web stats

ข่าว

 


Apple & Cinnamon (Second Dishes)-Lesson 15 : I wanna Be With You

โพสต์โดย: anhann วันที่: 30 ธันวาคม 2016 เวลา 20:49:11 อ่าน: 367





นิยายเรื่องนี้เปิดให้จองแล้ว  สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  http://www.yuriread.com/index.php?topic=1403.msg2166#msg2166

Lesson 15 :  I wanna Be With You 




เธอมองเหม่อออกไปยังท้องทะเลแห่งตึกและที่อยู่อาศัย  ที่นี่อาจจะไม่ใช่โรงแรมที่ดีที่สุดในแวนคูเวอร์  แต่ก็ยังพอมีวิวทิวทัศน์ดีๆ ให้ได้ชื่นชมอยู่บ้าง  อย่างน้อยเธอก็ปล่อยความกังวล  ความไม่สบายใจไปกับมันได้

แอ๊บบิเกลหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเล่นไปเรื่อยเปื่อย  เธอชอบเล่นกับมันเวลาคิดอะไรเพลินๆ  มันไม่ใช่แหวนวงเดิมที่สเปนเซอร์ใส่ให้เธอวันหมั้น  แต่เป็นวงใหม่ที่มิสซิสแคมเบลล์แม่ของคู่หมั้นของเธอบังคับให้ใส่แทนวงเดิม  เพราะแต่ก่อนมันเป็นแหวนที่พ่อของสเปนเซอร์ใช้หมั้นแม่  เธอปฏิเสธไปแล้วว่ามันมากเกินไป  มันมีค่ามากเกินไป  แต่ทั้งแม่และพ่อของสเปนเซอร์ก็ไม่ยอม  ยืนยันหัวชนฝาว่า  ว่าที่ลูกสะใภ้ของพวกท่านจะต้องใส่มันเพื่อให้สมเกียรติกับวงศ์ตระกูล  ขนาดสเปนเซอร์ช่วยพูดให้ว่า  ให้พวกท่านเก็บไว้ให้แซค  ให้เขาเอาไว้หมั้นสาว  แต่พวกท่านก็ไม่ยอม  บอกว่าของแซคก็ให้หาเอาเองบ้าง  เป็นไปได้ว่า  พวกท่านอาจจะต้องการให้ความยุติธรรมกับสเปนเซอร์ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางพวกท่านมากเท่ากับพี่ชาย 

แต่พวกท่านอาจจะลืมอะไรไปอย่าง  ว่าสเปนเซอร์ได้เงินมรดกมาจากคุณย่าเท่าไหร่  เงินประกันชีวิต  เงินสดในบัญชี  บ้าน  ที่ดิน  ไม่ต้องทำงานทั้งชาติก็ยังอยู่ได้เลย  ถ้าไม่ได้ดวงซวยมากๆ  เผลอไปติดการพนันหรือไปเปย์สาวที่ไหนจนหมดตัวนะ  สาวคนที่ไม่ใช่เธอน่ะ

ก็ใช่ว่า  เงินพวกนั้นสเปนเซอร์หลานรักของคุณย่าจะได้มันคนเดียว  พี่แซคก็ได้ไปด้วยเหมือนกัน  คุณย่าก็แบ่งให้เท่าๆ กัน  แต่ที่ดูเหมือนสเปนซ์จะได้มากกว่า  ก็น่าจะเป็นบ้าน  บ้านหลังใหญ่แต่เก่าๆ หลังนี้  แซคสละสิทธิ์มันยกให้น้องสาวคนเดียว  เนื่องจากเขาไม่อยากมาอยู่ล็อกวูด  เขามีสำนักงานทนายความอยู่ในฟิลาเดลเฟียแล้ว  จึงอยากมีบ้านอยู่ที่นั่นมากกว่า  แล้วเขาก็ขายที่ดินจำนวนหนึ่งให้สเปนเซอร์เพื่อเอาเงินไปซื้อบ้านหลังที่ว่านั่น  ตอนนี้เขาก็มีเพื่อนอยู่ด้วยแล้วด้วยละ  หวังว่าคงจะเป็นคนสุดท้ายนะ

เรากลับมาจากงานเลี้ยงที่ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา  เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเกะกะน่ารำคาญพวกนั้นออกไปแทนที่ด้วยเสื้อเชิ้ตนอนตัวยาวคลุมเข่าที่ทั้งตัวเธอและสเปนเซอร์ชื่นชอบมัน  แต่เมื่อมายืนอยู่ตรงระเบียงแบบนี้  เธอก็ต้องมีเสื้อคลุมนอนที่หนาสักหน่อยมาอีกตัว  เพราะอากาศที่นี่หนาวใช่เล่น  และเครื่องทำความร้อนข้างในห้องก็คงจะส่องมาไม่ถึงนัก

สเปนเซอร์ดื่มมานิดหน่อยจากงานเลี้ยง  เพราะคนที่นั่นเหมือนจะพยายามมอมเหล้าคู่หมั้นของเธอ  หรือทดสอบความคอแข็งของคนรวย  แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องผิดหวัง  เพราะคนรวยคนนี้ไม่ได้ถนัดดื่มแต่ไวน์ที่บ่มมาในถังไม้โอ๊กเป็นร้อยปี  เบียร์ของชนชั้นกรรมกรก็ดื่มมาแล้ว  ก็ใครจะไปมองออกล่ะว่า  หน้าตาสวยๆ  ดูดีมีชาติตระกูลอย่าง  สเปนเซอร์ แคมเบลล์  เคยใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดมายังไงบ้าง  คู่หมั้นของเธอไม่ได้แค่รวยนะ  เป็นบ้าด้วย

ไม่สิ  ก็แค่เพี้ยนๆ  ไม่ค่อยอยากจะทำตัวเป็นคนรวยปกติแค่นั้นละ

สเปนเซอร์คงไม่ได้กำลังอ้วกอยู่ในห้องน้ำหรอกนะ  แต่ก็หายไปในนั้นประมาณสิบนาทีแล้ว  บอกว่าจะไปล้างหน้าแปรงฟันให้สบายตัวก่อน  จะได้นอนหลับสบายๆ  เธอก็เลยมายืนเล่นอยู่คนเดียวตรงนี้  เวิ่นเว้อเพ้อเจ้อไปตามเรื่องตามราว 

อีกไม่นาน  เธอจะไม่ได้ใส่แหวนวงนี้แล้ว  มันจะถูกเปลี่ยนเป็นอีกวงทันทีเมื่อเธอแต่งงาน  และมันก็จะถูกเก็บไว้ในกล่องสมบัติไว้สำหรับยกให้ลูกหรือหลานของพวกเธอเอาไว้หมั้นสาวคนต่อไปที่จะเข้ามาเป็นแคมเบลล์

"ยังไม่ต้องแต่งก็ได้นะ  ถ้าเธอยังไม่พร้อม"  สเปนเซอร์พูดเมื่อเดินมาแล้วเห็นสีหน้าไม่สบายใจของคู่หมั้น 

แอ๊บบิเกลจ้องตาสีน้ำตาลราวกับจะค้นหาความจริงเอาจากมัน 

"คุณคิดว่า  ฉันไม่อยากแต่งกับคุณเหรอ"

"เปล่า  แค่คิดว่า  เธออาจจะต้องการเวลาอีกหน่อย"

"คุณหรือฉันคะ  ที่ต้องการเวลา"

"นี่แหละ  ฉันถึงคิดว่า  เรายังไม่ควรจะแต่งกัน"  สเปนเซอร์พูด  มองคนอายุน้อยกว่านิดนึงแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านใน  "ฉันว่า  เธอควรกลับเข้ามาข้างในนี้นะ  ถ้ายังอยากสบายดีอยู่"

แอ๊บบิเกลขมวดคิ้วหงุดหงิด  บางทีก็อาจจะถูกของสเปนเซอร์  เธอยังไม่เหมาะจะเป็นแม่บ้านให้ใคร  เธอยังเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน  แต่เธอก็อยู่ร่วมบ้านกับคู่หมั้นมาร่วม 4 ปี  แล้วนะ  หรือนั่นมันยังไม่ใช่การอยู่ร่วมกันในฐานะคู่แต่งงานจริงๆ  แล้วมันจะต่างกันตรงไหน

"ฉันไม่เข้าใจ  ทุกวันนี้  เราไม่เหมือนแต่งงานกันแล้วเหรอ"  เธอถามหลังจากเดินตามอีกคนเข้ามาในห้อง  และปิดประตูกระจกกั้นตรงระเบียงกับห้องพักเรียบร้อยแล้ว

"แค่คล้ายๆ น่ะ"  สเปนเซอร์ตอบ  ก้าวขึ้นเตียง  และสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม  แต่ยังกางมันไว้รอให้อีกคนขึ้นตามเข้าไปซุกตัวข้างๆ

"ยังไง"  แอ๊บบิเกลซัก  พลางทำจมูกฟุดฟิดทดสอบกลิ่นคู่หมั้นว่ายังหลงเหลือกลิ่นแอลกอฮอล์อยู่บ้างไหม  แต่เพียงได้กลิ่นมิ้นต์เย็นๆ จากยาสีฟันสเปนเซอร์ก็บีบจมูกเธออย่างมันเขี้ยวก่อนเปลี่ยนมันเป็นจูบอย่างที่เธอชื่นชอบ

"ถ้าคุณเป็นผู้ชาย  เราอาจจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ได้"

"ฉันเป็นหมัน  แอ๊บบี้"  สเปนเซอร์พูด  แล้วหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายตาโต  เธอกดจมูกกับแก้มของแอ๊บบิเกล  เติมความชุ่มชื่นให้กับจิตใจด้วยกลิ่นหอมของคนอ่อนเยาว์  "ฉันล้อเล่น  แต่เธอไม่เห็นจำเป็นต้องเครียดเลยนี่นา  ยังไงเราก็คงไม่มีลูกด้วยกัน"

"ในอนาคต  ฉันก็อยากมีนะ  อยากลองเลี้ยงเด็กดูสักคน  ทำกิ๊ฟต์  หรือรับเด็กจากสถานสงเคราะห์มาก็ได้"  แอ๊บบิเกลเอ่ยเบาๆ  เขินหน่อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนถูกล้อเลียนทางสายตา  "ทำไมล่ะ  แต่งงานก็ยังไม่ได้  ยังโตไม่พอ  คิดเรื่องมีลูกก็ไม่ได้ด้วยเหรอ  แล้วฉันทำอะไรได้บ้างเนี่ย"

"ทำสิ่งที่เธอชอบไปก่อนสิ"  สเปนเซอร์ตอบ  เกลี่ยเส้นผมที่ละใบหน้าให้คนอายุน้อยกว่า  "ก็อย่างที่ฉันเคยพูด  เธอยังอายุน้อยอยู่  ตอนนี้อยากทำอะไรก็ทำไป  อย่าให้ฉันเป็นตัวถ่วงของเธอ"

"แต่คุณเป็นคนที่ฉันรัก"

"ฉันรู้  แต่ฉันก็ยังอยากให้เธอได้ทำตามใจอยู่นะ  เป็นตัวของตัวเอง"

"ไม่กลัวฉันเหลิงบ้างเหรอ"

"เธอเป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ"

แอ๊บบิเกลย่นจมูก  ส่ายหน้าไปมา  "ใครว่า  ฉันเป็นคนที่ชอบหาเรื่องคุณที่สุด  ขยันทำให้คุณปวดหัวได้ทุกวันด้วย"

"ฉันก็อาจจะชอบที่มันเป็นแบบนี้ก็ได้"  สเปนเซอร์พูดพร้อมยิ้มทะเล้น"แต่เธอบอกว่า  ฉันเป็นจอมบงการไม่ใช่เหรอ"

"ก็คุณดูเหมือนมีความลับ  คุณและทุกๆ คน"

"ความลับ?"  สเปนเซอร์ทวนคำงงๆ  "ความลับอะไร  อย่าบอกนะว่า  เกี่ยวกับช่วงที่เธอจำอะไรไม่ได้ --"

"ก่อนหน้านั้น"  แอ๊บบิเกลตอบ  "ฉันยังไม่รู้สาเหตุจริงๆ  เรื่องที่ฉันรถคว่ำเลย  ทำไมข่าวถึงลงว่า  ฉันเมามากก็เลยเกิดอุบัติเหตุ"  เธอว่า  "ฉันจำไม่ได้เลยว่า  ฉันเคยดื่ม  ตอนนี้ฉันก็ยังไม่ดื่ม  คุณเห็นไหม"

"เธอก็อาจจะไปงานเลี้ยง  งานปาร์ตี้อะไรสักอย่าง  แล้วมันก็เกิดขึ้น"

คำสันนิษฐานของสเปนเซอร์เหมือนจะฟังขึ้น  อาจเพราะมันตรงกับที่โอลิเวียเคยพูดให้เธอฟัง  ว่าเธอคนนั้น  คนก่อนจะความจำเสื่อมเป็นเด็กแสบ  แถมตอนนั้นเธอก็เพิ่งจะเลิกกับสเปนเซอร์ด้วย  บางทีอารมณ์นั้นเธอก็อาจจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปเพื่อประชดอะไรสักอย่างในโลกนี้ก็ได้

"ฉันไปคนเดียวหรือไปกับใคร  มีคนอื่นอยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่าคะ"  เธอถามต่อ  "โอลิเวียบอกว่า  ครอบครัวคุณเป็นคนช่วยฉัน  ทั้งเรื่องกฎหมาย  และปิดข่าวให้  แปลว่าคุณจะต้องรู้อะไรๆ บ้างสิ  ใช่ไหม  สเปนเซอร์"

"เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้วนะ"  สเปนเซอร์พูดเหมือนจะปัดคำถามนั้นทิ้งไป  "รู้ไปตอนนี้  ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอก"

"ก็ใช่  แต่อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ความจริง"  แอ๊บบิเกลพูด  "คุณไม่คิดบ้างหรือว่า  ถ้าวันดีคืนดีมีใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย  โผล่ขึ้นมาต่อหน้าฉัน  แล้วพูดมันขึ้นมา  แล้วฉันจะไม่ต้องยืนเอ๋อเหรอ"

"ไม่มีใครหรอก  นอกจากฉัน"

นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวเบิกโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น  เธอจับแขนสเปนเซอร์แน่น  แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ตกใจเลย 

"คุณว่าไงนะ  สเปนซ์"

สเปนเซอร์จ้องตาเธอ  ยกมือข้างหนึ่งมาแตะแก้ม  และพูดบางคำออกมา  แต่เธอกลับไม่ได้ยินเสียง  เห็นแต่ปากของรายนั้นขยับไปมา  ราวกับสมองของเธอปิดกั้นการรับรู้มันไปแล้ว

"เธอได้ยินที่ฉันพูดไหม  แอ๊บบี้"

แอ๊บบิเกลกะพริบตา  สะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกอีกคนเขย่าตัวอย่างแรง  เธอเห็นสเปนเซอร์ดูตกใจมากๆ  แล้วก็รีบดึงเธอเข้าไปกอดอย่างหวงแหน  แต่แรงกอดรัดนั้นกลับทำให้เธออุ่นใจมากกว่าจะนึกรำคาญ 

เธอรักอ้อมกอดของสเปนเซอร์  รักมากที่สุด

"เธอเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เราพูดเรื่องนี้กัน"  สเปนเซอร์พึมพำ  ท่าทางหนักใจจริงๆ  "มันเหมือนเธอต่อต้านการรับรู้  เหมือนที่หมอ --"

"หมอซัลลิแวนเป็นหมอของคุณด้วยหรือเปล่า"  แอ๊บบิเกลถามขึ้นกะทันหัน  เห็นรอยตกใจในดวงตาสีน้ำตาลของสเปนเซอร์  "ฉันจำได้ว่า  คุณก็เคยบำบัด  แบบว่า...พูดคุยกับจิตแพทย์"

สเปนเซอร์คลายหัวคิ้วที่ชนกันออก  แล้วพยักหน้าเบาๆ  "ฉันคุย  แต่ไม่ใช่หมอซัลลิแวน  เราอยู่คนละที่กัน  ช่วงนั้น  จำได้ไหม"

แอ๊บบิเกลพยักหน้า  ระลึกขึ้นมาได้นิดหน่อย

"แต่ถ้าจะบอกว่า  ฉันไม่รู้เรื่องของเธอ  ฉันก็คงจะโกหก"  สเปนเซอร์พูด  ดูละอายใจนิดหน่อย  "แต่ฉันไม่ได้จ่ายเงินซื้อเรื่องของเธอจากหมอนะ"

"แหม  คุณก็ถามเอาจากพ่อแม่ฉันก็ได้หรอก  ยังไงพวกท่านก็ต้องรู้  เพราะฉันยังเป็นเยาวชนอยู่นี่  ตอนนั้น"

"นั่นสิ  ฉลาดจังเนอะ" 

แอ๊บบิเกลกลอกตา  หยิกแขนคนอายุมากกว่าอย่างหมั่นไส้  "คุณชอบทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ไปหมดทุกเรื่องเลยนะสเปนเซอร์"

"ฉันแค่ไม่อยากให้เธอเครียดกับเรื่องแบบนี้  แอ๊บบี้  มันผ่านไปแล้ว  เธอไม่ควรหมกมุ่นกับมันอีกต่อไป  เธอควรก้าวไปข้างหน้า"

"แต่ฉันกำลังถอยหลังนะ  เพราะฉันกำลังจะกลับไปที่นั่นอีก  ที่ที่คุณไม่ชอบ"  แอ๊บบิเกลพูด  "คุณไม่ชอบให้ฉันแสดง  คุณไม่ชอบวงการนี้  บอกสิ  ว่าฉันไม่ได้พูดผิด" 

สเปนเซอร์ยักไหล่  ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

"ฉันง่วงแล้ว  นอนกันเถอะ"

"แค่นอนเหรอ"  แอ๊บบิเกลแกล้งถาม  สเปนเซอร์จ้องเธอ  แล้วยิ้มน้อยๆ  ขณะมือเธอเริ่มปลดกระดุมเสื้อให้  แสงสีส้มจากโคมไฟหัวเตียงทำให้ผิวใต้ร่มผ้าของสเปนเซอร์สวยน่ามองขึ้น 

"เธอกำลังทำให้ฉันหนาวนะ"  สเปนเซอร์ประท้วงก่อนคนที่ปีนขึ้นมาอยู่บนตักจะจูบบนเนินอกเธอเบาๆ  เล่นเอาลมหายใจเธอติดขัด  น้อยครั้งที่แอ๊บบิเกลจะรุกเธอก่อน  แต่ทุกครั้งที่ทำ  เธอก็ตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะระเบิดอยู่ในอก  "กำลังหัดทำตามบทที่หนึ่งของวิชาภรรยาที่ดีอยู่เหรอ"

"มั้งคะ"  แอ๊บบิเกลตอบ  รูดเสื้อนอนของตัวเองออกทางศีรษะ  แล้วเอนตัวมาข้างหน้า  "คุณจะช่วยสอนฉันให้เข้าใจมากขึ้นไหมคะ  อาจารย์"

"ด้วยความยินดี"  สเปนเซอร์ตอบ  ตาเป็นประกาย  ทาบเรียวปากลงกับริมฝีปากชุ่มฉ่ำของลูกศิษย์คนโปรด

............................................

หลังจากกลับมาจากแวนคูเวอร์  เธอใช้เวลาที่ยังมีเหลืออยู่ในช่วงวันหยุดปีใหม่กับร้านกาแฟของเธออย่างเต็มที่  เพราะหลังจากวันหยุดหมดลง  เธอจะต้องบินไปทำงานตามสัญญาที่ให้ไว้กับมิสเตอร์ซูร์แล้ว  จากที่ได้ลงชื่อในสัญญาว่าจ้างของบริษัทด้วย  สัญญาที่มีสเปนเซอร์เป็นพยานรู้เห็น  และจะต้องเป็นคนร่วมรับผิดชอบ  หากเธอเกิดหนีหายไประหว่างที่ยังทำงานให้พวกเขาไม่จบ

เธอต้องไปที่นั่นก่อนนักแสดงคนอื่นประมาณหนึ่งเดือนหรืออย่างน้อยก็สองสัปดาห์  เพื่อเข้าคอร์สฟื้นฟูเรื่องการแสดงที่ห่างหายไปนาน  ช่วงนั้นเธอคงต้องอยู่คนเดียว  เพราะสเปนเซอร์มีสอนทุกวัน  บินไปอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้  แต่เธอก็ไม่ใช่เด็กน้อยที่จะอยู่คนเดียวไม่ได้นี่นา  ขืนงอแงทำตัวไม่โตอยู่ละก็  คงได้ถูกสเปนเซอร์จับขังไว้ในหอคอยแน่ๆ

เธอกับสเปนเซอร์ใช้ชีวิตกันตามปกติ  เช้าขึ้นเธอก็ยังปั่นจักรยานมาร้านทุกวัน  อีกครึ่งชั่วโมงสเปนเซอร์ก็ตามมา  กินมื้อเช้าด้วยกันก่อนไปสอนที่วิทยาลัย  สอนเสร็จก็กลับมาเขียนหนังสือหรือตรวจงานลูกศิษย์อยู่ในห้องทำงานชั้นบน  เธอก็ยังคงหนีเพื่อนๆ กับลูกค้าขึ้นมาหา  เอาอาหารว่างมาให้  แวะมาให้กำลังใจกันเหมือนเดิม  และทุกครั้งที่เธอเตรียมเครื่องดื่มกับอาหารใส่ถาด  เมลิสซ่าก็จะร้องแซวว่า  เธอแวบมาให้นมลูก  --  ลูกบ้าบออะไรล่ะ!

สเปนเซอร์จูบเธอเนิ่นนานตอนเธอบอกว่าจะลงไปทำงานต่อแล้ว  มันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  เพราะเราก็ใกล้ชิดกันแบบนี้เป็นปกติ  แต่บางทีเธอก็รู้สึกว่า  สเปนเซอร์ดูซึมๆ ไปนิดหน่อย  และอาลัยอาวรณ์เธอชัดเจนขึ้น  ทุกครั้งที่เธอจำเป็นจะต้องห่างออกมา  หรือเราต้องแยกย้ายกันไปทำงานในหน้าที่ของตัวเอง  เธออดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าสเปนเซอร์กำลังกลัวอะไรบางอย่าง  หรืออาจจะกำลังคิดว่า  อีกไม่นานก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้แล้ว

เราไม่ได้รื้อฟื้นเรื่องนั้นมาคุยกันอีก  ประเด็นเรื่องวันที่เธอรถคว่ำจนต้องลาพักออกจากวงการมารักษาตัว  แต่เธอก็ไม่ได้ลืมว่า  สเปนเซอร์พูดอะไร  ตอบคำถามเธอว่าอะไรในคืนนั้นที่แวนคูเวอร์  สเปนเซอร์บอกว่า  เป็นคนที่อยู่กับเธอในวันที่เกิดอุบัติเหตุ  ที่จริงเธอควรจะถามว่า  มันเป็นไปได้ยังไง  เพราะโอลิเวียเล่าว่า  พวกเธอเลิกกันแล้ว  แล้วสเปนเซอร์โผล่ไปอยู่แคนาดาได้ยังไง  ไปอยู่กับเธอในวันนั้นได้ยังไงล่ะ  มันค่อนข้างเป็นเรื่องประหลาด  แล้วเธอก็ไม่กล้าจะถามซ้ำอีกแล้วด้วย  ก็สเปนเซอร์พูดมันแล้ว  แค่เธอไม่ได้ยิน

บางที  เธออาจจะไม่อยากรับรู้ความจริงเรื่องนั้นเลยก็ได้  สมองเธอก็เลยชัตดาวน์ไปกะทันหันแบบนั้น  มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งนี่นา

"คุณพักผ่อนบ้างนะ  รู้ไหม"  เธอบอก  หอมแก้มคู่หมั้นหนึ่งฟอด  แล้วติดกระดุมเสื้อตัวเองให้เรียบร้อย  ตรวจดูรอยยับย่นของมันด้วย  เมลิสซ่าไม่ได้พูดผิดไปเท่าไหร่  แค่คนที่เธอมาให้นม  ไม่ใช่ลูกเท่านั้นแหละ 

ไม่แน่ใจว่า  เพื่อนรู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไง  บางทีเวลาเธอลงไปหลังจากขึ้นมาหาสเปนเซอร์แล้ว  ตัวเธอมีกลิ่นของคู่หมั้นติดลงไปด้วยก็ได้  น้ำหอมที่สเปนเซอร์ชอบใส่มาประจำน่ะ

สเปนเซอร์พยักหน้า  "ฉันว่าจะไปว่ายน้ำกับยายเจน  จะไปด้วยไหม"

"หนาวๆ แบบนี้น่ะเหรอคะ  ไม่ไหวมั้ง"  แอ๊บบิเกลว่า  ทำท่าขนลุก  แค่นึกถึงน้ำเย็นๆ ที่ต้องโดนตอนล้างมือ  "ไปตีเทนนิสไม่ดีกว่าเหรอคะ"

"เดี๋ยวรอถามยายเจนก่อนแล้วกันค่ะ"  สเปนเซอร์แบ่งรับแบ่งสู้  "ปิดร้านแล้วก็ตามไปสิคะ  เราว่าจะไปกินอะไรกันสักหน่อยด้วย"

"เอาสิ  ฉันจะติดรถเมลิสซ่าไป  เขาต้องไปหาเพื่อนคุณอยู่แล้ว"  เธอเสนอ  สเปนเซอร์ไม่ขัด  เรากอดกันแน่นๆ อีกครั้ง  เหมือนกลัวใครอีกคนจะหายไปต่อหน้าต่อตาจริงๆ  แล้วเราก็ยิ้มเขินๆ ให้กันก่อนจะผละออก

"บอกฉันด้วยนะ  ตอนจะออกไป"  แอ๊บบิเกลกำชับ  สเปนเซอร์แกล้งส่ายหน้าไม่ยอมรับรู้  พอถูกเธอถลึงตาขู่ก็รีบยกมือขึ้นตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน  แต่เธอเองก็ยอมออกมาจากห้องทำงานนั้น  เพราะเมลิสซ่าร้องเรียกลั่นร้าน

.............................

เป็นจริงตามที่เธอคาดเอาไว้  พอได้คุยกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว  เพื่อนทั้งสองของเธอก็ยอมรับว่า  เป็นกังวลไม่น้อยที่เธอจะจากล็อกวูดไปทำงานแบบนั้นอีกครั้ง  แต่อย่างน้อยไคลีย์ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ทำสิ่งชั่วร้ายอย่างขายวิญญาณให้ซาตานไป

"มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกเมลิสซ่า  ตอนนี้ฉันโตแล้วนะ"  เธอย้ำประโยคนี้ราวกับจะเป็นครั้งที่ล้าน  โดยเฉพาะกับเมลิสซ่าแล้วหลังจากบอกกับเพื่อนๆ ว่าเธอตัดสินใจจะลองกลับไปแสดงดู

"ฉันรู้...  แต่ไม่รู้สิ  ฉันอาจจะ...กลัวมั้ง"  เมลิสซ่าพูด  ดูอายๆ

แอ๊บบิเกลชำเลืองมองไคลีย์  นึกขอบคุณสเปนเซอร์อยู่ในใจที่รายนั้นขอตัวไปเล่นพลูกับหมอเจเน็ต  และพี่ชาย  --  โอ  เธอลืมไปสนิทเลยว่า  แซคก็โผล่มาหาน้องสาวของเขาวันนี้เช่นกัน  และดีใจที่เขากับแฟนติดกันมากแบบนี้

พวกเธอ...หมายถึงเธอกับเมลิสซ่าและไคลีย์  ไม่ค่อยจะถูกใจกับแฟนของแซคสักเท่าไร  แต่คงต้องพูดว่า  แฟนพี่ชายสเปนเซอร์ไม่ชอบพวกเธอ  มันถึงจะถูก  อาจจะเพราะพวกเธอดูกะโหลกกะลากะโปโลเกินไปสำหรับคุณหนูไฮโซเชื้อสายขุนนางอังกฤษแบบนั้น 

"ต่อให้หล่อนเป็นลูกหลานราชินีอลิซาเบธองค์ปัจจุบัน  ฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ  เพราะที่นี่คืออเมริกาย่ะ"  เมลิสซ่าเคยพูดแบบนี้ด้วยเสียงที่คงดังไปถึงหูของไอวี แฟนของแซคที่นั่งอยู่ข้างเขาในผับนี้แหละ  ตอนนั้นพวกเรานัดเจอกันที่นี่แบบนี้  นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอแฟนพี่ชายสเปนเซอร์...คนใหม่  และจากนั้นมา  ทุกครั้งที่ไอวีมากับแซคด้วย  ก็จะพยายามอยู่ห่างๆ พวกเธอเอาไว้  วันนี้ก็เลยเกาะติดแซคกับพวกสเปนเซอร์อยู่ตรงโต๊ะพลูนั่นละ

"กลัวอะไร  กลัวฉันจะลืมเธอเหรอ"  แอ๊บบิเกลถาม  ทำเสียงให้ร่าเริงเข้าไว้  "ฉันไม่ได้เป็นโรคแบบนั้นแล้วนะ  ความจำเสื่อมอะไรนั่นน่ะ"

"ฉันรู้  แต่เธอรู้ป่ะแอ๊บบี้  เธอจะไม่ได้เข้าเรียนเลยนะ  ถ้าเธอไปทำงานไกลแบบนั้น"  เมลิสซ่าพูด  ดูเหมือนจะใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายที่จะรั้งเพื่อนเอาไว้  แล้วก็ยังอับอายเกินไปที่จะร้องไห้ตามเพื่อนเป็นเด็กๆ

"เธอดร็อปเรียนเหรอ  แอ๊บบี้"  ไคลีย์ก็เอาอีกคน  แต่สำหรับสาวเนิร์ดแบบไคลีย์ก็คงเพราะเป็นห่วงเรื่องการเรียนของเธอจริงๆ

"สเปนซ์บอกให้ลองดูสักเทอมน่ะ  แต่ไม่ต้องห่วงนะ  ฉันจะเรียนจบไล่ตามพวกเธอไปแน่ๆ"  แอ๊บบิเกลพูด  ฟังดูเหมือนให้กำลังใจตัวเองมากกว่าจะปลอบโยนเพื่อนๆ 

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เธอลังเลที่จะไปทำงานแคนาดา  การเรียนของเธอกำลังไปได้ดี  แต่ไม่เป็นไรหรอก... สเปนเซอร์บอกว่า  มันยังรอได้อยู่

"เธอเชื่อฟังเขาเหมือนลูกสาวตัวน้อยเลยนะ"  เมลิสซ่าแขวะ

"แต่ฉันเห็นด้วยนะ  ลองดร็อปดูเทอมนึงก่อน  แล้วถ้าอะไรๆ มันเข้าที่เข้าทางแล้ว  เธอก็กลับมาเรียนปกติ  ถ้า เอ็มมา วัตสัน ทำได้  เธอก็ต้องทำได้เหมือนกันละ  แอ๊บบี้"  ไคลีย์ผู้ไม่เคยละเลยความสวยงามของโลกบอก

"สนับสนุนกันเข้าไป"  เมลิสซ่าพึมพำอย่างไม่พอใจ  แต่ไม่มีใครฟัง  แอ๊บบิเกลกับไคลีย์เอาแต่คุยเรื่องแผนการจัดการเรียนของแอ๊บบิเกลระหว่างไปทำงานแคนาดา  ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เธอห่วงน้อยกว่าอะไรทั้งหมด  ต่อให้ไม่เข้าเรียนเลย  แอ๊บบิเกลก็สอบได้อยู่แล้ว

"ฉันรู้ว่า  เธอห่วงอะไรเมลิสซ่า  และฉันสัญญาว่า  มันจะไม่เป็นแบบนั้นแน่"  แอ๊บบิเกลเอ่ยขึ้นพร้อมกับเหลือบมองเพื่อนหัวทองอย่างรู้ทันความคิด  เมลิสซ่าแกล้งเบะปากให้เธอ  แต่ก็รีบเข้ามากอดกันเมื่อเธออ้าแขนให้  ไคลีย์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ยังรีบย้ายตัวมาสมทบด้วยคน  แล้วพวกเธอก็ผลัดกันเอามือถือขึ้นมาแชะภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึก

"โห  น่าอิจฉา  ฉันขอร่วมด้วยคนได้ไหม"  สเปนเซอร์ส่งเสียงล้อเลียนมาพร้อมใบหน้าสวยๆ แต่ทะเล้นได้ใจ  เมลิสซ่าแกล้งไล่ให้คุณอาจารย์กลับไปอยู่กับพวกกลุ่มคนแก่ด้วยกัน  แต่ไคลีย์กลับกวักมือเรียก  และขยับที่ให้คนอยากมีส่วนร่วมได้เข้าเฟรมด้วยคน

"งั้นมานี่  ฉันถ่ายให้  ฉันเอากล้องโพลารอยด์มาพอดี  ถ่ายไว้หลายๆ ใบเลยละกัน  เป็นที่ระลึก"  แซคร้องบอกพร้อมกับโชว์กล้องของเขา  แล้วเราก็ได้รูปหลายใบทั้งรูปหมู่ที่มีครบกันทุกคน  รูปเป็นคู่ๆ  รูปแค่เฉพาะเพื่อน  หรือรูปกับพี่ชาย  นั่นคือเขาเอง

"ฉันก็เป็นพี่ชายของเธอนะ  แอ๊บบี้"  เขาพูดขึ้นขณะถ่ายรูปคู่กับเธอ

แอ๊บบิเกลยิ้มให้เขา  แล้วพยักหน้า  "แวะมาหาสเปนซ์บ่อยๆ นะคะ  ฉันกลัวเขาเหงา"

"ไม่กลัวฉันเอาสาวๆ มาฝากน้องเหรอ"  แซคพูดเสียงขำ  พอคู่หมั้นของน้องสาวทำหน้าบึ้งใส่  เขาก็หัวเราะกลบเกลื่อน  และรีบเก็กหล่อทันทีที่สเปนเซอร์ส่งเสียงดุๆ มาให้เตรียมตัวให้เสร็จสักทีจะได้ถ่าย

"ชีวิตของน้องฉันก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละ  แอ๊บบี้  อย่าห่วงไปเลย" 

แอ๊บบิเกลมองพี่ชายคนรัก  ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่  แต่แซคก็ยิ้มให้เธอแบบพี่ชายจริงๆ  เขาไม่สนใจสายตาไม่พอใจของไอวีด้วยซ้ำไป  เขาแค่พาแฟนสาวแยกตัวไปที่บาร์และสั่งเครื่องดื่มด้วยกัน  เธอเห็นไอวีส่งสายตาฟาดฟันจากตรงนั้นมาให้เธอด้วย

"คุยอะไรกันเหรอ"  สเปนเซอร์โผล่มาถามข้างๆ  แอ๊บบิเกลเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า  และแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ไม่ตอบคำถาม  เดินหนีไปหาเพื่อนๆ แทน  เสียงคู่หมั้นคนสวยร้องตามหลังมา  เธอก็แค่หันไปยิ้มให้เท่านั้น




....................................................


สวัสดีค่ะ  เอามาลงให้อีก  เพราะบอกไว้ว่าจะลงให้ถึงตอนที่ 20  แต่เท่าที่ดู  คงจะไม่ถึงแล้วค่ะ  เพราะใกล้จะปิดจองแล้ว  เอาเป็นว่า  ถึงวันที่ 5 ม.ค.นี้  ได้แค่ไหนก็แค่นั้นนะคะ

ต้องขออภัยด้วย  เพราะอีบุ๊กจะออกภายหลังที่ปิดจองค่ะ  ส่วนหนังสือเล่ม  อาจจะยกเลิกการพิมพ์  เพราะมีคนจองน้อยเกินไป  แต่ถ้าสามารถต่อรองกับทางโรงพิมพ์ได้  ก็อาจจะได้พิมพ์ในกรณีพิเศษ  น้อยจนเขาปลงแทนเราค่ะ  5555

เข้าใจค่ะว่า  ความชอบไม่ชอบ  มาบังคับกันไม่ได้  คุณไม่ชอบเรื่องนี้  ก็อาจจะชอบเรื่องอื่น  แต่ในฐานะของคนเขียน  เมื่อเริ่มทำงานมาแล้ว  ก็ต้องทำให้จบค่ะ  ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สละเวลามาอ่านกันนะคะ  ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่

ขอบคุณค่ะ  สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าค่า   :44:


ป.ล.  อันนี้เป็นลิงก์อีบุ๊กของภาคแรกนะคะ  เผื่อใครยังไม่มี  และสนใจ  https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NToiNTE0NjgiO3M6NzoiYm9va19pZCI7czo1OiIyNDk4OSI7fQ

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น