web stats

ข่าว

 


MISTAKE ไม่คิดว่าเป็นเธอ ตอนที่ 12 เส้นที่ขีดเอาไว้

โพสต์โดย: TrueDream วันที่: 17 มกราคม 2019 เวลา 05:29:52 อ่าน: 49

วันนี้ประภัสสรเองแทบจะไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก เนื่องจากอาการปวดแผลจนทำเอาน้ำตาร่วงทุกทีที่ขยับแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งนั่นทำให้เธอจับสมาธิกับงานได้ค่อนข้างยากแต่ก็ยังพยายามจะทำไปเรื่อยๆ อย่างน้อยให้ได้เคลียร์ไปบ้างก็ยังดี เธอไม่ชอบทำงานที่เร่งรีบ เพราะงานของเธอนั้นต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมาก แต่หลายๆ คนมักจะต้องการให้เธอรีบ ซึ่งเรื่องนี้เธอก็เข้าใจ และทำให้ทุกคนเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่านั่นต้องผ่านการตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว จึงเหมือนว่าเธอนั้นทำงานอยู่ตลอดเวลา

หญิงสาวหันมองเครื่องมือสื่อสารของตนเองเมื่อมีสัญญาณว่าได้รับข้อความทางไลน์ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยตอบอะไรในกลุ่ม หรือแม้แต่ไลน์ที่มีการส่งมาอย่างเป็นส่วนตัว หากไม่ใช่งานหรือไม่เห็นว่าสำคัญเธอก็จะมองผ่านไป แต่ไม่เคยมีข้อความไหนที่เธอไม่อ่าน หากเป็นเรื่องงานแล้วเธอเป็นคนที่อ่านไวและตอบไวเสมอ หรือกับนริศราเองช่วงหลังๆ เธอก็ตอบไวเช่นกันแม้ว่ามันจะไม่มีสาระอะไรเลย

ต่อไปคงต้องพยายามทำเป็นไม่เห็นและทอดเวลาออกไปเหมือนที่เคยทำมาสินะ?แค่คิดแบบนี้กลับทำให้ตนเองใจหายอย่างประหลาด ยิ่งเมื่อกำลังมองดูสติ๊กเกอร์ทักทายของเด็กที่กำลังนึกถึงแล้วมันทำให้เกิดหลุมลึกในใจจนอยากตอบอะไรกลับไปบ้าง แต่ก็ต้องแข็งใจเอาไว้ ยังดีที่นริศราเองไม่ใช่เด็กงี่เง่า เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ส่งข้อความมาบ่อยนัก แต่ยังสัมผัสได้ถึงความกระวนกระวายของฝ่ายนั้น

ขณะที่หญิงสาวกำลังเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารและอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังบอกให้เธอตอบอะไรกลับไปบ้าง ทันใดนั้นข้อความใหม่ก็เข้ามากลบข้อความของเด็กน้อย ทำให้แรงดึงดูดลึกลับนั้นหายไป ประภัสสรถอนหายใจแล้วอ่านข้อความที่แสดงตัวอย่างขึ้นมาใหม่

"กลางวันทานอะไร เดี๋ยวซื้อไปฝาก" มันเป็นข้อความจากนิศากร

เมื่อเห็นดังนั้นประภัสสรจึงกดเข้าไปเพื่อตอบ แล้วพบว่าความสามารถในการพิมพ์ของเธอลดลงมาก นิ้วมือนั้นแข็งไปหมดและหยาดน้ำใสก็ไหลหยดจากดวงตาอย่างอัตโนมัติเนื่องจากความเจ็บปวดที่ขึ้นขณะขยับจะพิมพ์

"ผูกปิ่นโตมา ขอบคุณ" คนเจ็บกลั้นใจพิมพ์จนจบ ดูท่าอาการของเธอคงหนักขึ้นจากเมื่อเช้า

"ทำกับข้าวเองเป็นเหรอ"

ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าจะตอบให้น้อยแต่พอเห็นข้อความแบบนี้ มันหมิ่นประมาทกันชัดๆ

"เป็นสิ อร่อยด้วยนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่กินหรอก"

"นี่เธอเจ็บจริงรึเปล่าเนี่ย เรื่องกวนประสาทนี่พิมพ์ซะยาวเชียว" นิศากรอดที่จะเหน็บไม่ได้ ก่อนที่จะพิมพ์ถามต่อ

"ว่าแต่ทำกับข้าวไหวเหรอ"

"ไหวอยู่" ที่ประภัสสรไม่ได้พูดออกมาคือมันก็แค่ไข่ต้มกับต้มผักเท่านั้นล่ะที่พอจะทำได้ ซึ่งแค่นี้ก็เต็มแรงแล้วแถมยังมาสายอีกต่างหาก มือที่ใช้งานได้ข้างเดียวนี่มันลำบากจริงๆ

"กาแฟเมื่อเช้าฝากคนอื่นไปซื้อใช่ไหม" นิศากรถาม แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าถ้ายังเจ็บอยู่แบบนี้เจ้าตัวคงไม่ไปเองหรอก

"อือ ร้านไม่ใช่ทางผ่าน"

ถ้าไม่ติดว่าเจ็บมือคงบอก 'ใครเอาไปให้ก็คนนั้นล่ะ'

"ยังไงก็ขอบคุณนะ"

"ไม่เป็นไร ฉันอยากขอบคุณที่เธอยอมช่วย"

"ถ้าอยากขอบคุณเรื่องนั้นจริงๆ ฉันมีเรื่องให้เธอช่วย" นิศากรนิ่งคิดก่อนที่จะพิมพ์ลงไป

"ว่า..."

"ช่วยดูแลน้องมดให้ฉันหน่อย อย่าให้ใครรังแกเธอจนเกินไปนัก"

"คุณเลขาหน้าห้องน่ะนะ" ประภัสสรยอมเปลืองพลังงานถามย้ำ คิดไม่ออกเลยว่าเธอจะช่วยได้อย่างไร และปกติก็ไม่มีอะไรอยู่แล้วนี่นา...หรือมี

"ใช่ นั่นล่ะ"

"เมื่อวานฉันไปทานข้าวที่โรงอาหาร..." นิศากรเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด ว่าไปได้ยินคนอื่นพูดถึงมิรันตีอย่างไร สิ่งเหล่านั้นมีแต่เรื่องที่ทำให้เลขาสาวเสียหาย และยังมีเรื่องข้อมูลของการเงินรั่วไหล แม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเงินเดือน แต่ก็อยากจะเตือนเพื่อนเอาไว้ ไม่รู้ว่าวันหน้าจะมีอะไรสำคัญกว่านี้หลุดออกไปหรือไม่

"ฉันแค่ขอให้ช่วยดูแลเท่าที่มันจะไม่ลำบากเธอน่ะ ฉันไม่ได้ขอให้ทำอะไรมากกว่าเดิมหรอก ก็แค่ขอให้ช่วยเอ็นดูน้องสักหน่อย ถ้าเห็นก็อย่าให้ใครทำร้ายน้อง...ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม" หัวหน้าแผนกวิจัยสรุป

"ได้" ประภัสสรรับปาก

หัวหน้าการเงินเองก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าเอ็นดูไม่น้อย เธอนั้นพอจะรู้เรื่องข่าวลือต่างๆ ของมิรันตีอยู่บ้างแต่ปกติแล้วจะทำเฉยๆ ไปเพราะไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริงแค่ไหนและมันไม่เกี่ยวกับเธอเลย ต่อไปหากใครพูดคงต้องปรามๆ แล้วล่ะ ที่สำคัญต้องจัดระเบียบแผนกของตนเองขนานใหญ่เชียว

"ฉันว่าช่วงนี้เธอทำบุญบ้างก็ดีนะ ในเวลาแค่ 1 เดือนนี่ ทั้งเดินอยู่ดีๆ ก็โดนน้ำร้อนราด สักพักมีเรื่องเข้ามาจนวุ่นวาย นี่ยังจะโดนตัวเงินตัวทองกัด ฉันว่าเธอซวยไม่ธรรมดาแล้วล่ะ"

ประภัสสรส่งสติ๊กเกอร์กลับไปด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เธอเองก็ขอให้ครั้งนี้เป็นเรื่องเจ็บตัวครั้งสุดท้ายเถอะ...

"อย่างนั้นกลางวันนี้จะแวะไปเยี่ยมนะ อยู่แผนกใช่ไหม" นิศากรเอ่ยถาม คิดว่าเจ้าตัวคงไม่ออกไปไหนในเมื่อผูกปิ่นโตมาขนาดนี้

ประภัสสรส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณเป็นการตอบกลับไปและตอบตกลงอยู่ในที เห็นความตั้งใจของอีกฝ่ายแล้วไม่อยากปฏิเสธ หรือช่วงนี้เธออยู่ในสภาวะจิตใจอ่อนแอกันนะ บางทีก็อยากหาเพื่อนคุยให้จิตใจหยุดฟุ้งซ่านถึงเด็กนักศึกษาในความดูแล ไม่ชอบให้ตัวเองอยู่ในความคิดที่สับสนแบบนี้เลย แบบที่เหมือนจะคิดได้แต่ตัดใจทำไม่ได้ คงทำได้เพียงรวบรวมสมาธิดึงกลับเข้าสู่การทำงานอีกครั้งและต้องตั้งสติให้ดีในการวางตัวกับเด็ก




เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้นมาทำลายความเงียบ หญิงสาวมองดูเวลาก่อนจะกดเปิดลำโพงเพื่อความสะดวกในการพูดคุย

"สวัสดีค่ะ" ประภัสสรตอบรับ

"คุณมิรันตีกับคุณนิศากรมาค่ะ" นักศึกษาสาวรายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นการเป็นงาน

"ค่ะ เชิญเข้ามาเลยค่ะ"

นริศรากดวางสายแล้วเชิญแขกทั้งสองอย่างสุภาพ เป็นโอกาสที่เธอจะได้มองเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้งแม้จะเป็นเพียงการเปิดประตูให้ผู้มาเยือน แต่ก็อยากจะมองให้แน่ใจว่าพี่เค้กของเธอยังสบายดี ยิ่งเห็นเงียบทั้งวันแบบนี้มันทำให้อดห่วงไม่ได้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นลมอยู่ภายในห้องหรือไม่ เมื่อเห็นว่าอีกคนนั้นยังสบายดีมากพอที่จะรับแขกได้มันก็ทำให้ก้อนน้อยใจตีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

'แล้วทำไมไม่ตอบข้อความเลย'

เธออยู่ในฐานะที่จะพูดออกไปได้หรือไม่?มันก็ไม่ควรใช่ไหม เธอไม่มีสิทธิ์จะงอนหัวหน้าของตัวเอง




"นั่งก่อนสิ เก้าอี้อีกตัวก็ยกเอาแล้วกัน" เจ้าของห้องบอกเรียบๆ เมื่อเห็นว่าแขกทั้งสองเข้ามาเรียบร้อย ตอนนี้เธอเจ็บจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ทั้งเจ็บแผล ทั้งเรื่องงาน แล้วยังต้องมาปวดหัวกับเรื่องหัวใจอีก

"นี่ไม่คิดจะรับแขกเกินครั้งละหนึ่งคนเลยใช่ไหม" นิศากรอดไม่ได้จะหยอก ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังมิรันตีที่กำลังยกเก้าอี้มาวางอย่างเบามือ ค่อยวางใจที่มันดูไม่หนักเท่าไร

"ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องมีสักคนเลยก็ดี"

คราวนี้นิศากรรู้แล้วว่าประภัสสรนั้นกำลังเหนื่อยจริงๆ และที่พูดมานั่นก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ได้กำลังกวนประสาทเธออย่างที่ฝ่ายนั้นชอบทำ แม้จะนึกห่วงแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือถามอะไรดี ไม่คุ้นกับประภัสสรที่เป็นแบบนี้เลย?มันดูป่วยเกินไป

"ไหนขอดูแผลหน่อยสิ" คนมาเยี่ยมกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลง

คนเจ็บขยับตัวพร้อมทั้งถอนใจก่อนจะค่อยๆ ยกมือข้างที่เจ็บมาวางบนโต๊ะอย่างช้าๆ ที่ข้อมือขวานั้นมีผ้าก๊อซสีขาวพันอย่างประณีต นิศากรเห็นว่ามันยังคงสั่นเทาอย่างเหนือการควบคุมทำให้รู้ว่าเจ้าตัวเจ็บมากในการขยับตัว ทำเอาคนขอรู้สึกผิดขึ้นมาเลยทีเดียว แต่ประภัสสรเพียงขมวดคิ้วลงเล็กน้อยเท่านั้น หากไม่สังเกตอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

"เจ็บมากเลยนะนั่น" นิศากรขมวดคิ้วลง เมื่อเห็นหยาดน้ำใสไหลรินลงมาจากดวงตาคู่งามโดยไร้สุ้มเสียงใดๆ

"ทานยาบ้างไหมเนี่ย" หัวหน้าแผนกวิจัยอดที่จะถามไม่ได้

"ทานสิ?สงสัยหมดฤทธิ์ยา"

"ก็ทานอีกสิ" นิศากรร้อง จะทนเจ็บไปทำไม

"ต้องทานหลังอาหาร"

"ก็รีบทานอาหารสิ"

"ยังไม่ถึงเวลาพัก"

"โอ๊ย?เธอนี่มัน?" นิศากรไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับผู้หญิงคนนี้ดี จะมาระเบียบแน่นเป๊ะอะไรตอนนี้    "ป่วยอยู่ ทานก่อนก็ได้" คนมาเยี่ยมเค้นเสียงบอก มันน่าตีจริงๆ

"อีกแค่ไม่กี่นาทีเอง" ประภัสสรถอนใจ

"แล้วเธอทนปวดมากี่นาทีแล้ว" นิศากรอ่อนใจ

"ก็พอทนได้ นั่งเฉยๆ ไม่ปวดเท่าไร" คนเจ็บบอกเรียบๆ รอยยิ้มจางๆ นั้นปรากฏที่มุมปาก

"นั่งเฉยๆ ไม่ปวดเท่าไร?อย่าให้ขยับสินะ" นิศากรรู้สึกเหมือนกำลังพูดกับเด็กหัวรั้น

"ก็อย่าให้ฉันต้องขยับสิ"

อันนี้เริ่มหาเรื่องแล้ว

"แล้วแบบนี้จะขับรถกลับไหวแน่เหรอ" คนมาเยี่ยมพยายามมองข้ามความกวนประสาทนั้นไป

"ต้องไหว?อดทนเอา" ประภัสสรย้ำเรื่องที่เคยบอก

"ไม่ต้องทนทุกเรื่องก็ได้"

"ฉันไม่ใช่คนที่ทนทุกเรื่องหรอกนะ ฉันทนแค่เรื่องที่ต้องทนหรือควรทน และฉันก็อดทนเท่าที่ทนไหวเท่านั้นล่ะ" ประภัสสรบอกเรียบๆ

"ไม่ต้องมีความอดทนสูงนักก็ได้นะ" นิศากรบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เธอไม่รู้หรอกว่าฝ่ายนั้นกำลังเผชิญกับอะไร แต่ก็อยากจะปลอบใจ เพราะฟังไปฟังมาเหมือนจะไม่ใช่แค่เรื่องอาการบาดเจ็บที่มือ

"ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันหรือเธอจะมีความอดทนสูงกว่ากัน" คราวนี้ประภัสสรยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเท่าไร

"เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ" นิศากรร้อง

"ไม่เกี่ยวหรอก แค่เปรียบเปรย"

ผู้มาเยือนหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด?มันไม่น่าเกี่ยวกับเธอจริงๆ

"เรื่องใกล้เคียงกันอะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง" เจ้าของห้องบอกด้วยท่าทีสบายอารมณ์มากขึ้น มีคนให้หยอกบ้างมันก็คลายเครียดดี

"ฉันปวดหัวเวลาที่เธอเป็นแบบนี้"

"แต่ฉันสนุก" ประภัสสรยิ้มกว้าง

"ไปทานข้าวเถอะ ได้เวลาแล้วนี่ ขอบคุณที่มาเยี่ยม" เจ้าของห้องตัดบทเสียอย่างนั้น

"อย่างนั้นฉันกลับล่ะนะ" นิศากรเองก็ตอบรับอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะยังเป็นห่วง แต่หญิงสาวก็ไม่ใช่คนจุกจิกกับคนทั่วไปขนาดนั้น

ประภัสสรพยักหน้ารับ แน่นอนว่าเธอคงไปส่งใครไม่ไหว และฝ่ายนั้นก็ไม่ได้คิดเรื่องมารยาทมากมายอะไรขนาดนั้น

เมื่อได้อยู่คนเดียวก็ทำให้ความคิดของหญิงสาววกกลับมาหานักศึกษาฝึกงานของตนอีกครั้ง ในวันที่ไม่ค่อยได้พบหน้าหรือพูดคุยกับนริศรามันทำให้อารมณ์ของเธอแกว่งไปมาอย่างรุนแรง มันเป็นอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งคิดถึง อยากคุย หงุดหงิด ไปจนถึงเงียบเหงาเศร้าซึมในบางช่วงเวลา

ไม่บ่อยเลยที่อารมณ์ต่างๆ จะอยู่เหนือเหตุผลได้มากมายและยาวนานขนาดนี้?เธอไม่ชอบเลยจริงๆ

"จะเที่ยงแล้วอย่าลืมทานข้าวทานยานะคะ"

เครื่องมือสื่อสารของเธอสั่นขึ้นมาพร้อมทั้งแสดงข้อความจากคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้อง?อยู่ใกล้กันกันแค่นี้ แต่กลับแทบไม่ได้พูดกันเลย

"มีอะไรให้ครีมช่วยไหมคะ"

อีกไม่ถึง 1 นาทีข้อความต่อมาก็ถูกส่งมาอีก

"อย่าเงียบแบบนี้สิคะ ครีมเป็นห่วง" นริศรายังคงส่งข้อความเข้ามา ร้อนใจจนแทบเข้าไปเคาะประตูห้อง

ทั้งห่วงว่าฝ่ายนั้นจะเป็นลมวูบไปหรือไม่จึงไม่ตอบเธอ แม้ว่าแขกจะเพิ่งออกมาแต่นั่นก็ไม่อาจทำให้วางใจได้เท่าตาเห็น ยิ่งนึกถึงว่าเมื่อวานนั้นพี่เค้กของเธอดูอ่อนแอเพียงใด ยิ่งทำให้หัวใจเหมือนถูกบีบ อุบัติเหตุนั้นเกิดได้ทุกวินาทีจริงๆ
"ไม่มีอะไร แค่อยากอยู่เงียบๆ"

ในวินาทีแรกที่เห็นข้อความตอบกลับเข้ามาหัวใจของนริศราเต้นรัวขึ้น แต่เมื่อได้อ่านแล้วความน้อยใจกลับเข้ามาแทนที่จนแทบตั้งรับไม่ทัน

"ไปทานข้าวเถอะ" คนอายุมากกว่าย้ำบอก แม้ไม่ได้พูดตรงๆ แต่นักศึกษาสาวก็เข้าใจได้ในทันทีว่าฝ่ายนั้นบอกเธอว่าไม่ต้องรอและไม่ต้องเข้ามายุ่ง

นริศรานั่งจ้องข้อความอยู่กว่าอึดใจจึงบังคับให้นิ้วที่สั่นเทากดส่งสติ๊กเกอร์แสดงการตอบรับกลับไป ทว่าสุดท้ายแล้วหญิงสาวก็ยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ ตั้งรับกับก้อนน้อยใจที่ตีขึ้นมาจุกที่คอหอย ความอยากอาหารนั้นหมดไปในทันที แค่ข้อความไม่กี่คำของผู้หญิงคนนี้ช่างมีอิทธิพลต่อจิตใจจนคาดไม่ถึง




แล้ววันทั้งวัน ประภัสสรก็ไม่ได้ออกมาจากห้อง ไม่ได้ตอบข้อความใดๆ อีก นริศราเองก็บังคับตัวเองไม่ให้ส่งข้อความอะไรเข้าไป ทั้งที่ใจนั้นร้อนลุ่มอยากพบเจอหรือพูดคุยอะไรกันบ้าง ทางไหนก็ได้ แต่เธอก็หยิ่งเกินกว่าจะตามตื้อให้มากความ ไม่ใช่กลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญหรือคิดจะตามใจประภัสสรอะไรขนาดนั้น แต่เธอเองก็น้อยใจอีกคนจนเลือกที่จะนิ่งเงียบไปเช่นกัน แต่เมื่อเริ่มจะเย็นมากเข้าจนทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้วมันทำให้ความเป็นห่วงเริ่มกลับมาท่วมท้นในใจอีกครั้ง แต่ในระหว่างที่เธอกำลังชั่งใจว่าจะส่งข้อความดีหรือไม่นั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างบางที่คล้ายจะทรงตัวไม่มั่นคงนัก

นริศราเผลอเข้าประชิดตัวประภัสสรที่คล้ายจะเสียหลักเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณ

"พี่เค้ก?ไหวไหมคะเนี่ย" คนตัวเล็กกว่าประคองคนป่วยเอาไว้อย่างระมัดระวัง แต่กลับเป็นคนป่วยที่ขืนตัวออกมาจนอีกฝ่ายต้องยอมปล่อยอย่างน้อยใจ ทำไมวันนี้พี่เค้กต้องให้เธอน้อยใจครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ด้วย จากที่หงุดหงิดในความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายกลายเป็นความกังวลว่าตนเองทำอะไรให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจหรือไม่

"ฉัน?ไม่เป็นไร" ประภัสสรเอ่ยอย่างชัดเจนแม้ว่าจะดูอ่อนแรง

"ทำไมยังไม่กลับ" คนอายุมากกว่าถอนใจถาม

"จะให้ครีมทิ้งพี่เค้กไว้คนเดียวได้อย่างไรคะ" นริศราตอบกลับไปในทันที ในแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจดังคำพูดและน้ำเสียง ทำเอาคนมองไหววูบไปทั้งใจ ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ใจอ่อนจะปั้นหน้าขรึมเพื่อให้ได้ถอยห่างจากไก่วัด?ตอนนี้ชักจะยากเสียแล้ว

"ฉันอยู่คนเดียวได้?ได้มาตลอด?"

'จนเมื่อเธอเดินเข้า?' ยังดีที่ประภัสสรยังมีสติพอที่จะยั้งตัวเองเอาไว้ไม่พูดความรู้สึกนี้ออกไป

"อยู่คนเดียวได้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เสียหน่อย" นริศราบ่น แม้จะยอมปล่อยมือจากการประคองแต่ยังคอยยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างไปไหน

"ในเมื่อยังมีครีมที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ พี่เค้กเสมอ" คนอายุน้อยกว่าเน้นคำช้าชัด

ในแววตาคู่นั้นมีทั้งความหนักแน่นและอ่อนโยนจนหัวใจคนมองสั่นไหวอย่างรุนแรง มันคือการบอกรักใช่หรือไม่

'ฉันก็อยากให้เธออยู่ข้างๆ ในทุกเวลา' ชั่วอารมณ์หนึ่งประภัสสรอยากจะตอบประโยคนี้ออกไปเหลือเกิน แต่สิ่งที่เธอแสดงออกมาเป็นเพียงการขยับเม้มริมฝีปากลงเล็กจนแทบมองไม่ออก ขณะที่สีหน้ายังคงเรียบเฉย จะมีก็เพียงแววตาที่เผลอสั่นไหวไปชั่วขณะก่อนจะกลับเข้าสู่ปกติอย่างรวดเร็ว

"มันอาจจะไม่ใช่ที่ที่ดีสำหรับเธอ อาจจะไม่ใช่ที่ที่เธอจะมีความสุข" ในที่สุดประภัสสรก็เปิดปากอีกครั้ง คำตอบนั้นราวกับมีดคมที่กรีดเนื้อหัวใจของคนฟัง?มันคือการปฏิเสธ

"มันจะทำให้ครีมมีความสุขหรือไม่ คนที่จะตอบคำถามนี้คือตัวครีมค่ะ" คนอายุน้อยกว่าตอบกลับมาอย่างหนักแน่นแม้ว่าในใจจะยังคงเจ็บปวดจนริมฝีปากสั่น

"ขอแค่พี่เค้กอนุญาตให้ครีมได้ทำ" คราวนี้แววตาที่มองสบเข้านั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและร้องขอ

"ฉันห้ามเธอได้หรือ?" ประภัสสรได้แต่ถอนใจแล้วเสมองไปทางอื่น นั่นทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมาได้

"ขอบคุณค่ะ"

แม้ไม่ใช่การตอบรับ แต่มันคือการให้โอกาส ซึ่งเธอจะขอใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุด นริศรารู้ว่าประภัสสรเป็นคนฉลาด คงรู้แล้วเธอนั้นรู้สึกอย่างไร กำลังสื่ออะไรออกมา และนริศราเองก็รู้ว่าฝ่ายนั้นคงต้องมีใจให้เธอบ้าง พี่เค้กแค่กำลังไม่แน่ใจ?เพราะหากไม่คิดอะไรไม่มีใจแม้แต่น้อยคนอย่างประภัสสรย่อมไม่ลังเลที่จะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

แบบนี้แสดงว่ามีความหวัง เมื่อความหวังยังมี คนอย่างเธอมีหรือจะถอดใจ ต่อให้ปฏิเสธแรงกว่านี้ก็ยังจะพันแข้งพันขาไม่ไปไหน ก็มอบใจให้ไปแล้วนี่นา?

"ครีมไปส่งนะคะ" คนอายุน้อยกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้น

"ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้"

"ขับไปเป็นเพื่อนเฉยๆ ก็ได้ค่ะ" นักศึกษาสาวยังคงไม่ยอมแพ้แต่ก็รู้ว่าวันนี้หัวหน้าของตนนั้นอารมณ์ไม่ปกติสักเท่าไร

หากไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป หญิงสาวเดาว่าสิ่งที่กำลังกวนใจประภัสสรน่าจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเธอนี่ล่ะ หากเป็นอย่างนั้นเธอก็ควรจะยอมถอยออกมาสักหน่อยให้ฝ่ายนั้นได้มีพื้นที่สำหรับการคิดบ้าง หากเข้าไปกวนมากเกินไปจะพานโดนรำคาญเสียเปล่าๆ และนั่นคงทำให้เสียคะแนนไปเยอะทีเดียว

คราวนี้ประภัสสรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ อีก เพียงก้าวเดินออกไปโดยไม่สนใจอีกคน นั่นทำให้นริศรายิ้มกว้างออกมา เข้าใจได้ดีว่ามันคือการตอบตกลงของอีกฝ่าย




จากวันเป็นสัปดาห์กระทั่งล่วงเลยมาเป็นเดือนประภัสสรก็ยังคงรักษาระยะห่างจากนริศราจนคนอายุน้อยกว่าเริ่มจะร้อนใจขึ้นมา ส่งข้อความไปก็ไม่ค่อยตอบ หากไม่ใช่เรื่องงานอาจจะไม่ตอบอะไรเลย เจอกันทีก็คล้ายมีกำแพงน้ำแข็งที่แน่นหนาคอยกั้นกลาง แม้ว่าฝ่ายนั้นจะยังยอมให้เธอวนเวียนอยู่รอบๆ ทว่ากลับให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน นี่พี่เค้กของเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แบบนี้เธอไม่ชอบเอาเสียเลย และมันเริ่มจะสุดความอดทนของเธอแล้วด้วย

หากถามว่าเธอชอบประภัสสรมากพอที่จะอดทนหรือไม่ เธอคงต้องตอบว่ามากพอ แต่เพราะตอนนี้หญิงสาวไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เธอกำลังอดทนกับอะไรเพราะอะไร สถานการณ์ที่คลุมเครือแบบนี้มันทำให้หงุดหงิดใจเกินทนจริงๆ
เมื่อตัดสินใจแล้วหญิงสาวก็เริ่มกดส่งข้อความออกไป มันนานพอแล้วที่เธอรักษาท่าทียอมตามเกมฝ่ายนั้นไปเรื่อยๆ

"พี่เค้กเป็นอะไรไปคะ เราคุยกันตรงๆ ได้นะคะ"

"ไม่มีอะไรต้องคุยค่ะ" คราวนี้คนที่อยู่ในห้องติดกันตอบกลับมาภายใน 1 นาที ทำให้คิดได้ว่าปกติแล้วฝ่ายนั้นก็อ่านข้อความของเธออยู่ตลอด

คราวนี้นริศราไม่ยอมทนอีกต่อไปแล้ว เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปเคาะประประตูห้องที่ติดป้ายหัวหน้าแผนกการเงิน และคิดจะเคาะหนักกว่าเดิมหากฝ่ายนั้นยังคงทำเฉย ดูสิว่าหากเธอเคาะไปเรื่อยๆ จะทนได้สักแค่ไหน อีกทั้งยิ่งนานก็จะยิ่งเรียกให้คนอื่นสนใจ

ผ่านไปกว่าอึดใจภายในห้องยังคงเงียบ นริศราจึงเริ่มเคาะอีกครั้งแล้วเว้นจังหวะให้คนภายในห้องได้ตัดสินใจ ในขณะที่เธอกำลังจะเคาะเป็นครั้งที่ 3 เสียงห้วนๆ ก็ดังขึ้นจากด้านใน

"เข้ามา"

ไม่เคยสักครั้งที่จะได้ยินน้ำเสียงติดโมโหของประภัสสร ถึงอย่างนั้นก็ยังทำให้นริศรายิ้มออกมา จะอย่างไรก็เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

นริศราไม่รอช้าที่จะผลักประตูเข้าไปก่อนจะปิดลงมันลงอย่างรวดเร็ว และแทบจะในทันทีเธอก็ได้รับรู้ถึงคลื่นความไม่พอใจจากเจ้าของห้อง เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นว่าหัวหน้าของตนเองกำลังขมวดคิ้วลงอย่างหงุดหงิดและค่อนข้างเหวี่ยง
"มีอะไร" คนอายุมากกว่าเปิดฉากถาม แน่นอนว่าเธอเองก็รู้อยู่แก่ใจถึงเหตุผล

"พี่เค้กสิคะมีอะไร" นริศราเองก็ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

"ไม่มี ถ้าจะถามด้วยคำถามเดิม ฉันก็ได้ตอบเธอไม่แล้วนี่ว่าเราไม่มีอะไรต้องคุย" เจ้าของห้องย้ำอย่างหนักแน่น

"พี่เค้กหลีกเลี่ยงการคุยกับครีม พี่เค้กพยายามทำตัวห่างไป พี่เค้กหลบหน้าครีม" คนอายุน้อยกว่าไม่ได้สนใจคำตอบของอีกคนมากนัก วันนี้เธอมาถามในสิ่งที่ต้องการรู้

"ฉันไม่ได้หลบหน้าเธอ" ประภัสสรตอบกลับในสิ่งที่เธอมั่นใจว่านั่นคือความจริง แม้จะไม่ค่อยอยากเผชิญหน้าตรงๆ แต่ไม่ถึงกับหลบ เธอไม่เคยหลบหน้าใคร

"แล้วตอนนี้มันคืออะไร พี่เค้กกำลังคิดอะไรทำอะไรกันแน่ ทำไมพี่เค้กต้องคอยกันครีมให้ห่างตัวออกไปเรื่อยๆ แชทก็ไม่ตอบ คุยก็ไม่คุย" นริศราถามขึ้นมาอีกครั้ง แน่ใจว่าฝ่ายนั้นกำลังพยายามกันเธอให้ออกห่าง ความสนิทสนมต่างๆ ล้วนหายไปหมด

"ฉันแค่กำลังทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นเอง เธอก็รู้ว่าเราควรมีระยะให้กันบ้าง ระหว่างนักศึกษาฝึกงานกับหัวหน้าแผนก จะให้สนิทกันขนาดไหนเชียว" ประภัสสรบอกอย่างเย็นชา

"มันสำคัญขนาดนั้น?" คนอายุน้อยกว่าถามขึ้นคล้ายจะหมดแรงลงไป

ประภัสสรเพียงพยักหน้ารับ ภายในใจนั้นบีบแน่นไปด้วยแรงกดดันบางอย่าง ทำไมมันยากแบบนี้ล่ะ

"มันสำคัญกว่า?ความรู้สึกของครีมเหรอคะ"

คราวนี้ประภัสสรชะงักไปเมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่งามที่กำลังสะท้อนความเจ็บปวดและเว้าวอนออกมา มันทำให้หัวใจของเธอเจ็บแปลบราวกับถูกกรีดเป็นแผล ความเจ็บปวดนี้รุนแรงจนเธอเองก็คาดไม่ถึง

มันสำคัญกว่าความรู้สึกของคนตรงหน้านี้หรือ?เป็นคำถามที่ประภัสสรไม่กล้าที่จะตอบตัวเองในตอนนี้ แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร?

ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ไม่คิด เธอคิดถึงเรื่องระหว่างตนเองกับนริศราอยู่เสมอ คิดจนเหมือนจะรู้แต่ไม่เคยแน่ใจในตัวเอง และยิ่งไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ทั้งที่ความจริงแล้วคำตอบนั้นคล้ายจะลอยอยู่รอบตัวไม่เคยไปไหน
แต่แล้วนริศรากลับยิ้มออกมาจนคนมองงุนงงกับการเปลี่ยนแปลงนี้

"พี่เค้กไม่ตอบ แสดงว่าครีมก็สำคัญสินะคะ" คนอายุน้อยกว่ายิ้มกว้าง ยอมรับว่าเมื่อครู่เจ็บจริง กลัวจริง แต่ก็ตั้งใจถามเพื่อจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย พยายามมองข้ามความน้อยใจของตัวเองไป และดีใจที่ได้พบว่าคำตอบที่ไร้เสียงนั้นออกมาในทางที่ดี

หากประภัสสรลังเลนั่นแสดงว่าเธอคงมีความสำคัญอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เทียบเคียงกับเหตุผลที่ฝ่ายนั้นกล่าวอ้างออกมา

คิดแบบนี้ได้ใช่ไหม

แต่ดูเหมือนนั่นจะทำให้คนอายุมากกว่าโมโหขึ้นมา คิ้วสวยนั้นกดลงอย่างฉับพลันเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่เม้มเข้ามา ดวงตาคู่งามแสดงชัดถึงความไม่พอใจ

ประภัสสรกำลังรู้สึกว่าถูกเด็กคนนี้ปั่นหัวเอาอีกแล้ว ไม่ชอบเลยที่ถูกล้อเล่นแบบนี้ โดยเฉพาะความรู้สึกนี้มันเปราะบางมาก เรียกว่า 'โดนเส้น' เข้าแล้ว

เจ้าเด็กกะล่อนนี่มันจะจริงใจกับเธอสักแค่ไหนเชียว จริงๆ แล้วนริศราคิดอะไร ทุกการกระทำที่ผ่านมามันคืออะไร คิดแล้วมันน่าหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดที่เธอเองนั่นล่ะที่ให้ความสำคัญ ยิ่งอีกคนสำคัญก็ยิ่งทำให้โมโหได้ง่ายเมื่อรู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายปั่นหัว

ความอดทนของเธอต่ำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

การเข้ามาของนริศราทำให้ระบบต่างๆ ในการคิดรวมไปถึงความรู้สึกและการตอบสนองของเธอรวนไปหมด

"พรุ่งนี้ ฉันขอสั่งให้เธอใส่ชุดนักศึกษามางานเลี้ยง" หัวหน้าการเงินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น หลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ

วันเสาร์นี้หรือก็คือวันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงของบริษัทซึ่งเชิญพนักงานและผู้บริหารทุกคนเข้าร่วม โดยธีมงานในปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่ผ่านมาคือชุดราตรี เป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้ประชันความหล่อความสวยกันอย่างเต็มที่ สำหรับประภัสสรแล้วเธอไม่เคยสนใจว่าต้องแต่งตัวสวยเพื่อแข่งกับใคร และไม่ได้ให้ความสำคัญกับงานนี้มากนัก มันก็แค่เพียงหน้าที่ที่เธอต้องไปและควรแต่งตัวให้เกียรติแก่งานบ้างก็เท่านั้นเอง ทว่าดูเหมือนเด็กน้อยของเธอจะให้ความสนใจมาก แม้จะไม่ค่อยได้คุยกันแต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สังเกต ก็ดี?สนใจนักใช่ไหม ฉันจะไม่ให้เธอได้แต่งตัวอย่างที่ตั้งใจหรอก กล้าขัดคำสั่งฉันไหมล่ะ

"คะ" นริศราร้องอย่างตกใจ

นี่เธอเตรียมชุดเอาไว้แล้วนะ และคิดว่าจะเป็นโอกาสที่จะแสดงความสวยให้คนตรงหน้าได้เห็น เธอตั้งใจว่าตนเองจะต้องสวยที่สุดในงาน?ไม่สิ?ที่สองก็ได้ ที่หนึ่งยกให้พี่เค้กของเธอนั่นล่ะ รายนี้ไม่ขอสู้จริงๆ

"ตามนั้นค่ะ หมดธุระแล้วก็กรุณาออกไปได้แล้ว และอย่ารบกวนฉันอีก" เจ้าของห้องตัดบท

นริศราได้แต่นิ่งค้างอยู่กับที่ แต่เมื่อสบกับดวงตาคมๆ คู่นั้นแล้วก็รู้ว่าถึงเวลาต้องล่าถอยออกมาก่อน คราวนี้ประภัสสรกำลังหงุดหงิดจริงๆ ไม่เคยเห็นพี่เค้กของเธอโมโหขนาดนี้ มันชวนให้ร้อนใจไม่น้อยเมื่อคิดว่าฝ่ายนั้นกำลังโกรธเธออย่างจริงจัง

นักศึกษาสาวจำใจล่าถอยออกมาโดยไม่โต้แย้ง ตอนนี้หญิงสาวกำลังกลัว?กลัวที่ประภัสสรโมโหเธอ

เมื่ออีกฝ่ายออกไปแล้วหัวหน้าแผนกการเงินได้แต่ทอดถอนใจกับตัวเอง ทำไมเป็นคนอารมณ์แปรปรวนไปได้นะ อันที่จริงเรื่องแค่นี้ไม่เคยทำให้เธอโมโหขนาดนี้ แต่เมื่อครู่เธอโมโหจริงๆ โมโหมากจนตกใจตัวเอง เพิ่งได้สติกลับมาก็เมื่อตอนที่เห็นแววตาตื่นตระหนกของคนอายุน้อยกว่านั่นล่ะ

'นริศรา?เธอมีอิทธิพลกับฉันมากเกินไปแล้ว?'

หากผ่านพ้นสัปดาห์นี้ไปก็เหลืออีกเพียง 2 สัปดาห์ที่นริศราจะฝึกงานอยู่ที่นี่ เมื่อนึกถึงตรงนี้มันทำให้จิตใจของหญิงสาวปั่นป่วนอีกครั้ง เธอต้องรีบแล้ว?แต่รีบทำอะไรล่ะ นั่นคือสิ่งที่คิดไม่ตก คำตอบที่ตามหาคล้ายจะเริ่มชัดเจนขึ้นทุกที?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีค่ะนักอ่านทั้งหลาย

อยากจะตีมือพี่น้ำตาลนะคะ ส่งเข้ามาจังหวะที่พี่เค้กกำลังจะใจอ่อนกับน้องซะงั้น นี่มันวินาทีนรกจริงๆ

ตอนนี้มันอึดอัดเนอะ ตอนหน้าจะเปิดฉากฉะกันแล้ว พี่เค้กก็เป็นงี้ น้องครีมก็ไม่ใช่ไก่วัดเซื่องๆ ที่จะยอมไปทุกเรื่อง

อดทนกันอีกนิดนะคะ พี่เค้กใกล้จะตัดสินใจได้แล้ว ระวังน้องจะตัดใจได้ก่อนก็แล้วกัน 555

ตอนที่ 13 ? 14 ก็จะเข้าสู่งานเลี้ยงมหาสนุกของเราแล้วนะคะ มาดูความแสบของเจ้าไก่วัดกันค่ะ ในเมื่อเป็นเด็กดีไม่ชอบใช่ไหมต้องให้น้องร้ายยยยยย

พี่เค้กจะได้รู้สึกถึงการถูกเมินบ้างแล้วว่ามันเป็นยังไง ตอนที่ 13 กับชื่อตอน Reaction

ขอให้มีความสุขในการอ่านนะคะ พบกันวันจันทร์ค่ะ ^_^

 :09:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น