web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 183
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 155
Total: 155

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 3  (อ่าน 1823 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 3
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:16:34 »
Chapter 3

เมืองหลวงที่วุ่นวายของประเทศไทยในยามบ่ายทำให้สาวญี่ปุ่นที่นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ในร้านกาแฟเริ่มเบื่อ เธอเปิดหนังสือไกด์บุ๊คเพื่อดูสถานที่ท่องเที่ยว และหาจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ในประเทศนี้

“Watashi wa doko ni ikubekideshou ka? (แล้วฉันควรจะไปที่ไหนดีละเนี่ย)” สาวร่างสูงพูดออกมาเบาๆ

สาวญี่ปุ่นยังไม่อยากจะออกไปไหนให้ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เธอยังไม่มั่นใจว่าควรจะออกเดินทางไปที่ไหนดีเนื่องจากสภาพอากาศในตอนนี้ที่มีฝนตกแทบจะทุกวัน และกลัวว่าถ้าไปไกลจะทำให้การวางแผนเดินทางของเธอยากขึ้นเมื่อคำนึงถึงจำนวนเงินที่อยู่ในกระเป๋า สาวร่างสูงจึงเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้กับเมืองหลวงแห่งนี้เสียก่อน เมื่อเธอเปิดไปถึงหน้าของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หนึ่งในจังหวัดยอดนิยมของคนญี่ปุ่น หลังจากอ่านข้อมูลไปได้ไม่นานเธอก็ตัดสินใจ

“Koko ni iku yo (ไปที่นี่ก็แล้วกัน)” สาวญี่ปุ่นพูดแล้วสอดที่คั่นหนังสือไว้ที่หน้านั้นแล้วปิดหนังสือ

ทันทีที่สาวร่างสูงหย่อนไกด์บุ๊คลงกระเป๋า เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือจอสีราคาถูกๆ ที่อยู่ด้านหน้าของกระเป๋าเป้ก็ดังขึ้น เธอขมวดคิ้วแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารนั้นขึ้นมาแล้วกดรับสาย

“Hello (ฮัลโหล)” สาวญี่ปุ่นกรอกเสียงลงไป

สาวร่างสูงฟังเสียงจากปลายสายที่พูดกลับมาแล้วตอบกลับไปว่า “I’m still in Bangkok but I think I’ll go Ayutthaya tomorrow (ตอนนี้ฉันยังอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พรุ่งนี้กะว่าจะไปที่อยุธยา)”

เสียงจากปลายสายตอบกลับมาอีกครั้ง “No no, I won’t stay overnight there. Just a one-day trip, after come back I’ll make a plan later on (ไม่ๆ ฉันจะไม่นอนค้างที่นั่น แค่ไปเช้าเย็นกลับ กลับมาแล้วฉันค่อยคิดว่าจะไปที่ไหนต่อ)”

สาวญี่ปุ่นตอบกลับแล้วก็ยิงคำถามใส่ปลายสายว่า “So… how was it? (แล้ว... เรื่องนั้นเป็นยังไงบ้าง)”

เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย สาวร่างสูงก็ขมวดคิ้วแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “I see. If I was her, I’ll do like that too (ฉันเข้าใจ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็คงจะทำแบบนั้นเหมือนกัน)”

ปลายสายพูดออกมาอีกยืดยาว แต่สาวญี่ปุ่นก็นั่งฟังไปเรื่อยๆ พลางส่งเสียงตอบรับเป็นบางครั้ง ซึ่งก่อนที่จะวางสายเธอก็ถามอีกฝ่ายว่า

“Do you think it really works? (คุณคิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ เหรอ)”

คนที่อยู่ปลายสายเงียบ ไม่ตอบ สาวร่างสูงถอนหายใจ

“Anyway, let’s try. I already sent them this morning. Don’t worry, I’ll keep my promise (เอาเถอะ ลองดูก็แล้วกัน ฉันเพิ่งจะส่งเจ้าพวกนั้นไปเมื่อเช้านี้ ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะรักษาสัญญา)”

“Them? Ok, I sent 3 postcards already, right? And 4 in Japanese is bad number. It sounds similar the word ‘Dead’ so we don’t use number 4*. So, today I sent 2 postcards. Get it? (เจ้าพวกนั้นน่ะเหรอ... ก็... ฉันส่งโปสการ์ดไปแล้ว 3 ใบใช่มั้ย แล้วทีนี้เลข 4 สำหรับคนญี่ปุ่นเป็นเลขที่ไม่ดีเพราะมันออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘ตาย’ พวกเราก็เลยไม่ใช้เลข 4 เพราะงั้นวันนี้ฉันก็เลยส่งโปสการ์ดไป 2 ใบ พอจะเข้าใจมั้ยคะ)”

*ตามความเชื่อของญี่ปุ่นเลข 4 คือ ‘ตัวเลขแห่งความโชคร้าย’ (เพราะออกเสียงใกล้กับคำว่า ชินะ ที่แปลว่า ‘ตาย’)

สาวญี่ปุ่นพูดต่อว่า “Don’t speak about money. I know what your intension is, you gave me enough (อย่าพูดถึงเรื่องเงินเลย ฉันรู้ว่าคุณทำไปเพราะอะไร คุณให้เงินฉันมาพอแล้ว)”

เมื่อกดปุ่มวางสาย สาวร่างสูงก็มองออกไปด้านนอกเมฆสีดำทะมึนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่เช้ากลั่นหยดน้ำลงมาแล้ว ผู้คนต่างวุ่นวายกับการวิ่งหาที่หลบฝน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงไม่ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าช่วงนี้ฝนตกบ่อยทำไมไม่เตรียมร่มติดมาด้วย

สาวญี่ปุ่นลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากร้านกาแฟที่เธอนั่งอยู่พลางฮัมเพลงออกมาเบาๆ

Nanimo kamo nagesutete
Doko ka tooku kiete ikitai
Minamo ni ukandara
Akai tsuki ni te wo nobasouka

โยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีทิ้งไป
ก็แค่อยากจะไป ณ สถานที่ที่ไกลแสนไกล
ล่องลอยไปบนผิวน้ำ
มือนี้จะเอื้อมถึงพระจันทร์สีแดงดวงนั้นได้มั้ยนะ

Kuzureyuku kono sekai daichi ga ware hito ga moeteku
Katsute ha tenshi datta
Boku wa soko de tachitsukusu dake

บนโลกที่กำลังแตกสลาย ชิ้นส่วนที่แตกออกของผู้คนก็คงเผาไหม้
แล้วกลับกลายเป็นนางฟ้า
ฉันยังคงยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

Itoshii omoide mo zenbu kiete naku nareba ii
Namida de sora no kumo
Marude rasen suikomareteku

คงจะดีกว่าถ้าความทรงจำแสนสุขของฉันหายไป
หยาดน้ำตาที่ไหลรินจากก้อนเมฆบนฟากฟ้า
พลิ้วไหวและเปียกชุ่มตลอดไป

(เพลง Mizu no naka no kumo: Solfa)



...

“ได้มาอีกแล้วเหรอ” พัชรินทร์ถามลูกสาว

“ค่ะ... คราวนี้ได้มาตั้งสองใบพร้อมกันเลย” ไอตอบกลับ “ทำไมถึงส่งมาแบบนี้ละเนี่ย”

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน... แล้วคราวนี้เป็นที่ไหนล่ะ”

“ยังอยู่ในกรุงเทพฯ ค่ะ” สาวตาหวานโชว์รูปให้อีกฝ่ายดู “โรงหนังสกาล่า* ส่วนใบนี้ก็มิวเซียมสยาม**”

*โรงหนังจอโค้งโรงใหญ่ หนึ่งเดียวย่านสยามสแควร์ที่ยังคงรักษาความงามของวันวานในแบบย้อนยุค ผ่านสถาปัตยกรรมระหว่างฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเปิดให้บริการต่อเนื่องมากว่า 40 ปี โดยขณะนี้เปิดบริการฉายหนังอาร์ตหรือหนังหาดูยากเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ชม [อีคนเขียนก็ไปนั่งดูหนังที่นี่บ่อย (คนเดียว)]

**พิพิธภัณฑ์ที่เน้นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ที่บอกเล่าถึงการพัฒนาสยามประเทศตั้งแต่สมับสุวรรณภูมิจนถึงประเทศไทยยุคใหม่ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 17 ส่วน ผ่านเทคนิคการเล่าเรื่องและวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจซึ่งผู้เข้าชมสามารถสัมผัสจับต้องและการเล่นแบบทดสอบต่างๆ ได้ จัดตั้งโดยสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) ที่ได้ปรับปรุงอาคารเก่าของกระทรวงพานิชย์เดิม (ใกล้ปากคลองตลาดและวัดโพธิ์) เป็นศูนย์การเรียนรู้ถาวร

เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร – วันอาทิตย์ 10.00 น. – 18.00 น.
ค่าธรรมเนียม: นักเรียนนักศึกษา 50 บาท ผู้ใหญ่ 100 บาท ชาวต่างชาติ 300 บาท






คุณครูประถมยิ้มเมื่อเห็นลูกสาวมีท่าทางดีใจเมื่อได้รับโปสการ์ดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่ง ถึงแม้เจ้าตัวจะสงสัยถึงที่มาและเหตุผลของการได้รับโปสการ์ดพวกนี้ แต่เธอก็ดีใจที่เห็นไอดูร่าเริงขึ้นเมื่อดูรูปที่อยู่ในมือ แถมบางครั้งยังพูดเปรยๆ ออกมาว่าอยากไปสถานที่ๆ อยู่ในโปสการ์ดด้วย พัชรินทร์มองภาพเพดานโค้งและโคมแชนเดอร์เลียภายในโรงภาพยนตร์สกาล่าแล้วมองไปที่ลูกสาวที่กำลังพลิกอ่านข้อความจากโปสการ์ดอีกใบที่เป็นรูปจำลองเรือสำเภาจีนในมิวเซียมสยามแล้วก็ถามอีกฝ่ายว่า

“ไอสอบเสร็จเมื่อไหร่ลูก”

สาวตาหวานเงยหน้ามองแม่แล้วตอบว่า “ประมาณวันที่ 10 ตุลาค่ะ”

“พอๆ กับที่โรงเรียนของแม่เลย... งั้นถ้าปิดเทอมแล้วหนูอยากไปเที่ยวตามที่ๆ อยู่ในโปสการ์ด แม่จะพาไปนะ”

“แล้วพี่อาร์ทละคะ”

“ขานั้นน่ะ หน้าฝนทีไรงานยุ่งทุกที หนูก็รู้” พัชรินทร์พูด “เราไปกันสองคนแม่ลูกก็แล้วกันนะ”

“ค่ะ” ไอยิ้ม “แล้วหนูจะไปกับแม่ค่ะ”

สาวตาหวานเดินขึ้นมาบนห้องพร้อมกับโปสการ์ดทั้งสองใบในมือ เธอวางพวกมันไว้ที่หน้ากระจกรวมกับอีก 3 ใบที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ไอมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วนั่งลงตรงหน้าลิ้นชักที่อยู่ด้านล่าง เธอค้นหาของที่อยู่ในลิ้นชักอยู่ครู่ใหญ่แล้วดึงสมุดเล่มหนึ่งออกมา

สมุดขนาด A3 ที่อยู่ในมือของสาวตาหวานเป็นสมุดที่สเก็ตรูป แต่เธอไม่ได้นำมาทำตามการใช้งานของมันแต่อย่างใด ไอหยิบโปสการ์ดทั้ง 5 ใบมาทาบตามหน้ากระดาษ เมื่อได้มุมที่เหมาะสมแล้วเธอก็ใช้คัตเตอร์กรีดที่หน้ากระดาษแล้วสอดมุมของโปสการ์ดลงไปจนกระทั่งครบทั้งหมด เพียงเท่านี้อัลบั้มเก็บโปสการ์ดง่ายๆ ของเธอก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เราจะได้โปสการ์ดพวกนี้อีกมั้ยน้า” สาวตาหวานพูดขึ้นมาเบาๆ เธอรู้สึกสนุกกับการลุ้นและรอคอยว่าจะมีโปสการ์ดส่งมาให้เธอจากคนๆ นั้นอีกบ้างหรือเปล่าหลังจากนี้ไป

“นี่เราทำตัวเหมือนอย่างที่แพรพูดเลยแฮะ” ไอพูดขึ้นมาอีกครั้งแล้วยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง

หลังจากอ่านหนังสือไปได้ไม่เท่าไหร่ สาวตาหวานก็เริ่มมีอาการปวดหัวเนื่องจากบทความที่เธอกำลังอ่านอยู่นั้นเป็นบทความเกี่ยวกับกรณีศึกษาเรื่องกฎหมายประกันภัยเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ คำว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์สะกิดความรู้สึกของเธอ และเรียกเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของเธอให้กลับคืนมา อาการ Flash back กลับมาอีกครั้ง ภาพของพ่อที่นอนทรมานกลับเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง

มือของไอเลื่อนลงมาแตะที่กลางหน้าอกพลางหายใจแรง ที่ตรงนั้นเป็นบริเวณที่หมอทำการผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตเธอหลังจากพบว่าปลายแหลมของซี่โครงซี่หนึ่งที่หักนั้นแทงเข้าไปที่ปอด และผลจากการผ่าตัดในครั้งนั้นก็ทิ้งรอยแผลเป็นยาวประมาณ 5 เซนติเมตรไว้บนร่างกายของเธอ ความชื้นเริ่มเกิดขึ้นตรงบริเวณที่เธอแตะเพราะเหงื่อที่ไหลออกจากมือ ตรงกลางเสื้อสายเดี่ยวที่สาวตาหวานใส่อยู่ยับยู่ยี่เพราะถูกมือของคนใส่กำแน่น

ไอหายใจถี่ขึ้นและแรงขึ้น เธอรีบปิดหนังสืออย่างรวดเร็วแล้วรีบเดินตรงไปที่เตียงนอน ใบหน้าซีดขาวซุกลงบนหมอนนุ่มเพื่อพยายามที่จะลบภาพที่อยู่ในหัวออก แต่มันก็ยิ่งกลับทำให้ภาพนั้นชัดเจนมากขึ้นเมื่อเสียงของน้ำฝนกระทบลงหลังคาบ้าน

“พอเถอะ... พอที... พอซะที...” สาวตาหวานพูดออกมา

เสียงล้อรถบดถนน เสียงกระทบกันของเหล็กดังขึ้นมาในห้วงความคิด ความรู้สึกว่าตัวกำลังหมุนคว้างจากแรงกระแทกไหลเข้ามาในสมอง เสียงหายใจขัด กลิ่นเลือด และภาพของอาทิตย์ที่ใบหน้าเปื้อนเลือด และเหยเกเพราะความเจ็บปวดลอยอยู่ตรงหน้าของไอ

“พ่อคะ... พ่อ! พ่อ!” สาวตาหวานตะโกนออกมาเสียงดัง

เสียงตะโกนของไอทำให้คุณครูประถมที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องของเธอตกใจ พัชรินทร์รีบเปิดประตูห้องลูกสาวทันที แล้ววิ่งถลาเข้ามากอดเจ้าของห้องที่กำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียงพลางส่งเสียงสะอึกสะอื้นเอาไว้แน่น

“แม่อยู่นี่แล้วลูก... ไอ... แม่อยู่นี่ ไอ... ได้ยินแม่มั้ยลูก!”

สาวตาหวานได้ยินเสียงคนที่เข้ามากอด เธอเงยหน้าขึ้นมามองแม่อยู่ครู่หนึ่งแล้วซุกใบหน้าลงบนไหล่ของอีกฝ่าย สองมือของเธอกอดตัวของพัชรินทร์แน่น น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมาอาบแก้ม เธอร้องไห้อยู่นานกว่าจะสงบลง

“นอนซะนะ... จะให้แม่อยู่เป็นเพื่อนมั้ย” คุณครูประถมพูดหลังจากที่อีกฝ่ายหยุดร้องไห้แล้ว เธอมองใบหน้าที่อิดโรยของลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

ไอส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะแม่... หนูขอโทษ”

“ขอโทษเรื่องอะไรกันละลูก... หนูไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“ผิดสิคะ... หนูผิดที่ทำให้แม่เป็นห่วง ผิดที่ทำให้แม่กับพี่อาร์ทต้องลำบาก หนูผิดที่ขอให้พ่อไปรับหนู... ถ้าหนูไม่โทรไปบอกพ่อ... พ่อก็คงไม่...”

พัชรินทร์รีบเอามือปิดปากลูกสาว “ไอ... เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะลูก... เราคุยกันแล้ว... หนูไม่ได้ผิด และหนูก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดด้วย”

“ต... แต่...”

“การไปรับลูกที่ติดฝนเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องทำ ถ้าวันนั้นพ่อไม่ไปแม่ก็ต้องไป... เราคุยกันหลายรอบแล้วนะ”

“ค...ค่ะ”

คุณครูประถมจูบหน้าผากอีกฝ่าย “นอนซะนะลูก พรุ่งนี้ไปสอบย่อยไม่ใช่เหรอ พักผ่อนซะนะ แล้วตั้งใจทำข้อสอบพรุ่งนี้ล่ะ”

“ค่ะแม่...” สาวตาหวานรับคำแล้วหลับตาลง

เมื่อพัชรินทร์เดินออกจากห้องไปแล้ว ไอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอนอนมองเพดานห้องอยู่นาน สมองตึงเครียดกับความคิดของเธอเอง สาวตาหวานชันตัวขึ้นนั่งแล้วเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง หลังจากนั้นก็หยิบอัลบั้มโปสการ์ดที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู เธอดึงโปสการ์ด 2 ใบที่เธอได้รับมาวันนี้ออกมาจากหน้ากระดาษ

‘Scala Theater, Bangkok (โรงภาพยนตร์สกาล่า กรุงเทพฯ)’

‘Museum Siam, Bangkok (มิวเซียมสยาม กรุงเทพฯ)’

ไอเริ่มคุ้นเคยกับลายมือของคนส่งมากขึ้นเรื่อยๆ จากการหยิบโปสการ์ดขึ้นมาดูหลายต่อหลายครั้ง หางของตัวเอพิมพ์ใหญ่ที่ถูกตวัดขึ้นต่อเป็นตัวไอ หลังจากนั้นก็เป็นตัวแอลที่เขียนเป็นตัวพิมพ์เล็กดูเหมือนจะกลายเป็นเอกลักษณ์ของลายมือผู้ส่งที่เธอจำได้ขึ้นใจ

“คุณเป็นใครกันแน่” สาวตาหวานพูดขึ้นมาเบาๆ แล้วเก็บโปสการ์ดทั้งสองใบกลับลงที่เดิม เธอล้มตัวลงนอนพลางกอดอัลบั้มโปสการ์ดของเธอเอาไว้แนบอก

“เที่ยวเผื่อด้วยก็แล้วกันนะคะ ฉัน... ที่เป็นแบบนี้คงจะไปไหนเหมือนคุณไม่ได้”

...

“ดูเหมือนหนูไอกำลังอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าการยอมรับสภาพน่ะค่ะ” จิตแพทย์ประจำตัวของไอพูดกับพัชรินทร์ทางโทรศัพท์ หลังจากที่ฟังอีกฝ่ายอธิบายอยู่พักหนึ่ง

“ยอมรับสภาพ... หมายความว่ายังไงคะ”

“คือ จากอาการที่เล่ามาแสดงให้เห็นว่าหนูไอรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร และไม่มีอาการต่อต้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็แสดงว่าเธอยอมรับว่าอาการแบบนี้จะต้องอยู่ติดตัวเธอไปตลอด หนูไอมีอาการซึมเศร้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งที่เธอคิดและรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้เธอมีพฤติกรรมที่หลบเลี่ยงปัญหา เก็บตัว และอาจเกิดพฤติกรรมถดถอย เช่น อาจจะอยู่ติดบ้านและเกาะติดคุณแม่มากขึ้นค่ะ” แพทย์ประจำตัวสาวตาหวานอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

คุณครูประถมพูดออกมาอย่างร้อนใจว่า “แล้วแบบนี้จะต้องทำยังไงคะ เพราะช่วงนี้ไอเริ่มจะไม่ค่อยยอมออกจากบ้านขึ้นมาเรื่อยๆ ยังดีที่ช่วงนี้ใกล้สอบก็เลยต้องไปเรียนทุกวัน เลยถึงต้องออกจากบ้าน”

“แบบนั้นดีแล้วค่ะ การที่หนูไอยังทำกิจกรรมแบบเดิมที่ตัวเองทำอยู่จะทำให้หนูไอรู้ว่าตัวเองยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคม แต่สิ่งที่ต้องเข้ามาช่วยทางด้านจิตใจของหนูไออีกเรื่องหนึ่งก็คือการดูแลอย่างใกล้ชิดและหาอะไรที่หนูไอชอบหรือสนใจเป็นพิเศษให้ทำ ก็จะทำให้ดึงหนูไอออกจากสิ่งที่เป็นอยู่ได้”

“ทางเราเองก็พยายามอยู่ค่ะ” พัชรินทร์พูดพลางถอนหายใจ

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาค่ะคุณแม่” จิตแพทย์พูด “พวกเราเองอาจจะต้องพูดคุยกับหนูไอให้มากขึ้น หนูไอจะได้เปลี่ยนความคิดว่าเธอไม่ใช่คนผิดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ และเธอเอาชนะกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ช่วงนี้ดิฉันว่าที่หนูไอเป็นแบบนี้ก็คงเพราะความเครียดจากการสอบน่ะค่ะแล้วก็ใกล้จะถึงวันที่เกิดเหตุการณ์นั้นเลยทำให้หนูไอเป็นแบบนี้”

“ค่ะ ดิฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เฮ้อ...”

“คุณแม่เข้มแข็งไว้นะคะ ดิฉันเชื่อว่าหนูไอจะต้องดีขึ้นแน่นอนเพราะมีคุณแม่และคุณอาร์ทดูแลอยู่”

“ค่ะ...” คุณครูประถมรับคำ

“ความรักและความเข้าใจจะช่วยทำให้ผู้ป่วยโรคนี้หายได้ค่ะ เพียงแต่มันต้องใช้เวลา คุณแม่อดทนไว้นะคะ ลองคิดไปถึงช่วงแรกๆ ว่าหนูไอดีขึ้นขนาดไหนจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ และอีกไม่นานหนูไอจะค่อยๆ ดีขึ้นจนไม่กลับไปคิดแบบนั้นอีกค่ะ”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

...
ไอยืนรอป้อมอยู่ที่ป้ายรถเมล์ภายในมหาวิทยาลัย เธอยืนรอสาวห้าวมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไร้วี่แววของอีกฝ่าย แถมป้อมก็ยังไม่ยอมรับสายจากเธอ เพื่อนๆ อย่างแพรและมิวก็กลับบ้านกันไปหมดแล้วอีกต่างหาก ฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาทำให้เธอเริ่มหวั่นใจและเกิดอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเกือบจะครบ 2 ชั่วโมงเธอก็เริ่มถอดใจ ฝนมีท่าทางจะไม่หยุดตกเอาง่ายๆ สาวตาหวานตัดสินใจขึ้นรถเมล์ที่วิ่งผ่านมา

เมื่อรถเมล์แล่นออกนอกมหาวิทยาลัยและจอดที่ป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่ง มีคนเดินขึ้นมา 4 – 5 คน หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ เพราะเธอได้ยินเสียงพูดคุยกับกระเป๋ารถเมล์เป็นภาษาอังกฤษ กระเป๋ารถเมล์พูดอยู่ไม่กี่คำก็ดึงมือผู้โดยสารต่างชาติขึ้นรถ

“พี่ๆ ไม่รู้ว่าคนนี้เค้าพูดว่าอะไรอ่ะ” กระเป๋ารถเมล์พูดถามผู้โดยสารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าของไอประมาณ 2 แถว

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ” ผู้โดยสารชายตอบ “ไม่ได้ภาษาซะด้วยสิ เอ็งลองถามน้องนักศึกษาคนนั้นดูดิ เผื่อน้องเค้าจะพูดได้” เขาพยักพเยิดไปที่สาวตาหวาน

กระเป๋ารถเมล์เดินตรงมาหาไอทันที แล้วหันไปกวักมือเรียกชาวต่างชาติให้เดินเข้ามาหาเธอ “น้องๆ ช่วยคุยกับเค้าหน่อยดิ พี่คุยไม่รู้เรื่อง”

“เอ่อ... ค่ะ...” สาวตาหวานรับคำแล้วหันไปมองชาวต่างชาติ ซึ่งเธอก็ตกใจเล็กน้อยเพราะคนที่เธอเห็นนั้นคือสาวญี่ปุ่นที่เธอเคยพบกันที่ร้านหนังสือภายในห้างสรรพสินค้านั่นเอง

“Hi, does the bus goes to Kao San Rd.? (หวัดดีค่ะ รถคันนี้ไปถนนข้าวสารหรือเปล่าคะ)” สาวร่างสูงถาม ดูเหมือนเธอจะจำไอไม่ได้

“No, it won’t go to there (ไม่ค่ะ รถคันนี้ไม่ได้ไปที่นั่น)” สาวตาหวานตอบ

ใบหน้าของสาวญี่ปุ่นดูผิดหวังกับการโดยสารรถประจำทางในเมืองไทย ไอหันไปคุยกับกระเป๋ารถเมล์แล้วหันมาบอกอีกฝ่ายว่า

“I recommend you to take this bus to Victory Monument and take another one to Kao San Rd. (ฉันขอแนะนำให้คุณนั่งรถคันนี้ไปจนถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้วค่อยขึ้นรถคันอื่นไปลงที่ถนนข้าวสาร)”

สาวร่างสูงยิ้มออกมาทันที “Ok, thanks. How much for the cost? (โอเคค่ะ ขอบคุณมาก แล้วค่าโดยสารเท่าไหร่เหรอคะ)”

สาวตาหวานบอกราคาค่ารถเมล์แล้วช่วยอีกฝ่ายจ่ายเงิน เธอยิ้มเมื่อเห็นสาวญี่ปุ่นพยายามนับเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ด้วยภาษาไทยปนภาษาญี่ปุ่น เมื่อจ่ายครบและรับตั๋วเรียบร้อยแล้วสาวร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอ

“Tsukareta… (เหนื่อยจังเลย...)” สาวญี่ปุ่นบ่นออกมาเบาๆ พลางถอนหายใจ

ไออมยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย “Tired? (เหนื่อยเหรอคะ)” เธอหันไปถามเล็กน้อย

“Do you know Japanese? (คุณเข้าใจภาษาญี่ปุ่นด้วยเหรอคะ)” สาวร่างสูงหันมาถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

“Not at all  (ไม่เลยล่ะคะ)”

“But you asked me ‘tired’ after I said ‘I’m tired’” (แต่คุณถามฉันว่า ‘เหนื่อยเหรอ’ หลังจากที่ฉันพูดว่า ‘ฉันเหนื่อย’ นี่นา)”

สาวตาหวานหัวเราะ “Really? Just a coincidence, I think (จริงเหรอคะ แค่บังเอิญมั้งคะ)”

สาวญี่ปุ่นยิ้ม “I guess so (ฉันก็ว่าอย่างงั้นเหมือนกัน)” ว่าแล้วเธอก็หันมามองหน้าไอแล้วทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“Did we meet somewhere before? (เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าคะ)”

“Well, yes… we met at bookstore (เอ่อ ค่ะ... เราเคยเจอกันที่ร้านหนังสือ)”

สาวร่างสูงทำท่าคิด “Honya ka… Oh! You’re a pretty girl who helped me (ที่ร้านหนังสือเหรอ... อ้อ! คุณคือสาวน่ารักที่ช่วยฉันเอาไว้)” สาวญี่ปุ่นพูดอีกครั้ง “Thanks to help me again, Thai people is very kind (ขอบคุณที่ช่วยอีกครั้งนะคะ คนไทยใจดีจัง)”

ไอยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย “You’re welcome. Is this your first time in Thailand? (ยินดีค่ะ คุณมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกเหรอคะ)” 

“Yes. I love warm weather but now it rather humid than warm (ค่ะ ฉันชอบที่ๆ มีอากาศอบอุ่นนะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันจะชื้นมากกว่าอุ่นซะแล้ว)” สาวญี่ปุ่นพูดพลางดึงยางมัดผมออก ปลายผมของเธอเปียกชื้นเพราะน้ำฝน

สาวตาหวานยิ้มอีกครั้ง “Where did you go? I mean visit places (แล้วคุณไปที่ไหนมาบ้างคะ ฉันหมายถึงไปเที่ยวน่ะ)”

“Mainly in Bangkok. Since it rains every day, I daren’t go somewhere far but I think from next week I’ll go to other provinces. Today I just came back from Ayutthaya but unfortunately, nothin’ much to go because of rain (ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ค่ะ เพราะฝนตกทุกวันเลย ฉันยังไม่กล้าไปที่อื่นที่ไกลกว่านี้ แต่คิดว่าอาทิตย์หน้าจะไปต่างจังหวัดแล้วล่ะ วันนี้ฉันเพิ่งไปอยุธยามา แต่โชคไม่ดีที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวเท่าไหร่เพราะฝนตก)” 

สาวร่างสูงตอบออกมาแบบยืดยาวให้กับสาวเจ้าของประเทศได้ฟัง

“Do you travel alone? (คุณมาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ)”

คำถามของไอทำให้อีกฝ่ายนั่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากนั้นเธอก็ได้รับคำตอบออกมาสั้นๆ ว่า “Yes (ค่ะ)”

หลังจากนั้นสองสาวก็นั่งรถไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน ฝนที่ตกตลอดทางและการจราจรติดขัดทำให้ทั้งสองผล็อยหลับไป ฝ่ายหนึ่งหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการท่องเที่ยว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งหลับไปด้วยอาการอ่อนเพลียจากอาการนอนไม่หลับ

สาวญี่ปุ่นลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามือซ้ายของเธอถูกบีบ เมื่อเธอมองไปที่มือของตัวเองก็พบว่าสาวตาหวานกำลังบีบมือของเธอแน่น

“Nani! (อะไรกันเนี่ย!)” สาวร่างสูงบ่นขึ้นมาเบาๆ แล้วมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังหลับอยู่

ใบหน้าของไอขาวซีดและมีเม็ดเหงื่อพรายอยู่ที่หน้าผาก คิ้วเข้มๆ ขมวดแน่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเกือบกลายเป็นเส้นเดียว เหงื่อไหลออกมาจากมือขวาของเธอที่บีบมือซ้ายของสาวญี่ปุ่นแน่น ดูเหมือนว่าเธอกำลังฝันร้าย

“Hey (เฮ้)” สาวร่างสูงสะกิดเรียกอีกฝ่ายเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าสาวตาหวานยังคงไม่ตื่นจากฝันร้าย

“Ite! (โอ้ย!)” สาวญี่ปุ่นร้องออกมาเบาๆ เมื่อแรงบีบจากมือของไอแรงขึ้น เธอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ และตกใจเมื่อเห็นหยดน้ำที่ไหลออกมาจากหางตาของคนที่นั่งข้างๆ

สาวร่างสูงมองซ้ายมองขวาไปรอบๆ รถเมล์ ผู้โดยสารที่อยู่ในรถส่วนใหญ่ถ้าไม่หลับก็จะนั่งคุยโทรศัพท์ ไม่มีใครสนใจใคร เธอหันกลับไปมองไอที่นั่งข้างๆ เธออีกครั้งแล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่เช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย

“Daijoubuyo, watashi koko ni iru yo (ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ที่นี่แล้ว)” สาวญี่ปุ่นกระซิบเบาๆ ขณะที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองซับเหงื่อที่หน้าผากของอีกฝ่าย   

แต่อาการฝันร้ายของอีกฝ่ายยังคงอยู่ ใบหน้าของสาวตาหวานยังคงดูทรมานเหมือนเช่นเดิม สาวร่างสูงขมวดคิ้วพลางมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายใกล้แล้วก็ถอนหายใจออกมา เธอไม่รู้จะช่วยยังไงดีจึงได้แต่นั่งมองดูท่าทางของไอไปเงียบๆ

“Doushiyou? (นี่ฉันควรจะทำยังไงดีเนี่ย)”

พักใหญ่ต่อมาสาวตาหวานก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแตรรถที่ดังอยู่ข้างๆ เธอ เมื่อเธอหันออกไปมองนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยหยดน้ำก็เห็นว่าถนนด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยน้ำฝน รถยนต์ต่างหาที่เบียดและแทรกเพื่อที่จะให้ตนเองนั้นเคลื่อนไปด้านหน้าให้ได้มากที่สุด เมื่อเธอหันไปมองอีกด้านหนึ่งก็เห็นสาวญี่ปุ่นกำลังนอนหลับอยู่ ใบหน้าขาวของอีกฝ่ายหันมาทางเธอ และเมื่อไล่สายตามองต่ำลงเธอก็ตกใจเพราะเห็นว่ามือของตัวเองบีบมือของคนที่นั่งข้างๆ แน่น

ไอค่อยๆ คลายมือออกแล้วดึงมือของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเพื่อพยายามไม่ให้อีกฝ่ายตื่น แต่แล้วเปลือกตาของสาวร่างสูงก็ค่อยๆ เปิดขึ้นมา ดวงตาสวยๆ สีน้ำตาลมองมาที่เธอ

“You got a bad dream, didn’t you? (คุณฝันร้ายใช่มั้ย)”

“Yes? (อะไรนะคะ)”

“You cried while you were sleeping (คุณร้องไห้ตอนคุณหลับ)” สาวญี่ปุ่นพูดแล้วยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมาดู “You squeezed my hand very tight, so I guess you had some bad dream (แล้วคุณก็บีบมือฉันแรงมากเลย ฉันก็เลยเดาว่าคุณน่าจะฝันร้าย)”

สาวตาหวานมองอีกฝ่ายแล้วก้มหน้าตอบด้วยเสียงเบาๆ ว่า “Yes... And sorry for making trouble (ค่ะ... ขอโทษนะที่ทำให้คุณลำบาก)”

“Not at all, everyone has somethin’ bad in the life and will causes bad dream. You have bad dreams and so do I (ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนมีเรื่องแย่ๆ ในชีวิตนั้นแหละ เรื่องพวกนั้นก็ทำให้เกิดฝันร้ายได้ คุณฝันร้ายได้ ฉันเองก็ฝันร้ายได้เหมือนกัน)”

ไอพยักหน้ารับ แล้วสองสาวก็นั่งไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งสองเตรียมลงจากรถ โดยก่อนที่จะลงนั้นสาวตาหวานก็อธิบายเส้นทางที่จะไปถนนข้าวสารให้อีกฝ่ายให้เข้าใจ

ก่อนที่ไอและสาวร่างสูงจะเดินแยกไปตามทางกลับที่พักและบ้านของตนเอง สาวญี่ปุ่นก็โบกมือลาให้กับเธอแล้วพูดว่า

“Thanks for your help again, I’m glad to meet you (ขอบคุณที่ช่วยอีกครั้งนะคะ ฉันดีใจที่ได้พบกับคุณ)”

“Don’t mention it. I want to apologize the thing that happen on the bus (ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ฉันเองก็อยากจะขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถเหมือนกัน)”

“It’s ok. Just leave it (ไม่เป็นไรค่ะ ช่างมันเถอะ)”

สองสาวมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วสาวร่างสูงก็พูดขึ้นมาว่า “Anyway, my name is Yomi. If we have a chance to meet again, just in case (ก็... ฉันชื่อโยมินะคะ เผื่อเอาไว้ถ้าเรามีโอกาสได้พบกันอีก)”

สาวตาหวานยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับว่า “My name is Ai. Nice to meet you (ฉันชื่อไอค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ)”

“Ja… I don’t wanna say goodbye but something in Japanese called ‘Mata aimasho’, it means see you again (งั้นก็... ฉันไม่อยากจะพูดว่าลาก่อนนะ แต่ฉันจะพูดว่า ‘มะตะ ไอมาโช’ แปลว่าแล้วพบกันใหม่)”

ไอหัวเราะออกมาเล็กน้อย “Ok… Mata aimasho (ค่ะ แล้วพบกันใหม่)”

...

สองวันต่อมา...

ไอก็ได้รับโปสการ์ดอีกหนึ่งใบจาก “คุณโปสการ์ดทำมือ” ตามอย่างที่แพร เพื่อนของเธอเรียก โปสการ์ดใบนั้นเป็นรูปรถตุ๊ก ตุ๊ก หน้าตาประหลาดสีเขียวคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าโบราณสถาน หน้าตาของรถตุ๊ก ตุ๊ก คันนั้นดูเหมือนกบไม่มีผิด มันเป็นรถโดยสารที่เธอไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน และคิดว่าไม่น่าจะมีใช้ในกรุงเทพฯ เมื่อพลิกดูด้านหลัง เธอก็มองดูชื่อของเธอ ลายมือที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เธอยิ้มออกมา หลังจากนั้นก็ไล่สายตาไปอ่านข้อความที่อีกด้านหนึ่งของโปสการ์ดที่เขียนระบุถึงสถานที่ๆ ปรากฏบนภาพด้านหน้า

‘Frog Face Tuk Tuk, Ayutthaya (รถตุ๊ก ตุ๊ก หน้ากบ อยุธยา)’



ด้านล่างก็ปรากฏอีกข้อความหนึ่งที่เขียนอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยนั่นคือคำว่า

‘Before rain (ก่อนฝนตก)’

“เขียนบอกมาแค่นี้แล้วจะเขียนให้เปลืองหมึกทำไมล่ะเนี่ย” อาร์ทพูดออกมาเบาๆ เมื่อเดินมาดูโปสการ์ดที่อยู่ในมือน้องสาว

สาวตาหวานหัวเราะออกมาเบาๆ “เค้าก็คงอยากจะบอกละมั้งว่าหลังจากนั้นฝนตก”

“เป็นคนแปลกๆ ดีเนอะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดก่อนที่จะขยี้ผมน้องสาวแล้วเดินไปที่ห้องครัว “แม่ครับ มีอะไรกินบ้าง หิวจังเลย”

“อยุธยาเหรอ... โยมิก็ไปเที่ยวที่นั่นมาเหมือนกันนี่นา” ไอพูดออกมาเบาๆ ก่อนที่จะวางโปสการ์ดลงบนหนังสือเรียนแล้วเดินเข้าห้องครัวหลังจากที่ได้ยินเสียงแม่ของเธอเรียก

------------   

มาต่อตอน 3 ให้แล้วค่ะ ในที่สุดก็รู้ชื่อของ Sender สักที เธอมีชื่อว่า “โยมิ” นั่นเอง...

แต่เอ... แล้วทำไมโยมิถึงไม่รู้ว่าตัวเองส่งโปสการ์ดให้ไอล่ะ? แล้วใครกันที่โทรหาโยมิ?

อันนี้ต้องลองอ่านกันไปเรื่อยๆ นะเคอะ (อีคนเขียนก็จะพยายามเขียนไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ไม่มีเวลาเลย ต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้ว กระซิกๆ)

ส่วนคนที่ถามรูปอิมเมจตัวละครนะคะ

Sender: โยมิ อิมเมจตัวละครตัวนี้คือ Kitagawa Keiko
เธอเพิ่งจะได้อันดับ 2 จากการ “สำรวจคนดังหญิงที่ผู้หญิงญี่ปุ่นอยากมีหน้าเหมือนมากที่สุด” โดย Oricon Style ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อสิ้นปี 2012 (อันดับ 1 คือเจ้อายาเสะ ฮารุกะ)

มีผลงานด้านละครไม่เยอะเท่าไหร่ (ประมาณ 4 – 5 เรื่อง) แต่เธอแจ้งเกิดจากการเป็น Miss Seventeen ของนิตยสาร Seventeen Japan ในปี 2003 และมาดังจากบท Sailor Mars จากเรื่อง Sailor Moon Live Action ค่ะ (น่ารักโฮกกกก บางคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาจากเรื่อง Buzzer Beat ที่เล่นคู่กับยามะพี และ Dear Friends)

Receiver: ไอ อิมเมจตัวละครตัวนี้คือ น้ำตาล พิจักขณา วงศารัตนศิลป์
อดีตดาว Miss CMU League นางเอกโฆษณาน้ำดื่มคริสตัล เรโซน่า ค็อกพิท บ้าน property เดินแบบ ถ่ายแบบ เน็ตไอดอล และกำลังจะมีผลงานละครคู่กับพี่เคน (สามีพี่หน่อย) เรื่อง มัจจุราชสีน้ำผึ้ง

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า...




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.