บทที่ ๑๐
สนามหญ้าหน้าบ้านของดลยา ถูกจัดให้เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ที่จัดขึ้นให้ลูกสาวคนเดียวที่ทั้งดื้อทั้งซน ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจนจบ ได้รับปริญญามาให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ งานนี้กัลยาลงมือเข้าครัวทำอาหารเอง โดยมีสาวิตรีแม่ของมิรันตีคอยช่วยอย่างเต็มใจ
งานนี้มีเพื่อนที่สนิทที่สุดของดลยา อย่างสิตากับเอมิกามาร่วมด้วย ทั้งหมดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยมีมิรันตีนั่งยิ้มจิบไวน์อยู่ใกล้ๆ ลอบมองดลยาอยู่บ่อยๆ ไม่ง่ายนักที่เธอจะเห็นดลยาหัวเราะร่วน แววตาสดใสแบบนี้ ซึ่งอาการแบบนี้เธอไม่เคยเห็นเวลาที่หญิงสาวอยู่กับเธอเพียงลำพัง มิรันตียิ้มในหน้าอย่างรู้สึกดี
“เอ..เธอดูพี่รันสิ นั่งมองดิวทำตาหวานเชียว” สิตาที่ชื่นชอบมิรันตี และคอยแอบมองอยู่ตลอดเวลา จึงเห็นว่ามิรันตีคอยมองดลยาอยู่ กระซิบบอกเอมิกาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“เออ...ใช่ แล้ววันนี้เธอเห็นไหมล่ะ ดิวมันหน้าจ๋อยตลอดเลย แต่พอพี่รันมาเท่านั้นล่ะ ยิ้มปากจะฉีกถึงหู เธออกหักแล้วล่ะยัยสิเอ้ย” เอมิกากระซิบตอบ
“บ้า...!ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกย่ะ อาจจะรู้สึกเสียใจนิดหน่อยแต่ไม่ได้อกหัก ยังไม่ได้เริ่มต้นเลยจบซะแล้ว” เสียงอ่อนลงในตอนท้าย ก่อนจะทอดสายตามองไปยังมิรันตีอย่างรู้สึกเสียดาย
“เฮ้ย...สองคนนั้นน่ะ ซุบซิบอะไรกัน” ดลยาต่อว่าเพื่อนเสียงดัง
“เปล่า” เอมิกาหันไปตอบเสียงใส
“เปล่าอะไรกันเห็นๆ อยู่ คุยกันเรื่องอะไรบอกมาเลยนะ”
“จุ๊ๆ... ดิวเสียงดังอะไรกันลูก ไปยกอาหารมาทีสิลูก แม่กับป้าทำกันเสร็จแล้ว” เสียงแม่กัลยาออกมาขัดจังหวะการคาดคั้นของดลยา ทำเอาเอมิกากับสิตาเป่าปากอย่างโล่งใจ เพราะรู้นิสัยของดลยาดี เวลาที่อยากรู้เรื่องอะไรเป็นต้องรู้ให้ได้
ดลยาจำใจต้องเดินเข้าไปในครัวตามที่แม่บอก มิรันตีได้โอกาสรีบเดินตามเข้าไปทันที
“พี่ช่วยจ๊ะ” เข้ามาแย่งยกจานใส่ไก่ผัดเม็ดมะม่วงจานใหญ่สุดเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ” บอกเสียงเบา ก่อนจะหันไปหยิบอย่างอื่น แล้วเดินเลี่ยงออกไป มิรันตีเดินตามอย่างเงียบๆ ยิ้มน้อยๆ วันนี้ดลยาพูดกับเธอดีกว่าทุกวัน
“วันนี้ถือว่าลูกๆ โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่อนุญาตให้ดื่มฉลองได้ แต่ไม่ใช่เที่ยวไปดื่มกินกันข้างนอกจนเมามายนะ แม่ไม่ชอบ” กัลยาบอกปรามๆ
“ค่ะคุณแม่” สามสาวประสานเสียงรับพร้อมกันยังกะนัด
“ฉันว่าฉันกลับก่อนล่ะกันนะ กินอิ่มแล้วชักง่วงแล้วสิ” สาวิตรีบอกกับกัลยาเมื่อทานข้าวอิ่มแล้ว หลังจากนั่งคุยกันไปได้สักพัก
“จ๊ะ ฉันก็คงต้องขึ้นไปพักผ่อนแล้วเหมือนกัน ปล่อยให้เด็กๆ สนุกกันไป” กัลยาเห็นด้วย
“งั้นเดี๋ยวหนูไปส่งนะคะแม่” มิรันตีรีบลุกขึ้นมาหาผู้เป็นแม่ทันที
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่กลับกับรุ้งได้ ลูกอยู่คุยกับน้องๆ เถอะ ไม่ต้องไปส่งแม่หรอก แต่อย่าดื่มมากนักนะ” บอกอย่างเป็นห่วง
“ค่ะแม่”
“งั้นแม่ก็ขอตัวไปดูแลพ่อก่อนนะ ลูกๆ ก็ดื่มกินกันตามสบายนะ แต่อย่าดื่มกันจนเมามายนักล่ะ รันป้าฝากดูน้องๆ ด้วยนะลูก” กัลยาขอตัวลุกตาม แต่ก็ยังไม่วายฝากให้มิรันตีดูแลสาวๆ ต่อ
“ค่ะคุณป้า” รับคำก่อนจะลุกขึ้นเดินไปส่งกัลยาให้เข้าบ้านจนเรียบร้อย ขณะที่กำลังจะเดินมานั่งที่โต๊ะ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเสียก่อน เป็นคีย์ตญานั่นเองที่โทรเข้ามา
(ว่าไงจ๊ะคีย์) กรอกเสียงลงไป แต่อะไรไม่รู้ทำให้เธอหันไปทางโต๊ะที่ทุกคนนั่งรออยู่ ตาสบเข้ากับสายตาของคนที่มองมาพอดี เพียงชั่วครู่หญิงสาวเบ้ปากตวัดหางตาแลไปทางอื่น จะว่าค้อนก็ไม่ใช่ทิ้งหางตาก็ไม่เชิง ท่าทางเหมือนตัดพ้อต่อว่ายังไงยังงั้น อาจจะเป็นเพราะชื่อที่ได้ยิน
(อ้าวอยู่หน้าบ้านเหรอ อ๋อฉันอยู่บ้านน้องดิว ขับตรงมาสุดซอยเลย เดี๋ยวฉันไปยืนรอ) คุยไปพลางเดินออกไปหน้าบ้าน ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับคีย์ตญา
“ทุกคนค่ะ พี่ขอแนะนำให้รู้จักเพื่อนพี่ อาจจะเคยเห็นกันบ้างแล้ว นี่คีย์ตญาค่ะเรียกพี่คีย์ก็ได้จ๊ะ คีย์นี่น้องดิวเจ้าของบ้านนี้ แล้วก็น้องสิตากับน้องเอมิกาจ๊ะ” แนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน
“สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวน พอดีมาหารันไม่คิดว่าจะมีงานเลี้ยง” คีย์ตญาบอกอย่างเกรงใจที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ
“สวัสดีค่ะ ดีใจที่ได้รู้จักพี่คีย์ค่ะ ตัวจริงสวยกว่าในรูปตั้งเยอะเลยนะคะ” เอมิกาเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทาย
“สวัสดีค่ะ” สิตาเป็นคนที่พูดน้อย แต่ยิ้มหวานให้อย่างจริงใจ
“สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรเลยคะ ไม่ต้องเกรงใจเชิญตามสบายเลยค่ะ คิดซะว่าบ้านดิวเป็นบ้านพี่รันก็ได้ค่ะ” ดลยาบอกพร้อมกับยิ้มให้ ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกขุ่นเคือง และหมั่นไส้มิรันตีที่ยิ้มหน้าบาน แต่เธอหารู้ไม่ว่าที่มิรันตียิ้มหน้าบานอยู่นั้น เหตุมาจากคำพูดของเธอนั้นเอง
ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา คล้ายการคลี่ม่านสีดำครอบคลุมทั่วบริเวณ คีย์ตญาคุยกับทุกคนได้อย่างสนุกสนาน แต่มิรันตีกลับเป็นฝ่ายที่นิ่งเงียบค่อยๆ ละเลียดจิบไวน์ไปเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่ทอดสายตามองดลยานัยน์ตาหวานฉ่ำ
“นั่งเงียบเชียวรัน เมาหรือยังเนี่ย เอาแต่มองเดี๋ยวจืดหมดหรอก” คีย์ตญาหันมากระซิบล้อเบาๆ
“ยังจ๊ะ” หันมาตอบสั้นๆ
“งั้นโชว์หน่อยเร็ว” ว่าพลางลุกขึ้นไปหยิบแก้วน้ำมาเรียงด้านหน้ามิรันตี รวมแล้วได้7 ใบ
“พี่คีย์ทำอะไรคะ” เอมิกาถามอย่างสงสัยทำให้สายตาของทุกคนหันมาหยุดอยู่ที่แก้วน้ำที่คีย์ตญาเอามาเรียงไว้
“พี่รันจะโชว์ให้ทุกคนดูค่ะ เอาสิรันฉันไม่ได้ฟังนานแล้วเหมือนกันนะ” บอกทุกคนแล้วหันมาเร่งเร้าเพื่อนต่อ
มิรันตีไม่อาจปฏิเสธได้ ในเมื่อสายตาทุกคู่มองมาอย่างสนอกสนใจใคร่รู้ เธอหยิบขวดน้ำมาเทน้ำลงในแก้วทุกใบ ต่างระดับกัน หยิบตะเกียบมาจับทั้งสองข้าง ตีลงไปที่ขอบแก้วไล่เสียงเป็นทำนองสูงต่ำได้อย่างไพเราะ แล้วก็เริ่มตีเป็นเสียงเพลง ทุกคนมองอย่างรู้สึกทึ่ง และตั้งใจฟัง
คีตญาอมยิ้มเอียงคอฟังอย่างรู้สึกดี เธอจำได้ว่ามิรันตีชอบทำแบบนี้ให้เพื่อนๆ ฟังตั้งแต่สมัยเรียน เธอถึงกับร้องเพลงคลอไปกับจังหวะดนตรี ที่มิรันตีบรรจงเล่นอย่างเพลิดเพลิน เสียงร้องของคีย์ตญาก็ไพเราะจนคนฟังเคลิ้มตาม
‘ทะเลสีดำ ไม่มีแสงไฟ
มองไม่เห็นทาง เธอกลัวหรือไม่
ได้ยินเสียงเธอ จะกลัวอะไร
จับมือฉันไว้ ฉันก็อบอุ่นหัวใจ
เธออาจเหน็บหนาว ทุกคราวที่เจอะคลื่นลม
ก็ห่มใจฉันด้วยความอบอุ่นของเธอ
อาจมองไม่เห็นเส้นของขอบฟ้าไกล
ยังมีแสงดวงดาวจะคอยนำทางให้เราก้าวไป’
***ทะเลสีดำ ศิลปิน: LULA (ลุลา)***
เพลงที่มิรันตีตั้งอกตั้งใจเล่นอยู่สะดุดเงียบลงทันควัน เมื่อดลยารู้สึกขัดหูขัดตา ที่เห็นคีย์ตญาร้องเพลงไปมองตากับมิรันตีไป เลยคว้าหมับแย่งเอาตะเกียบมาจากมือมิรันตี
“เฮ้ย...ดิวเธอทำอะไรน่ะ ฉันกำลังเคลิ้มเลย” เอมิกาบ่นพึมอารมณ์สะดุดลงทันที
“ฉันก็แค่อยากลองเล่นดูมั่ง” เชิดหน้าบอกอย่างไม่สนใจอะไร
ทั้งเอมิกากับสิตาเลยหันมาชวนคีย์ตญาดื่มไวน์กัน โดยไม่สนใจดลยาอีกเหมือนกัน
มิรันตีลุกขึ้นให้ดลยามานั่งแทนที่เธอ ดลยาเข้านั่งแทนจับตะเกียบอย่างมาดมั่น แต่พอลงมือตีกลับไม่ได้เรื่อง ทำเอาเอมิกากับสิตาหลุดหัวเราะเสียงดัง คีย์ตญายิ้มนิดๆ มองดลยาอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งในการกระทำนั้น เธอเชื่อว่าดลยาหึงเ
“ไม่ยากหรอก พวกเธอก็รู้ว่าฉันเล่นกีตาร์เป็น” หันไปเบ้ปากใส่เพื่อนที่หัวเราะเธอ ก่อนจะตั้งท่ามั่นอีกครั้ง
“ตีเบาๆ ไม่ใช่ฟาดแบบนั้นจ๊ะ” มิรันตีแนะนำพลางฉวยตะเกียบมาเคาะให้ดูเป็นตัวอย่าง
“อื้อ...รู้แล้วน่า” แย่งตะเกียบคืนมา คราวนี้ตีเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง
“เบาไป นี่แบบนี้” มิรันตียืนอยู่ด้านหลัง โน้มตัวลงมาโอบไปจับมือเรียวสวย ให้ตีเป็นทำนอง พลางบอกข้างๆ หู
“อย่าทำมือแข็งสิคะ นี่ต้องตีประมาณนี้” อย่าว่าแต่มือเลย ตอนนี้ดลยาแข็งไปทั้งตัวแล้ว ก็เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของมิรันตีโดยไม่รู้ตัว แถมหน้าชิดหน้าใกล้กัน จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดอยู่ข้างผิวแก้มและลำคอ ใจเต้นดังเสียยิ่งกว่าเสียงตีแก้ว มือที่ว่าแข็งเริ่มอ่อนล้าไม่มีแรง ปล่อยให้คนสอนเกาะกุมนำพาไปอย่างไม่ขัดขืน
ตีไปตีมาคนสอนเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังโอบกอดคนตัวเล็กเต็มๆ ใจเริ่มสั่นแปลกๆ เสียงเคาะเริ่มเพี้ยนผิดทำนอง เหลือบมองไปด้านหน้า เห็นทั้งสามคนถือแก้วอ้าปากค้าง ยิ่งประหม่าจนเพี้ยนหนัก สุดท้ายเลยต้องเลิกตี ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่
“อ้าว...เงียบไปเลยมาชนแก้วกันหน่อย” มิรันตีชูแก้วทำลาย ความอึดอัดลง ทั้งๆ ที่ใจยังสั่นไหว ทุกคนได้สติเลยยกแก้วขึ้นชนกับมิรันตี ทำเป็นไม่สนใจดลยาที่หน้าแดง และมีท่าทีขัดเขินอย่างเห็นได้ชัด
ค่อนดึกสิตาเริ่มฟุบกับโต๊ะเพราะเริ่มเมา มิรันตีเลยเสนอให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยเธอกับดลยาช่วยกันพาสิตาขึ้นไปนอนบนห้องก่อน ปล่อยให้เอมิกานั่งคุยเป็นเพื่อนกับคีย์ตญา
เมื่อจัดการให้สิตานอนเรียบร้อยแล้ว ดลยาก็รีบเดินออกจากห้อง เพราะรู้สึกเนื้อตัวร้อนวูบวาบแปลกๆ เวลาที่อยู่ใกล้ๆ มิรันตี หากแต่มิรันตีดึงมือเธอไว้ก่อนที่จะก้าวออกจากห้อง
“อย่าเพิ่งไปสิ”
“ทำไมคะ” ถามเสียงแผ่ว หัวใจเริ่มเต้นแรง
“ก็...เอ่อ” พูดไม่ออกเหมือนกัน
“ไม่มีอะไรก็ปล่อยสิคะ” พยายามดึงมือออกจากการดึงรั้งจนได้ พร้อมกับถอยห่าง
"พี่แค่จะบอกว่า...ฝันดีนะคะ"
"อย่านะ ไม่ต้องมากู๊ดไนท์คิสอีกนะ ฉันเป็นคนไทย" พยายามบอกเสียงแข็ง พลางยกมือกั้นไว้อย่างรู้ทัน เพราะเคยโดนหลอกหอมแก้มมาแล้วครั้งหนึ่ง ใบหน้าแดงซ่านรู้สึกตัวร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที
"โห...จำแม่นขนาดนั้นเชียว..." มิรันตีขำท่าทางที่หวงตัวของดลยาในตอนนี้ จนหลุดเสียงหัวเราะออกมา ทำให้ดลยารู้สึกอายจนตีลงไปที่แขนที่กำลังเอื้อมมาอย่างแรง
"โอ๊ย...ทำร้ายพี่อีกแล้วนะ นี่แน่ะจับได้แล้ว" ใช้ความใหญ่กว่า คว้าข้อมือของคนที่กำลังจะหันหลังวิ่งออกจากห้องไว้ได้ทัน พร้อมกับจับข้อมือไว้ทั้งสองข้าง แล้วดึงเข้าหาตัวโดยโอบจากด้านหลัง แล้วก้มลงหอมไปที่แก้มของดลยาทั้งสองข้างอย่างว่องไว
"คุณ...จะบ้าเหรอ อย่ามาทำแบบนี้นะ ปล่อย..." ดลยาต่อว่าปากคอสั่น แทบหมดแรงอยู่ในอ้อมกอดของมิรันตี
"นี่เป็นกู๊ดไนท์คิสของคนดื้อไงคะ ยอมซะดีๆ ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเหนื่อย ฝันดีนะคะคนดี" กระซิบข้างหู ทำเอาบริเวณใบหูรวมถึงข้างแก้มขนลุกซู่ ดลยารู้สึกห้องเหมือนจะหมุนคว้าง ใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก มิรันตีมองอาการแบบนั้นแล้วยิ้มอย่างรู้สึกดี เธอชอบท่าทางเอียงอายของหญิงสาวตอนนี้เหลือเกิน ก่อนจะจับมือจูงเดินลงมาด้านล่าง ดลยาเดินตามเหมือนต้องมนต์ ทำไมเธอขัดขืนไม่ได้ เรี่ยวแรงเธอหายไปไหนหมด จวบจนเดินลงมาถึงด้านล่าง และแม้กระทั่งมิรันตีกับคีย์ตญากลับไปแล้ว เธอยังคงนั่งตาลอยเหมือนถูกสะกดไว้
"ดิว...ดิว... เธอเป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าเมาไม่พูดไม่จา" เอมิกาจ้องมองเพื่อนอย่างสงสัย ดลยาไปส่งสิตากลับลงมาก็ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งเงียบขนาดเธอถามอยู่ใกล้ๆ ยังไม่รู้สึกตัว เอื้อมมือไปเขย่าแขน พร้อมร้องเรียกเสียงดังกว่าเดิม
"ดิว...ดิว..."
"หือ...อะไรเอ..อยู่แค่นี้ต้องตะโกนด้วย" ดลยาสะดุ้งรู้สึกตัว
"ก็ฉันเรียกเธอตั้งนานไม่รู้สึกตัวนี่ เป็นอะไรไป เมาเหรอ"
"อื้อ...มึนๆ ง่วงแล้วล่ะไปนอนกันเถอะ" บอกพลางหลบสายตาเพื่อนที่จ้องจับผิด ก่อนจะรีบเดินนำขึ้นไปบนห้องนอน แล้วรีบขึ้นไปนอนข้างสิตา หลับตานิ่งเงียบ แกล้งทำเป็นหลับเพราะไม่อยากโดนเพื่อนซัก แต่กว่าจะหลับลงได้ เธอก็คิดถึงแต่ตอนที่ถูกมิรันตีหอมแก้มซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น พร้อมกับเฝ้าถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมมิรันตีถึงทำแบบนั้นกับเธอ...