web stats

ข่าว

 


Ghost Writer - บทที่ 1 Call Out My Name

โพสต์โดย: anhann วันที่: 30 พฤศจิกายน 2018 เวลา 22:17:03 อ่าน: 181





บทที่ 1 Call Out My Name





อะไรบางอย่างที่มีขนปุกปุยเหมือนตุ๊กตาสะกิดมือเธอที่วางอยู่บนอกตัวเอง  จูนครางอย่างหงุดหงิด  เธอยังไม่อยากตื่นเลย

"แบร์  อย่ามายุ่ง"  จูนปัดอุ้งเท้าปุกปุยออกไป  ผลักจมูกยาวๆ ของหมาพันธุ์ซามอยด์สีขาวให้ห่างจากหน้าเธอด้วย  "แบร์  ไปไกลๆ  ขอนอนก่อนไม่ได้หรือไง"

"คุณสัญญาว่าจะพาเขาไปวิ่งเช้านี้ไง  จูน"

นักเขียนสาวสะดุ้ง  ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที  เธอเกือบจะกรี๊ดเพราะหน้าขาวๆ ของเจ้าแบร์  "โอ๊ย  ฉันนึกว่าแกพูดได้"

"ฉันพูดต่างหาก"  คาเร็นพึมพำ  ขมวดคิ้วให้จูนที่ไม่ได้ยินเสียงเธอ  และตอนนี้ก็เอาแต่กอดเจ้าแบร์อยู่ได้  น่าหมั่นไส้จริงๆ เลย  แต่ก็น่ารักดี

"โอเคๆ  ฉันรู้แล้ว  ขอไปแปรงฟัน  เปลี่ยนชุดก่อนได้ไหม"  จูนพูดกับหมาสีขาวขณะคาเร็นผู้ไม่มีรูปร่างนั่งกอดเข่าอยู่ตรงปลายเตียง  มองเธอทุกความเคลื่อนไหว 

"ไม่ต้องตามเข้ามา  ฉันอายเป็นเหมือนกันนะ"  จูนว่า  ดันเจ้าแบร์ออกมาจากห้องน้ำแล้วรีบปิดประตูก่อนที่มันจะแทรกตัวเข้าไปอีก  เจ้าหมาหันมามองทางที่คาเร็นนั่งอยู่  มันทำท่าเหมือนมองเห็นเธอ

"มานี่สิ  แบร์"  คาเร็นเรียกเจ้าหมา  มันก็มาหาเธอ  "แกเห็นฉัน"

แบร์ทำท่าจะหอน  คาเร็นจึงต้องจุปาก  ห้ามไม่ให้มันส่งเสียง  เดี๋ยวจูนได้ยินจะหาว่ามันเห็นตัวอะไรแปลกๆ  ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีเลย

"นั่นแหละ  สาวน้อย  อย่าเสียงดัง  เดี๋ยวจูนตกใจ"  คาเร็นกระซิบ  ลูบศีรษะเจ้าแบร์ด้วยความรู้สึกแปลกใจกึ่งดีใจ  เธอยังแตะตัวเจ้าหมาได้อยู่  ดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่สื่อสารกับเธอได้  ยกเว้นจูนที่ได้ยินเสียงเธอบ้างไม่ได้ยินบ้าง

"แบร์  แกคุยกับใคร"  จูนเดินออกมาจากห้องน้ำ  ซับใบหน้าด้วยผ้าขนหนู  มุ่นคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นสุนัขสีขาวบนเตียงตัวเอง  "พูดกับผีหรือไงนะ"

คาเร็นสะดุ้งนิดๆ ที่จูนพูดแบบนั้น  แต่เธอแน่ใจว่าจูนคงไม่เห็นเธอ  ไม่อย่างนั้นคงไม่ถอดเสื้อนอนตรงนี้หรอก  เธอหันหน้าหนีแทบไม่ทันเลย

"คนบ้าอะไร  ไม่รู้จักอายผีสาง"  เธอบ่นพึม  หากไม่วายแอบมองคนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าผ่านร่องนิ้วตัวเองที่ยกขึ้นมาปิดหน้า  จูนเป็นมนุษย์ผู้หญิงรูปร่างดี  สูงเพรียว  ไม่ผอมมาก  ไม่อ้วนมาก  เพราะแม้เจ้าตัวจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเขียนหนังสืออยู่กับที่  หญิงสาวก็ยังมีสุนัขตัวนี้ที่คอยชวนให้ออกไปเดินเล่นด้วยเสมอ  เธอเห็นจูนมาได้เกือบจะหกเดือนแล้ว  ที่จริงเธอก็จำวันเวลาไม่ได้หรอก  เธอแค่ดูปฏิทินบนกระดานตรงฝาผนังเหนือโต๊ะทำงานของจูน  มีวันที่ที่จูนย้ายเข้ามาบ้านนี้ประดับอยู่หรา

"เสร็จแล้ว  คราวนี้ก็เหลือแกบ้าง"  จูนพูด  เดินไปหยิบสายลากจูงมาสวมให้เจ้าแบร์  ยีหัวมันอย่างรักใคร่  มันเป็นเพื่อนเธอเป็นน้องสาว  เป็นหมาที่ฟลิค  พี่สาวเธอส่งมาให้เลี้ยงตั้งแต่ย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่คนเดียว  คงจะเป็นห่วงว่าเธอจะเหงา  และมันก็ยังคอยเห่าเตือนเธอได้ด้วย

"พันผ้าพันคอ  ใส่หมวกไปด้วยสิ  จูน  อากาศข้างนอกมันหนาวนะ"

จูนชะงัก  เดินกลับมาหยิบหมวกบีนนี่กับผ้าพันคอมาพันคอ  แล้วจึงออกจากห้องไปพร้อมเจ้าแบร์  คาเร็นได้ยินเสียงทั้งคู่เดินลงบันได

"สรุปคุณได้ยินเสียงฉันหรือไม่ได้ยินกันแน่นะ"  วิญญาณสาวเอ่ย  งงกับพฤติกรรมของเจ้าของบ้านคนใหม่  ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองเหงาน้อยลง 

.......................................

"ที่จริงพี่น่าจะมาเที่ยวที่นี่นะ  ฟลิค"  จูนพูดใส่บลูทูธที่เกี่ยวหูอยู่  เธอเดินตามหลังเจ้าแบร์ที่ก้มดมอะไรๆ ไปตลอดทางที่เราเดินผ่าน  "หาเวลาว่างๆ สักสองสามวันสิ  ไปตกปลากัน"

"งานฉันยุ่ง  จูน"  ฟลิคตอบ  เสียงเหมือนจะติเตียนว่าเธอนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้พี่ต้องทำงานอยู่คนเดียว 

"ก็ให้พนักงานคนอื่นทำบ้างสิ"

"พ่อไม่ไว้ใจคนอื่นนอกจากฉันกับเธอ  จำไม่ได้เหรอ" 

จูนกลอกตา  เบื่อจะเถียงกับพี่สาวเต็มที  เพราะเธอไม่มีทางชนะ

"ไหนเธอบอกจะกลับลอนดอนวันนี้ไง"

"พี่รู้ได้ยังไง"  จูนงง  เธอไม่ได้บอกฟลิคเลยว่าจะกลับบ้าน  "นี่ต้องรายงานกันด้วยเหรอ"

"เขาไม่ได้รายงาน  เขาแค่มาปรึกษาฉัน"  ฟลิคพูด  แต่ฟังดูเหมือนคำแก้ตัวในความรู้สึกจูน 

"พวกพี่นี่เล่นอะไรกันอยู่นะ  ฉันไม่ว่าอะไรหรอก  ถ้าจะชอบกันน่ะ"

"เธอพูดบ้าอะไรน่ะ  จูน"

"โอเค  จะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร  แค่นี้แหละนะ  ฉันจะไปวิ่งหน่อย  พี่ก็ควรจะออกกำลังกายบ้างนะ  ดิ๊พซี่น่ะชอบแบบเฟิร์มๆ  แบบฉันนี่แหละ"

จูนได้ยินเสียงฟลิคแว่วๆ อยู่ในสายก่อนเธอจะตัดมันทิ้ง  ดึงบลูทูธออกมาใส่กระเป๋ากางเกงกีฬา  แล้วบอกให้เจ้าแบร์ออกวิ่ง  เธอวิ่งตามมันไปจนถึงท่าเรือเล็กๆ ที่มีเรือยอช์ตจอดสองสามลำ  น้อยกว่าเรือประมง

เธอหยุดวิ่ง  กระตุกสายจูงให้เจ้าแบร์หยุดด้วย  พลางหยีตามองเรือยอช์ตของตนซึ่งได้ตกทอดมาจากปู่เมื่อต้นปี  ปู่เธอยังไม่ตาย  ท่านแค่คิดว่าตัวเองคงไม่มีปัญญามาแล่นเรือได้อีกในอายุแปดสิบปี  แต่ในความคิดเธอ  เธอว่าปู่ยังดูหนุ่มและแข็งแรงกว่าพ่อเธอซะอีก  พ่อที่วันๆ สนใจแต่ผู้หญิงมากกว่าลูก  และชอบตำหนิเธอว่าเป็นลูกนอกคอก  ริจะเป็นนักเขียนแทนที่จะช่วยงานบริษัทเหมือนพี่  เธอก็แค่อยากมีชีวิตของตัวเองมันผิดนักหรือไง

ก็คงจะผิดละมัง  ดิ๊พซี่ยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเธอควรจะกลับไปรับตำแหน่งรองประธานบริษัทได้แล้ว  เพราะคุณพ่อที่มีเชื้อสายขุนนางเก่าของเจ้าหล่อนไม่ชอบให้เธอเป็นนักเขียนกระจอกๆ แบบนี้

"ถ้าเราจะแต่งงานกัน  จูนต้องกลับไปอยู่ลอนดอนนะ  คุณพ่อดิ๊พ ขอร้องมาค่ะ" 

นั่นเป็นคำพูดที่ดิ๊พซี่หรือดาเลีย ลี  พูดกับเธอบ่อยๆ จนเธอเบื่อที่จะฟังแล้ว  และวันนี้เธอก็ชักไม่แน่ใจว่ายังอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นอยู่หรือเปล่า

"นั่งเล่นตรงนี้ก่อนแล้วกันนะ  แบร์"  จูนพูด  นั่งลงบนสะพานไม้ที่ใครๆ ก็มานั่งเล่นกันตอนเช้าๆ แบบนี้  ชาวประมงบางคนก็เอาปลามาขาย  เธอยังเคยซื้อกลับบ้านอยู่บ่อยๆ 

บ้านหลังนี้ของเธอตั้งอยู่ในแคว้นเดวอน  หรือเดวอนเชอร์  ในเขตเมืองทอร์คีย์ที่เป็นบ้านเกิดของนักเขียนแนวลึกลับอย่าง  อกาธา  คริสตี้  ซึ่งเธอชื่นชอบงานของเธอผู้นี้เป็นพิเศษ 

เธอเจอบ้านหลังนี้ด้วยความบังเอิญ  ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวแทนของนักเขียนคนหนึ่งที่อยู่สังกัดสำนักพิมพ์เดียวกับเธอ  มีนาตาเลียเป็นบอกอเหมือนกัน  หล่อนมาปรึกษานาตาเลียว่าจะทำอย่างไรดีกับทรัพย์สินของนักเขียนซึ่งหล่อนดูแลเรื่องผลประโยชน์ค่าลิขสิทธิ์ให้อยู่  เนื่องจากเจ้าตัวเสียชีวิตไปกะทันหันโดยที่ไม่มีญาติหรือคนที่พอจะไว้ใจได้อยู่ที่นี่นอกจากทนายที่ผู้ตายเพิ่งจะแต่งตั้งขึ้นมาให้ดูแลพินัยกรรมเมื่อเร็วๆ นี้เอง (เหมือนจะรู้ตัวว่าจะตายงั้นละ)  ตัวแทนนักเขียนผู้นั้นนึกเสียดายบ้านที่นักเขียนสาวเคยอยู่อาศัยในช่วงที่มีชีวิตอยู่และกำลังรุ่งเรืองในหน้าที่การงานหลังนี้ขึ้นมา  จึงอยากจะหาคนมาซื้อต่อ  คนที่จะไม่ทำลายมันทิ้ง  ดัดแปลง  หรือเปลี่ยนมันให้เป็นห้องเช่าเหมือนบ้านหลังอื่นๆ  แล้วก็พอดีกับที่นาตาเลียรู้ว่าเธออยากจะได้บ้านในชนบทสักหลัง  เอาแบบที่เธอพอสู้ราคาได้  นาตาเลียจึงแนะนำให้ตัวแทนนักเขียนมาคุยกับเธอ  แล้วเธอจึงขอมาดูมันก่อน  จากนั้นก็ตัดสินใจซื้อทันที  แค่เห็นบ้านกับบรรยากาศของมัน

มันเป็นบ้านหลังกะทัดรัด  สองชั้น  มีสามห้องนอนสามห้องน้ำ  แต่มีเพียงห้องนอนใหญ่ห้องเดียวที่มีห้องน้ำในตัว  ซึ่งตอนนี้เธอก็ใช้มันเป็นห้องนอนตัวเอง  มีห้องทำงานกับห้องหนังสือด้วย  เฟอร์นิเจอร์ก็เพียบพร้อมและยังใหม่ทุกชิ้น  เธอแทบไม่ต้องเอาอะไรมาเลย  นอกจากตัวกับเสื้อผ้า

แต่บางทีเธอก็คิดพิลึกๆ ขึ้นมาว่าเธอกับเจ้าแบร์อาจจะไม่ได้อยู่กันตามลำพัง  เธอรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเฝ้ามองเธออยู่  ได้ยินเสียงแว่วๆ อยู่ทุกวัน  ดิ๊พซี่เคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่มาอีกเลย  แฟนเธอบอกว่าเจอผี  เจ้าของบ้านคนเก่า  และเธอก็บอกว่าเจ้าหล่อนไร้สาระ  เพราะไม่อยากมาบ้านนอกก็เลยอ้างไปเรื่อยเปื่อย  จากนั้นมาเราก็ทะเลาะกันบ่อยๆ  ซึ่งหัวข้อก็ไม่ค่อยจะพ้นเรื่องบ้านหลังนี้กับผีเจ้าของบ้าน

"คาเร็น  คีแกน  ถ้าคุณยังอยู่จริงๆ  ทำไมถึงไม่ออกมาเจอฉันล่ะ"

"ใครบอกล่ะ  ฉันอยู่กับคุณทุกวัน  แต่คุณไม่เห็นฉันเอง"  คาเร็นพูดขึ้นข้างๆ เจ้าแบร์ที่เงยหน้าขึ้นจากท่าหมอบอยู่มามองเธอขณะที่จูนเอาแต่มองไปยังทะเล  "บอกเจ้านายแกสิ  แบร์  ว่าฉันอยู่ที่นี่  อยู่ข้างๆ เขา"

"แบร์  แกอยากไปล่องเรือไหม"

"อย่าเลย  จูน  วันนี้คลื่นแรงนะคะ" 

"อืม  ใช่จริงๆ ด้วย  คลื่นแรง  ฉันหนาวหมดเลย  ดีนะ  ใส่หมวกกับผ้าพันคอมา"  จูนพูด  ไม่ได้เอะใจว่าตัวเองพูดคนเดียวเหมือนคนบ้า  ยังไงเธอก็มีเจ้าแบร์ฟังอยู่  แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าแบร์มันพูดได้เหมือนคน

"เรากลับบ้านกันดีกว่า  กินข้าวเช้าเสร็จ  เราจะไปลอนดอนกัน"

"อ้าว  คุณจะไม่อยู่จริงๆ เหรอเนี่ย  จูน"

"ฉันก็ไม่ได้อยากจะไปหรอก  แต่ไปเองก็ยังดีกว่าให้พวกนั้นมานะ"

คาเร็นนิ่งไป  มองจูนลุกขึ้นยืนปัดกางเกงและเรียกเจ้าแบร์ให้ลุกขึ้นตามไปด้วย  เธอรู้สึกว่าจูนพูดกับเธอไม่ใช่กับเจ้าแบร์หรือสายลมแสงแดด

"เขาไม่เห็นเราสักหน่อยนี่นา  บ้าจริง  คาเร็น"  เธอบ่นกับตัวเอง  แล้วหายตัวไปดื้อๆ  ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวประมงคนหนึ่งที่ยืนมองเธอกับจูนและเจ้าแบร์อยู่พักหนึ่งแล้ว

......................................

"คุณจูน!  ป้า  คุณจูนมาแล้ว!" 

"เอาแบร์ไปอาบน้ำที  ทัคเกอร์  แต่เอารถไปเก็บก่อน"  จูนพูดพร้อมโยนกุญแจรถให้ชายหนุ่มที่วิ่งถลาจากสวนข้างบ้านมาต้อนรับเธอ  ทั้งยังแหกปากให้คนทั้งบ้านรู้ด้วยว่าเธอกลับมาแล้ว

"แปรงขนให้มันดีๆ  เป่าให้แห้งสนิทด้วยนะ"  เธอกำชับขณะก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนของบ้านที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบ้านหรือคฤหาสน์ดี  แต่เธอก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด  ก่อนจะย้ายตัวเองไปเดวอน

"คุณหนู  ขับรถมาเองเหรอคะ  ทำไมไม่บอกให้ทัคเกอร์มันไปรับ  แล้วทำไมขับรถคันนี้อีกแล้ว  มันเก่าจนไม่มีใครเขาใช้กันแล้วนะคะ" 

"แต่จูนยังเห็นคนอื่นเขาขับกันอยู่นะคะ  นม  แล้วมันก็เป็นรถแม่ด้วย  จะให้จูนทิ้งไปได้ยังไงคะ"  จูนชี้แจงแต่หญิงชรากลับถอนใจ

โตโยต้าโคโรล่าคันนี้เป็นรถคันเก่าของแม่ที่เคยใช้ขับไปทำงานตอนยังมีชีวิตอยู่  ตอนที่หนีคุณพ่อเพลย์บอยของเธอไปอยู่กับเธอสองคน  เพราะตอนนั้นเธอเพิ่งจะคลอด  แม่ก็หอบเธอหนีออกไปจากโรงพยาบาล  จำใจต้องทิ้งฟลิคไว้กับพ่อจนกระทั่งปู่ไปตามหาเราสองแม่ลูกจนเจอ  และขอให้แม่กลับมาบ้าน  แม่จำเป็นต้องยอมเพราะเป็นห่วงเธอที่ยังเล็กมาก  แล้วพ่อก็ถือโอกาสขายรถแม่ทิ้งไปให้ใครก็ไม่รู้  ตั้งใจจะขังแม่เอาไว้ในบ้านหลังนี้ตลอดไป  แต่แม่ก็อยู่ในฐานะของคุณผู้หญิงเดวิสมาได้แค่เพียงห้าปีก็ป่วย  และเสียชีวิต  ทิ้งเธอกับฟลิคไว้กับพ่อ  ปู่กับย่าและแม่นมจอร์จิน่าคนนี้ 

ต่อมาพอเธอโตขึ้นจนพอจะมีปากเสียงเถียงได้  เธอจึงขอของขวัญวันเกิดครบอายุสิบหกจากพ่อเป็นรถคันเก่าของแม่  เธอตั้งใจจะแกล้งพ่อ  แต่เขาก็หามันมาให้เธอจนได้  ซึ่งเธอมารู้ทีหลังว่าเขาไม่ได้ขายมันทิ้งไป  แค่เอาไปซ่อนไว้ที่บ้านเพื่อนเขาเท่านั้น

"ก็เอาไว้ขับใกล้ๆ ก็ได้นี่คะ  รถคันอื่นก็มี  นมกลัวมันจะพังระหว่างที่คุณหนูขับมาบ้าน"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  เครื่องมันยังดีอยู่  จูนให้ช่างที่ไว้ใจได้เช็กแล้ว  ไม่ต้องห่วงนะคะ"  จูนปลอบแม่นม  กอดนางราวกับเป็นแม่ตัวเอง  "แล้วพ่อกับฟลิคล่ะคะ"

"เอ่อก็..."  แม่นมจอร์จิน่าอึกอัก  มองไปยังบันไดวน  จูนมองตามไปอย่างอัตโนมัติ  จึงเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุน่าจะแก่กว่าฟลิคสักสองสามปี  สวมชุดเดรสสีแดงเกาะแขนพ่อเธอลงมา  นี่แหละข้อหนึ่งที่ทำให้เธอไม่อยากกลับมาบ้านหลังนี้ 

พ่อที่เอาผู้หญิงอายุมากกว่าลูกสาวคนโตตัวเองไม่กี่ปีมาทำเมีย  เธอจะอยากเคารพอย่างนั้นหรือไง  แถมฟลิคก็ทำยังบอกเธออีกว่าให้ปล่อยพ่อไปเถอะ  ยังไงเขาก็คงไม่เอาสมบัติให้ผู้หญิงพวกนี้หมดหรอก  อีกไม่นานเขาก็ทิ้งหล่อน  เธอก็รู้อยู่หรอกว่าพ่อคบใครได้แป๊บเดียว  เลี้ยงไม่นานก็ทิ้งไปหาคนอื่น  ให้เงินสักก้อนและไล่ออกจากบ้าน  กี่คนแล้วเธอก็ไม่อยากจำ

"จูนไปบ้านเล็กนะคะ"  จูนหันมาบอกกับแม่นม  เธอมีบ้านหลังเล็กที่เคยเป็นของแม่อยู่ด้านหลังบ้านใหญ่  เธอไม่ค่อยโผล่มาบ้านหลังนี้หรอก  ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น  หรือฟลิคขอให้มา

"จะไปไหน  จูน  กลับมาแล้วไม่คิดจะทักพ่อบ้างหรือไง  ช่างเป็นเด็กไม่มีมารยาทเอาเสียเลย"

หญิงสาวชะงักเท้า  หันกลับมาถลึงตาใส่พ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง  แม่นมจอร์จิน่ารีบเข้ามาจับตัวเธอไว้  กลัวจะไปอาละวาดใส่พ่อ 

"ฉันนึกว่าแกจะไม่กลับมาแล้วซะอีก  ในที่สุดก็อยู่ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ  บ้านหลังนั้น  ลำบากจะตาย  คนอย่างแกจะอยู่ที่ไหนได้  แกมันเหมือน --"

"หยุดนะคะพ่อ  ห้ามพูดถึงแม่แบบนี้เด็ดขาด  ถ้าจะว่าจูนก็ว่าจูนแค่คนเดียว  แม่ไม่เกี่ยว  แม่ตายไปนานแล้ว  ตอนแม่ยังอยู่  พ่อไม่เคยทำให้แม่มีความสุข  ตอนตายไปแล้ว  ก็ช่วยอย่าทำให้แม่ต้องทุกข์อีกเลย  จูนขอ  และขอตัวค่ะ  --  นมให้ทัคเกอร์เอาแบร์ไปให้จูนที่บ้านเล็กนะ  ขอบคุณค่ะ"

"ไอ้เด็กจองหอง!"

จูนได้ยินเสียงพ่อตะโกนตามหลังมา  หากเธอพยายามไม่สนใจ  แม่นมจอร์จิน่าตามมาส่งเธอถึงหน้าบ้านเล็ก  จะแย่งเธอถือกระเป๋าด้วย  แต่เธอไม่ยอม  "นมกลับไปเถอะค่ะ  เดี๋ยวพ่อจะว่าเอา  ยังไงเขาก็เป็นเจ้าของที่นี่นะคะ  จูนไม่อยากให้นมเดือดร้อน"

"ก็ได้ค่ะ  แล้วถ้าคุณฟลิคกลับมา  นมจะบอกให้นะคะว่าคุณหนูกลับมาแล้ว"

"ค่ะ"  จูนรับปาก  จูบแก้มหญิงชราที่เธอรักเหมือนแม่แท้ๆ  เพราะนางเลี้ยงเธอมาหลังจากแม่เธอเสียชีวิตจนเธออายุยี่สิบสี่ในปีนี้แล้ว

"ฉันคงคิดผิดที่กลับมา"  หญิงสาวพึมพำเมื่อทิ้งตัวลงบนเตียงอุ่น  ห้องนี้ยังให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกับเธออยู่  และเธอก็คิดถึงมัน  แต่ตอนนี้เธอคิดถึงห้องที่บ้านในเดวอนมากกว่า

"อีกสักสองวันนะ  คาเร็น  คีแกน  แล้วฉันจะกลับไป"  จูนพูดก่อนจะหลับตาลง  และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยก่อนจากการขับรถข้ามเมืองมาสี่ชั่วโมงเต็มๆ

...........................................

"ที่เหลือคุณให้แมสเซนเจอร์ไปส่งให้ฉันที่บ้านนะคะ  โจซี่" 

"ได้ค่ะ  คุณฟลิค"

"ขอบคุณค่ะ  งั้นพรุ่งนี้เจอกัน"  ฟลิคตอบเลขาส่วนตัวด้วยรอยยิ้ม  แล้วเดินเร็วๆ ไปเข้าลิฟต์ผู้บริหารที่มีเจ้าหน้าที่ยืนคอยกดให้  เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย  พอประตูลิฟต์ปิดยิ้มเธอก็หายไป  เปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดขณะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู  เธอกลับบ้านดึกเหมือนเดิม  แม้กระทั่งวันที่น้องสาวบอกว่าจะกลับมา  นานๆ จูนจะกลับบ้านสักที  น้องหายไปอยู่เดวอนตั้งแต่ซื้อบ้านหลังนั้น  ถ้าเธอไม่ส่งเจ้าแบร์ให้ไปอยู่ด้วย  คงจะเป็นห่วงมากกว่านี้

เด็กบ้านั่น  ชอบทำแต่เรื่องน่าปวดหัวตลอด

"กลับบ้านเลยค่ะ  คอร์นเนอร์"  เธอบอกโชเฟอร์ประจำตัวเมื่อก้าวขึ้นรถที่เขาเปิดประตูให้  แต่ยังไม่ทันที่ประตูรถจะได้ปิด  ใครคนหนึ่งก็ส่งเสียงขึ้นมา  ทำให้คอร์นเนอร์ต้องเปิดประตูค้างเอาไว้ก่อน  รอให้คนคนนี้ขึ้นมาด้วย

"เกือบไม่ทันเลย  ให้ตายเถอะ"  แขกที่ไม่ได้รับเชิญบอกเสียงร่าเริง  มองคนที่นั่งอยู่ก่อนด้วยรอยยิ้ม  แม้อีกฝ่ายจะหน้าตึงมาก  "หวัดดีค่ะ  ฟลิค  คุณจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอคะ  ฉันขอติดรถไปด้วยสิ  ฉันมาทำงานที่นี่พอดี  และคนขับรถฉันก็หายไปไหนไม่รู้ค่ะ  หาไม่เจอ  โทรเรียกก็ไม่มา"

"เชิญค่ะ"  ฟลิคตอบ  ขยับตัวห่างจากอีกฝ่ายมาสุดเบาะ  ผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง  พยายามไม่สนใจกลิ่นน้ำหอมชวนเวียนหัวของผู้หญิงที่ชอบอ้างตำแหน่งแฟนน้องเธอมาทำตัวสนิทสนมกับเธอและคนในบ้านเธอตลอด

"จูนกลับมาแล้วใช่ไหมคะ"  ดิ๊พซี่ถาม  อยากจะชวนคุย  ไม่อยากนั่งเงียบๆ ไปตลอดทาง  ถ้าเธอไม่เป็นฝ่ายพูด  ฟลิคก็คงจะไม่พูดแน่ๆ 

"คุณก็รู้อยู่แล้วนี่คะ  ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ขึ้นรถฉันมาแบบนี้  หรือคุณมีธุระอะไรกับฉันล่ะ"  ฟลิคย้อน  หยิบแฟ้มงานขึ้นมาอ่าน  แต่มันก็ถูกมือของอีกคนดึงไปเฉยเลย  "คุณ  ฉันจะทำงาน --"

"ทำอะไรล่ะคะ  ดึกป่านนี้แล้ว  ไม่ต้องขยันมากนักหรอก"

"เรื่องของฉัน"  เธอพูดเสียงดุ  ดึงแฟ้มกลับคืนมาจากมือเล็กๆ และยกมันหนีเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะมาแย่งไปอีก  "ถ้าคุณไม่อยู่เฉยๆ  ฉันมีสิทธิ์จะขอให้คุณลงจากรถนะคะ  ดาเลีย"

"แหม  แค่นี้ก็ต้องดุด้วยเหรอ  เย็นชาจังเลยนะคะ  ไม่เห็นเหมือนน้องคุณเลย"

"ขอโทษนะคะ  ฉันไม่ได้ชื่อจูน"  ฟลิคพูดเสียงเรียบ  ก้มลงดูงานในแฟ้มต่อ  แต่พอรู้สึกว่ารถมันเงียบไป  เธอก็เหลือบตาขึ้น  และเห็นสีหน้าของหญิงสาวร่างเล็กที่เปลี่ยนไปจากรื่นเริงเหมือนเด็กสาวเป็นเซื่องซึมราวกับคนอกหักมา  เธอถอนหายใจ  ล้วงกระเป๋าถือ  หยิบไอพอดขึ้นมาแล้วเอาไปยื่นให้เจ้าหล่อนซึ่งหันมามองเธออย่างแปลกใจ

"ถ้าคุณไม่อยากอยู่เงียบๆ ก็ฟังเพลงสิ"

ดิ๊พซี่เลิกคิ้ว  มองไอพอดในมือผอมๆ  ยังไม่ยอมรับมันมา  "คุณสั่งให้คอร์นเนอร์เปิดเพลงไม่ง่ายกว่าเหรอคะ"

"ไม่ค่ะ  เพราะฉันไม่อยากฟังเพลง  คุณฟังคนเดียวเถอะ"

"คุณนี่ประหลาดชะมัดเลย  ฟลิค" 

"ฉันจะคิดว่ามันเป็นคำชมก็แล้วกันค่ะ"  ฟลิคตอบ  วางไอพอดใส่ตักของแฟนน้อง  แล้วก้มลงทำงานต่อ  เธอเหลือบตาขึ้นมองผู้ร่วมทางเป็นระยะ  แล้วยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นหญิงสาวร่างบางนั่งหลับตาพริ้ม  ฟังเพลงจากไอพอดของเธออย่างสบายอารมณ์   



...................


มาแว้ว....  :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

01 ธันวาคม 2018 เวลา 13:52:07
มีทั้งไอ้ตัวเย็นชาและไอ้ที่น่ารำคาญ
แสดงความคิดเห็น