web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 3
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 22
Total: 22

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบหก You’re The Storm  (อ่าน 1621 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบหก You’re The Storm
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:43:48 »
บทที่ ยี่สิบหก You’re The Storm

ภาพทิวาทำให้งานเราคืบหน้าไปมาก เพราะหล่อนเข้าไปอยู่กลางบทสนทนาสำคัญระหว่างอาสินกับคุณลุงหมอ...พ่อของรสสุคนธ์ได้อย่างไม่มีการตรวจตราใดๆ จนกระทั่งพวกเรารู้ว่ามีรถพยาบาลจอดตรงประตูเล็กด้านหลังบ้านของหมอรส เมื่อสนฉัตรแอบย่องเข้าไปสำรวจ จึงพบเครื่องทำความเย็นขนาดย่อมตั้งอยู่กลางรถ มันเป็นอุปกรณ์สำหรับขนย้ายอวัยวะ และหลังจากนั้นไม่นาน คุณลุงหมอก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล เพื่อเปลี่ยนถ่ายไตนั้นให้เร็วที่สุด

วรินธรย่องออกจากบ้านตั้งแต่บ่าย มุดตัวเข้ามาอยู่ในรถตู้ไม่ห่างจากตัวบ้านนักเพื่อร่วมประชุมกับเพื่อน

“งานนี้พายทำได้ดี” บอสชม ซึ่งคนถูกชมแค่ยิ้มมุมปาก ต่างกับจิงจ้อที่เหล่ตามองสนฉัตรพร้อมกับล้อ

“ฉันก็คิดแล้วว่าแกมีแผน ไม่เหมือนใครที่ขี้ระแวงไม่เข้าท่า”

สนฉัตรถลึงตาใส่ทำท่าจะยกเท้าเตะ ซึ่งยางโทนยกมือกันไว้ “เฮ้ยๆ ฉันเห็นด้วยกะจิงจ้อนะ แกหยุดทำตัวนักเลงได้แล้ว”

บอสหัวเราะหึ “ระแวงไว้นั่นแหละดี อย่ามัวเถียงกันเลย ถึงตอนนี้เราจะรู้ว่าพวกเขาส่งไตกันจริง แต่ฉันยังสงสัยรหัสที่เขียนติดบนเครื่องทำความเย็น ฉันรู้สึกว่าตัวเลขมันคุ้นๆ”

จิงจ้อส่งสายตาหาวรินธรซึ่งทำหน้าว่าไม่รู้ จากนั้นจึงส่งสายตาหายางโทน ที่พรมนิ้วมือลงบนคีย์บอร์ด สนฉัตรเอ่ยอย่างคาดเดา “มันเหมือนรหัสที่ติดบนชิ้นงานสักอย่าง ถ้าไตนี้ออกมาจากแลป ก็ไม่น่าสงสัยอะไร เราแค่ตรวจสอบให้ได้ว่าเลขรหัสเหล่านี้ตรงกับเอกสารไหนก็จะรู้ได้ไม่ยากว่าไตเทียมอันนี้ผลิตอย่างไร”

“มันขัดแย้งกับข้อมูลที่เรารู้มาว่าแลปนี้ไม่สามารถผลิตไตที่มีประสิทธิภาพได้น่ะสิ” ยางโทนแย้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็มีสองช้อยส์ คือข้อมูลที่เรากู้จากกล่องไม่สมบูรณ์ หรือไม่ก็... ไตนั่นไม่ได้มาจากแลป”

พอได้สบตากัน เรารู้ว่าจะโอนเอียงไปหาคำตอบไหน เพียงแต่เราต้องการหลักฐานช่วยสนับสนุนความเชื่อสักหน่อย ทั้งหมดหันมองวรินธรซึ่งยังก้มหน้ามองนาฬิกาบอกเวลาค่ำ เธออยากกลับบ้าน เมื่อเธอเงยหน้าก็พบสายตาหลายคู่

“แกห่างเค้าไปไม่ถึงครึ่งวัน คิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วเหรอวะ” จิงจ้อได้ทีล้อ วรินธรพยายามทำหน้านิ่ง ยักไหล่

“วันนี้ฉันทำงานดีที่สุดนี่ ฉันควรได้รางวัล ควรกลับก่อนใครๆ ได้ไม่ใช่เหรอ”

บอสหัวเราะหึๆ “ตามใจสิ แค่ฉันสงสัยว่านี่คือพายคนใหม่หรือเปล่า คนที่ไม่วิ่งเข้าหางานอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไป”

วรินธรรู้ตัวดีว่าโดนแซว แต่เธอกลับไม่รู้สึกเขิน ตรงกันข้าม เมื่อนึกถึงว่าใครที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้กลับชวนให้กังวลขึ้นมาอีก

“งั้นฉันขอตัว ฝากบอกเจฟด้วยว่าถ้าว่างก็เข้าไปขโมยเสื้อผ้าของภาพทิวาด้วย เดี๋ยวแม่บ้านจะหาไมค์เจอ”

จากนั้นก้าวลงจากรถ ยางโทนหันหลังคว้าปึกเอกสารยัดใส่มือเธอทันก่อนเธอจะก้าวลงจากรถ

“เอกสารจากแลปบางส่วน แกรอบคอบ ถ้าเกิดว่างจาก...อะไรๆ ก็ช่วยฉันอ่านทวนอีกทีแล้วกัน”

วรินธรทำตาวาวใส่คนแซว พลางจำใจรับมาและเดินออกจากรถคันมืดในป่าหญ้าข้างถนน ก้าวฉับๆ เข้าสู่บ้านของอินทนิล ซึ่งตอนนี้เสร็จสิ้นอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เธอไม่เรื่องมาก เมื่อไม่มีอะไรให้กินก็ไม่กิน เหลียวมองไปตรงประตูห้องของอีกฝ่าย ก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องนอนแขก ทิ้งตัวลงนอนหยิบเอกสารที่ยางโทนให้มาอ่าน

รู้ดีว่าคงไม่มีปัญญาจะจับใจความใดๆ ได้ จนนอนนิ่ง นึกย้อนไปยังอดีตเก่าๆ

ลุงของเธอที่ภายหลังเธอนับถือเป็นพ่อเคยพูดให้เธอฟังว่า

เพราะอ๊ะเก๋าขาดแม่ไม่ได้ เขาจึงต้องตามแม่ไป เขาอ่อนแอเพราะความรัก...

ทำไมเธอถึงเริ่มรู้สึกเข้าใจความรู้สึกของอ๊ะเก๋าขึ้นมาก็ไม่รู้สิ ทั้งที่เธอเกลียดความอ่อนแอชนิดนั้น เกลียดความอ่อนแอที่ขาดสติ การรักใครเพียงคนเดียวจนเราขาดเขาไม่ได้

ก็พยายามยับยั้งแล้ว... ก็พยายามถอยห่าง...

ตอนนี้เธอกำลังเหนื่อย เธอวนอยู่ที่เดิม ตั้งสติเสียหลายต่อหลายรอบก็ไม่ช่วยให้มองเห็นหนทาง นี่ล่ะหนอ เขาว่าเกลียดอะไรก็จะได้อย่างนั้น เธอวิ่งหนีแทบตาย เธอผลักไสมันไปไกลๆ สุดท้ายมันก็วิ่งเข้ามาหาเธอจนได้

วรินธรลุกออกจากที่นอนก้าวออกไปนอกบ้าน จากนั้นเหนี่ยวตัวเองขึ้นไปบนกิ่งไม้และไต่เข้าสู่ระเบียงห้องของกานต์ชนิตแผ่วเบา ประตูระเบียงเปิดอ้ารับลมและภายในห้องมืดและเงียบ

แสงจันทร์ส่องจากหน้าต่างกระทบเห็นเงารางๆ เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของใบหน้า จนวรินธรรู้สึกอยากแตะต้องใบหน้านั้น ลำคอนั้น และลำตัว...เมื่อรู้ตัวจึงสูดหายใจแล้วถอนทิ้งอย่างแรง เธอจะพาตัวเองเข้ามาทำไมก็ไม่รู้ ทั้งที่ยังกลัวไม่กล้าถามอะไร เธอทิ้งตัวลงนอนกับพื้น ขโมยหมอนที่เหลือบนเตียงสอดใต้หัวตนเองและนอนลืมตานิ่งๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงพลิกตัวและเอ่ยเบาๆ

“เธอไม่ได้นอนมาสองคืน ควรนอนได้แล้วพาย”

วรินธรคาดไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายอาจจะแกล้งหลับ “เธอรู้เพราะว่าเมื่อคืนเธอก็นอนไม่หลับล่ะสิ”

กานต์ชนิตไม่ตอบ พลิกตัวนอนหงายแต่ไม่ได้หลับตา สายตามองเพดาน

“จะเอายังไงล่ะพาย”

“จะเอาอะไร”

เป็นทีของกานต์ชนิตถอนหายใจบ้าง เรื่องที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้ว จะมาโยกโย้ถามไปให้มากความทำไม วรินธรหลับตา เธอรู้ใจตัวเองดี แต่ที่ยังตกใจเพราะไม่คิดว่ามันจะมากมายขนาดนี้ มากเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้สักเรื่อง เวลาเธอกังวลใจเรื่องหล่อนทีไร เธอไม่มีสมาธิกับงาน เธอเป็นกังวล และเธอไม่รู้จะเข้ามาพบหล่อนเพื่ออะไร เธอคงไม่ได้แค่ชอบหล่อนแล้วมั้ง มันคงมากกว่านั้น

“ถ้าเธอไม่ชอบใจ ฉันก็ขอโทษ” วรินธรเริ่มพูดก่อน

“ทำไมเธอถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

“จูบน่ะเหรอ”

อีกฝ่ายเงียบไป วรินธรจึงผงกหัวมอง เห็นกานต์ชนิตกัดริมฝีปากล่าง กะพริบตาปริบๆ เธอจึงเรียก “กานต์”

กานต์ชนิตสบตาเธอนิ่ง สักครู่ก็หลบตาและบอก “เธอคงกำลังสับสนอะไรบางอย่าง หรือเคยชินกับการหว่านเสน่ห์ใครรึเปล่า เอาเป็นว่าฉันพอจะเข้าใจ และไม่ถือสาอะไรเธอ...”

คำกล่าวหาทำให้คนฟังยันตัวขึ้นอย่างหมดความอดทน หงุดหงิดกับเรื่องค้างคาค้างอารมณ์มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” พูดพลางนั่งกับพื้นข้างเตียง สบตากลมโตในเงามืด “ฉันไม่ได้คิดแค่นั้น ทำไมเธอถึงชอบว่าฉันอยู่เรื่อยเลย”

กานต์ชนิตกะพริบตา พลางยันตัวขึ้นบ้าง อ้าปากจะถามคำถาม ถามอะไรก็ไม่รู้ล่ะ วรินธรฉวยโอกาสนั้นเงยหน้ามือกำคอเสื้อหล่อนเอาไว้ไม่ให้หนี พลันแนบริมฝีปากเบียดชิดกับเรียวปากหล่อนเผยอรวบคำถามทั้งหมดให้เงียบไปเสีย คงจะไม่ห้ามอะไรแล้วล่ะ คงจะปล่อยให้เป็นไปสักที

คิดเข้าข้างตัวเองว่าถ้ากานต์ชนิตไม่ชอบใจ เดี๋ยวคงโวยวายเองแหละ

ความจริงร่างกายคนเราตอบคำถามได้ดีกว่าคำพูดอยู่มาก วรินธรบอกตัวเองว่าเธอไม่ได้เป็นฝ่ายประหม่าแค่เพียงคนเดียว ก็ริมฝีปากที่เธอกำลังสัมผัสอยู่นี่กำลังสั่น ลมหายใจติดขัดและเมื่อมือเธอแตะที่แก้ม จึงได้รู้ว่าหน้าของกานต์ชนิตร้อนผ่าว สายตาไม่ได้นิ่งอย่างเคย

“กานต์...”

วรินธรทั้งรู้สึกดีใจและหวั่นกลัวไปพร้อมกัน เธอดีใจราวมีผีเสื้อนับร้อยบิน อีกใจก็รู้สึกว่านั่นอาจเป็นแค่แมลงเม่า

มันคือแสงสว่างแห่งความหลงที่จะทำให้ชีวิตเธอไม่เหมือนเดิม เป็นสิ่งอันตราย รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจ นี่เธอกำลังจะบินเข้าไปในนั้นหรือ

หากริมฝีปากของวรินธรไม่ฟังเสียงห้ามปรามใดๆ ริมฝีปากที่รับคำสั่งจากหัวใจมากกว่าสมอง

“ฉันคิดว่าฉันรักเธอ”

จะเป็นแมลงเม่าหรือจะเป็นผีเสื้อ เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าการโกหกตัวเองจะทำให้เธอเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และจะต้องหงุดหงิดกับการย่ำที่เดิมไปนานเท่าใดถ้าเรายังหนีปัญหา

กานต์ชนิตตาโตขึ้นและแก้มก็เริ่มอุ่นร้อนขึ้นด้วย เหมือนจะยิ้มแต่ก็เหมือนจะกลัวจึงทำให้ลังเล มันคงไม่ง่ายกับหล่อนเท่าไหร่จะยอมรับ คงต้องให้เวลากับกานต์ชนิตเสียหน่อย

“ฉันจะไม่เร่งอะไรเธอทั้งนั้น ถ้าฉันทำอะไรขัดใจเธอ เธอก็บอกได้ ฉันจะตามใจเธอ”

........................................................................

คนอย่างพายนั้นเชื่อถือได้มากขนาดไหน...

ทั้งกะล่อนทั้งจอมโกหก

ไม่มีใครเคยเดินเข้ามาบอกรักเธอ ชีวิตผู้หญิงบ้านๆ บุคลิกภาพปานกลางอย่างเธอไม่เคยมีเรื่องตื่นเต้นอย่างนั้น บอกได้เลยว่านี่คือครั้งแรก ก็เลยไม่รู้ว่าแววตาจริงจังของหล่อนนั่น เป็นสายตาของคนที่เต็มไปด้วยความรักจริงหรือไม่ กานต์ชนิตซบหน้าตัวเองลงบนโต๊ะข้างกองหนังสือแพทย์ของอินทนิลอีกที เช้านี้วรินธรไม่ได้หนีออกไปทำงานที่ไหน หล่อนอยู่ช่วยแม่ทำอะไรต่ออะไรข้างล่าง เธอได้ยินเสียง แต่ไม่อยากลงไปพบหน้าใคร ก็กลัวว่าเจอกันแล้ว เธอจะซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ไม่ได้

แค่คิดถึงริมฝีปากนั่น เธอก็ใจเต้น

เฮ้อ เข้าใจแล้วว่าทำไมละครถึงชอบมีฉากจูบกันบ่อยๆ

มันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง

กานต์ชนิตปรือตามองลอดประตูระเบียงไปยังยอดไม้เบื้องนอก เห็นนกสองตัวบินโฉบก่อนจะพากันบินหนีไปไกลลับสายตา สายลมยามเช้าพัดผ่านเบาๆ ราวกับธรรมชาติกำลังเตือนบางสิ่งที่สำคัญ

พายลืมไปหรือเปล่า...ว่าเธอเป็นผี ที่กำลังยืมร่างกายคนอื่นเขาอาศัยอยู่

เสียงเคาะประตูห้องทำให้เธอสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ถอนหายใจ

“กานต์ เปิดประตูหน่อย”

โธ่เอ๊ย เธอยังไม่พร้อม

“ฉันยังไม่หิว” เธอตะโกนตอบ ทำให้วรินธรเงียบไป

“งั้นเปิดประตูมาเอาแซนวิชกับนมไปกิน”

กานต์ชนิตกลอกตาขึ้นบน เดินตึงๆ ไปเปิดประตู พบว่าวรินธรยืนถือถาดใส่แซนวิชกับนมหนึ่งขวดไว้รอพร้อมอยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเธอจะตอบปฏิเสธ จึงเตรียมไว้ล่วงหน้า

“ขอบใจ”

หล่อนยิ้มมุมปากตอบคำขอบคุณ จากนั้นเดินลงบันไดโดยไม่พูดไม่จา ไม่ต่อคำอย่างเคย นี่ใช่วรินธรคนเดิมหรือ

สุดท้ายก็เป็นเธอที่ทนไม่ได้ จึงต้องเดินตามหล่อนลงไป เอาแซนวิชกับนมใส่ตู้เย็นดังเดิมและเปลี่ยนเป็นนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นจริงเป็นจังแทน วรินธรแค่เลิกคิ้วมองเธอ จากนั้นจึงตักข้าวเข้ามาร่วมวงด้วยโดยไม่พูดไม่จา

“จะไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ” เธออดไม่ได้ต้องเริ่มก่อน

“ฉันคิดว่าเธอเห็นกับข้าวน่ากินก็เลยเปลี่ยนใจ”

กานต์ชนิตอยากบอกว่าไม่ใช่เรื่องนั้น แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไร จึงกินข้าวต่อไป ใจยังคงสงสัยว่าทำไมวรินธรถึงนั่งกินด้วยอยู่นั่นเอง

“เลิกมองฉันอย่างกับฉันเป็นของหวานของเธอได้แล้วกานต์”

“ยัยบ้า”

วรินธรอมยิ้ม ทำให้กานต์ชนิตรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ค่อยๆ วางเรื่องอึดอัดในใจลง

“สายป่านนี้ เธอน่าจะกินข้าวเช้าแล้วนี่”

“ฉันรอกินข้าวพร้อมเธอ” คำตอบสั้นแต่เรียกความรู้สึกประหลาดเกิดในใจ วรินธรคนปากเสีย เวลาพูดจาดีๆ ขึ้นมานิดหน่อย ทำไมถึงได้ชวนรู้สึกอิ่มเอิบใจนัก

“ยัยบ้า” เธอได้แต่พึมพำกับตัวเอง จัดการอาหารเช้าด้วยใจไม่ปกติ ทั้งที่ฝ่ายวรินธรไม่เห็นจะรู้สึกอะไร หล่อนกินเสร็จก็เก็บโต๊ะให้ จากนั้นชักชวนเธอให้เข้าไปช่วยแม่ของหมอหนึ่งทำอะไรในสวน ท่าทางธรรมดาที่สุด ปกติที่สุด ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องใดๆ ก่อนหน้า

เธอพลาดที่สุด ที่หวั่นไหวให้กับจอมกะล่อนอย่างหล่อน นี่เธอจะต้องหนักใจไปอีกกี่วัน

สีหน้าของเธอคงบอกอะไรหลายอย่างให้หล่อนรู้ โดยเฉพาะความหงุดหงิดใจ

วรินธรวางกระถางต้นวาสนาลงตามคำสั่งย้ายของแม่ของหมอหนึ่ง “นี่กานต์ มานั่งตรงนี้สิ” หล่อนนั่งนำก่อนบนม้าไม้ตัวยาว เมื่อเธอนั่งตามหล่อนจึงตักน้ำเย็นในกระติกใส่แก้วส่งให้

“ฉันว่าหมอหนึ่งคงไม่ค่อยได้ออกแดด ตอนนี้หน้าเธอก็เลยแดงไปหมด”

สายตาวรินธรไม่เหมือนเคยจริงด้วย มันดูอ่อนโยนกว่าเก่า และใส่ใจกว่าเก่า

“เธอแกล้งทำเป็นเอาใจฉันใช่ไหม”

วรินธรยิ้มขำ “คิดได้ยังไงนะกานต์”

กานต์ชนิตถอนหายใจ รับน้ำมาดื่มอึกๆ จนหมดแก้ว พลางทอดสายตามองสวนที่ถูกจัดเป็นรูปแบบใหม่ตรงหน้า

“ฉันรู้ว่าเธอสับสนเรื่องที่เธอชอบผู้หญิงด้วยกัน” วรินธรเริ่มคำถามเปิดที่เข้าข้างตัวเองที่สุด

“มัดมือชกกันนี่”

วรินธรหัวเราะ เอนหลังพิงพนักทอดมองไปยังจุดเดียวกัน

“ฉันไม่อยากให้เธออึดอัดใจ ฉันอยากให้เธอสบายๆ กับความรู้สึกของฉัน แต่มาคิดอีกที คนเราถ้าไม่ผ่านการพินิจพิจารณาตัวเองให้ชัดเจนก่อน ก็คงไม่รู้ว่าควรก้าวหน้าไปทางไหน ตอนฉันรู้ตัว... ฉันยังใช้เวลาตั้งนานที่จะยอมรับ ดังนั้นจึงปล่อยให้เธอได้สับสนต่อไป เชื่อว่าเดี๋ยวเธอก็รู้ใจตัวเอง”

กานต์ชนิตยอมรับว่าคลายความระแวงใจไปมาก วรินธรตอนนี้ดูไม่กะล่อนเท่าไหร่ ยกเว้นรอยยิ้มมุมปากที่เสมือนว่ารู้ทันกัน ชวนให้หมั่นไส้

“เธอแน่ใจในความรู้สึกเธอเหรอ”

“หมายถึงฉันรักเธอน่ะเหรอ”

กานต์ชนิตหน้าแดง เออ ใช่ว่าคนเราจะเจอใครบอกรักกันบ่อยนี่ จะเขินบ้างอะไรบ้าง ผิดตรงไหน วรินธรอมยิ้ม

“ก็ไม่รู้ คิดว่าไม่เคยรู้สึกกับใครมากเท่านี้”

จะห้ามตัวเองอย่างไรดีนะไม่ให้ยิ้ม กานต์ชนิตพยายามขุดความคลางแคลงขึ้นใหม่ เธอยังกลัวคนมองได้ใจ

“แสดงว่าเธอเคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อนสิ”

วรินธรเหล่ตา “แน่ล่ะ ฉันไม่ใช่คนไร้ประสบการณ์อย่างเธอสักหน่อย”

กัดกันอย่างนี้สิถึงจะใช่หล่อน “ใช่สิ ฉันก็เลยต้องสงสัยคิดไปคิดมาอยู่นั่นว่าเธอพูดจริงหรือเธอพูดเล่นกันแน่อยู่นี่ไง”

อีกครั้งที่วรินธรมองหน้าเธอนิ่งๆ ทอดสายตาอ่อนโยนพลางเอ่ย “ก็ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์แล้วกัน”

เธอถอนหายใจพลัน “ฉันเกลียดจริงๆ ช่วงเวลาที่รอคอยการพิสูจน์ที่ว่าเนี่ย”

“งั้นเธอจะให้ฉันทำยังไง” หล่อนถามสีหน้าจริงจัง

“ฉันก็ไม่รู้” กานต์ชนิตเองก็หงอยจริงจังเหมือนกัน วรินธรดึงศีรษะกานต์ชนิตเองเข้าหาใบหน้าหล่อน ทำให้เธอตกใจขืนตัวตรงทันที

“เฮ๊ยทำอะไร”

“ก็จับจูบพิสูจน์อีกสักที จะได้หายสับสนตัวเองไง” คำตอบหน้าตาเฉยทำเธอปรี๊ด ร้องโวยวายจนวรินธรหัวเราะและปล่อยกานต์ชนิตให้ถอยห่างไป

“ขยับเข้ามาเถอะกานต์ ฉันแค่แกล้งเธอเล่น”

“เพราะทำเป็นเล่นไปหมดแบบนี้ไง ฉันถึงไม่เชื่อเธอ”

คนฟังพยักหน้าหงึกๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มจางๆ วรินธรเลิกหันหน้าเข้าหากานต์ชนิต หันมองไปยังต้นกุหลาบออกดอกสีบานเย็นเบื้องหน้า

“งั้นฉันมีเรื่องเล่าให้เธอฟัง อยากฟังป่ะ”

แว่วเสียงฮึในลำคอกานต์ชนิต และคนถามก็ไม่สนใจคำตอบ เริ่มเล่า

“ครั้งแรกที่ฉันรู้ตัวว่าชอบผู้หญิง ฉันมีอายุสิบเอ็ดขวบ”

กานต์ชนิตอยากจะค้านว่าไม่อยากฟัง แต่พอเปิดประโยคแรกมา ก็ทำให้เธอตาโต “สิบเอ็ดขวบ แก่แดดจริง”

วรินธรนึกดีใจที่อีกฝ่ายสนใจ “ฉันเคยเล่าให้เธอฟังว่าพ่อแม่แท้ๆ ของฉันตายไปแล้ว และฉันโตมาเพราะลุงกับป้าอุปการะฉันและรับเป็นลูกบุญธรรม จำได้ไหม”

กานต์ชนิตจำได้แต่ไม่ตอบ อีกฝ่ายก็ไม่ได้คาดคั้น ยังคงมองหน้าเธอและเล่าอย่างสบายๆ ต่อไป

“เด็กคนนั้นอายุน้อยกว่าฉันสามปี เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา หน้าตาก็...ธรรมดา มีเพียงสีของลูกตาที่แปลกไปหน่อยซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันสนใจและทำให้ฉันต้องหยุดคุยกับเขา แทนที่จะเดินเล่นไปมาแล้วกลับบ้านตามปกติ เขาเหมือนฉันอยู่อย่างหนึ่ง คือเขาเป็นเด็กกำพร้า ถูกทิ้งอย่างน่าสงสารอยู่ข้างทางในวันฝนตกหนักวันหนึ่ง”

คนฟังร้องหืมอย่างสนใจ

“พอได้คุยกันก็เลยรู้ว่าแม่เขาตั้งใจทิ้ง จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่แม่ก็ทิ้งเด็กน้อยไปแล้ว ฉันพาเขามาอยู่บ้านในวันแรก พ่อกับแม่ตกกะใจมาก ทีแรกฉันอยากให้เขาเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับฉันในฐานะน้องสาวหรือจะ...อะไรก็ได้ ขอให้เขาได้มีบ้านดีๆ อยู่ มีที่พักพิง อย่าได้กลายเป็นเด็กเร่ร่อนหรือเติบโตมาอย่างไม่เป็นผู้เป็นคน แต่ก็ไม่ง่ายนัก เธอคงจะเข้าใจดีอ่ะ กับเรื่องที่อยู่อาศัยของเด็กกำพร้า เมื่อไม่มีที่ไป เขาก็เลยได้อยู่ที่สถานกำพร้าแทน คงเป็นครั้งแรกที่ฉันพยายามหา ว่าทำไมเด็กไม่มีที่ไปต้องไปอยู่ที่นั่น ทำไมเราถึงรับเลี้ยงเขาไม่ได้ เพราะฐานะทางบ้านฉันหรือ หรือเพราะความสมัครใจหรือ ฉันพยายามค้นหาทางเพื่อให้เขามาอยู่ในบ้านเดียวกับฉัน ทั้งอ่านหนังสือทั้งถามไถ่จากใครต่อใคร เด็กคนนั้นทำให้ฉันเรียนรู้อะไรๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงมากทีเดียว ต้องขอบคุณเขาที่เป็นจุดเริ่มต้นของตัวฉันในวันนี้”

“เป็นจุดเริ่มต้นของความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจน่ะเหรอ น่าขอบคุณตรงไหน” กานต์ชนิตได้ทีใส่ความเห็นกวนๆ ทันที โดยไม่รู้ตัวว่าขณะนี้เธอหันหาเข้าหาหล่อน รับฟังอย่างตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง

“ขอบคุณที่ชมนะ” กานต์ชนิตเบ้หน้า วรินธรหัวเราะมองดอกไม้ปลิวตามลมพลางเริ่มเอ่ยต่อ “บังเอิญว่าสถานกำพร้าแห่งนั้นอยู่ใกล้บ้าน บ่อยครั้งที่ฉันขี่รถจักรยานไปพูดคุยกับเด็กคนนั้น เล่นกับเพื่อนๆ ในสถานกำพร้าคนอื่น เขานับถือฉันเป็นพี่ ฉันก็เรียกเขาเป็นน้อง ทุกวันผ่านไปอย่างสนุก ฉันไม่รู้หรอกว่าชอบเขาแบบไหน บางทีอาจจะยังไม่รู้ตัวเลยก็ได้ รู้แค่ว่าไปบ้านเด็กกำพร้าแล้วสนุก ฉันก็อยากไปเท่านั้นเอง”

“มิน่า เธอถึงปราบเด็กกำพร้าพวกนั้นได้”

วรินธรอวด “ช่าย ฉันเป็นหัวหน้าแก๊งตลอดแหละ โดนครูตีก็ไม่เคยจำ เคยมีวันหนึ่งครูโมโหจนเก็บไปฟ้องพ่อฉันถึงบ้าน พ่องี้ทำหน้าไม่ถูก เพราะเป็นมัคนายกพูดจ้อยๆ ให้คนทำบุญทำทานอยู่ในวัด แต่ลูกตัวเองดันสร้างเรื่อง ยังไงก็แล้วแต่พ่อแก้ปัญหาโดยการสั่งคนงานตัดกล้วยหลังบ้านหลายหวี เอาให้ครูเป็นการขอโทษ ครูก็เลยยอม ไม่เก็บอะไรมาฟ้องพ่ออีก”

คงไม่ใช่เพราะกล้วยหรอก กานต์ชนิตคิดว่าเพราะฟ้องไปยัยตัวดีก็ไม่หายซ่าต่างหาก ทุกวันนี้หล่อนก็ดูเป็นหัวหน้าแก๊งเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่มีครูคอยอ่อนใจ มีแต่เธอเนี่ยแหละอ่อนใจแทน

“โตมาหน่อยสมัยมัธยม ฉันต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนที่อยู่ไกลกว่าเดิม ไม่ค่อยจะได้ไปขลุกอยู่ในบ้านเด็กกำพร้านานๆ อย่างเก่า วันหนึ่งฉันกลับบ้านค่ำ นึกได้ว่าวันนั้นยังไม่ได้ไปสถานกำพร้า ก็เลยแอบหนีพ่อแวะไปตอนดึก ก็เจอเด็กคนนั้นนอนฝันร้าย เขาฝันว่ากำลังถูกทิ้ง ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด พอปลุกเขาตื่น เขาก็ยิ่งร้องไห้ใหญ่ ฉันเพิ่งรู้ว่าเด็กนั่นฝันร้ายเกือบทุกวันที่ฉันไม่ว่างมา ต้องนั่งลูบหัวข้างๆ จนกว่าจะหลับถึงจะหลับสบาย จากนั้นตอนกลางคืนทุกคืนฉันก็จะแอบไปบ้านเด็กกำพร้า เพื่อกล่อมเด็กคนหนึ่งให้หลับ”

วรินธรส่งยิ้มหวานให้เธอเมื่อรู้ว่าเธอกำลังอินกับการเล่า เธอรู้ตัวก็ปั้นหน้าเฉย

“ไม่น่าเชื่อ”

“แหม นี่เล่าโดยไม่ได้ใส่ไข่เลยนะสาบาน”

กานต์ชนิตแลบลิ้นใส่ “เชื่อตายล่ะ”

วรินธรทอดสายตาน่ามอง “เด็กคนนั้นมีตัวตนนะ ตอนหลัง ป้ากับลุงของฉันก็ยินยอมรับเด็กนั่นเป็นลูกบุญธรรมจนได้ และทางสถานกำพร้าก็ช่วยเหลือได้เราสามารถทำเรื่องได้อย่างถูกต้อง สุดท้ายเขาก็กลายเป็นน้องสาวของฉัน”

กานต์ชนิตร้องฮึ ตาโต “โธ่เอ๋ยเด็กน้อย โดนจอมเจ้าเล่ห์ล่อลวงซะแล้ว อย่างนี้เธอก็มีสิทธิโดยชอบธรรมจะเข้าไปกล่อมนอนทุกคืนได้แล้วสิ ร้ายชะมัด”

คนฟังขำพรืด “เฮ๊ยคิดอกุศล คนนี้ฉันรักษาไว้เป็นน้องสาว”

“น้องสาวเหมือนคุณฮารุกะน่ะเหรอ ฮึ”

คราวนี้จอมกวนสะอึก “นั่นเรียกความผิดพลาด” แน่ะยังแถไปได้น้ำขุ่นๆ เธอได้แต่ส่ายหน้า หล่อนจึงรีบเอ่ย “ฉันไม่เคยมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับน้องสาวบุญธรรมของฉัน โอเคใจฉันอาจจะคิดไปไกล แต่ท้ายที่สุดเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันไปมากกว่านี้”

“เชื่อก็บ้าแล้ว”

“ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ นี่ฉันเล่าเรื่องมัดตัวเองหรือไงเนี่ย”

พอโอดตัวเองแบบนี้แล้ว กานต์ชนิตขำมากกว่าจะหงุดหงิด วรินธรเสยผมตัวเองจนยุ่ง กานต์ชนิตจึงยื่นมือช่วยยีหัวเพิ่มความยุ่งไปอีก หล่อนจึงหันหน้ามองเธอ

“นี่จริงจังนะเนี่ย เห็นตาไหม ตาจริงจัง”

กานต์ชนิตหัวเราะกับตาโปนๆ ของหล่อน ชักมือกลับยิ้มๆ

วรินธรจึงหายหงุดหงิดพลางทิ้งช่วงเงียบไปอึดใจ

“ฉันรู้ว่าเธอเชื่อ”

“ก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองซะแบบนี้”

“เธอเป็นคนมีใจเมตตา เธอทำไมจะไม่เชื่อฉันล่ะ”

“ฉันเห็นแค่คนกะล่อนที่พยายามแก้ต่างให้ตัวเองเท่านั้นเอง”

“แล้วเธอรู้ไหมว่าคนกะล่อนอย่างฉันไม่เคยจริงจังกับใครเลยสักคน ต่อให้รักมากรักมายตั้งแต่เด็ก น้องสาวฉัน...ถ้านับเวลาก็หลายปี ฉันยังผลักไสไล่ส่งให้เขาไปมีคนที่ดีกว่าฉันเอาจนได้ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาก็ชอบฉันไม่น้อย”

คำชี้แจงคงไร้น้ำหนัก หากไร้แววตาเหม่อลอยและรอยยิ้มเศร้าๆ

บางทีหล่อนก็ดูทำอะไรไม่ค่อยคิด แต่บางทีหล่อนก็ดูซับซ้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ กานต์ชนิตได้แต่จ้องมอง ปากหลุดคำถามหนึ่งซึ่งไม่รู้ทันตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงถามออกไป

“เขารู้หรือเปล่าว่าเธอรักเขามาก”

เป็นคำถามที่คงโดนใจอีกฝ่ายไม่น้อย เพราะหล่อนนิ่ง กะพริบตาไวทีสองที “ฉันเลี้ยงเขาแต่เด็ก เขาน่าจะฉลาดเหมือนคนเลี้ยงจริงไหม” หล่อนหันมายิ้มให้เธอ ก็แปลกที่มันดูน่าเห็นใจมากกว่าน่าหมั่นไส้ “แต่เขาซื่อ เขาอาจจะสงสัยแต่คงไม่รู้หรอก”

กานต์ชนิตไม่แน่ใจนักว่าทำไมหล่อนถึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ทำไมต้องทำให้เธอรับรู้หรือรู้สึกถึงความรักอันมากมายในสมัยก่อน ราวกับเรื่องราวเหล่านั้นยังโลดแล่นและมีผลเหนือเรื่องปัจจุบัน ถ้าหากว่าเธอไม่รู้สึกบีบคั้นอึดอัดใจก็คงจะดี เธอก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าเธออึดอัดเพราะร่วมอินไปกับความรู้สึกหล่อน หรือเพราะแอบนึกเปรียบเทียบกับตัวเองแล้ว สิ่งที่เธอได้รับจากพายมันคงน้อยกว่ามากก็ไม่รู้

“แล้วเธอมีเหตุผลดีๆ หรือเปล่าล่ะ”

คำถามทำให้วรินธรอึ้งอีกคราว ทว่าหนนี้กลับสลายความหมองออกไปจากใบหน้าของพาย “เพราะอย่างนี้เธอถึงน่ารักกว่าใคร” วรินธรเอ่ย

กานต์ชนิตร้องฮึ “ชอบเบี่ยงประเด็น ถ้าเธอไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบฉันหรอก”

วรินธรหัวเราะเบาๆ จนกานต์ชนิตหมั่นไส้จนหน้าบูด เพราะอีกฝ่ายไม่สนใจกับความหงุดหงิดของเธอเลย แถมยังวิจารณ์เหมือนเช่นคราวก่อนอีก “เธอเป็นคนแบบนี้ กลัว แต่ก็ยังเดินไปหา อยากรู้ความจริงจนได้ แม้รู้แล้วจะไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากทำให้ตัวเองเจ็บปวดก็ตาม”

ได้ฟังก็ยิ่งทำให้หงุดหงิด

“เธอเรียกฉันมาคุยเพื่อจะบอกอะไรกันพาย หรือจะยั่วโมโหกันอีก”

“ก็แล้วทำไมเธอต้องโมโหด้วยล่ะ” ไม่ถามเปล่ายังส่งสายตาล้อเลียนอีกต่างหาก “เธอรู้สึก... หึงอดีตของฉันหรือไงหือ”

โอ๊ย จี้ใจ กานต์ชนิตอยากลุกหนี เลิกสนใจจอมยั่วเสียดีกว่า แต่วรินธรจับข้อมือเธอไว้ไม่ให้ลุกไปไหนได้

“ฉันยังเล่าไม่จบเลย จะลุกไปไหนล่ะกานต์”

“ฉันไม่เห็นว่ามีใจความอะไรนอกจากเธอเล่าถึงอดีตแสนหวานของเธอ”

วรินธรแอบขำ กุมมือเธอพลางบีบเบาๆ รอคอยให้สายลมพัดพอให้ความคุกรุ่นในใจเธอซาลงวูบหนึ่ง กานต์ชนิตคิดว่าหล่อนเป็นคนเก่งเรื่องอ่านความคิดและรู้จังหวะของอารมณ์คน เพราะเพียงแค่เวลาผ่านไป เธอก็สงบลงได้ วรินธรส่งสายตาอ่อนโยนในแบบที่เธอไม่ชิน และเธอกำลังรับมือกับวรินธรในเวอร์ชันใหม่ไม่ถูก

“อดีตของฉันไม่หวาน... มันไม่เคยหวาน ฉันไม่เคยเปิดรับความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นเข้ามาในใจฉัน พยายามป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด เพราะคิดว่าคนเราไม่มีใครไม่เปลี่ยนแปลง เวลาผ่านไป เมื่อได้เรียนรู้โลก คนย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉันไม่เคยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จีรังยั่งยืน”

อะไรคือสิ่งเหล่านี้ที่พายว่า...

“อะไรที่ไม่จีรังยั่งยืน ความรู้สึกรักน่ะเหรอ” เธอถาม อีกฝ่ายก็ยิ้ม

“เธอฉลาดนะกานต์ มีใครเคยบอกเธอไหม มักจะถามอะไรที่ควรถามเสมอ แล้วก็มองเห็นมุมมองแตกต่าง ทำให้ฉันรู้สึกว่า ตรงนั้นไง คือต้นตอของปัญหา ที่จะนำไปสู่หนทางแก้ไขปัญหา” พายชมเธออีกแล้ว แต่กานต์ชนิตไม่ยักกะรู้สึกดีใจ เพราะถ้าเธอฉลาด เธอควรเข้าใจคำพูดหล่อนสิจริงไหม แต่นี่ไม่เลย เธอยังคงงงตามคนอ้อมโลกที่ชอบเบนไปทางนู้นทีทางนี้ที ไม่เข้าเรื่องตรงๆ สักที ไม่รู้เป็นโรคอะไร

“เออฉันคงฉลาดไม่พอ ถึงได้ตามเธอไม่ทัน เดาไม่ออกจริงๆ ว่าเธอจะสื่ออะไร เพราะมันไม่ได้สร้างความมั่นใจให้ฉันเลย กลับยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหว กลัวเธอจะคิดแบบเดิม ซ้ำรอยเดิม ต่อให้รักแค่ไหนก็ตัดทิ้งได้อีก เธอเล่าเรื่องเก่าๆ ของเธอแล้ว เธอยังไม่ได้บอกเลยว่าแล้วกรณีฉันล่ะ มันต่างกันยังไง ทำไมกับฉัน เธอถึง...ถึง บอกว่ารักฉัน...” เออ ใช่ว่าเธอจะไม่เขินเมื่อพูดประโยคนี้ขึ้นมา วรินธรเห็นดังนั้นจึงยื่นมือบีบแก้มเธอเบาๆ เธอก็ปัดมืออีกฝ่ายออกทันควันเหมือนกัน นี่กำลังสับสนอยู่ยังมีหน้ามาเล่น เป็นทีของกานต์ชนิตที่ยกมือชี้หน้าอีกฝ่ายให้หยุดเล่นและฟัง

“หรือว่านี่คือการบอกอ้อมๆ ของเธอ บอกเพื่อให้ฉันเผื่อใจฮึ หากว่าประโยคต่อไปของเธอจะเป็น ...ฉันรักเธอนะเธอต้องรู้ว่ามันอาจจะไม่จีรังเหมือนที่ฉันเล่า วันใดฉันโบกมือบ้ายบาย ลาก่อน เธอห้ามรั้งฉัน... อย่างนี้เหรอ เธอจะให้ฉันยอมรับสถานะนั้นงั้นเหรอ”

วรินธรหัวเราะขำ “คิดได้ยังไงอ๊ะกานต์”

“เฮ๊ย ไม่เห็นน่าขำ”

วรินธรพยายามกลั้นหัวเราะ

“กานต์เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว...” คนฟังฮึดฮัด พูดขนาดนี้แล้วยังยั่วโมโหกันได้ต่ออีก คนอะไร วรินธรกำแขนเธอแน่นไม่ยอมให้ลุก “ขอโทษที่เอาแต่อ้อมโลก ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม พอเป็นเรื่องสำคัญทีไร ฉันก็มักเป็นอย่างงี้ทุกที ฉันอาจยังไม่ได้สรุปให้ดีนัก...”

แววตาวรินธรใสแจ๋วไร้เล่ห์เหลี่ยม มันจริงใจและมันดูตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย นั่นคือความประหม่าของพายที่ทำให้เธอต้องเงียบเพื่อรับฟัง

“เธอไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำซ้ำรอยเดิม เพราะเธอไม่ใช่คนธรรมดา มากกว่าอดีตที่ฉันเคยเจอ เธอเป็น...เหมือน...พายุหมุนที่รุนแรงที่สุด เหมือนเธอกำลังวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยความเร็วสูง ปกติแล้วพายุที่ค่อยๆ มาอย่างรู้ตัว ฉันจะรู้ทางหนีทีไล่ว่าควรหลบตรงไหนจึงจะปลอดภัย แต่พายุอีกประเภทที่จู่ๆ ก็ก่อขึ้น และพอมันมากะทันหัน ฉันหาที่หลบไม่ทัน ฉันไม่รู้จะหนียังไง รู้ตัวอีกที...ฉันก็ยืนอยู่ตรงกลางตาพายุแล้ว จะหนีก็หนีออกไปไม่ได้ เพราะถ้าออกไปเมื่อไหร่ ฉันก็คงถูกแรงลมพัดทำลายเป็นชิ้นๆ ดูอันตรายและดูน่ากลัวที่สุด...เธอว่าไหม”

ความเงียบเกิดขึ้นต่อจากนั้น สบตาลุ้นปนเขินของคนพูดด้วยใจเงียบงัน

ใจเธอเงียบเพราะความคาดไม่ถึง จนกระทั่งหัวใจเริ่มสูบฉีดเลือดอย่างแรง ทำให้ตนเองต้องครางรับในลำคอ รถบรรทุกขนความอิ่มเอมใจมาถึงเธอแล้ว กำลังเทกระจาดตรงหน้าเธออย่างไม่รู้จะระงับใจพองโตอย่างไร เธอกำลังรินรับความในใจจากเจ้าของมือที่กุมกันอยู่แบบเต็มๆ บอกแล้วว่าหล่อนน่ะซับซ้อน อย่างไรก็ตามเธอฉลาดไง...อย่างที่หล่อนว่า เธอจึงเข้าใจคนปากแข็งอย่างหล่อนได้

“นี่สรุปแล้วเหรอ”

วรินธรอึ้งและเสียความมั่นใจวูบ กานต์ชนิตคิดว่ามันคงไม่ง่ายสำหรับพายนักในการแจกแจงความรู้สึกตนเองจนหมดเปลือกหมดไหเช่นนี้ และนั่นทำให้หล่อนดูน่ารักขึ้นมา

“พูดอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรก ฉันคงไม่ต้องมานั่งสับสนหรอกว่าควรจะเชื่อคำพูดเธอดีไหม เธอก็ไม่ต้องมานั่งเปลืองน้ำลายอธิบายประวัติเธออีกด้วย”

วรินธรหัวเราะแห้งๆ สายตามีแววขอบคุณให้กัน จับมือเธอจูบเบาๆ ปากนุ่มๆ เวลาแตะกับฝ่ามือก็ชวนให้จั๊กจี้และวูบวาบบอกไม่ถูก “เธอเชื่อแล้วอ่ะดิว่าฉันพูดจริงอ่ะ”

กานต์ชนิตอมยิ้มไม่ยอมตอบตรงๆ “จริงหรือไม่ เวลาก็จะเป็นตัวช่วยพิสูจน์ให้เอง”

วรินธรยิ้มกับคำย้อน พลางพยักหน้า “ก็ได้ ฉันขอให้มีเวลานั้นยาวๆ หน่อย เธออย่ารีบหายตัวหนีฉันไปไหน อย่าทำตัวเหมือนพายุที่พอจากไปแล้ว ก็ทิ้งไว้แต่ซากปรักหักพังจนไม่อาจซ่อมอะไรกลับให้เป็นเหมือนเดิมได้”

.................................................................................................

ปิแอร์บอกตัวเองว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก เขารับรู้ได้จากสายตาลูกน้องของอาสินหลายคนในบริเวณนั้น แม้พอลจะไม่รู้ตัวเท่าไหร่ว่ากำลังถูกจับตามอง นี่ล่ะหนอ คนไม่มีความลับให้ปกปิด เขาจะทุกข์ร้อนระแวงทำไม




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบหก You’re The Storm(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:44:47 »
(ต่อ)
ต่างจากเขาที่ต้องการเข้ามาในบ้านลูกสาวเจ้าพ่อเพื่อปลดไมค์กับกล้องออกจากเสื้อผ้า

เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถเข้าบ้านถ้ำเสือ จากการบอกเล่าของพาย ทำให้รู้แผนผังที่นี่ไม่ยาก และจากเครื่องติดตามกับไมค์ ทำให้เขารู้ตำแหน่ง เขารับฟังการหารือเรื่องปลูกถ่ายไตใหม่ของพ่อของหมอรสอย่างอดทน ในห้องนั้นมีทั้งตัวแทนจากเฟเดอริกสตาร์ นักวิจัยจากแลปผลิตอวัยวะ ทีมแพทย์ผ่าตัด และแน่นอนรวมรสสุคนธ์ด้วย หล่อนนั่งบริเวณหัวโต๊ะยังคงมีท่าทีสงบ คนที่พูดมากที่สุด คงหนีไม่พ้นอาสิน

“กระผมเป็นผู้ประสานงานระหว่างบริษัทเฟเดอริกสตาร์กับทีมวิจัยห้องปฏิบัติการอวัยวะเทียมนี้”

ผู้หาไตของจริงมาสวมรอยเป็นของเทียมล่ะไม่ว่า

“ด้วยความร่วมมือจากโรงพยาบาลของคุณหมอรสสุคนธ์ สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่เรา จึงทำให้ทีมวิจัยสามารถผลิตไตให้แก่ท่านได้ การผ่าตัดเป็นผลสำเร็จ”

ทุกคนปรบมือเกรียวกราว ฝ่ายการเงินของเฟเดอริกสตาร์คงหาคำตอบได้แล้ว ว่างบประมาณเรื่องการโจรกรรมข้อมูลที่เคยกล่าวถึงกันนั้นหายไปไหน ถึงได้มีสีหน้าพอใจ แน่นอนว่าเงินเหล่านั้นไม่สูญเปล่า

“ไม่ใช่แค่เพียงไตเท่านั้นที่ทีมวิจัยผลิตสำเร็จ ยังมีอวัยวะสำคัญอย่างอื่นอีกหลายชิ้น ตรงหน้าท่านคือรายชื่อและผลสรุปคร่าวๆ ผลงานเหล่านี้จะนำชื่อเสียงและผลกำไรให้กับบริษัทเฟเดอริกสตาร์ในฐานะผู้สนับสนุนใหญ่ให้กับสถาบันอย่างมหาศาล...”

ปิแอร์ถอนหายใจพรืด นี่ล่ะหนอนักธุรกิจ พอเห็นอะไรเป็นกำไรหน่อย ก็ตาโตถลน จะให้สืบความเป็นมาเป็นไปให้ละเอียดคงไม่มี เขามั่นใจว่าทีมวิจัยนี้ทำอวัยวะอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ยังหาหลักฐานไม่ได้ว่าพวกเขาไปขโมยอวัยวะเหล่านี้จากที่ไหน ข้อมูลจากกล่องเซฟตี้ที่เขาขโมยได้จากหมอรส บอกเพียงแค่ความผิดพลาดต่างๆ นานาของทีมวิจัยนี้ ส่วนที่ได้จากเซฟตี้บ๊อกของโฮลแลปก็เพียงครึ่งๆ กลางๆ ครั้นจะไปขโมยมันกลับจากกีจกร ก็ยากและเสี่ยงเกินไป

ปิแอร์เบื่อกับงานเสี่ยงๆ พวกนี้ เขาอยากหยุดกลางคัน เพราะคิดว่าได้ไม่คุ้มเสีย มิทซึคิงแม้จะเป็นบริษัทแม่ของอีเว้นท์ แต่ก็ไม่สามารถสั่งให้เราทำนั่นนี่ได้ แค่โยนเงินค่าจ้างให้เล็กๆ น้อยๆ แลกกับความเสี่ยงมหาศาล บอสเองก็คงคิดจะปฎิเสธ หากว่าไม่บังเอิญมีนายจ้างคนใหม่โผล่เข้ามาเสียก่อน แถมยังโยนเงินก้อนโตให้อีกด้วย งานเดียวได้เงินถึงสองเด้ง มีหรือบอสจะไม่เอา ไอ้พายก็อีกคน ราวกับรู้ใจบอส เอาตัวไปพัวพันซะใกล้ เสี่ยงที่สุดยิ่งกว่าใคร

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ได้แต่ขยี้หัว จนกระทั่งถึงเวลาเบรกกาแฟเป็นโอกาสสำคัญให้เขาขึ้นไปชั้นบน พยายามหลบหลีกชายฉกรรจ์เดินว่อนหลายนาย ลัดเลาะจนกระทั่งเข้าไปเหยียบบนพื้นระเบียงของห้องนอนภาพทิวาได้ในที่สุด พายว่าการเข้าทางประตูมักจะมีกล้องซ่อนเอาไว้ ดังนั้นควรเข้าทางหน้าต่างหรือประตูระเบียงจึงจะดีที่สุด

เวลานี้ประตูระเบียงเปิดอ้าราวกับต้องการจะต้อนรับเขา ปิแอร์ยิ้มร่า สองเท้าพากันก้าวเข้าห้อง ยังไม่ทันจะแตะพื้น เสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ทำให้เขารีบหันหลังขวับ หลบหลังม่านหน้าต่างว่องไวพร้อมกับขมวดคิ้ว

ไหนสนฉัตรรายงานว่าภาพทิวาอยู่ที่อิสรเสรีคอนโดฯ ยังไงล่ะ แล้วนี่ใคร

ภาพทิวาอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำพลิ้วเบา ปิแอร์หันมองกลับไปแทบจะเห็นสรีระของหล่อนภายใต้ชุดบางผืนนั้น หล่อนหุ่นดีอันนี้เขายอมรับ และยิ่งดูเซ็กซี่เมื่ออยู่ในชุดแบบนี้

พอจะมีความบันเทิงใจเกิดขึ้นระหว่างทำงานขึ้นมาบ้าง หล่อนนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม ใช้ผ้าขนหนูเช็ดปลายผมอย่างประณีต มิน่าเล่าผมหล่อนถึงสวย มีกลิ่นหอมลอยลมทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้

ปิแอร์ไม่อยากให้ตัวเองพลั้งเผลอกับความเย้ายวนของสตรีนานนัก สมองก็สั่งตัวเองให้กวาดตาค้นหาเสื้อผ้าชุดนั้นของหล่อน พายบอกว่าติดไว้บนปกเสื้อ หากว่าเป็นเสื้อตัวใน ป่านนี้แม่บ้านเอาไปซักไปแล้ว คงจะเป็นเสื้อแจ๊กเก็ต สัญญาณจึงได้อยู่แถวในห้องนี้ ทุกอย่างในห้องดูเรียบร้อย เขากะตำแหน่งจากพิกัดในมือถือ น่าจะเป็นในตู้เสื้อผ้าที่หล่อนกำลังเดินเข้าไปหา และเปิดตู้ออก

ภาพทิวาคงนึกได้ว่าควรปิดม่านก่อน หล่อนจึงเดินมาทางระเบียง ปิแอร์มองซ้ายขวา ด้านล่างไม่ปลอดภัยเพราะเต็มไปด้วยชายในชุดซาฟารีเป็นฝูง เหลือที่เดียวที่เขาจะหนี ไม่รอช้า มือกาวคว้าคิ้วกันสาดบนขอบประตู เหนี่ยวตัวเองขึ้นไปบนซอกมุมเพดานระเบียงอย่างเงียบเชียบ มองเจ้าของห้องที่ชะโงกมองนอกระเบียงซ้ายขวาและปิดประตูระเบียงพร้อมกับหน้าต่างงับลง ปิแอร์ถอนหายใจพรืด โชคดีที่มีงานอดิเรกคือปีนเขา ไม่งั้นคงจะเลียนแบบสไปเดอร์แมนไม่ได้

รอจนกระทั่งเสียงภายในห้องเงียบลง แน่แก่ใจแล้วว่าเจ้าของห้องออกจากห้องไปแล้ว จึงลอบเข้าสู่ภายในว่องไว เปิดตู้และดึงแจ๊กเก็ตสำรวจ จากนั้นกระชากไมค์กับกล้องออกใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง เสียงเปิดประตูทำให้เขาชะงักอีกครั้ง แท้จริงแล้วภาพทิวาไม่ได้ออกไปไหน หล่อนเดินไปยังโซนห้องทำงานซึ่งเชื่อมต่อกับห้องนอน เขาลืมไปสนิทว่าบ้านคนรวยเป็นแบบนี้ จึงต้องพาตัวเองหลบในตู้เสื้อผ้าแทน มองร่างเพรียวกระชับวางกระดาษแข็งปึกหนึ่งบนโต๊ะหน้าชุดรับแขก

ปิแอร์มองออกว่ามันคือรูปภาพ ใต้รูปภาพคือหนังสือนิตยสาร หล่อนดูท่าทางไม่เหมือนคนกำลังอ่านนิตยสารด้วยความเพลินใจสักเท่าใด เพราะหน้ายุ่งคิ้วขมวด จ้องราวกับคนกำลังจับผิดภาพ

ใช่ล่ะ หล่อนกำลังเปรียบเทียบภาพ และเป็นความลับอย่างมากด้วย ดูท่าทางมองไปทางประตูของหล่อนราวกับกลัวใครจะเคาะประตูเข้ามาหาก็รู้

ความอยากรู้ตามประสาเจฟก็เกิดขึ้น ทำไงได้ล่ะ เขายอมรับว่าสนใจภาพทิวาอยู่มาก เจอหล่อนทีไร ก็มักจะเกิดความสนุก แม้ไม่ถือว่าชอบมากเท่าไอ้พายที่เอาตัวไปพัวพันกับหมออินทนิลก็เถอะ แต่รู้ไว้สักหน่อยก็ดี ว่าความสนใจของหล่อนอยู่ที่ไหน และถ้าจะให้รอจนหล่อนออกจากห้องไปเพื่อชะโงกดู บอกได้เลยว่าไม่มีทาง หล่อนจะต้องเก็บสิ่งของพวกนั้นหนีไปก่อนแน่

ปิแอร์ถลกแขนเสื้อขึ้นและหมุนนาฬิกาข้อมือ ไขไปยังด้านหลังหน้าปัดและหยิบวัตถุแบนเล็กอันหนึ่งออกมาจากนั้นพับให้แหลมคล้ายจรวด แง้มประตูตู้นิดหนึ่งก่อนจะพุ่งหลาวมันข้ามหัวภาพทิวาไปปักยังขอบหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง เจ้าจรวดนี้คือแผ่นเปียโซอิเล็กตริก มันจะเก็บสะสมพลังงานจากการเคลื่อนไหวของเข็มนาฬิกาเอาไว้ พลังงานส่วนนี้จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง หรือในสถาวะที่มันลอยอยู่และกำลังจะตกลงพื้นนั่นเอง พลังงานนั้นจะทำให้ตัวเองพุ่งไปข้างหน้าอย่างว่องไว แม้เราจะออกแรงพุ่งมันนิดเดียว คล้ายดั่งลูกดอกขนาดจิ๋ว ปลายจากก้นลูกดอกมีเส้นเอ็นเล็กและเหนียวเกี่ยวเอาไว้เชื่อมกับนาฬิกาข้อมือของเขา

ปิแอร์ซับเหงื่อตัวเองจากความร้อนภายในตู้ ล้วงกล้องที่เพิ่งปลดออกจากเสื้อของภาพทิวาเกี่ยวกับเส้นเอนนั้นอีกครั้ง พยายามยืดตัวให้แขนตัวเองสูงกว่าตำแหน่งลูกดอก เพื่อกล้องจะได้ลอยตามเส้นเอ็นเหนือหัวหล่อนจับภาพเหล่านั้นส่งมาให้เขา

ชายหนุ่มใช้เวลาให้กล้องไถลไปและกลับอยู่นาน ก็เก็บกล้องใส่กระเป๋าเสื้อ กระตุกไวๆ ให้จรวดพุ่งกลับมา จากนั้นส่งข้อความหาเพื่อนรักผู้ประจำอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาให้รีบส่งภาพถ่ายจากกล้องกลับมาให้เขา

ยางโทนทำงานว่องไวทันใจเสมอ ทันทีที่ภาพทิวาเดินออกจากห้องไปตามเสียงเรียกของอาสิน เขาก็ได้ภาพเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนเกิดคำถามเดียวกับยางโทนผู้เห็นภาพเช่นเดียวกัน

“นี่มันรูปพริ้งแพรวพรรณนี่ไอ้เจฟ”

ใช่ นี่มันรูปไอ้พาย ภาพในกระดาษแข็งหลายใบเป็นรูปพริ้งในชุดนักศึกษา ส่วนในนิตยสารก็คือรูปพริ้งที่ถ่ายแบบคู่กับฮารุกะ ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ก็เขาเป็นตากล้องในวันนั้นนี่นา...

ปิแอร์เก็บความสงสัยมากมายเอาไว้ ก่อนจะพาตัวเองออกจากสู่ห้องประชุม และเวลาเที่ยงๆ ก็ขอตัวออกจากบ้านอาสินทันที โดยไม่ได้สังเกตว่า มีสายตาเจ้าของบ้านจับจ้องเขม็ง

“เราหาแมลงเจอแล้ว ใช่เขาจริงๆ”

โรเบิร์ต...มือซ้ายของอาสินกล่าวด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ไม่ต่างจากรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้านายสักนิด

.................................................................................. จบบทที่ ยี่สิบหก You’re The Storm

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.