web stats

ข่าว

 


Photograph - บทที่ 3 A Million Dreams

โพสต์โดย: anhann วันที่: 19 เมษายน 2019 เวลา 21:57:26 อ่าน: 85





บทที่ 3 A Million Dreams






"ไปเข้าคอร์สเรียนไหมล่ะ" 

ไมลส์เงยหน้าขึ้นจากสมุดโน้ตที่หัดคัดอักษรญี่ปุ่นอยู่  บรูคโผล่มาด้านหลังโซฟาที่เธอนั่ง  เท้าแขนทั้งสองไว้กับพนัก  หน้าตาไม่เหนื่อยอ่อนเหมือนตอนเพิ่งเลิกงานแล้ว  น่าจะดีขึ้นตั้งแต่ไปกินข้าวเย็นมากับหมอร๊อบ

โรบิน  กรีน  หรือหมอร๊อบ  เป็นคนมีพลังงานกระตือรือร้นสูงต่างจากพี่สาวเธอ  ที่จริงบรูคก็ไม่ได้เฉื่อยอะไรนัก  แค่ไม่ไฮเปอร์เท่าหมอร๊อบที่ดูเหมือนจะไม่รู้จักเหนื่อยอะไรเลย 

ไมลส์เคยอ่านเจอว่าการได้อยู่กับคนที่มีพลังในด้านบวก  มักจะส่งพลังด้านเดียวกันมาให้คนรอบข้างด้วย  หากมันก็อยู่ที่ว่าเราจะรับมันหรือไม่ด้วยเหมือนกันนะ  บางทีบรูคกับหมอร๊อบอาจจะจูนกันได้

ดีเหมือนกัน  พี่จะได้เบาเครียดได้บ้าง

"ยังก่อนดีกว่า  ฉันขอเรียนเองก่อน"  ไมลส์ตอบ  "ฉันแค่เรียนเพราะอยากหาอะไรทำน่ะ"

"แล้วไม่ถ่ายรูปแล้วเหรอ"  บรูคลองเสี่ยงถามน้อง  "วันก่อนพี่เจอวิลล์  เขาก็ถามอยู่เหมือนกัน"

"หมอนั่นจุ้นชะมัด"  ไมลส์บ่นอุบอิบ  เธอคิดถึงการถ่ายภาพ  แต่พอคิดจะหยิบมันขึ้นมาทีไร  จะต้องนึกถึงพ่อแม่ทุกที 

"เธอถ่ายรูปสวย  มีพรสวรรค์  เขาเลยเสียดายแทน"  บรูคอธิบายให้น้องฟัง  ลูบหัวไมลส์เหมือนเด็กๆ  ไมลส์อายุน้อยกว่าเธอเจ็ดปี  เมื่อไม่มีพ่อแม่คอยดูแลเราแล้ว  เธอจึงอยากทำหน้าที่นั้นให้น้อง  ถึงน้องจะไม่เคยงอแงให้เธอต้องเป็นห่วงเลย  ไมลส์ดูแลตัวเองได้ดี  ไม่ได้เตลิดอย่างที่พวกญาติๆ เราปรามาสไว้ 

ไมลส์อายุสิบเจ็ดตอนที่พ่อแม่เราเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างไปประชุมที่บอสตัน  ไมลส์ไปกับพ่อแม่ด้วยเพราะเป็นวันหยุด  ส่วนเธอติดเรียนอยู่จึงไม่ได้ไปด้วย  แต่ไมลส์ไม่สบายจึงนอนพักอยู่ในโรงแรมตอนที่พ่อแม่ออกไปทำธุระ  ตำรวจโทรมาแจ้งข่าว  เธอจึงต้องลาเรียนและจับเครื่องบินไปหาน้องทันที  ไม่อยากคิดว่าน้องจะสติแตกแค่ไหนถ้ารู้ข่าวพ่อแม่  พอไปถึงก็พบว่าไมลส์เงียบ  ไม่พูดไม่จา  ไม่ร้องไห้  หมอบอกว่าน้องอยู่ในสภาวะช็อก  เธอเองก็ร้องไห้ไม่ออก  ทำอะไรไม่ถูกเลยจนกระทั่งป้าที่เป็นพี่สาวพ่อต้องมาช่วยจัดการเรื่องงานศพให้  พาร่างของพ่อแม่กลับมานิวยอร์ก  และทำพิธี  ป้าบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องงาน  ป้าจะทำให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย  ให้เธอดูแลน้องก็พอ  เพราะไมลส์เหมือนจะกลายเป็นอีกคนไปเลยหลังจากเหตุการณ์นั้น  จนทุกวันนี้เธอก็ยังไม่ได้น้องสาวคนเดิมของเธอกลับมา 

พวกญาติๆ ทางแม่บอกจะเอาไมลส์ไปอยู่ด้วย  เพราะน้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ  แต่ป้าช่วยพูดให้จนเธอสามารถเป็นผู้ปกครองน้องได้  เธออายุมากพอจะรับผิดชอบน้องเองได้แล้ว  เธอไม่มีทางยอมให้ใครมาเอาน้องของเธอไปหรอก

"ฉันไม่อยากถ่าย"  ไมลส์ตอบ  "ไม่มีแรงบันดาลใจ"

บรูคฮัมรับ  ไม่ซักไซ้น้องอีก  หอมศีรษะน้องและลุกขึ้นยืน  "พี่จะเข้าไปทำงานสักหน่อย  อย่านอนดึกละ"

ไมลส์พยักหน้า มองพี่เดินเข้าห้องทำงานพ่อที่อยู่ชั้นล่างนี้ไป  บรูคจะใช้หัองนี้ทำงานแทนที่จะทำในห้องนอนพี่  บางทีบรูคคงจะอยากใกล้ชิดกับพ่อ  เหมือนตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา

ไม่เอาน่า  ไมลส์  เลิกเศร้าได้แล้ว

เด็กสาวส่ายหน้า  ก้มลงจะคัดอักษรต่อ  แต่ตามองไปเจอสร้อยที่ห้อยคอตัวเองอยู่  เธอจับจี้ไม้กางเขนขึ้นมาดู  แล้วนึกถึงหน้าคนที่ให้มันมา  เทียคิดอะไรอยู่กันนะ

ช่างเถอะ

ไมลส์ปล่อยมือจากจี้  แล้วคัดอักษรญี่ปุ่นต่อไป พลางชื่นชมตัวเองว่าเขียนได้สวยขึ้นเยอะแล้ว

....................

เจ็ดโมงเช้า  อากาศกำลังดี  ไมลส์ออกไปเดินจูงสุนัขสามตัวเหมือนทุกวัน  เธอเดินผ่านสตูดิโอถ่ายภาพของบ้านเนวิลล์  แล้วก็เผลอมองมันอย่างอาวรณ์  เธอเคยเป็นช่างภาพสมัครเล่น  ขายกล้อง  ซ่อม  ถ่ายภาพให้ลูกค้าที่นั่น  มันเริ่มจากเธอเป็นรุ่นน้องในชมรมถ่ายภาพของเนวิลล์  เขาเห็นภาพที่เธอถ่ายจึงชวนให้มาลองทำงานที่ร้านดู  ตอนแรกเธอก็ไม่ค่อยไว้ใจเขาหรอก  จนกระทั่งมาเล่าให้บรูคฟัง  แล้วพี่บอกว่าพี่สาวเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับพี่ตอนไฮสกูล  สนิทกันพอสมควรก่อนที่บรูคจะแยกตัวไปเรียนหมอตอนเข้ามหาวิทยาลัย  ตอนนี้ร้านนี้โอนิเฟด  พี่สาวเนวิลล์ที่เป็นคนดูแลร้านต่อจากพ่อแม่  และเนวิลล์ก็ชอบอ้างว่าโอนิเฟดบ่นหาเธอทุกทีที่มาชวนเธอกลับไปทำงานต่อ  น่าแปลก ตอนนั้นเธอเพิ่งเริ่มงานและทำมันมาไม่ถึงปี  ทำแค่หลังเลิกเรียนกับวันหยุดเท่านั้นเอง

"เฮ้  อย่าให้พวกมันปล่อยระเบิดหน้าบ้านฉันนะ"  เสียงใครบางคนร้องทักขึ้นมา  ฉุดให้ไมลส์เลิกเหม่อ 

เด็กสาวกะพริบตา  เพิ่งรู้ว่าปล่อยให้สุนัขทั้งสามตัวดมๆ กระถางต้นไม้หน้าร้านซึ่งก็เป็นบ้านของแคมพ์เบลล์  บ้านเนวิลล์กับโอนิเฟดนั่นเอง

ประตูร้านยังไม่เปิด  นี่มันเพิ่งเจ็ดโมง  ร้านเปิดเก้าโมงเช้า  ดังนั้นไมลส์จึงเงยหน้าขึ้นไปมองระเบียง  และพบกับโอนิเฟด

สาวอเมริกันลูกผสมละติน  หน้าตาคมเข้ม  ผอมบางพอๆ กับบรูค  แต่ทำให้นึกถึงเทียมากกว่า  เพราะบรูคไม่ได้มีความเป็นละตินตรงไหนเลย

"ฉันมีถุงเก็บอึ"  ไมลส์ร้องบอกโอนิเฟดพร้อมชูถุงกระดาษสำหรับเก็บอึสุนัขให้เพื่อนรุ่นพี่ดู  โอนิเฟดทำหน้ายี้อย่างรับไม่ได้

"เป็นเด็กจูงหมามันสนุกตรงไหน  ไมลส์  ได้เงินมากกว่าที่ฉันให้เธออีกเหรอ"

"เปล่า  ฉันแค่อยากทำ  ไปก่อนนะ  เฟด"

"เฮ้  ที่นี่ยังต้อนรับเธอเสมอนะ  ไอ้น้อง"

ไมลส์หันกลับไปมองโอนิเฟด  ดึงสายจูงเจ้าคลาวด์ไว้  เธอโบกมือให้พี่สาวหน้าเข้มที่ผมเผ้ายังยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน  และจากมาโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร

........................................

จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันหยุดเธอ  แต่เบนสั่งให้เธอมาเปิดร้านชดเชยเวลาที่เธอลาไปครึ่งวันเมื่อวานนี้  มันใช่เรื่องไหม  เป็นเพราะผู้หญิงเพี้ยนนั่นคนเดียวเลย  เธอเลยต้องมาเปิดร้านแบบนี้  แทนที่จะได้ไปทำอย่างอื่นบ้าง

เธอมีอย่างอื่นให้ทำด้วยเหรอ  ไมลส์

ไมลส์ใช้กุญแจสำรองที่เบนให้เธอไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินหากเขามาไม่ได้  เปิดประตูร้านและจัดการเปิดร้าน  ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากปัดฝุ่นจากหนังสือ  จากชั้นวาง  กวาดถูพื้น  นับเงินทอนในเครื่องคิดเงินว่าตรงกับที่เบนเขียนไว้หรือเปล่า  ถ้าไม่ตรงก็เขียนที่เธอนับได้เอาไว้เคลียร์กับเขา

เธอกำลังจัดหนังสือพิมพ์อยู่หน้าร้านตอนที่มีพัสดุมาส่ง  และมันลงชื่อเธอ  ไมลส์เซ็นรับมันอย่างงงๆ  เธอเขย่าซองดูซ้ำอีกถึงจะแน่ใจว่ามันเป็นหนังสือ  --  ส่งหนังสือมาให้คนทำงานร้านหนังสือเนี่ยนะ

ไมลส์หนีบซองไว้ข้างตัวแล้วจัดหนังสือพิมพ์ต่อจนเสร็จ  แล้วจึงเอาซองที่ได้รับมามาเปิดดู  มันไม่มีชื่อผู้ส่ง  และเขาก็ไม่ใช่ไปรษณีย์หรือคนจากบริษัทขนส่งด้วย  ดูเหมือนจะเป็นแมสเซนเจอร์จากสำนักงานอะไรสักอย่าง

เวรละ  แล้วรับมามั่วๆ ได้ยังไงเนี่ย  ถ้าเป็นชิ้นส่วนมนุษย์ล่ะ  บ้าละ  นี่ไม่ใช่นิยายสยองขวัญนะ  ไมลส์  คูเปอร์!

"หนังสือภาพพอร์ตแลนด์"  ไมลส์อุทาน  รู้ทันทีว่าใครเป็นคนส่งมา  หนังสือเล่มนี้มีคนซื้อไปไม่กี่คน  มันเพิ่งมาใหม่  และในบรรดาคนที่ซื้อมันไปก็คงไม่มีใครบ้าจี้ส่งมันมาให้เธอหรอก  นอกจากคนคนเดียว

"หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่น  ซีดีหัดฟัง  แบบฝึกหัดอีก"  เธอไม่รู้จะบ่นหรือจะขอบคุณผู้หญิงเพี้ยนคนนั้นดีแล้ว  แต่ด้วยมารยาทเธอก็ต้องขอบคุณคนที่ให้ของมา  ชุดเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองชุดนี้ไม่มีในร้านเธอด้วย  เทียไปหามาจากไหน  --  คนระดับนั้น  จะเอาอะไรก็คงเนรมิตมาได้อยู่แล้ว

แต่เทียไม่จำเป็นต้องหามันมาให้เธอก็ได้นี่นา

ไมลส์ยิ้ม  ตรวจดูในซองว่ามีอะไรตกค้างอยู่ข้างในอีกไหม  เผื่อเทียจะเขียนอะไรมาบ้าง  เมื่อไม่พบอะไร  เธอก็เปิดหนังสือภาพถ่ายดู  ในที่สุดเธอก็เจอโปสการ์ด  แต่ไม่ใช่ภาพจากพอร์ตแลนด์  ตู้โทรศัพท์สีแดง  บิ๊กเบนกับรถเมล์สองชั้นแบบนี้  พอร์ตแลนด์ไม่มีหรอก

ภาพในหนังสือเล่มนี้สวยมาก  แต่สำหรับคนไม่มีหัวทางศิลปะอย่างฉัน  ดูไปก็แค่รู้ว่าสวย  ไม่มีอะไรมากกว่านั้น  ฉันเลยอยากให้มันไปอยู่ในมือของคนที่รู้ค่ามันมากกว่าฉัน  หวังว่าสักวันฉันจะได้เห็นรูปสวยๆ จากฝีมือเธออีกนะ  --  เทีย 

ป.ล. ฉันไปอยู่ลอนดอนมาตั้งหลายปี  แต่ไม่ติดสำเนียงมาเลย  คิดถึงเธอมากๆ

ไมลส์อ่านข้อความบนโปสการ์ดแล้วก็พยายามนึกว่าทำไมเทียถึงเขียนมาแบบนี้  เธอเกือบจะคิดออกอยู่แล้ว  ถ้าลูกค้ารายแรกไม่เดินเข้าร้านมาเสียก่อน  และถามหาหนังสือเล่มหนึ่งให้เธอต้องใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาให้  จากนั้นก็มีงานอื่นมาเรื่อยๆ จนลืมเรื่องเทียไปเลย  จนกระทั่งเบนมาถึงและไล่เธอกลับบ้านแล้วก็ยังนึกไม่ออก

................................................

บรูคไม่เคยมีสิทธิ์เข้าประชุมกับบอร์ดบริหารโรงพยาบาล  แม้จะเป็นหุ้นส่วนใหญ่  และถือเป็นเจ้าของคนหนึ่งตามมรดก  เมื่อก่อนตอนที่พ่อแม่ยังอยู่  พวกท่านเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาล  และคุณพ่อก็เป็นศัลยแพทย์มือระดับต้นๆ ของโรงพยาบาลอีกด้วย (พ่อไม่เคยอวดว่าตัวเองเป็นมือหนึ่ง  ถึงใครๆ จะพูดแบบนั้น)

คุณแม่ไม่ได้เป็นหมอแต่ก็มีความรู้เรื่องการบริหารโรงพยาบาลจึงทำงานในบอร์ดบริหารเช่นกัน  ท่านเป็นเลขาประธานบอร์ดซึ่งเป็นคุณลุงของพวกเธอ  ลุงแฟรงก์คือพี่ชายแท้ๆ ของแม่เธอ  ว่ากันตามจริงที่นี่ก็เป็นโรงพยาบาลของครอบครัวคุณแม่  ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นญาติๆ กันทั้งนั้น  ส่วนคุณพ่อเป็นเพียงหมอศัลยกรรมลูกครึ่งอเมริกัน - เกาหลีมือดีที่บังเอิญมาทำงานโรงพยาบาลนี้  ตกหลุมรักลูกสาวเจ้าของโรงพยาบาล  แล้วก็ได้ดิบได้ดีกลายเป็นเจ้าของโรงพยาบาลไปด้วย  คนอื่นๆ ชอบซุบซิบกันแบบนี้ให้เธอได้ยินอยู่บ่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นพวกญาติหรือพยาบาลที่อยู่มานาน 

บางคนพูดกันว่า  การเสียชีวิตของพ่อแม่มีเงื่อนงำ  อยากให้เธอสืบความจริง  แต่เธอกลับอยากจะเชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุมากกว่า  เพราะแค่นี้เธอกับไมลส์ก็เจ็บช้ำมากพอแล้ว  ตอนนี้เธอไม่อยากรู้จักใครเลยด้วยซ้ำ

เธอมีความสุขกับการเป็นแค่หมอธรรมดาๆ  แค่หวังจะผ่านฝึกงานและเป็นหมอเต็มตัวเท่านั้น  เรื่องบริหารอะไรนั่นปล่อยให้พวกผู้ใหญ่เขาจัดการไปก็แล้วกัน  เธอแค่อยากอยู่กับน้องให้มีความสุข

เธอคิดว่ามันคงเป็นไปได้ด้วยดี  เธอมีเงินเดือนแพทย์  เงินปันผลจากหุ้นโรงพยาบาล  การดูแลตัวเองกับน้องให้อยู่ดีมีสุขไม่ขัดสนก็ไม่น่าจะมีปัญหา  ไมลส์เองก็ไม่ค่อยได้พึ่งพาอะไรเธอ  น้องมีงานทำ  มีเงินใช้ส่วนตัวโดยที่ไม่ต้องมาเบิกเงินส่วนกลางที่คุณป้ายองฮี  พี่สาวคนละแม่กับคุณพ่อแนะนำให้เธอแบ่งมาจากมรดกของเธอกับไมลส์ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านอย่างมีระบบ 

บรูคดีใจที่อย่างน้อยเธอก็ยังเหลือน้องไว้คอยเป็นห่วงกัน  มีคุณป้าที่พร้อมจะเข้าใจ  ไม่อย่างนั้นโลกใบนี้มันคงว่างเปล่าน่าดู  เธอรู้ตัวว่าควรจะไปพบจิตแพทย์  พูดคุยเรื่องความกดดันพวกนี้ให้เขาฟัง  แบบเดียวกับตอนที่ไมลส์โดนจับให้ไปนั่งคุยกับพวกเขามา  แต่มันจะดีขึ้นจริงๆ เหรอ  จะช่วยได้จริงๆ งั้นเหรอ  แล้วทำไมไมลส์ยังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมสักทีล่ะ

ถ้าพ่อแม่บนสวรรค์รู้ว่าเธอดูแลน้องไม่ดี  จะโดนโกรธหรือเปล่านะ

เสียงเพจเจอร์ตรงเอวร้องเตือนขณะคิดอะไรอยู่เพลินๆ  บรูคเกือบจะทำกาแฟที่กดอยู่ตรงเครื่องชงหกใส่ตัวเอง  มันกระฉอกออกมานิดหน่อยแล้วด้วย  เธอกำลังจะแกะเพจเจอร์ออกมาจากขอบกางเกง  แต่เอลล่าก็มากระซิบบอกเสียงก่อน

"ห้องฉุกเฉินค่ะ"

"ห้องฉุกเฉิน"  บรูคทวนคำอย่างตกใจ  เธอยังไม่เคยทำงานในห้องฉุกเฉิน  อย่างมากก็เป็นหมอเวรกะดึก  ตรวจอาการคนไข้ทั่วๆ ไป

"หมอไม่พอค่ะ  คนอื่นๆ อยู่ห้องผ่าตัดกันหมด  มีเคสใหญ่  ตอนนี้เหลือแค่หมอร๊อบคนเดียว"  เอลล่าแจ้ง  เดินนำไปก่อนอย่างรีบร้อน

บรูคยังอึ้งอยู่  ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก  กาแฟร้อนยังไม่ทันได้ดื่มเลย  เธอเหลือบมองมัน  ลังเล  แล้วยกขึ้นเป่า  ดื่มมันจนหมดรวดเดียว  ทิ้งแก้วเปล่าลงถังขยะใกล้เครื่องชง  แล้วมุ่งตรงไปห้องฉุกเฉิน

...............................................

ไมลส์เดินไปเรื่อยๆ  ไม่รู้จะไปไหนดี  ปกติวันหยุดอย่างนี้  เธอจะอยู่บ้านทั้งวัน  อ่านหนังสือ  ดูทีวี  หิวก็ทำอะไรง่ายๆ กินรอพี่สาวกลับมา  แต่พอต้องออกมาเปิดร้านในตอนเช้าให้เบนอย่างนี้แล้ว  เธอก็รู้สึกเคว้งอย่างบอกไม่ถูก  จะกลับบ้านไปตอนนี้ก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่ทราบ  จะไปหาบรูคที่โรงพยาบาล  เธอก็ไม่อยากจะเจอพวกญาติๆ แม่  เบื่อความห่วงใยจอมปลอมของพวกเขา  และคำถามที่เหมือนอยากจะสอดรู้ชีวิตเธอกับบรูคเมื่อต้องมากลายเป็นเด็กกำพร้า  พ่อแม่ตายหมดแบบนี้

ไม่มีใครหวังดีหรือเป็นห่วงเธอกับพี่จริงๆ หรอก  คนพวกนั้นล้วนแต่เสแสร้งทั้งนั้น  ถ้าเธอไปอยู่กับป้ายองฮีที่เกาหลีใต้ได้ก็ดีหรอก  ถ้าไม่กลัวว่า  บรูคจะต้องอยู่ที่นี่คนเดียว  เธอก็คงไปนานแล้ว  เธออยากอยู่กับพี่มากกว่า  อย่างน้อยเราก็ยังมีกันและกัน

"เฮ้  คูเปอร์"

ไมลส์มองหาที่มาของเสียง  จึงพบบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า  เธองงว่าตัวเองเดินมาไกลขนาดนี้ได้ยังไง 

"ได้หนังสือหรือยัง"

คำถามนี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร  ไมลส์ย่นคิ้ว  หันหนีคนที่โผล่ส่วนศีรษะออกมาจากรั้วต้นไม้

"ไมลส์  อย่าเพิ่งไปสิ  เดี๋ยว"  เทียร้องเรียก  แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะหยุดเดิน  เธอจึงต้องวิ่งอ้อมรั้วออกมาดักหน้า  ไมลส์เบรกตัวโก่ง  และคงจะหนีไปอีกแน่ๆ  ถ้าเธอไม่ดึงแขนเอาไว้ 

"รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่"

ไมลส์ส่ายหน้า  "ฉันแค่มาเดินเล่น  เดินเพลินไปหน่อย"

เทียหน้าเหวอไปนิดก่อนจะหัวเราะขำตัวเอง  เธอน่าจะรู้ว่าไมลส์มึนแค่ไหน  "โอเค  เดินเล่นก็ได้  แต่ไหนๆ ก็เดินมาถึงที่นี่แล้ว  จะไม่เข้าไปข้างในหน่อยเหรอ"

"ไม่ละ  ฉันมีเรื่องอื่นต้องทำ"  ไมลส์ตอบ  มองมือเทียที่จับแขนเธอ  เทียมองตามแต่ยังส่ายหน้าไม่ยอมปล่อย  "โอเค  ขอบคุณสำหรับหนังสือ  แต่ที่จริงก็ไม่จำเป็น  ฉันซื้อเองได้  แต่ก็...ขอบคุณนะ"

เทียคลี่ยิ้ม  รู้สึกดีขึ้น  ที่จริงก็ไม่ได้อยากได้คำขอบคุณอะไร  แต่พอได้ยินไมลส์เอ่ยมันออกมา  มันกลับทำให้ดีใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"ฉันต้องกลับแล้ว  ต้องซื้อของเข้าบ้าน  น้ำตาลหมด"  ไมลส์บอก  มันออกจะเป็นข้ออ้างที่โง่เง่ามาก  แต่ก็ดีที่สุดที่เธอคิดได้ตอนนี้ 

"น้ำตาลอย่างเดียวใช่ไหม"  เทียถาม  ไมลส์พยักหน้ารับ  แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจเหมือนอ่านใจเธอออกอย่างนั้น

"มีของอย่างอื่นด้วย  ไม่ใช่แค่น้ำตาล  หลายอย่าง"

"โอ้  ถ้ามากกว่าน้ำตาล  ในบ้านฉันคงไม่มี  งั้นเราไปซื้อด้วยกันเลยดีกว่า  ของบางอย่างในบ้านฉันก็หมด"

"เธอจะไปได้ยังไง"

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  รออยู่นี่นะ  อย่าหนีไปนะ  ไมลส์  ได้โปรด"

ไมลส์ทำหน้าไม่ถูก  เธอไม่อยากอยู่ที่นี่  ไม่อยากให้ใครเห็นว่าเทียคุยกับเธอ  ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับเทีย  แต่ก็พบว่าเธอยังยืนอยู่ที่เดิม  หรือเธอจะแพ้คำว่า  "ได้โปรด"  กับสีหน้าเว้าวอนของเทียกันนะ

เสียงแตรรถกระตุกให้ไมลส์หายเหม่อ  จึงเห็นหน้าเทียโผล่มาจากหน้าต่างรถยนต์  สวมแว่นกันแดดกับหมวกแก๊ป  ยายเพี้ยนเล่นอะไรอีกแล้ว

ไมลส์จะไม่ขึ้นรถก็ไม่ได้  เทียคงจะจอดรถคาประตูบ้านอยู่แบบนี้แน่นอน  เธอเดินอ้อมมาขึ้นรถตรงฝั่งผู้โดยสาร  ไม่แปลกใจที่เทียใช้รถราคาแพงขนาดนี้  แม่เธอก็เคยใช้รถยี่ห้อนี้แต่รุ่นเก่ากว่า  ตอนนี้บรูคขายมันไปพร้อมกับเบนซ์ของพ่อ  เพราะเธอขอร้อง  แล้วพี่ก็ไปซื้อซีวิคมาใช้แทน

"ฉันมีมาส์กมาด้วย  จะใส่ก็ได้  ถ้าเธอคิดว่าจำเป็น"  เทียบอก  มองไมลส์ด้วยแววตาท้าทายราวกับเด็กสาวตัวแสบ  และเหยียบคันเร่งออกรถ

"จะไปซื้อของที่ไหนดีล่ะ"

"ตามใจเธอสิ"  ไมลส์พูดปลงๆ  ล้วงโทรศัพท์มากดส่งข้อความหาพี่สาว  ถึงจะรู้ว่าบรูคคงไม่ว่างตอบ  แต่เธออยากจะบอกพี่ว่าอยู่ที่ไหน  "แต่ไม่ต้องสวมมาส์กนะ  แค่นี้ก็ดูเหมือนโจรมากพอแล้ว"

"โอ้  เธอปากจัดจริงๆ  ไมลส์  คูเปอร์"  เทียพูดกึ่งหัวเราะ  "แปลกที่ฉันชอบ"

ไมลส์มองอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ  แล้วหันหน้าไปทางหน้าต่างรถ  ยิ้มกับวิวทิวทัศน์ข้างนอกแทนคนสวยข้างกาย

...................................................

บรูคกะพริบตามองผู้คนที่วิ่งวุ่นภายในห้องฉุกเฉิน  เธอเคยเห็นมันมาก่อน  แต่ไม่เคยอยู่ในเหตการณ์แบบนี้  ตอนนี้เธอรู้สึกวิงเวียนจนอยากจะวิ่งหนีออกไป  หากขาทั้งสองก็เหมือนมีหมุดตรึงเอาไว้  มันขยับไม่ออก

แล้วเธอก็เห็น...

"หมอคูเปอร์" 

นัยน์ตาสีนิลกะพริบ  เห็นตาสีช็อกโกแลตจ้องมา  บรูครู้ว่ามันคือการขอความช่วยเหลือ  แต่เธอขยับไม่ได้  สภาพจิตใจเธอมีปัญหา  เธอรู้ตัว  มันเป็นอาการแพนิคอย่างหนึ่ง

"บรูค  ฉันต้องการคุณ"  โรบินร้องเรียกบรูคขณะวิ่งตามรถเข็นคนไข้

บรูคมองซ้ายมองขวา  เห็นเอลล่าที่กำลังเดินผ่านไปพร้อมอุปกรณ์ในอ้อมแขน  พยาบาลสาวลูกหนึ่งหันมามองเธอนิดหนึ่งก่อนจะรีบไปทำงานของตัวเอง  แต่แค่วูบเดียวที่ถูกมอง  บรูคก็รู้สึกว่าตัวเองโดนต่อว่าไปแล้วเรียบร้อย 

เธอมัวทำบ้าอะไรอยู่  มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น  ตอนนี้มีคนไข้รออยู่เต็มห้องฉุกเฉิน  พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ  และเธอช่วยพวกเขาได้  อย่าเพิ่งสติแตกสิ  บรูค  อยากจะเป็นแพทย์เรสซิเดนท์ (แพทย์ประจำบ้าน หมายถึง แพทย์ที่เข้ามาศึกษาต่อเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาใดสาขาหนึ่ง) ไม่ใช่เหรอ  ถ้าไม่อยากเป็นก็หันหลังแล้ววิ่งออกไปซะ

"บรูค" 

เสียงนี้เรียกสติบรูคกลับมา  หากภาพที่เธอเห็นกลับไม่ใช่หมอโรบินที่ออกมาเรียกซ้ำ  เธอเห็นพ่อของเธอ 

โจนาทาน  คูเปอร์

"ลูกทำได้"

บรูครีบเดินตามท่านไปทันทีราวกับถูกสะกดจิต

"ฉันนึกว่าคุณจะไม่เข้ามาแล้วซะอีก"  โรบินกระซิบ  มองบรูคสวมถุงมือ  อีกฝ่ายพยักหน้าให้เธอด้วยท่าทางมุ่งมั่นแม้แววตาจะดูหวาดหวั่น

"ช่วยชี้แนะฉันด้วย  ถ้าฉันทำอะไรไม่ถูก"  บรูคกระซิบกลับ  ยิ้มให้โรบินที่ทำท่าแปลกใจหน่อยๆ  แต่ดูยินดี

"คุณเริ่มที่เขาก่อนแล้วกัน  ดูภายนอกแบบนี้แค่หัวแตก  แต่บางทีอาจจะสมองกระทบกระเทือนก็ได้  และนั่นเป็นหน้าที่คุณที่ต้องเช็กเขา"

"อ้าว  หมอ  ไหนหมอบอกว่าผมไม่เป็นไรแล้วยังไงล่ะ"  คนไข้โวยขึ้นมาทันทีที่ได้ยินโรบินพูด  เขามองไปรอบๆ เหมือนจะหาคนรับผิดชอบที่ดีกว่านี้  แต่โรบินขัดขึ้นเสียก่อน

"ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นค่ะ  คุณเลเกอร์  ฉันแค่บอกสิ่งที่พบเบื้องต้นเท่านั้น  คราวนี้ก็นั่งนิ่งๆ และให้คุณหมอคูเปอร์ตรวจได้แล้วนะคะ"  โรบินยิ้มให้คนไข้หนุ่มจอมวีน  และหันมายิ้มให้กำลังใจบรูคด้วยอีกคน

"เร่งมือด้วยค่ะ  หมอ  เรายังมีสาวๆ หนุ่มๆ รอคิวอีกเพียบเลย"

บรูคพยักหน้าให้โรบินอย่างไม่เต็มใจ  มองคุณหมอสาวจากไปจนลับตาแล้วจึงหันมามองคนไข้ที่มองเธอด้วยสายตาไร้ความเชื่อมั่น

"คุณเป็นหมอแน่นะ"  เขาถาม  มือยังกดผ้าก๊อซที่แปะหน้าผากไว้  บรูคยังไม่ตอบเขา  เธอชำเลืองมองเอลล่าซึ่งเป็นพยาบาลผู้ช่วยของเธออยู่ตอนนี้  สายตาของพยาบาลสาวตักเตือนเธออยู่ในที

"ค่ะ  ฉันเป็นหมอ  แพทย์หญิง  บรูค  คูเปอร์ค่ะ"  บรูคตอบ  สั่งให้ตัวเองเชื่ออย่างนั้น  เธอเห็นความมั่นใจผุดในดวงตาคนไข้  เอลล่าก็แอบยกหัวแม่มือให้เธอ

"โอเค  งั้นเรามาเริ่มกันเลยค่ะ  เจ็บตรงไหนก็บอก  ไม่ต้องอาย"

"นี่ผมโตแล้วนะ  หมอ  --  โอ๊ย  หมอ!  ทำไมมือหนักแบบนี้ล่ะ"

บรูคชะงักไปนิดหนึ่ง  ตกใจเสียงคนไข้  เธอเกือบทำอะไรไม่ถูก  ถ้าโรบินไม่เปิดม่านกั้นจากเตียงข้างๆ โผล่มาดูเสียก่อน  ถึงตอนนี้จะเห็นแค่ดวงตาสีช็อกโกแลตเพราะหน้ากากอนามัยกินพื้นที่บนใบหน้าส่วนใหญ่ของคุณหมอไปเสียหมด  บรูคก็ยังมองเห็นรอยยิ้มได้จากดวงตาคู่นั้นก่อนที่ม่านจะถูกดึงปิดไปตามเดิม

เธอหันกลับมาหาคนไข้และเอ่ยเสียงใส

"เรามาทำต่อให้เสร็จกันดีกว่าค่ะ"     




.................


สองพี่น้อง  สองสไตล์   :21: :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

20 เมษายน 2019 เวลา 16:01:46
สองคนนี่ถ้าจะเป็นมึนกับหม่น
แสดงความคิดเห็น