web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 382
Most Online Ever: 440
(28 เมษายน 2024 เวลา 03:05:22 )
Users Online
Members: 0
Guests: 368
Total: 368

ผู้เขียน หัวข้อ: ดอกคาร์เนชั่นต้องห้าม (ฉบับปรับปรุง) บทที่ 1  (อ่าน 4130 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74




บทที่ 1

"ฮัลโหล" เสียงปลายสายติดงัวเงียเล็กน้อย

"อิง นี่หนึ่งเอง" หญิงสาวโทรหาเพื่อนสนิทในเช้าวันรุ่งขึ้น หล่อนมีเรื่องจะขอร้อง

"อ้าวหนึ่ง มีไรรึเปล่าโทรมาแต่เช้าเลย" เสียงใสไม่มีแววขี้เล่นเหมือนเคย

"อิงจะไปมหา'ลัยวันไหน" เธอถามเลียบๆ เคียงๆ

"พรุ่งนี้อ่ะ คงสักสายๆ แหละขี้เกียจตื่นเช้า" ปลายสายมีแววลังเลเล็กน้อย

"อิง หนึ่งติดไปด้วยได้ไหม" เสียงหล่อนอ้อนเล็กน้อยโดยจงใจ รู้ว่าอีกฝ่ายใจดี

"ได้สิ ก็เรียนที่เดียวกันอยู่แล้วนี่" นันทวรรณนึกออกว่าอีกฝ่ายคงต้องยิ้มแน่ๆ เวลาพูดแบบนี้

ขวัญฟ้าใจดีกับเธอมาก เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของหล่อน เวลาไปไหนก็ไปด้วยกันตลอดจนโดนล้อว่าเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้ หล่อนชอบนิสัยง่ายๆ สบายๆ เวลาอยู่ด้วยแล้วมีความสุข อิงเป็นคนตลก สนุก ชอบพูดขำๆ ให้เธอไม่เครียด ที่สำคัญไม่เคยดูถูกฐานะทางบ้านของหล่อนเลยสักครั้ง ไม่เหมือนกับเพื่อนบางคนที่พอหญิงสาวบอกว่าพ่อรับจ้างขนของก็ทำหน้ารังเกียจใส่ทันที

"ขอบคุณนะ" หนึ่งเอ่ยเสียงใสกังวาน

"อือ ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย อิงเข้าใจ" เพื่อนสาวรู้ว่าหล่อนเพิ่งเสียพ่อไป อิงเป็นหนึ่งในคนที่มาช่วยตลอดงาน ทั้งเสิร์ฟน้ำ ทำข้าวต้มแจก ฯลฯ

"โอเค งั้นพรุ่งนี้สัก 10 โมงเจอที่บ้านอิงนะ หนึ่งเอาของไปไม่เยอะหรอก" เธอนัดแนะเวลาเองเสร็จสรรพ เพราะคิดว่าน่าสายพอ

"อือ โอเค บาย" ปลายสายวางไปแล้วหล่อนถอนหายใจกับธุระอีกมากมายที่ต้องจัดการ



เกือบเดือนแล้วที่หญิงสาวอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย หล่อนเริ่มปรับตัวกับการเรียนที่นี่ได้แล้ว และเว้นว่างจากกิจกรรมต่างๆ สำหรับน้องใหม่ เธออยากตามหาแม่และพี่ ขวัญฟ้ามีท่าทีเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด แต่นันทวรรณคิดว่ามันเป็นการกังวลเกินเหตุ เพื่อนสาวมักจะคิดมากและชอบกลัวทุกอย่างก่อนที่จะเกิดขึ้น

"จะไปจริงๆ เหรอหนึ่ง" อิงถามเธอขณะที่สะพายเป้เตรียมออกไปค้นหาครอบครัวที่เหลืออย่างที่ตั้งใจ

"ใช่" หล่อนพยักหน้าตอบ

"ต้องระวังตัวนะ พวกหลอกลวงเดี๋ยวนี้เยอะจะตาย" สาวอวบผิวขาวย่นคิ้ว

"อือ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้" ปากบางสีชมพูยิ้ม เข้าใจความวิตกของเพื่อนรัก

"เราว่าอย่าไปเลยเหอะ" อีกฝ่ายยังคงพยายามเปลี่ยนใจเธอให้ได้

"หนึ่งไม่เหลือใครแล้วนะอิง นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ หนึ่งต้องไป" หล่อนยืนยันและเดินออกจากห้องมา




ตะวันยามรุ่งอรุณสาดแสงสีทองปนส้ม เป็นแสงที่ไม่ร้อนแรงเกินไปนักเหมือนยามกลางวัน เด็กสาวคงจะชอบมากกว่านี้ถ้าหล่อนได้อยู่บ้าน

เธอหาที่อยู่คร่าวๆ ของแม่และเส้นทางจากอินเทอร์เน็ตไว้แล้ว ในที่สุดเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงหล่อนก็มายืนที่หน้าปากซอยที่มีป้ายบอกชื่อถนนเดียวกับในใบสูติบัตร หนึ่งเรียกวินมอเตอร์ไซต์แล้วยื่นกระดาษที่จดบ้านเลขที่ไปให้

นันทวรรณบอกให้รถจอดก่อนถึงบ้าน เด็กสาวแอบกลัวอยู่เล็กน้อย หล่อนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง หรือแม้แต่คนที่อยู่ในบ้านจะใช่ครอบครัวเธอรึเปล่า เพราะทุกอย่างผ่านมาได้สิบกว่าปีแล้ว มีโอกาสที่แม่และพี่สาวจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

สาวผมดำยาวรูปร่างสมส่วนกำลังรดน้ำต้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจและมีความสุข เธอมองเท้าขาวๆ ที่ไม่ได้ใส่อะไรไว้ป้องกันเกินไปตรงนู้นตรงนี้เหมือนกับการเต้นระบำ ใบหน้าสวยๆ นั้นแย้มยิ้ม หล่อนไม่เคยเห็นใครงดงามแบบนี้เลย มันทำให้หัวใจกระตุกแปลกๆ



เมื่อรดน้ำต้นไม้เสร็จ หญิงสาวเพิ่งเห็นว่ามีเด็กสาวรูปร่างผอมบางหน้าตาน่ารักคนหนึ่งมองดูอยู่ มองเหม่อเหมือนกับว่าเจออะไรน่าประหลาดใจ เธอรู้สึกเก้อเขินเมื่อนึกถึงพฤติกรรมของตัวเองเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา หล่อนมองนัยน์ตาสีดำสวยก่อนเรียก

"น้องคะ" เสียงหวานตะโกนเล็กน้อย

"คะ" อีกฝ่ายเหมือนเพิ่งได้สติ

"มีธุระอะไรรึเปล่าคะ" สาวสวยถาม จ้องคนตรงหน้า

"เอ่อ...คือว่า" สาวน้อยตะกุกตะกัก ผิวหน้าขาวๆ เริ่มขึ้นสีเหมือนเก้อเขิน มือไม้เก้ๆ กังๆ

"ว่าไงคะ" ปากรูปกระจับพูดกระตุ้น มองดูปากบางเม้มอย่างชั่งใจในอะไรบางอย่าง

"เอ่อ...นี่ใช่บ้านคุณศศิการไหมคะ" เสียงใสกังวานถามด้วยความไม่มั่นใจ

"ใช่ค่ะ" คิ้วเรียวขมวดในทันที อีฟสงสัยว่าทำไมเด็กน้อยคนนี้ถึงถามหาแม่ของเธอ คนตรงหน้าอายุน้อยกว่าหล่อนน่าจะ 2-3 ปีเห็นจะได้ เด็กคนนี้รู้จักแม่เธอได้อย่างไร ปกติแม่เป็นคนเก็บตัวแทบจะไม่สุงสิงกับใครเลยด้วยซ้ำ

"ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับคุณศศิการคะ" หล่อนถามหยั่งเชิง พยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง

"คือว่าท่านเป็นแม่ของฉันนะค่ะ" คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ตาสีดำสวยนั้นแสดงความรู้สึกหลากหลาย อยากรู้ รอคอย คาดหวัง

อรสามองคนตรงหน้าอย่างตะลึงหลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอมีน้อง หล่อนเป็นลูกคนเดียว และแม่ก็ไม่เคยพูดเลยว่ามีน้องอยู่ หญิงสาวคิดว่าบางทีคงต้องคุยกันยาว หล่อนชั่งใจบางทีคนตรงหน้าอาจเป็นพวกหลอกลวงก็ได้ สมัยนี้คนเราไว้ใจกันยาก แม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะดูเหมือนไม่ใช่ก็ตาม

"เข้ามาข้างในก่อนค่ะ" สาวตาคมเปิดประตูรั้วเชิญ

เธอนำอีกฝ่ายไปนั่งที่ม้าหินข้างกำแพง หญิงสาวจะไม่มีวันให้คนที่ไม่รู้จักกันเข้าบ้านอย่างเด็ดขาด มันอันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียว ปกติแล้วหล่อนจะไม่เชิญใครเข้าบ้านเลย มักจะยืนคุยกันผ่านรั้วมากกว่า เพราะแม่เธอสอนมาแบบนี้ สอนว่าอย่าไว้ใจใคร ไม่ใช่คนทุกคนที่จะเป็นคนดีไว้ใจได้

"น้อง...เอ่อคุณมีหลักฐานอะไรมายืนยันคะว่าคุณศศิการเป็นแม่ของคุณ" หล่อนเปิดการสนทนาต่อจากเมื่อสักครู่ทันทีที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เธอหลีกเลี่ยงเรียกคำว่าน้อง มันรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องใช้คำนั้นเมื่สถานการณ์เป็นแบบนี้

"นี่ค่ะ" สาวจมูกรั้นค้นเป้สีน้ำเงินที่ติดตัวมา ก่อนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเคลือบไว้อย่างดีส่งให้หล่อน พร้อมกับหยิบบัตรประชาชนจากกระเป๋าสตางค์ส่งมาให้คู่กัน

อรสามีความรู้สึกสองอย่างในเวลาเดียวกันทั้งอยากรู้และหวั่นใจ เธออ่านเอกสารก่อนเป็นอันดับแรกพบว่ามันเป็นใบสูติบัตร ลายเส้นที่เขียนด้วยปากกาจางลงเล็กน้อยตามกาลเวลา หล่อนไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ จนถึงชื่อของพ่อแม่เด็ก หัวใจรัวแรงอยู่ในอกอย่างไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะชื่อที่ปรากฏคือชื่อของแม่หล่อน ส่วนชื่อพ่อก็เป็นชื่อเดียวกับที่เธอรู้เพียงแต่นามมาหลายปี หญิงสาวก็มีใบสูติบัตรแบบเดียวกันนี้ในห้องนอน เพียงแต่มันเป็นชื่อของเธอ

หล่อนพยายามบอกให้ตัวเองสงบจิตสงบใจ แต่มันยากเหลือเกิน เธอย้อนสายตากลับไปดูรายละเอียดข้างบนอีกครั้งหนึ่ง เด็กคนนี้เป็นลูกคนที่สอง เกิดห่างจากเธอแค่สองปีเท่านั้นเอง

สาวสวยหยิบบัตรประชาชนจากบนโต๊ะหินขึ้นมาเปรียบเทียบชื่อ 'นันทวรรณ ดลวิจิตร' ชื่อ-นามสกุลตรงกัน ส่วนหน้าหล่อนมองในบัตรแข็งเทียบกับเด็กน้อยตรงหน้าที่นั่งกระสับกระส่ายเล็กน้อยอย่างรอคอย และพบว่ามันเหมือนกัน หล่อนกำลังต้องยอมรับความจริงอย่างยากลำบาก



"เอ่อ คุณแม่ของฉันอยู่ที่นี่รึเปล่าคะ" หนึ่งถามออกไปอย่างไม่สามารถกลั้นความรู้สึกต่อไปได้ เธอเดาว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นคนรับใช้หรือไม่แน่อาจจะเป็นคนที่ย้ายมาอยู่ใหม่ก็ได้ สาวสวยผมดำยาวคงกลัวว่าหล่อนจะเป็นพวก 18 มงกุฏ จึงอยากดูหลักฐานเพื่อความแน่ใจ

คนตรงหน้าเงียบ ใบหน้าสวยดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่างอย่างหนัก คิ้วเรียวหนาขมวดแทบจะชิดติดกัน ความกลัววาบขึ้นมาในอกนันทวรรณ หล่อนกลัวว่าแม่จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

"ท่านเสียไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้วค่ะ เสียเพราะหัวใจวายกระทันหัน" เสียงอีกฝ่ายมีความเศร้าแฝงอยู่เล็กน้อย

สาวน้อยน้ำตาปริ่ม หล่อนมาช้าไป...หลายปี ความหวังเลือนหายไป ครอบครัวที่เหลืออยู่ของเธอคงไม่ได้เจออีกแล้ว แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้

"เอ่อ...แล้ว...ลูกของแม่ฉันอีกคนล่ะคะ พี่ของฉันคุณรู้ไหมคะว่าอยู่ไหน" หล่อนถาม มองตาสีน้ำตาลอ่อนที่มีความอ่อนโยนนั้นอย่างฝากความหวังสุดท้ายไว้ คนหน้ารูปไข่ตรงหน้ายิ้ม



หญิงสาวยิ้มด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป หล่อนไม่ได้ยิ้มกว้าง แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดูในความใสซื่อของอีกฝ่าย เด็กน้อยทำหน้าเหมือนคนหลงทาง เหมือนว่าเธอเป็นแสงไฟสุดท้าย คนหน้าคมไม่พูด เพียงแต่ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง หล่อนไม่รู้จะพูดอย่างไร

เด็กสาวอ้าปากเหมือนไม่คาดคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น ตาดำเปิดกว้างอย่างประหลาดใจเต็มที่ แถมทำหน้าเหมือนคิดว่าตัวเองหูฝาด อย่าว่าแต่นันทวรรณเลย หล่อนเองก็ตกใจแทบไม่ต่างกันเมื่อรู้ความจริงสักครู่ที่ผ่านมา จริงๆ แล้วมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเธอไม่รู้เลยว่ามีน้อง อย่างน้อยคนตรงหน้าก็รู้มาก่อนแล้วว่ามีพี่

"เราเป็นพี่น้องกัน" คิ้วบางเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างต้องการคำยืนยันให้มั่นใจ

"ค่ะ" อรสายืนยันด้วยรอยยิ้ม

"รอแปบหนึ่งนะ" หล่อนเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับหยิบบัตรประชาชนของตัวเองจากกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้หน้ากระจกออกมา

เธอเดินกลับมานั่งที่โต๊ะและยื่นหลักฐานของตัวเองให้อีกฝ่ายดู มันยุติธรรมที่น้องสาวคนใหม่จะได้เห็นสิ่งยืนยันของหล่อนบ้างเป็นการแลกเปลี่ยน

"ฉัน...เอ่อพี่...อยากถามเรื่องพ่อ น้องอยู่กับพ่อใช่ไหม" สาวมั่นถามด้วยความอยากรู้

"ใช่ค่ะก่อนหน้านี้" เสียงใสเศร้าขึ้นมาในทันที หน้าเหมือนอยากจะร้องไห้อยู่รำไร

"มีอะไรรึเปล่าคะ" หล่อนถาม และคนตรงหน้าก็เล่ามันออกมา



หญิงสาวผมดำยาวประบ่านุ่งกางเกงขาสั้นเสื้อยืดสีขาวกำลังนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านสีขาวหลังเล็ก หล่อนนั่งกับพื้นกระเบื้องมันเงาหลังพิงกำแพงพลางเปิดหนังสือนิยายที่สภาพค่อนข้างเก่าเนื่องจากผ่านการอ่านมาหลายครั้ง

นันทวรรณละจากหน้ากระดาษหนังสือมามองดูนาฬิกาบนข้อมือเรือนเก่าก็พบว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว พ่อของหล่อนสาย เมื่อเช้าก่อนที่พ่อจะออกไปทำงานได้บอกกับเธอว่าจะกลับมาทานข้าวกลางวันด้วยกัน อยากใช้เวลาอยู่กับหล่อน เพราะอีกไม่กี่วันหญิงสาวต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แม้จังหวัดนนทบุรีจะอยู่ไม่ไกล แต่ก็คงไม่มีโอกาสบ่อยนักที่จะกลับมาบ้าน เธอยังไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยตะโกนเรียก

"หนูหนึ่งๆ" ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมวิ่งตรงมาที่บ้านพร้อมกับร้องเรียก

"ดีค่ะลุงอ้วน ค่อยๆ พูดค่อยๆ จานะคะ" หนึ่งบอกขณะที่เดินออกไปหาเมื่อเห็นคนคุ้นเคยยืนเหงื่อท่วมตัวหน้าแดงก่ำหอบหายใจแรงอยู่ที่ประตูเหล็กหน้าบ้าน

"หนู...หนึ่ง" อีกฝ่ายพยายามเค้นเสียงพูดสลับกับหายใจแรงๆ

"สูดหายใจแรงๆ นะคะลุง" หล่อนพยายามช่วยพลางทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ลุงอ้วนปาดเหงื่อออกจากเปลือกตาแล้วทำตาม

"พ่อหนู...โดนรถชน...ที่หน้าปากซอย" ชายหัวเกือบล้านพูดตะกุกตะกักด้วยความลำบากใจ สีหน้าแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

สาวน้อยอ้าปากค้าง หัวใจที่อกข้างซ้ายเต้นรัวแรงเหมือนจะออกมาข้างนอก เธอไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่พ่อของหล่อนอย่างแน่นอน

"หนูหนึ่งทำใจดีๆ นะ ไปกับลุงเถอะ ไปดูพ่อหนาน" เมื่ออีกฝ่ายพูดหล่อนจึงได้สติรีบเปิดประตูบ้านแล้ววิ่งออกไปไม่รอคนที่เอาข่าวมาบอก

น้ำตาเธอไหลเป็นทาง ภาวนาให้ไม่ใช่พ่อหนาน พ่อของเธอขับรถอย่างระมัดระวังเสมอ ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุสักครั้ง พ่อเคยพูดว่ามันไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตและรถที่ต้องใช้ทำมาหากินไปแลกกับการขับตามอารมณ์ไม่มีสติ

ขาของสาวน้อยหยุดทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า เจ้าหน้าที่กำลังเข็นรถที่มีพ่อของหล่อนนอนนิ่งอยู่เข้าไปในรถพยาบาล เสียงไซเรนดังก้องไปทั่ว ผู้คนมุงรอบๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ขาหล่อนสั่นระริกขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะขึ้นรถตามไปด้วย

เจ้าหน้าที่พยายามปั้มหัวใจ หล่อนได้แต่มองหน้าของคนที่รักซึ่งเต็มไปด้วยเลือด มันเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว เสื้อเชื้อสีน้ำเงินซีดแขนสั้นดำมีสีคล้ำจากน้ำสีแดงเป็นวงใหญ่ๆ ทั่วไปหมด

เมื่อถึงโรงพยาบาลเตียงถูกเข็นไปที่ห้องฉุกเฉินทันที เธอนั่งรออยู่ที่ม้านั่งพลาสติกสีฟ้าหน้าห้อง หญิงสาวภาวนาทั้งน้ำตา ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่ขอให้พ่อหล่อนฟื้นขึ้นมา



งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เพื่อนบ้านและเพื่อนของพ่ออย่างลุงอ้วนกับภรรยาช่วยทำเกือบทุกอย่าง หล่อนไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไร เหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจจึงช่วยอย่างเต็มที่ เธอเริ่มที่จะทำใจได้มากขึ้นเมื่อวันที่สามของการสวดศพ หญิงสาวนึกได้ว่างานแบบนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายจึงถามจากลุงอ้วน ชายสูงวัยใจดีบอกว่าจะออกให้ หล่อนไม่ยอม ขอร้องอยู่สักพักจึงได้คำตอบที่ทำให้เธอกลุ้มใจ เพราะค่าใช้จ่ายรวมเกือบหมื่นบาท

หญิงสาวไม่เคยจับเงินมากขนาดนั้นมาก่อน ฐานะทางบ้านหล่อนถือว่าพอกินพอใช้เพราะพ่อและหล่อนช่วยกันทำงานหาเงิน พ่อต้องตื่นแต่ตีห้าไปที่ตลาดรับผักผลไม้จากพ่อค้าแม่ค้าแล้วขับรถกระบะไปส่งตามที่จ้าง ส่วนหล่อนก็รับจ้างทั่วๆ ไปในวันหยุดซึ่งได้เงินครั้งละไม่กี่ร้อยบาท ขนาดบ้านเล็กๆ หลังนี้กว่าพ่อจะผ่อนหมดก็ตั้งเกือบสิบปี

เธอกลับมาถึงบ้านตอนห้าทุ่มกว่าๆ บ้านเงียบสงบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง น้ำตาปริ่มออกมาเมื่อคิดว่าต่อไปนี้หล่อนไม่เหลือใครอีกแล้ว ไม่มีแล้วพ่อที่รักและดูแล ไม่มีอ้อมกอดที่รักใคร่ห่วงใย ไม่มีคำพูดให้กำลังใจ ไม่มีอะไรเลย

นันทวรรณอยากร้องไห้ แต่เธอกัดฟันกลั้นน้ำตา เพราะสัญญาต่อหน้าศพพ่อตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ว่าต่อจากนี้เธอจะพยายามเข้มแข็ง พ่อไม่ต้องเป็นห่วง

ร่างบางตรงไปยังห้องของชายผู้ล่วงลับ หล่อนจำได้ว่าเอกสารสำคัญทุกอย่างเก็บไว้ในกระเป๋าหนังใบเก่าสีดำซีดซึ่งอยู่บนตู้เสื้อผ้า เธอปีนเก้าอี้หยิบลงมา ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพ่อของหล่อนเพิ่งเปิดกระเป๋าเมื่อไม่นานนี้

ภายในนั้นมีทั้งสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน โฉนด ฯลฯ และที่ก้นกระเป๋าก็มีสมุดบัญชีหลายเล่ม หล่อนเปิดดูหวังในใจว่าจะมีเงินมากพอ เมื่อเห็นตัวเลขที่รายการสุดท้ายก็ต้องตกใจ เพราะไม่ใช่แค่หลักหมื่นที่ต้องการแต่มีเงินหลักแสน เล่มอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน รวมแล้วล้านกว่าบาท สมุดของทุกธนาคารเป็นชื่อของนันทวรรณ หล่อนจำได้เลือนรางว่าตอนเด็กคงสักสิบกว่าขวบได้พ่อได้พาไปเปิดบัญชี บอกว่าจะได้ให้เธอไว้ฝากเงิน

เมื่อทำงานได้เงินมาไม่ว่าจะหลักสิบหรือหลักร้อย หญิงสาวก็ให้พ่อไปทั้งหมดไม่มีเก็บไว้เอง เพราะอยากช่วย รู้ว่าพ่อทำงานเหนื่อยทุกวัน ไม่นึกว่าพ่อของหล่อนจะรวบรวมเงินของเธอและของพ่อเองจนได้เงินจำนวนมากขนาดนี้

หยาดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่หล่อนว่าจะไม่ร้องไห้แล้วแต่ก็อดไม่ได้ พ่อคงเก็บไว้ให้เธอเรียนมหาวิทยาลัย หนึ่งรู้ว่าค่าใช้จ่ายแต่ละเทอมเยอะมาก หญิงสาวเคยคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาและรุ่นพี่หลายคน แน่นอนเธอตั้งใจว่าจะหางานพิเศษทำเหมือนที่ผ่านมา แต่เมื่อบอกพ่อกลับได้รับคำตอบว่า

"พ่ออยากให้ลูกตั้งใจเรียน ตั้งใจใฝ่หาความรู้ใส่ตัว จบไปจะได้ทำงานดีๆ มีอนาคต ไม่อยากให้ลูกต้องเอาเวลาเรียนมาทำงาน เรื่องเงินลูกไม่ต้องห่วง เชื่อพ่อนะ" สาวน้อยแอบดื้ออยู่ในใจตอนนั้นว่าถ้าทำงานเวลาว่างๆ พ่อคงไม่รู้ เพราะอยู่คนละจังหวัดกัน

บัดนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมพ่อหนานถึงพูดอย่างนั้น หล่อนซาบซึ้งในสิ่งที่พ่อทำให้ และจะไม่ทำให้พ่อต้องเสียใจในเรื่องนี้เป็นอันขาด เธอจะตั้งใจเรียนและจะใช้เงินจากหยาดเหงื่อของพ่อทุกบาททุกสตางค์อย่างประหยัด



ไฟอันร้อนแรงกำลังเผาไหม้อยู่ภายในเมรุ ในตอนแรกนั้นหนึ่งเพียงแต่น้ำปริ่มตา แต่ต่อมาหล่อนถึงกับสะอื้นจนแทบตัวโยน สะอื้นทั้งที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ลุงอ้วนและภรรยากอดปลอบ ทั้งสองคนตาแดงเหมือนจะร้องไห้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ผู้สูงวัยทำใจและสะกดกลั้นได้มากกว่า

"เข้มแข็งนะลูกนะ พ่อหนานเขาไปดีแล้ว" หล่อนรวดร้าวในใจจนไม่อาจพูดคำใดออกมาได้

ของชำร่วยคือแม่เหล็กติดตู้เย็นซึ่งมีรูปของพ่อหนานพร้อมกับคำพูดต่างๆ เช่น คนเราควรทำได้ทุกอย่างยกเว้นทำให้คนที่เรารักเสียใจ, คนดีควรจะต้องภูมิใจ เพราะเป็นคนดีมันยาก คนเลวเป็นง่าย ฯลฯ หญิงสาวอยากให้ทุกคนรวมถึงหล่อนได้ฟังคำพูดของพ่อตลอดไป และได้ใช้ประโยชน์จากของมากกว่าเอาไปเก็บไว้

"หนูหนึ่ง" เสียงทุ้มเอ่ยเรียก

"คะ" หล่อนหันไปมองและขานรับ

"พ่อหนานเขารักหนูมาก ลุงเองไม่มีลูกมีหลาน ถ้าหนูไม่รังเกียจมีอะไรก็บอกลุงได้นะ ลุงจะช่วยเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ" แววตาชอบชายสูงอายุมีความจริงใจและเอื้ออาทรอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

"ขอบคุณค่ะลุง หนูจะจำไว้ค่ะ" เธอยิ้มเศร้า

"เออ ลุงเกือบลืมไป ไว้หนูว่างๆ ก็มาหาลุงบ้างนะ ลุงมีเรื่องจะคุย"

"ได้ค่ะลุง" หญิงสาวรับปาก

"บุญรักษานะลูกนะ" ลุงอ้วนให้พรก่อนที่จะหันหลังลงศาลาไป เธอยืนส่งแขกจนคนสุดท้ายก่อนจะกลับบ้าน



หล่อนเสียใจที่ไม่มีโอกาสเห็นหน้าพ่อ ก็คงเหมือนกับน้องสาวตรงหน้าที่ไม่มีโอกาสเห็นหน้าแม่ การอยู่โดยขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง เธอเข้าใจความรู้สึกได้ดี หญิงสาวลุกไปนั่งข้างๆ และกอดปลอบอีกฝ่ายพร้อมกับลูบหลัง หล่อนจะทำหน้าที่แทนพ่อและแม่ให้กับน้องสาวเอง เธอเองก็ไม่เหลือใครนอกจากคนในอ้อมกอดแล้วเช่นเดียวกัน หลังจากปล่อยอีกฝ่ายทำใจอยู่พักใหญ่ อรสาจึงพูดทำลายความเงียบและความโศกเศร้าที่เกิดขึ้น

"เรามาแนะนำตัวกันดีไหมคะ" หล่อนมองหน้าน้องสาว

"ค่ะ...พี่" คำว่าพี่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด คงเพราะมันทำให้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตรเหมือนที่เคยเป็นเสมอมา ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกัน

"พี่ชื่ออีฟนะ อายุ 20" สาวสวยแนะนำตัวอย่างขัดเขินเล็กน้อย

"หนูชื่อหนึ่งค่ะ อายุ 18" หล่อนพยักหน้ารับรู้ น้องสาวเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ

"แล้วตอนนี้เรียนที่ไหนคะ" เธอถามต่อ อยากรู้รายละเอียดให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อไป

"เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยก. ได้ค่ะ เรียนมาเดือนหนึ่งแล้ว" เด็กสาวแจกแจง

"อืม พี่ก็เรียนที่เดียวกัน แต่อยู่ปี 3 แล้วค่ะ" หล่อนยิ้ม

"ตอนนี้พักอยู่ที่ไหนคะ บ้านหรือหอพัก" เธอถามอีก

"หอพักค่ะ บ้านอยู่ที่นนฯ ไปกลับหนึ่งคงไม่ไหว" เสียงใสกังวานบอกเหตุผล หญิงสาวชอบน้ำเสียงอีกฝ่าย

"แล้วค่าใช้จ่ายล่ะ เอาจากไหน" อรสาเป็นห่วง อย่างน้อยถ้าทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือน้องคนเดียว หล่อนก็จะทำ

"อ่อ พ่อทิ้งเงินไว้ให้น่ะค่ะ เยอะเหมือนกัน" สาวสวยเบาใจขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยหนึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่จะปล่อยไว้ให้อยู่อย่างนั้นหล่อนคงจะยอมไม่ได้

"มาอยู่กับพี่นะ" เธอพูดออกไป แกมบังคับเล็กน้อย

"เอ่อ" นันทวรรณดูลังเลไม่แน่ใจ หล่อนเข้าใจ คนเพิ่งรู้จักกันถึงแม้จะเป็นพี่สาวก็ตาม

"มาอยู่กับพี่เถอะ เราจะได้รู้จักกันให้มากกว่านี้ พี่อยากดูแลหนึ่งด้วย พี่เองก็ไม่เหลือใครเหมือนกัน" อรสาบอกเหตุผล

"ค่ะพี่อีฟ" เด็กน้อยตกลง

"งั้นเราไปขนของมาบ้านกัน" อีฟลุกขึ้นเดินไปหยิบกุญแจรถในบ้าน



"ตึกนี้ค่ะพี่อีฟ" หนึ่งชี้ที่อาคารสี่เหลี่ยมสีส้มอมชมพู

เธอลดความเร็วของรถลง พลางมองหาที่จอดที่ไม่ไกลจากตัวตึกมากนักเพือที่จะได้ไม่ลำบากเวลาขนย้ายข้าวของ

เมื่อลงจากรถ น้องสาวคนใหม่ก็เดินนำลิ่วๆ ไปยังห้องพักทันที โชคดีที่เธอขายาวจึงก้าวตามทันได้ไม่ยากนัก

'ก๊อก ก๊อก ก๊อก' เสียงเคาะประตูดังก้องไปตามทางเดินที่เงียบสงบ

'แอ๊ดดด' ประตูถูกเปิดออกจากข้างใน

"หนึ่ง เป็นไงบ้าง" สาวผิดขาวร่างอวบเข้ามากอดนันทวรรณอย่างสนิทสนมและเป็นห่วงเป็นใย โดยไม่ได้มองว่าหล่อนยืนอยู่ข้างหลังเพื่อนสาวแต่อย่างใด จริงๆ แล้วดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจใครนอกจากคนตัวเล็กเลย

"เอ่อ ปล่อยก่อน" สาวน้อยตะกุกตะกักบอกเพื่อน

"อิงค่ะ เป็นRoommateแล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของหนึ่งตั้งแต่ม.ต้นค่ะ" หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ คนตัวเล็กจึงพูดต่อ

"นี่พี่อีฟ พี่สาวของหนึ่งเอง" เด็กน้อยแนะนำด้วยรอยยิ้มภูมิใจ ทำให้หล่อนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

"สวัสดีค่ะ" เด็กสาวยกมือไหว้ เธอจึงรับไหว้

"พี่อีฟจะมารับหนึ่งไปอยู่ด้วย อิงไม่ว่านะ" เด็กน้อยถามเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอ้อนเล็กน้อย อรสาคิดว่าน้องสาวของเธอนี่ช่างน่ารักจริงๆ ตาสีดำใสเหมือนกวาง เสียงเหมือนระฆังก้องกังวาน แล้วไปทำหน้าตาแบบนั้นใส่ใคร มีเหรอจะไม่ใจอ่อน ไม่แน่ไม่ช้านี้หล่อนก็คงโดนกับตัวบ้าง

"ไม่ว่าหรอก" เสียงใสมีความรู้สึกเสียดายอยู่ หล่อนรับรู้ได้ แต่เหมือนเจ้าตัวเล็กไม่รู้เรื่อง

"อิงน่ารักที่สุดเลย" สาวน้อยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงตัวกันสวย ส่วนเพื่อนยิ้มปนเศร้า เธอรู้สึกทะแม่งๆ ซะแล้วสิ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน



สองพี่น้องยกกระเป๋าคนละใบไปที่รถ เพื่อนของน้องสาวหอบหนังสือสี่ห้ามเล่มตามมา คนตัวสูงเข้าไปนั่งรออยู่ก่อนแล้วหลังจากเก็บของที่ท้ายรถเรียบร้อย ส่วนอีกคนยังคำพูดจาร่ำลาเพื่อนอยู สักพักทั้งสองก็กอดกัน ใบหน้าอวบขาวของขวัญฟ้าพริ้มอย่างมีความสุข หล่อนรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก คงเพราะหวงน้องสาวและอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าเชื่อใจได้แค่ไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 16:31:33 Admin »



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.