผิดนะคะ ฮึก... ฮือ...”

อรินทิพย์พูดไปสะอื้นไป รู้สึกไม่สบายใจเลยที่เห็นว่าพี่สาวคนสวยเอามือกอดอก ทำหน้าง้ำหน้างอ ไม่ยอมมองหน้าเธอ ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรกับคุณปริมต่อ เด็กสาวก็รับรู้ได้ถึงแรงบีบตรงหัวไหล่ คนทำแบบนี้คือนายปิ๊ก เพื่อนร่วมห้องเรียนของเธอนั่นเอง เพื่อนสนิทลูบหลังเธอเบา ๆ และถามเธอว่า

“จะกลับบ้านเลยไหมอิน? เดี๋ยวพ่อเราไปส่ง”

เธอหันไปมองหน้าเพื่อน สลับกับมองใบหน้าคุณปริมอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นว่าพี่สาวคนสวยไม่ยอมหันมามองสบตาเธอเลยสักนิด แถมหมุนตัวกลับหลังหัน เดินเข้าไปในบ้าน อรินทิพย์ตัดสินใจได้ทันที

“ปิ๊กกับคุณพ่อกลับไปเถอะ เรามีเรื่องจะต้องคุยกับคุณปริมอีกเยอะเลย เรื่องเกี่ยวกับคุณแม่น่ะ”

“งั้นเหรอ... อ... อืม... งั้น... เรากลับล่ะนะ”

อรินทิพย์ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณและขอโทษคุณพ่อของเพื่อน เด็กสาวส่งคนทั้งสองขึ้นรถแล้วรีบเดินเร็ว ๆ กลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ทันที 
เธอเข้ามายืนตรงห้องโถง มองหาร่างของผู้คน จะเป็นคนไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นร่างสูงโปร่งแบบบางเหมือนนางแบบของคุณพี่สาวได้ละก็จะดีมาก และแล้วสายตาของเธอก็สแกนห้องจนพบคนที่เธออยากเจอนั่งอยู่ตรงโซฟายาวของชุดรับแขก อรินทิพย์รีบพาตัวเองไปหาคุณปริมทันที พอเห็นว่าเธอเดินเข้ามาใกล้ พี่สาวคนสวยก็ทำหน้าตาเหมือนจะประหลาดใจ


“นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก”


คุณปริมพูดด้วยน้ำเสียงตึง ๆ อรินทิพย์จึงตัดสินใจย่อตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นตรงหน้าคุณปริม ซึ่งพี่สาวคนสวยก็ทำตาโตตกใจ ส่งมือมาจับหัวไหล่เธอทั้งสองข้างแล้วถาม

“จะทำอะไรน่ะ!? ลุกขึ้นมา...”

เธอขืนแรงที่พยายามยึดยื้อตัวเธอให้ลุกขึ้น อรินทิพย์พนมมือไหว้แล้วก้มลงกราบลงไปที่ตัก
 “อินขอโทษค่ะคุณปริม”

“ลุกขึ้นมาเถอะ... ฉันไม่ได้โกรธเธอเสียหน่อย”

“อินมาขอโทษเพราะเป็นต้นเหตุทำให้คุณต้องเดือดร้อน โดนตำรวจมาหาถึงบ้านต่างหากค่ะ อินยังไม่ได้พูดเลยสักคำนะคะว่ามาขอโทษเพื่อทำให้คุณหายโกรธ คุณปริมพูดแบบนี้แสดงว่าคุณปริมโกรธอินจริง ๆ ด้วย”

“เฮ้อ~ ให้ตายสิ นี่ฉันโดนเด็กหลอกจับผิดรึนี่”

“ไม่ได้จับผิดค่ะ แต่จับถูก”

อรินทิพย์พูดยิ้ม ๆ 
พอเห็นผู้ใหญ่ที่โดนหลอกจับถูกส่งตาจิกตาค้อนมาให้ แต่มุมของริมฝีปากยกขึ้นนิด ๆ เด็กสาวก็เริ่มใจชื้น 
“คุณปริมยกโทษให้อินแล้วใช่ไหมคะ? ไม่โกรธอินแล้วนะ?”

“ฉันจะโกรธเธออีกรอบเพราะโดนเธอหลอกจับถูกเอาเนี่ยแหละ... ลุกขึ้นมานั่งบนนี้ได้แล้ว”

คุณปริมพูดพลางเอามือตบโซฟาบริเวณข้างลำตัวดังตุบ ๆ 
อรินทิพย์รีบทำตามคำสั่ง ลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ พี่สาวคนสวย แล้วเด็กสาวก็ต้องทำหน้าเก้อเมื่อคุณปริมถามเธอว่า

“ทำไมไม่กลับไปกับเพื่อนล่ะ? สรุปว่าฉันต้องให้คนขับรถไปส่งเธอที่บ้านใช่ไหมเนี่ย?”

“ก็ถ้าเรื่องราวเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าปิ๊กกับพ่อไม่พาตำรวจมา 
คุณปริมก็ต้องเป็นคนไปส่งอินที่บ้านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

“ฮึ... ถ้าเรื่องราวเป็นไปอย่างที่... ควร... จะ... เป็น... ป่านนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้มาพูดจาต่อล้อต่อเถียงฉันแบบนี้หรอกเด็กน้อย ฮึ่ย... เด็กอะไร พูดจายอกย้อนได้น่าหมั่นไส้มาก~”

อรินทิพย์ยอมให้คุณปริมหยิกแก้มเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกหมั่นไส้ 
พอเห็นคุณพี่สาวคนสวยยิ้มกว้าง เธอก็ยิ้มตาม หลังมองจ้องหน้าสบตาส่งยิ้มให้คุณปริมอยู่สักพัก เธอก็พนมมือไหว้คุณปริมอีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยอิน ชาตินี้อินจะไม่ลืมบุญคุณของคุณปริมเลย”

“อืม... ไม่เป็นไร...”

“ฮ้าว~”

หลังจากส่งเสียงหาว อรินทิพย์ก็หัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะทำหน้าเศร้า เล่าให้คุณปริมฟังว่า 
“อินเครียดเรื่องของคุณแม่จนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว”

อรินทิพย์เริ่มยิ้มออกเมื่อมีมือมาลูบศีรษะเธออย่างปลอบประโลม
คุณปริมลูบผมเธอไปมาพลางถามด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน

“บ้านของอินอยู่ที่ไหนคะ?”

“อยู่แถว ๆ รังสิตค่ะ”

“โอเค เดี๋ยวฉันจะขับรถไปส่งเธอเอง”

คุณปริมพูดจบก็ลุกขึ้นยืน อรินทิพย์ลุกขึ้นยืนตามแล้วรีบขยับปากถาม 
“คุณปริมจะขับรถไปส่งอินเองเลยเหรอคะ?”

“อืม... จะให้พี่เก้าไปส่งมันก็ได้อยู่หรอก แต่ฉันเกรงใจ นี่มันก็มืดค่ำแล้ว แถมวันนี้ฉันยังไปหาเรื่องเฉียดคุกให้พี่เขาอีก เกรงใจพี่เก้าจัง”

“งั้นอินกลับแท๊กซี่เองก็ได้ เพราะอินเกรงใจคุณปริมเหมือนกัน”

“จะบ้าเหรอ! ค่ำมืดแบบนี้เกิดโดนแท๊กซี่หื่นกามหน้ามืดพาไปทำมิดีมิร้ายขึ้นมาล่ะ เธอนี่ช่างขยันหาเรื่องให้ตัวเองโดนกระทำชำเราซะจริง”

โดนดุเลย อรินทิพย์จึงทำหน้าจ๋อย ถามเสียงอ่อย ๆ ว่า
 “ง... งั้นอินขอนอนค้างที่นี่ได้ไหมคะ?”

“ได้สิ ห้องมีเยอะแยะ เสื้อผ้าเอาของฉันไปใส่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะบอกให้นมแจ่มพาไปที่ห้องพักละกัน”

“ขอบคุณค่ะ... ใครว่าคนสวยใจร้าย คนสวยใจดียืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน”

“ไม่ต้องมาปากหวานเลย ฉันจะไปนอนแล้ว ง่วง”

เด็กปากหวานหัวเราะขำเมื่อเห็นว่าคนสวยใจดีแอบยิ้มเขิน 


สำหรับอรินทิพย์ คุณปริมน่ะเป็นยิ่งกว่าคนสวยใจดี 
ในใจของเด็กสาวนั้น เธอเปรียบคุณปริมเป็นดั่งนางฟ้าหรือพระโพธิสัตว์ที่เมตตาเหาะจากสวรรค์ลงมาโปรดสัตว์ทุกข์ยาก
อรินทิพย์ย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่าชาตินี้เธอจะไม่มีวันลืมบุญคุณของพี่สาวคนสวยเลย ถ้าชาตินี้ใช้บุญแทนคุณกันไม่หมด เธอยินดีจะตามไปชดใช้ให้ถึงชาติหน้าหรือชาติหน้านู้นเลย

................




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.