web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 283
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 149
Total: 149

ผู้เขียน หัวข้อ: พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบแปด Escape  (อ่าน 1331 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบแปด Escape
« เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:47:45 »
บทที่ ยี่สิบแปด Escape

“กานต์ ฉันรักเธอจัง”

กานต์ชนิตหลับไปพร้อมกับประโยคชวนฝัน

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับลำแสงยามสายทอดกระทบผนังห้อง พร้อมกับอ้อมแขนใครคนหนึ่งโอบรัดเอวเธอจากด้านหลัง เรียวขาข้างหนึ่งพาดเกี่ยวระหว่างขาของเธอโผล่พ้นผ้าห่มผืนบางที่คลุมร่างกายเปลือยเปล่าของเราสองคนอย่างหมิ่นเหม่ กานต์ชนิตรู้สึกถึงความอุ่นร้อนในส่วนที่แนบชิดกับเนื้อตัวอีกฝ่าย และคงจะทวีดีกรีเพิ่มขึ้นหากหล่อนขยับตัว เธอจึงไม่อยากให้วรินธรตื่นขึ้นมายามนี้

ทรวงอกเนียนนุ่มของเพศหญิง เอวเล็กคอดกิ่วของเพศหญิง ต้นขาเรียวๆ ของเพศหญิง และสิ่งที่ซ่อนอยู่เหนือต้นขานั่นก็ช่าง... อา... เธอจะทำอย่างไรจึงเลิกจินตนาการถึงร่างกายหล่อนได้สักที นี่ล่ะหนอเขาถึงมีสำนวนว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง คงไม่ใช่วรินธรเพียงคนเดียวแล้วสิที่ขยันก่อกองไฟ

กานต์ชนิตพยายามกวาดตามองสิ่งอื่น ขับไล่ภวังค์คิดไปไกลๆ ตาก็ดันไปสะดุดกับมือเรียวยาวของพายอีกจนได้ มันล้อเล่นกับสว่างแสงมากไปไหม มือที่นุ่มนวลแต่ก็แข็งแรง เธอเผลอทาบระปลายนิ้วตนเองกับข้อมือของหล่อนเบาๆ ไล้จนจรดปลายนิ้วแล้วก็อดไม่ได้ประกบฝ่ามือตนเองกับฝ่ามืออุ่นของหล่อน งอนิ้วลงเพื่อประสาน รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็รวบมือประสานเข้าหาเธอเช่นกัน จึงได้ยิ้ม พายตื่นแล้ว...

อ้อมแขนของวรินธรรัดเธอแน่นกว่าเก่า เธอบีบมือหล่อนแน่นกลัวหล่อนจะทำการสำรวจร่างกายเธอที่ไหนอีก วรินธรหัวเราะ ขยับขาให้ปลายเท้าแตะเกลี่ยตามหน้าแข้งของเธอขึ้นลง และจงใจเบียดต้นขาสีกันไปมาอย่างกวนอารมณ์และยั่วกันเป็นที่สุด กานต์ชนิตกัดริมฝีปากล่างอย่างเก็บกลั้นอารมณ์ พยายามไม่ส่งเสียงร้อง ลมหายใจอุ่นร้อนจากหล่อนระต้นคอเธอจนขนลุก ปลุกกองไฟกองใหม่ขึ้นอีกคราว

“พาย...”

เมื่อมือไม้เธออ่อน คนด้านหลังก็ดึงมือออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด และมันกำลังโลมไล้ไปกับลอนสะโพกของเธออย่างย่ามใจ กานต์ชนิตรู้ตัวว่าต้องทนไม่ไหวแน่ โชคดีที่ได้ยินเสียงเรียกเข้ามือถือของวรินธรดังขึ้น ขัดจังหวะให้เจ้าตัวครางฮึ่มอย่างขัดใจ กานต์ชนิตจึงหันกลับไปมองหล่อนยิ้มๆ รู้ดีว่าคนบ้างานอย่างหล่อนคงไม่รีรอไปรับโทรศัพท์แน่

ทว่าผิดคาด วรินธรเมื่อได้เห็นแววตาอย่างนั้นก็เปลี่ยนใจ วรินธรยิ้มทั้งปากและนัยน์ตา แวบเดียวหล่อนก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบปากเธอจนได้ แถมยังก่อคลื่นไซน์คอสให้ตัวเธอคล้ายหน้ามืดจะเป็นลมอีก โอดครวญอย่างน่ารักนักสำหรับคนฟัง “หยุด...หยุดไปรับโทรศัพท์ก่อนดีไหมพายจ๋า”

วรินธรไม่ได้สนใจคำขอ งึมงำตอบ “ก็รีบๆ ทำให้เสร็จแล้วค่อยไปรับก็ได้นี่”

โอ๊ย ดูตอบเข้าสิ ไม่พูดเปล่าหล่อนยังเพิ่มอุณหภูมิเร่งร้อนตามปากว่า ระดมจูบทั่วใบหน้าเธอและคงจะลามต่ำลงไปในไม่ช้า ร้องห้ามอีกครั้งเพื่อห้ามปรามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่หยุดล่ะก็นะ

“พาย...”

เสียงโทรศัพท์กวนใจจนดับไปในที่สุด กานต์ชนิตตัดสินใจในวินาทีนั้นเอง ขณะอีกฝ่ายจมดิ่งในห้วงราคะ จึงยกฝ่าเท้าพิฆาต ยันโครมเดียวร่างอีกฝ่ายกลิ้งถลาไปกับที่นอนจนหล่นพื้นดังตุบ

“โอ่ยยย”

กานต์ชนิตหัวเราะก๊าก พยายามดึงผ้าห่มที่ร่วงตามหล่อนไปขึ้นมาห่มพันตัวเอาไว้ คนด้านล่างรั้งชายไม่ทัน เธอจึงเป็นผู้ได้ผ้าห่มแห่งชัยชนะ กานต์ชนิตขยับใกล้ขอบเตียง ชะโงกหน้ามองคนร่างเปลือยที่กำลังนอนตะแคงบนพื้นห้องอย่างขำขัน

“ไง คนลามก”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนประกายทองวาววับ ยกมือชี้หน้าเธอเป็นทำนองว่าจำไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างไม่มีสักนิดกับความอับอาย กานต์ชนิตตาโตแทบทะลุออกจากเบ้าอ้าปากค้างมองเนื้อตัวหล่อนจากล่างขึ้นบนจากบนลงล่างซ้ำไปซ้ำมาจนละสายตาไม่ได้

วรินธรก้มมองตัวเอง ก็แกล้งเอามือปิดส่วนสำคัญ ร้อง “อุ๊ยตาย” อย่างกระแดะที่สุดในโลก

“เธอว่าฉันลามก ตัวเธอเองก็หื่นกาม ดูซิมองฉันจนน้ำลายย้อยแล้วยัยบ้า”

กานต์ชนิตจึงรู้ตัวว่าควรหันหน้าหนี หน้าเธอคงแดงแปร๊ดยิ่งกว่ามะเขือเทศ เมื่อวรินธรหัวเราะโน้มกายเข้าใกล้สัมผัสถึงไออุ่นและกลิ่นกายหอมยั่วเย้า เธอก็ผงะถอย “ฉันชอบให้เธอหน้าแดง เพราะมันยิ่งทำให้เธอดูเซ็กซี่น่ามอง น่า...”

โธ่เอ๊ย พุธโธสังโฆ แล้วเธอจะห้ามหน้าตัวเองไม่ให้แดงได้ยังไงล่ะยัยบ้า ความเขินอายพุ่งสูงปรี๊ดจนเธอตบะแตก ยันโครมหล่อนด้วยสองมือจนอีกฝ่ายหงายหลังชนหัวเตียงก่อนจะร่วงลงพื้นห้องอีกครั้ง

“โอ่ยยยย”

กานต์ชนิตหัวเราะและไม่รอให้หล่อนลุกขึ้นมายั่วเธอได้อีก รีบมองหาผ้าขนหนูบนราวแล้ววิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำ ปิดล็อกประตูอย่างว่องไว ทิ้งอีกคนที่ยันตัวนั่งเกาะที่นอนไว้ส่งเสียงในลำคอจิ๊กจั๊กขัดใจ “ฝากไว้ก่อนเถ้อออ”

วรินธรเอนตัวพิงข้างเตียงและตู้เตี้ยข้างหัวเตียง รู้สึกเย็นวะวาบบนเนื้อตัวจึงเอื้อมมือหยิบเสื้อเชิ้ตผืนบางของตนเองสวมใส่ ติดกระดุมได้เม็ดสองเม็ดจึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแข็งๆ ยันหลังตนเอง เป็นประตูตู้เตี้ยที่เปิดอ้านั่นเอง เดิมทีมีกุญแจเสียบคาเอาไว้ แต่เพราะแรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้มันเปิดออก กระทั่งเอกสารภายในปึกหนึ่งทะลักไหลออกมาชนหลังเธอ วรินธรจึงใช้มือควานหยิบ พร้อมทั้งกวาดตาอ่านเอกสารปึกนั้นอย่างงุนงง แล้วก็ทำให้ตาโตยิ่งกว่าตาของกานต์ชนิตตอนเห็นเธอเปลือยเมื่อครู่นี้อีก

“กานต์ กานต์”

วรินธรเคาะประตูเรียกคนอาบน้ำอย่างเร่งรีบ หล่อนตะโกนกลับมาว่ามีอะไร

“มีเรื่องสำคัญที่สุดในโลก รีบอาบแล้วออกมาดูเร็ว”

กานต์ชนิตโวยวายไม่ได้ศัพท์แต่เสียงน้ำซู่ซ่าก็เงียบบอกให้รู้ว่าหล่อนกำลังรีบตามที่เธอสั่ง ครู่ใหญ่จึงเปิดประตูห้องน้ำด้วยหน้าบึ้ง มีผ้าขนหนูผืนเดียวพันตัวและหยดน้ำยังเกาะพราวบนไหล่ แต่เธอไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นมากนัก กำลังอ้าปากจะบอกสิ่งสำคัญ ติดที่ว่าแววตาหล่อนทำให้เธอต้องก้มมองตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้า

กานต์ว่าเธอว่าทะลึ่งอย่างนั้น ลามกอย่างนี้ เธอล่ะอยากถ่ายรูปหล่อนจริงๆ จะได้รู้ว่าสายตาหล่อนตอนนี้มันเร่าร้อนบ่งบอกความปรารถนามากเพียงไหน

“เธอ... อย่ามองฉันเหมือนไก่หมุนบนไม้เสียบได้ไหม เดี๋ยวก็...จับปล้ำซะหรอก”

กานต์ชนิตรีบยกมือไขว้อกตัวเอง เธอหัวเราะ ยื่นเอกสารสำคัญในมือให้หล่อนอ่าน

“เอกสารสำคัญรับรองบุตรบุญธรรม...” กานต์ชนิตเลิกคิ้วสบตาเธอ

“ฮึ มันเป็นแค่สำเนา”

“เออนั่นแหละ” กานต์ชนิตเอออออย่างหงุดหงิด พลันรีบก้มอ่านต่อ “เด็กหญิงอินทนิล แสนสุขใส”

วรินธรพยักหน้า

“นี่มันอะไรกัน ทำไมถึง...” วรินธรไม่ตอบปล่อยให้หล่อนอ่านไปจนหมด “หมอหนึ่ง...เธอแก่กว่าฉันสามปี และถูกครอบครัวนี้รับมาเลี้ยงหลังจากฉันไม่กี่ปี นี่ไม่ได้หมายความว่า...”

“ฉันก็ไม่รู้ แต่ดูท่า หมอหนึ่งคงจะกลายเป็นญาติสนิทของเธอซะแล้ว”

“ฉันไม่เข้าใจเลย...” กานต์ชนิตพยายามคิด หล่อนกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์หลายอย่างในหัว ย้อนกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีโบสถ์ร้างแห่งนั้น รวมถึงคำที่แม่ชีพูดทักทายหมอหนึ่ง

“มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ” เธอเอ่ยเมื่อเห็นความสับสนของหล่อน เธอจึงหยิบเสื้อผ้าในตู้ส่งให้ “แต่งตัวก่อน ถ้าเธอสงสัยเดี๋ยวเราจะช่วยกันหาคำตอบ โอเคไหม เราอาจจะออกไปถามพ่อกับแม่ของหมอหนึ่งให้รู้เรื่อง บางทีพวกเขาอาจจะตอบคำถามอะไรได้บ้าง หรือบางทีอาจเชื่อมโยงกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่นี่ก็ได้”

กานต์ชนิตกุมหัวคิ้วตัวเองเพื่อคลายความตึงเครียด “หมายความว่ายังไง เชื่อมโยงอะไร”

วรินธรกำลังจะบอกสิ่งที่ตัวเองสันนิษฐาน มือถือของวรินธรกลับดังเรียกความสนใจไปก่อน เธอลังเลที่จะรับสายแต่ว่าเมื่อครู่เธอพลาดสายหนึ่งไปแล้ว ตอนนี้จึงต้องรับ เมื่อรับฟังเสียงเพื่อนร่วมทีมอันแสนร้อนรน เธอก็ตาโตตกใจ พลันรีบสั่งการคนตรงหน้า “กานต์รีบแต่งตัวเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวนี้! ให้เร็วที่สุด!”

อาการตื่นตระหนกของเธอทำให้กานต์ชนิตตั้งตัวไม่ติด วรินธรควานหาเสื้อผ้าส่งให้หล่อนอย่างเร่งร้อน พร้อมชะโงกหน้ามองไปนอกหน้าต่างและคว้าเสื้อผ้าสวมใส่ให้ตัวเองภายในไม่กี่วินาที กานต์ชนิตใช้เวลาอึ้งได้ไม่นาน หล่อนก็รู้ดีว่าควรทำตามคำสั่งเธออย่างเคร่งครัด เสียงฝีเท้าตึงตังบริเวณทางเข้าบ้านยิ่งเร่งให้วรินธรไม่รออะไรแล้ว คว้าแขนกานต์ชนิตได้ก็กระชากให้หล่อนกระโดดออกทางหน้าต่าง จึงได้เห็นว่าหน้าบ้านตอนนี้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ลูกน้องของอาสินกรูเข้ามาภายในรั้วและกำลังจะกระจายกำลังล้อมรอบในไม่ช้า

“อะไร เกิดอะไรขึ้นกันพาย”

วรินธรมองเห็นช่องทางหนีทางเดียวคือสวนหลังบ้าน “อาสินรู้แล้วว่าฉันเป็นคนของอีเว้นท์”

คำตอบทำให้คนวิ่งด้านหลังเร่งฝีเท้าตามเธอโดยไม่ปริปากถามอะไรอีกต่อไป

...............................................................................

ทั้งคู่วิ่งฝ่าพุ่มไม้ของสวนหลังบ้านไปสู่บริเวณของไม้ยืนต้นซึ่งจะเป็นสุดเขตแดนบ้านของอินทนิล มีเพียงรั้วลวดหนามแบ่งกั้นขวางซึ่งไม่ยากเย็นเลยที่สองมือของคนสองคนจะช่วยกันถ่างลวดกว้างเพียงพอให้พวกเราลอดออกไปได้ ไปสู่ป่าหญ้ารกครึ้มเบื้องหน้า ความแฉะชื้นบนพื้นดูน่ากลัวน้อยลงเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ตามมาทางด้านหลัง

วรินธรและเธอไม่ได้ใส่รองเท้า ตอนนี้เราตัวเปล่ามีเพียงเสื้อผ้าติดตัวและยังไม่ทันใส่เรียบร้อยดีด้วยซ้ำ ไม่ต้องหวังถึงเป้เพื่อนยากที่เธอมักจะเห็นหล่อนพกติดตัวเสมอ และในนั้นมักเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิต ตอนนี้ไม่มีสักอย่าง เธอเกือบลื่นเพราะเหยียบบนโคลน ดีที่มือของหล่อนดึงรั้งเอาไว้และออกวิ่งต่อจนเธอเหนื่อยหอบ รู้ดีว่าร่างกายของอินทนิลนั้นไม่ได้ออกกำลังบ่อยนัก

วรินธรมองซ้ายมองขวาแม้จะดูเครียดแต่ก็ไม่ได้ตื่นกลัวมากนัก “รู้ป่ะว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร”

“ฮึ ที่รกๆ อย่างงี้มีเจ้าของด้วยเหรอ”

แม้หน้าสิ่วหน้าขวานหล่อนก็ยังหันมายิ้มเผล่กวนประสาทกันได้ “ที่ของหมอรส”

เธออึ้ง หล่อนจึงขำ เธอจึงฟาดแขนนั่นเข้าให้ “ยังมีหน้ามาขำอีก แล้วเข้ามาในนี้เราไม่เป็นหมูในอวยเหรอเนี่ย โอ๊ย”

“บ่นเป็นยายแก่ไปได้ เธอคิดว่าฉันไม่เคยแอบเข้ามาแถวนี้เหรอ”

สายตาวิบวับสร้างความหวังได้มากกว่าความหมั่นไส้ วรินธรย่อตัวลงเมื่อเห็นคนในชุดซาฟารีอีกกลุ่มมาจากทิศตรงกันข้าม หล่อนกระซิบ “ฉันรู้ว่าถ้าวิ่งไปทางนั้นเดี๋ยวเราจะออกถนนใหญ่ได้ แต่รู้สึกว่าอาสินมันส่งลูกน้องมาเพิ่มแล้วสิ”

กานต์ชนิตกลั้นหายใจขณะพวกนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ โชคดีที่พวกเราตัวเปื้อนโคลนช่วยพรางได้มาก

“เราคงต้องเสี่ยง” แว่วเสียงบอกจากคนข้างกายไม่ทันสิ้นประโยคดี หล่อนก็กระชากมือเธอให้รีบตามไปอีกทางหนึ่งบอกเร็วๆ “มีแท้งค์น้ำ เราจะเข้าไปซ่อนในแท้งค์”

ว่าจบวรินธรก็แหวกกอหญ้าจนถึงลานกว้างบริเวณหนึ่งเสาเหล็กยกเหล่าแท้งค์น้ำสีเงินไว้ด้านบนหลายถัง แต่วรินธรกลับกวาดตามองที่พื้น จากนั้นก้าวยาวๆ ไปหาปากท่อสี่เหลี่ยม หาแท่งไม้ยาวๆ งัดฝากท่อคอนกรีตขึ้น เธอจึงได้เห็นว่าเบื้องล่างเป็นถังเก็บน้ำที่ฝังดินเอาไว้และแน่นอนมันมีน้ำอยู่จนเกือบเต็มถัง เบื้องล่างมืดมิดจนเห็นแสงสะท้อนของใบหน้าเธอชัดเจน

...เรียบนิ่งและดูเย็นเยียบ...

หล่อนเร่งเร้าให้เธอรีบลงไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากรูเข้ามาใกล้ “เฮ๊ย ลงไปสิกานต์”

กานต์ชนิตส่ายหน้าร้องตอบเสียงดัง “ไม่ลง!”

วรินธรขมวดคิ้ว “เป็นอะไรของเธอ!”

“เราจะหนีไปที่อื่นนะพาย เราจะไม่ลงน้ำ” ความกลัวแล่นเข้าสู่มโนสำนึกของกานต์ชนิต จนกระทั่งวรินธรบีบมือบนไหล่ทั้งสองข้างของเธอและสั่งด้วยความเครียด “เธอต้องลง”

“ไม่ ไม่ ฉันลงไม่ได้ น้ำมันลึกเธอเห็นไหม...”

“มันลึกที่ไหนเล่า”

วรินธรกระวนกระวายและเหลียวหลังก่อนจะครางฮึ่ม “ขอโทษ ฉันจำเป็นจริงๆ” ว่าแล้วก็จับตัวเธอโยนลงมุดรูสู่ผืนน้ำเย็นดังซู่ กานต์ชนิตอ้าปากร้องอย่างตื่นกลัว จนน้ำทะลักเข้าปากและจมูกของเธอให้แสบสำลัก ร่างกายบงการให้เธอแหวกแขนขาตะเกียดตะกายขึ้นสู่แสงสว่างเบื้องบนซึ่งบัดนี้กำลังริบหรี่เมื่อฝาปากท่องับปิดจนหายวับ บังเกิดความมืดมิดจนใจเสีย นี่เธอกำลังจะจมน้ำอีกครั้งหรือ อีกแล้วหรือ...

กานต์ชนิตไร้เรี่ยวแรงในบัดดลปล่อยตัวทิ้งดิ่งลงเบื้องล่าง คงจะไปสู่พื้นโคลนตมที่แสนหนาวเหน็บในไม่ช้า พลันก็รู้สึกถึงความอุ่นวะวาบจากอ้อมแขนเรียวช่วยดึงร่างเธอพุ่งสู่ผิวน้ำ เสียงสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าปอดและพ่นออกมาทำให้เธอใจชื้นขึ้น พายหรือเปล่า พายต้องตามเธอลงมาสิ คงไม่ปล่อยให้เธออยู่ในบ่อมืดมิดแห่งนี้ตามลำพัง

“พาย พาย พาย นั่นเธอหรือเปล่า” กานต์ชนิตเรียกหล่อนซ้ำๆ โผกอดคออีกฝ่ายแน่น

วรินธรหายใจหอบครางอืมในลำคอ “เออฉันเอง”

หัวใจของกานต์ชนิตโล่งใจและปิติยินดี “เธอโยนฉันลงมาได้ยังไง ไอ้พายบ้า” จากนั้นเธอก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้โฮออกมาเหมือนเด็กๆ ทำเอาวรินธรลืมตาโพลงในความมืด ยกมือข้างที่ไม่ได้กำฝาท่อกอดอีกฝ่ายตอบ

“จะกลัวอะไรขนาดนั้นน้ากานต์”

กานต์ชนิตรัดเธอแน่นกว่าเดิม ตัวสั่นระริกจนวรินธรสงสาร ต้องเอ่ยปลอบ “เราจะไม่จมน้ำนะกานต์ เราลอยอยู่บนน้ำรู้สึกหรือเปล่า ฉันเกาะฝาท่อด้านบนอยู่ด้วย จะจมได้ยังไงหืม นี่ไม่มีอะไรสักหน่อย เราแค่เข้ามาหลบในนี้แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว อย่าร้องไห้นะ”

วรินธรเกือบลืมไปว่าหล่อนประสบอะไรมาบ้าง มัวแต่คำนึงถึงเรื่องหาที่ซ่อนตัวเท่านั้น อาการของหล่อนตอบเธอได้ดีว่ากลัวเพียงใด จึงลูบหลังหล่อนเบาๆ รับฟังเสียงฝีเท้าด้านนอกที่วิ่งวนค้นหา พวกนั้นคงคิดว่าเธอจะซ่อนบนแท้งค์ด้านบนมากกว่าฝาท่อประหลาดบนพื้นดิน มันคงไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ท่อน้ำแต่มันคือถังเก็บน้ำสำรองใต้ดินต่างหาก

กานต์ชนิตเริ่มสงบลงชวนให้เธอหายใจคล่องคอขึ้น แน่ใจว่าลูกน้องของอาสินทิ้งห่างไปไกลพอสมควร จึงเอ่ยบอกอีกคน “พวกนั้นไปแล้ว เราจะออกไปนะกานต์”

ร่างในอ้อมแขนเงียบกริบ วรินธรขมวดคิ้ว “กานต์ ฉันจะเปิดฝาท่อแล้วนะ”

ไม่มีเสียงตอบใดๆ อีกฝ่ายเกาะค้างเธอในท่าเดิมอย่างน่าสงสัยว่าหล่อนจะสลบไปแล้วหรือไม่ อย่างไรก็ตามวรินธรรีบดันฝาเบื้องบนให้เปิดออก พร้อมกับเหนี่ยวตัวเองและอีกคนที่เกาะรัดราวกับงูให้ขึ้นไปพร้อมกัน เล่นทำเอาหอบแฮ่ก เมื่อเธอนั่งกับปากถังได้ ร่างของอีกฝ่ายก็เอนทิ้งตัวราบไปกับพื้น ดวงตาปิดสนิท

“เฮ๊ย กานต์ กานต์ เป็นอะไร” เธออังมือใต้จมูกพบว่าหล่อนยังหายใจดี หรือว่าหล่อนจะสลบ

แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็แทบจะร้องกรี๊ด

กานต์ชนิตในชุดแสกสีขาวสะอาดกำลังนั่งใบหน้าเปื้อนน้ำตาอยู่ตรงหน้าเธอทำให้เธอกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง และต้องหันมองร่างสลบไสลข้างกายใหม่ที่ก็มีน้ำตาติดอยู่เหมือนกัน สลับกับมองอีกคนตรงหน้า

“กานต์ นี่มันอะไรกัน เธอ...” เธอยกมือกุมหัวรู้สึกมึนตึบและประสาทชักเริ่มกินหัว

กานต์ชนิตพยักหน้ายิ้มเจื่อน “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมอ่ะพาย ฉันตกใจมาก จู่ๆ ก็โดนกระชากออกมาอยู่ตรงนี้”

นี่ถ้าไม่เจอกับตัวเอง วรินธรคงไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามตั้งสติอันแตกกระเจิงกลับมา แม้จะยากเย็นสักเพียงไหน เธอก็พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจนได้ ร่างของกานต์ชนิตกลายเป็นวิญญาณเหมือนเดิม และตอนนี้ก็กำลังวับๆ แวมๆ จนเธอต้องยื่นมือแตะตัวหล่อนไว้ พลางดึงเข้ามากอดทั้งตัวสัมผัสความเย็นวาบของสายน้ำบนเนื้อตัวหล่อนชวนให้ขนลุก แต่เธอไม่อยากให้หล่อนหายตัวไปไหน “อะไรก็ช่างเถอะ ออกจากร่างได้ก็ดีแล้วนะ”

แว่วเสียงสูดน้ำมูกเธอก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งเดียวที่ไม่แตกต่างก็คือความขี้แยดังเก่า “ฉันสงสัยจริงเชียวว่าเธอเอาชุดสีขาวของเธอกลับมาใส่ได้ยังไง ในเมื่อเธอถอดเก็บไว้ในบ้านฉัน”

เมื่อกานต์ชนิตผละออก เธอจึงเห็นหน้าซึมๆ ที่พยายามยิ้ม “เธอนี่ก็สงสัยแต่เรื่องแปลกๆ”

วรินธรจึงยิ้มออกมาได้บ้าง หันมองอินทนิลผู้ไม่ได้สติ

“แล้วเราจะทำยังไงกับหมอหนึ่งดี” กานต์ชนิตถาม เธอหัวเราะเหอะๆ มองเปลวแดดลามเลียและทิวไม้รกลู่ไปตามลม ทิ้งไว้ตรงนี้ก็ดูจะน่าสงสาร

“ก็คงต้องเอาไปด้วย”

และก็คงไม่ใช่เวรกรรมของใคร นอกจากเธอเนี่ยแหละ ก้มลงช้อนร่างนั้นขึ้นหลังเธออย่างทุลักทะเล กานต์ชนิตพยายามช่วยเหลือแต่เธอรู้สึกว่าการที่หล่อนยิ่งพยายามออกแรง เหมือนกับว่าตัวหล่อนจะเริ่มจางลง จึงสั่งด่วน

“เธอ...อยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน ตามฉันมานี่ ไม่ต้องช่วยยก”

หล่อนมองมือโปร่งแสงของตนเองก็เข้าใจ รับฟังคำสั่งเธออย่างเคร่งครัด เธอจึงหันมองทางหนีทีไล่อีกครั้ง พิจารณาแล้วว่าคงต้องรีบเพราะหยดน้ำจากเสื้อผ้าของเธอและอินทนิลกำลังสร้างร่องรอยไว้เป็นทางยาว วิ่งตุบๆ หลบตรงนั้นตรงนี้จนพ้นป่าหญ้าสูง แอบเห็นถนนใหญ่อยู่ไม่ไกล กำลังจะหันไปบอกกานต์ชนิตเชียว

“เฮ๊ย กานต์ก้มหัว!” วรินธรหยิบก้อนหินเหวี่ยงวูบโดนไหล่ชายชุดซาฟารีคนหนึ่งจนทรุด กานต์ชนิตหันมองอย่างตกใจและช่วยส่งฝ่าเท้าถีบซ้ำให้ ทว่ายังมีอีกคนหนึ่งเบื้องหลังตามมาติดๆ วรินธรวางร่างเกะกะลงกับพื้นหญ้าก่อนจะถลาเข้าใส่ปลายกระบอกปืนที่ยกขึ้นแต่ยังไม่ได้เล็ง ปัดมันกระเด็น เมื่อไร้อาวุธก็จะเป็นต้องตัวเปล่า ออกกำลังกายตุบตับกันจนได้ กานต์ชนิตพยายามช่วยแต่ดันขวางรัศมีการเหวี่ยงเท้าของเธอแทน

“เธออย่าเพิ่งเข้ามาเด้” เธอต้องยั้งเท้าไว้เปลี่ยนเป็นศอกใส่เขาแทน ฝ่ายนั้นคงงุนงงอยู่ไม่น้อยไม่รู้เธอพูดกับใคร เธอฉวยโอกาสนั้นสับสันมือลงบนท้ายทอยในจุดสำคัญให้เขาสลบได้ในที่สุด

“เฮ๊ย มันอยู่นั่น”

วรินธรฉุดมือกานต์ชนิตผลักไปด้านหลัง “เธอรีบวิ่งไปก่อน เร็วๆ วิ่งไปที่ถนน”

“ได้ไง แล้วเธอล่ะ”

“เออเดี๋ยวตามไป” จากนั้นก้มเก็บปืนของชายผู้สลบไสลยิงสวนกลับอย่างดุเดือด ฝ่ายนั้นหลบวูบและเป็นวูบที่สำคัญให้เธอกึ่งพยุงกึ่งแบกอินทนิลหลบให้พ้นทางกระสุนระลอกใหม่ซึ่งกำลังจะสาดมา

กานต์ชนิตวิ่งไปเหลียวมองเธอไปอย่างเป็นห่วง จึงไม่ได้ระวังว่าจะมีใครโผล่มาจ๊ะเอ๋ด้านหน้า กานต์ชนิตร้องวี๊ดตกใจ ปฏิกิริยาหล่อนใช้ได้ เพราะหล่อนวาดแขนฟาดหน้าอีกฝ่ายจนมึน วรินธรจึงเห็นว่านี่คือโรเบิร์ต ลูกน้องคนสนิทของอาสิน ไม่รอช้าเธอก้าวพรวดกดปลายกระบอกปืนชิดศีรษะเขาไว้ทันที เพื่อให้เขาหยุดการเคลื่อนไหวจะเอื้อมล้วงปืนออกมาโต้ตอบ

“วางปืนลงบนพื้น ช้าๆ”

วรินธรสั่งเสียงเข้ม โรเบิร์ตมองสายตาจริงจังของเธอจึงขบกรามแน่น จำใจต้องทำตาม

“นี่เองเหรอผู้หญิงของอีเว้นท์” คงจะเป็นชื่อเรียกที่ฝ่ายอาสินตั้งให้เธอล่ะมั้ง วรินธรหัวเราะหึ

“ที่อีเว้นท์มีผู้หญิงตั้งหลายคน จะเอาคนไหนล่ะ”

โรเบิร์ตหัวเราะหึๆ กวาดสายตามองร่างกายเปียกโชกของเธอขึ้นลง กางเกงผ้าแนบเนื้อและความบางของเสื้อเชิ้ตคงชวนให้มองลึกไปถึงไหนๆ จนกานต์ชนิตร้องฮึ่มในลำคอ ผิดกับคนโดนจาบจ้วงสำรวจร่างกายทางสายตายังคงนิ่งเฉย

“เธอก็ดู...ใช้ได้ ไม่น่าทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้เลย เสียของหมด”

วรินธรไม่ได้หลงกลคำยั่วนั้น เตะปืนของเขาห่างเกินระยะเอื้อม รู้ทันอุบายเบนความสนใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี โรเบิร์ตรู้ตัวว่าพลาดอย่างแรง วูบเดียวมือเขาก็พลิกจับปืนบนศีรษะเบนออกห่าง วรินธรระวังอยู่แล้วจึงโยกข้อมือบิด ก่อนจะฟาดด้ามปืนบนขมับเขาจนเลือดไหลย้อย ทว่าโรเบิร์ตไม่ใช่เพียงลูกน้องปลายแถวของอาสิน เขาช่ำชองและว่องไวในการต่อสู้ วินาทีที่เขาโดนฟาดศอกของเขาก็ซัดกลับหน้าท้องเธอเช่นกัน

ความเจ็บของเราทั้งคู่ทำให้การต่อสู้ชะงักชั่วอึดใจ วรินธรอยากปิดการต่อสู้ครั้งนี้ให้ไว เพราะยิ่งช้าจะยิ่งเป็นการถ่วงเวลาให้พรรคพวกของเขาตามทัน และผู้มีอาวุธเหนือกว่าย่อมได้เปรียบเธอถอยเพื่อเล็งยิง แต่โรเบิร์ตรู้ทัน เขาประชิดตัวไม่เปิดโอกาสให้เธอยิงได้ถนัดและกดมือเธอให้ปากกระบอกปืนดิ่งต่ำ วรินธรสบถในลำคอ ไม่รอคอยสิ่งใดแล้ว กดลั่นไกเข้าใส่จนอีกฝ่ายร้องอุก โดนต้นขาข้างหนึ่งทำให้เขาครางอย่างเจ็บปวด

วรินธรตั้งท่าจะยิงอีกนัด แต่ยังไม่ทันความเร็วของโรเบิร์ต เขาฝืนความเจ็บกระโดดเตะข้อมือเธอพร้อมกับก้าวประชิด คว้าขอบเอวกางเกงพลันเหวี่ยงเธอทุ่มข้ามลอยสูงเหนือศีรษะของเขา หากไม่ระวังเธออาจจะโดนทุ่มหลังหัก วรินธรรีบสะบัดตัว ส่งปลายหมัดอัดใบหน้าเขาจนเสียจังหวะต้องปล่อยเธอให้มีโอกาสพลิกตัวหมุนกลิ้งลงพื้นอย่างไม่เจ็บตัวนัก

เสี้ยววินาทีที่เธอกำลังตั้งตัวนั้น เธอได้ยินเสียงตะโกนจากกานต์ชนิต

“พาย ระวัง!”

เสียงฟ้าวของวัตถุบางอย่างผ่านอากาศทำให้เธอหันเหลียวขวับ วินาทีนั้นเองที่เห็นเขาคว้าท่อนไม้ใกล้มือเงื้อสูง ฟาดด้วยความแรงที่สุดเท่าที่ชายคนหนึ่งมีหมายจะทุบหัวเธอ วรินธรตกใจ ไม่มีเวลาแม้แต่จะยกมือขึ้นบัง ไม้ท่อนมืดแล่นหาใบหน้าเธอด้วยความเร็ว ได้แต่หลับตาปี๋ตามสัญชาตญาณ บังเกิดเสียงดังผัวะทว่าไร้ความเจ็บปวด เธอจึงลืมตา พลันรู้สึกถึงคลื่นสะท้อนปริศนาผลักวูบดันตัวคนตีจนกระเด็นถอยหลังไปไกล ท่ามกลางสายตางุนงงขณะลอยบนอากาศ และตกลงจนหัวกระแทกขอนไม้จากต้นเดียวกันที่ล้มระเกะระกะบนพื้น ทำให้แน่นิ่งไปตรงนั้นเอง

วรินธรตาโตนิ่งงัน พลางอ้าแขนรับร่างของกานต์ชนิตผู้ซึ่งก้าวเอาตัวบังไม้ท่อนนั้นแทนเธอไว้ ความเย็นวูบวาบไล่แล่นตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนจะเสียวแปลบที่แผ่นหลังจนวรินธรต้องหลับตาขับไล่ความเจ็บปวดอย่างสุดแสน นั่นคือความรู้สึกของกานต์ชนิต เธอมักจะรับรู้ได้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้

“กานต์....”

อีกฝ่ายมีสีหน้าเจ็บปวด สองมือยังคงกอดคอและศีรษะเธอไว้แน่น และทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง วรินธรกอดอีกฝ่ายพลางส่ายหน้า “เธอทำบ้าอะไร เธอเข้าบังทำไมยัยบ้า”

ร่างวับๆ แวมๆ ทำให้วรินธรต้องโผกอดหล่อนด้วยเนื้อตัวสั่น...ร่างกายของกานต์เย็นชืดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ที่เธอกอดหล่อนมาก เธอไม่ได้สั่นเพราะความหนาวนั้น เธอรู้ดีว่าสั่นเพราะความกลัว และทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์คับขันแบบนี้ เธอนึกด่าตัวเองในความโง่เขลา ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานะของกานต์ชนิตเลยสักอย่าง เธอไม่เคยหาคำตอบได้และกำลังลงเอยด้วยการแก้ปัญหาไม่ได้ อารมณ์สับสนทำให้เธอต่อว่าอีกฝ่ายในใจอย่างรุนแรงว่าทำอะไรไม่คิด ย้อนกลับมาต่อว่าตัวเองอีกครั้งว่าเป็นต้นเหตุ

“โธ่ กานต์... อย่าเป็นอะไรนะ อย่าหายตัว ฉันกอดเธอแล้วนี่ไง”

ใช่ล่ะเธอกลัวที่สุดคือหล่อนจะหายตัวไป ไม่มีใครได้รางวัลมาฟรีๆ หรอกน่า กานต์ใช้ตัวเองปกป้องเธอแบบนี้ต้องเขาแลกอะไรกลับคืนไปแน่ๆ เหมือนทุกครั้งที่กานต์ช่วยเหลือเธอ เธอจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด จึงกอดรัดร่างเย็นชืดไว้ถูแขนขึ้นลงเพื่อสร้างความร้อนหรือพลังงานอะไรก็ได้ต่อชีวิตให้หล่อน อย่าเอาหล่อนไปจากเธอ กระทั่งได้ยินเสียงพูด

“พาย... ฉันเจ็บนะ เธออย่าเขย่าแรงนักสิ” วรินธรอ้าปากค้าง รับฟังเสียงกระซิบด้วยใจมีความหวัง “ร้องไห้เหรอ ฮึ คนอย่างเธอร้องไห้เป็นด้วย...”

เธอจึงยิ้มออก ไม่รู้ตัวเลยว่าปลายหางตาของตนเองมีน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าอยากกอดหล่อนให้แน่นที่สุด หัวเราะกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง และประทับริมฝีปากบนหน้าผากมนแรงๆ ระบายความอัดอั้นดีใจ กานต์ชนิตยิ้มตอบปรือตาพลางชี้บอก “เราต้องรีบ... พวกนั้น กำลังจะมา”

วรินธรเงยหน้าตามมือ ปาดน้ำตาทิ้งมีกำลังใจเพิ่มอีกหลายกระบวย ตั้งสติอย่างรวดเร็วจึงลุกขึ้นพยุงกานต์ชนิตขึ้นหลังแล้วหันมองร่างอินทนิลบนพื้น “ขอโทษหมอด้วยที่ต้องทิ้งหมอไว้ตรงนี้”

เธอแบกคนได้แค่คนเดียว และใครคนนั้นก็ต้องเป็นกานต์ชนิตเท่านั้น

วรินธรตัดใจออกวิ่งข้ามทางเท้าไปยังถนนใหญ่ยังไม่ทันได้ครึ่งทาง เสียงแตรก็บีบปี๊นลั่น เธอชะงักคิดว่าพาตัวเองและกานต์ไปตายเสียแล้ว เพราะความรีบร้อนไม่ดูอะไร ทว่าเมื่ออีกฝ่ายหยุดรถใกล้ๆ และเปิดประตูจึงเห็นร่างสูงโปร่งของรสสุคนธ์ก้าวออกมา ซึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเนื้อตัวเธอขึ้นลง

วรินธรคิดหนักไม่แน่ใจว่าหมอมาดีหรือมาร้าย หากในใจคิดว่าเป็นยังไงเป็นกัน เธอมีกานต์ชนิตอยู่ข้างกันแล้ว เรื่องอื่นนั้นล้วนหนักหนาน้อยลง

“อาสินบอกว่าเธอเป็นคนร้าย” รสสุคนธ์เอ่ยเสียงเรียบ

วรินธรหัวเราะหึ “ฉันไม่มีเวลาทะเลาะกับหมอหรอกนะวันนี้” พลางหันหน้าไปในโพรงหญ้า “แฟนคุณอยู่นั่น รีบเข้าไปดูเพราะฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังเป็นอะไร...”

พูดไม่ทันจบ ร่างของรสสุคนธ์ก็ถลาไปในโพรงหญ้าซะแล้ว ประคองอินทนิลอย่างทะนุถนอมและตรวจดู เธอเองก็อยากรู้ว่าอินทนิลเป็นอะไรมากไหม ครู่ใหญ่รสสุคนธ์จึงหันนัยน์ตาฉุนเฉี่ยวมองเธอ วรินธรขมวดคิ้ว เอาแล้วไงล่ะ

“เธอทำอะไรหนึ่ง”

วรินธรอยากตอบตามจริง แต่ใครเล่าจะไปเชื่อ “เอ่อ คงตกใจระหว่างฉันบอกให้หนี ก็เลยสลบไป”

รสสุคนธ์ถอนหายใจ มองร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมแขนตนเอง สีหน้านั้นเบาใจไม่ได้วิตกกังวลร้ายแรงอย่างที่เธอหวั่น แสดงว่าอินทนิลแค่สลบไปเท่านั้น รสสุคนธ์แค่อาจจะยังโกรธและไม่ชอบขี้หน้าเธอไม่หาย

สายตาของรสสุคนธ์มีความสงสัยหลายเรื่อง และหล่อนคงจะสงสัยว่าทำไมเธอดูไม่กักกันอินทนิลไว้กับตัวอย่างเคย และท่าทางประหลาดเหมือนกำลังยกของหนักก็ยิ่งทำให้หล่อนคิดไปสะระตะ วรินธรกระชับร่างบนหลังให้เข้าที่ พลางเดินเข้าไปใกล้รสสุคนธ์ “ฉันขอโทษที่สร้างความวุ่นวายให้หมอหลายอย่าง แต่วันนี้ฉันยินดีคืนหมอหนึ่งให้คุณแล้ว”

“บทจะง่ายมันก็ง่ายเหลือเชื่อ เธอมีแผนการอะไรใช่ไหม”

เออก็จริงมันง่ายเกินไป จนบัดนี้ก็ยังงงๆ ว่าทำไมมันง่ายนัก

“ของที่เป็นของเรามันก็เป็นของเราวันยันค่ำ อะไรที่ไม่ใช่ ก็จำเป็นต้องปล่อยไป จริงป่ะ” เธอยิ้มกวนประสาทเรียกสายตาวิบวับโกรธเคือง รสสุคนธ์โดนยั่วง่ายเสมอและขมวดคิ้วไม่เชื่อ

วรินธรเพิ่งสังเกตว่านอกจากความหึงหวงอันร้ายกาจแล้ว รสสุคนธ์ไม่มีความโหดเหี้ยมแบบอาสิน หล่อนคงจะเป็นหมอที่มีเมตตาคนหนึ่งและเหมือนอยู่ในกะลาครอบ ไม่รู้เรื่องร้ายใดๆ ของเพื่อนร่วมงาน

“คุณก็เห็นว่าพวกคุณกำลังไล่ล่าฉันอย่างหนัก เอาหมอหนึ่งไปคงจะถ่วงฉันเปล่าๆ เราคงจะไม่ได้พบกันอีกง่ายๆ ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นเป่าหูหมอว่าฉันเป็นใคร แต่ว่าฉันก็รู้อะไรหลายอย่างที่หมออาจจะไม่รู้ ก็เลยอยากเตือนหมอไว้อย่างเรื่องพ่อของหมอ บางทีไตที่เอามาปลูกถ่ายนั่น อาจจะไม่ใช่ของเทียมอย่างที่คิดไว้ก็ได้”

“หมายความว่ายังไง”

วรินธรก้าวถอยหลัง “ตรวจสอบให้ดีจนรู้ความจริงเถอะหมอ มันตรวจสอบไม่ยากนี่ ถ้ารู้ความจริงแล้วก็ช่วยยับยั้งด้วย ฉันยังเชื่อว่าหมอเป็นคนดีคนหนึ่ง ไปล่ะ”

ริมฝีปากชืดของคนบนหลังยื่นมาจุ๊บแก้มเธอเบาๆ เสมือนคำชมว่ากำลังทำดีแล้ว วรินธรยิ้มกว้างกับตนเองและเผลอยิ้มให้รสสุคนธ์ด้วย พลางหันหลังกลับ กระชับร่างบนหลังให้เข้าที่อีกครั้งก่อนออกวิ่งข้ามถนนและหายไปในโพรงหญ้าข้างทาง ทิ้งคนที่เหลือให้นิ่งงันและงุนงงสงสัย

รสสุคนธ์มองร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมแขนซึ่งขยับเปลือกตาปรือจนเห็นดวงตาสีดำสนิทเลื่อนลอยคู่หนึ่ง สักครู่ริมฝีปากของอินทนิลจึงยิ้มอ่อนๆ “พี่หมอ...”

รสสุคนธ์ใจเต้นนี่เองหมอหนึ่งของเธอ ต้องแววตาแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าได้ของรักกลับคืนมา เธออยากหัวเราะทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ ได้แต่ทอดเสียงหวานรับ “หนึ่งของพี่”

อินทนิลปิดตาลงเพราะความอ่อนเพลีย แต่ริมฝีปากที่ยังคงแต้มรอยยิ้มทำให้ใจคนมองชุ่มชื้น จากนั้นเงยหน้าไล่สายตาไกลพบกับร่างชายหลายคนนอนระเกะระกะ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนจัดการกับชายพวกนี้ให้สลบเมือด

“คุณรสครับ” ลูกน้องของอาสินร้องเรียกเธอตั้งแต่ยังวิ่งไม่ถึงตัว “เห็นผู้หญิงคนนั้นไหมครับ... คนร้ายคนนั้น”

คนร้ายเหรอ?




ออฟไลน์ อาคาริ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 53
พรายในสายลม : บทที่ ยี่สิบแปด Escape(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 ธันวาคม 2013 เวลา 12:48:43 »
(ต่อ)

ใช่ล่ะถึงหล่อนจะดูร้าย แต่เธอกลับรู้สึกว่าหล่อนไม่ร้ายอย่างที่คิด และเรื่องที่หล่อนพูดนั่น เธอคงจะต้องตรวจดูเสียหน่อยว่าอะไรคือจริงอะไรคือเท็จ จึงหันกลับมาช้อนต้นคออินทนิลพยุงไว้ในอ้อมแขน สบตาคนถามและตอบ “ฉันไม่เห็นใครเลยสักคน มาก็ดี ช่วยพยุงหมอหนึ่งไปที่รถของฉันหน่อย”

.................................................................................................

กานต์ชนิตครึ่งหลับครึ่งตื่นมองเงาแดดของคนสองคนในยามเย็นสาดเป็นยาวไปตามพื้นหญ้าข้างทาง คนหนึ่งนั้นกำลังแบกอีกคนขึ้นหลังและกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า บอกถึงเรี่ยวแรงอันอ่อนล้าของคนเดินได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งก้าวเหยียบพื้นคอนกรีตแข็งกระด้าง เงานั้นจึงได้หยุดเคลื่อนไหว

วรินธรวางเธอลงบนเก้าอี้ไม้ให้นั่งพิงตัวหล่อนเอาไว้ หากถามว่าพายแบกเธอมาไกลแค่ไหน เธอคงจะไม่รู้ เพราะเธอต้องหลับตาหนีความทรมานจากรอยปวดแสบปวดร้อนด้านหลัง อาจจะลืมตามองทางบ้างแต่ก็จับเส้นทางไม่ได้ ถ้าให้บอกเป็นเวลา เธอบอกได้เลยว่าร่วมหลายชั่วโมง ผู้หญิงจอมถึกทนที่เธอเคยค่อนขอด แบกเธอด้วยเท้าเปล่าโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ กานต์ชนิตมองเท้าอันเปรอะเปื้อนของหล่อนด้วยความสงสาร

“เราจะไปไหน... ไปไหนเหรอพาย” ลำคอเธอแห้งผากจนเปล่งเสียงแห้งโหย วรินธรย่อขาอันสั่นๆ นั่งลงพลางบีบขาคลายความปวด จากนั้นสำรวจแผลเธอบริเวณด้านหลังและหันมาสบตาเธอด้านหน้า สีหน้าหล่อนกังวลแต่ก็ส่งยิ้มหวานตอบกลับมาให้

“ฉันกำลังหาทางกลับบ้าน นี่เราอยู่บนชานชาลานะกานต์ เธอเห็นไหม นั่นรางรถไฟ”

“เธอจะไม่ต้องเดินอีกแล้วใช่ไหม”

วรินธรลูบใบหน้าเธอเบาๆ “อืม เราจะไม่ต้องเดินแล้ว อีกเดี๋ยวรถไฟมาเราก็จะขึ้นกันเลย เธอปวดแผลไหม”

กานต์ชนิตอยากจะส่ายหน้า แต่พายคงจะรู้อยู่ดีว่าโกหก พายถาม “คอแห้งหรือเปล่า รอฉันตรงนี้ ฉันไปซื้อน้ำให้ ไม่ไกลนะ”

กานต์ชนิตไม่อยากให้หล่อนเดินห่างออกไปไหนไกลนัก เธอรู้ดีเมื่อเธอเป็นวิญญาณ เธอจะอยู่ห่างจากหล่อนไม่ได้แล้วอีกอย่าง เห็นขาสั่นๆ ของหล่อนแล้วเธอเป็นห่วง “เธอยังมีแรงอยู่อีกเหรอหืมพาย เธอจะเดินไปไหน นั่งพักอยู่ด้วยกันดีกว่า”

วรินธรเหมือนเข้าใจในความคิดเธอ “กลัวฉันจะเหนื่อยหรือ ไม่ทันแล้วกานต์ นี่ก็ปวดขาปวดหลังจะแย่”

คงจะเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธอไม่รู้สึกผิดเหมือนคำพูด หากจะมองหาความจริงใจของพาย ไม่ควรฟังแค่คำพูด ควรมองหน้าหล่อนด้วย แล้วจะรู้ความจริง กานต์ชนิตรั้งแขนดึงวรินธรเข้าใกล้ ดึงเข้ามากอดเอวแน่นๆ วรินธรร้องหืมอย่างแปลกใจ “กานต์ นี่เธอจะทำตัวเหมือนเด็กติดแม่เกินไปแล้ว”

เธอขำแต่ก็ไอออกมาเพราะคอแห้ง วรินธรดึงมือเธอออกเบาๆ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ฉันแบกใคร เคยแบกไอ้เจฟหนหนึ่งตั้งไกล ไอ้เจฟตัวขนาดไหนเธอก็เห็น คราวนี้เธอเลิกทำตัวงอแงสงสารฉันอย่างพร่ำเพรื่อได้แล้ว แค่นี้สบ๊าย ทนไหว”

กานต์ชนิตขมวดคิ้ว ดึงมือคนพูดพลางส่ายหน้า วรินธรถอนหายใจ เอ่ยสั่ง “หลับตานะกานต์แล้วนับหนึ่งถึงห้าร้อย ครบห้าร้อยเมื่อไหร่เธอลืมตา ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้”

เมื่อหล่อนเอาจริงเอาจังเธอจะทำอย่างไรได้

กานต์ชนิตปล่อยให้หล่อนผละไปและนับตามดังหล่อนว่า จนกระทั่งถึงห้าร้อย จึงเห็นวรินธรเดินเร็วๆ เข้ามาหา หล่อนมีรองเท้าแตะใส่แล้วและในมือก็ถือขวดน้ำเปล่ากับห่ออาหารสองสามห่อ ข้าวของเล็กน้อยจุกจิกซึ่งเธอไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างกองอยู่ก้นถุงพลาสติกถุงเล็ก

“เธอเสกของพวกนี้มาได้ยังไงนะ”

คนฟังยิ้ม เปิดขวดน้ำแตะริมฝีปากให้เธอจิบ “มือถือฉันไง ที่จริงมันเสียตั้งแต่ตอนกระโดดลงไปในถังเก็บน้ำ แต่ฉันบอกเด็กวัยรุ่นว่าแบตหมด ขายให้ราคาถูก”

นั่นไง หล่อนมีวิธีหามาจนได้

“มือถือนั่นไม่ได้เก็บข้อมูลสำคัญของเธอไว้เหรอ”

คนฟังเปิดห่อข้าว เป็นข้าวหน้าหมูแผ่นแห้งๆ ปริมาณไม่มาก ตักส่งให้เธอ บังคับให้เธออ้าปากเคี้ยวอีกด้วย “มันตั้งรหัสความปลอดภัยไว้ ถ้าใครพยายามแฮก ระบบจะลบข้อมูลในเครื่องออก เรื่องนั้นก็เลยไม่มีปัญหา”

วรินธรตอบพร้อมกับตักข้าวห่อเดียวกันเข้าปากตัวเองบ้าง ข้าวนั่นไม่ได้อร่อยเลยสักนิด แต่ท่าทางการกินของพายก็ดูอร่อย หล่อนเป็นคนที่อยู่ได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ

“แล้วทีนี้จะติดต่อกับพวกเพื่อนเธอยังไงล่ะ”

“เดี๋ยวก็มีวิธี” สีหน้าวรินธรมั่นใจ และความมั่นใจประเภทนั้นเองต่อเติมความหวังให้เธอไม่หดหู่เกินไป ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเพื่อนร่วมทีมของพายถึงฮึกเหิมคึกคักเวลามีพายร่วมในแผน คนคนนี้มีทั้งความเข้มแข็ง สู้ชีวิตและอดทน หล่อนเหมือนหญ้าที่ต่อให้เหยียบย่ำเท่าไหร่ก็ไม่ตาย แถมยังสามารถแผ่ตัวเองกระจายไปตามพื้นดินได้อย่างเหนียวหนึบอีกด้วย อะไรกันหนอหล่อหลอมให้พายเป็นพายในปัจจุบัน

ตอนนี้คนที่เธอเปรียบดั่งหญ้ากำลังดึงของวิเศษอันใหม่ออกมาคลี่คลุมบนไหล่เธอ มันคือเสื้อสีหม่นเนื้อหนา ได้กลิ่นเหม็นอับฉุนจากเสื้อผืนนั้น วรินธรนั่งข้างกันพลางกอดกระชับเธอไว้ “ทนเอาหน่อย ถึงมันไม่หอมแต่ก็ทำให้ตัวอุ่น ฉันแอบไปหยิบของนายสถานีมาน่ะ เธอไม่ต้องว่าฉันเรื่องเป็นขโมยเลยนะ เพราะฉันมีอาชีพนั้นอยู่แล้ว”

ความอุ่นทำให้เธอให้อภัยหล่อนง่ายดาย เอนพิงร่างนั้นพลางหลับตา จริงของพาย เมื่อลมฝนพัดมา เสื้อตัวนี้ช่วยเหลือได้มาก วรินธรพาพยุงเธอขึ้นรถไฟ หล่อนมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกของอาสินตามขึ้นมาบนรถขบวนนี้จึงเลือกที่นั่งหนึ่งที่ดูสะอาดตา นั่งเอนพิงพนักแข็งๆ จนเธอนิ่วหน้า รถไฟขยับเคลื่อนต่อ โยกเยกไปมา คนข้างกันดึงเธอให้นั่งพิงซ้อนหล่อนไว้พยุงไม่ให้หลังของเธอชิดพนักและสองแขนก็โอบรัดร่างเธอจึงไม่โยกไปตามแรงรถ

กานต์ชนิตแนบใบหน้าพิงซอกคอของพาย ประสานกอดแขนสองข้างของอีกฝ่ายบนเอวของตัวเองไว้ แม้การเดินทางทำให้เจ็บแผลอยู่มาก ข้างนอกฝนตกกระหน่ำไม่ขาดสาย พัดไอเย็นชื้นปลิวตามสายลมปะทะเนื้อตัวจนผวาเป็นบางคราว แต่อ้อมแขนและลำตัวของคนข้างเธอนั้นกลับมอบความอุ่นใจมหาศาลแผ่คลุม

................................................................................................... จบบทที่ ยี่สิบแปด Escape

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.