ดวงใจนิรันดร์กาล ตอนที่ 3
โพสต์โดย:
ยามเย็น
วันที่: 05 ธันวาคม 2017 เวลา 06:51:34
อ่าน: 157
|
"เธอจะวิ่งหนีไหมล่ะหากฉันบอก"
"แปลว่ามันน่ากลัวใช่ไหม?" นาราถามเสียงสั่น "พาไปเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ ฉันว่ามันจะถึงที่สุดแล้วล่ะ ฉันกำลังพยายามอยู่แต่มันดันก้าวขาไปออก"
"??" มะลิไม่พูดอะไรแม้ว่าอยากหัวเราะออกมาก็ตามทีแต่เธอก็ยิ้มออกมาก่อนจะดันประตูรถของอีกคนให้ปิดพร้อมกับกดล็อกอย่างรวดเร็ว "อย่าฉี่แตกซะก่อนล่ะเพราะฉันไม่มีโครงการอุ้มคนฉี่ราดไปส่งบ้านหรอกนะ"
"?.." นาราไม่ทันได้พูดอะไรเธอก็โดนผู้หญิงหุ่นเท่าเทียมกันอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วสายลมก็ปะทะใบหน้าของเธอ ทิวทัศน์รอบด้านไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวนาราก็พบว่าตัวเองอยู่หน้าห้องน้ำในบริษัทเรียบร้อย
นาราก็อยากถามในส่วนของเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เธอก็ก้าวขาที่สั่นระริกเข้าห้องน้ำทันทีเพราะไม่ไหวจะเคลียกับสิ่งที่ตัวเองเจอในเย็นวันนี้
นารารู้สึกอายเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วเจอมะลิยืนกอดอกอมยิ้มอยู่ ความกลัวเมื่อกี้ถูกความอายกลบไปจนสิ้น
"คุณอย่ายิ้มแบบนั้นสิ"
"ทันใช่ไหม?"
"ฉันไม่ฉี่ราดหรอกค่ะ" นาราพูดเสียงสูงบอกอีกคนก่อนจะมองหน้ามะลิ "คุณเป็นอะไรคะ?"
"ถ้าฉันบอกเธอ ฉันขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม"
"อะ อะไรคะ?.มันไม่ถึงตายใช่ไหม ฉันมียายต้องดูแลนะคะ"
"ถ้าเธอจะตายเพราะฉัน?..เธอตายไปตั้งนานแล้ว" มะลิบอกเมื่อนาราถอยหลังด้วยท่าทีที่กลัวเธอ ถึงจะเข้าใจว่าทำไมถึงกลัว?.แต่มะลิก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก หากเลือกได้เธอก็ไม่อยากจะเป็นที่น่ากลัวของคนที่รู้ตัวตนของเธอหรอก
"ก็ถ้าไม่เสียหายก็ได้ค่ะ" นาราบอก
"งั้นไปเจอกันที่รถนะ ฉันไม่อยากอยู่ที่ห้องน้ำนานๆ" มะลิพูดแค่นั้นแล้วหายไป ทิ้งให้นารายืนอึ้ง
"ก็อุ้มมาแล้วทำไมไม่อุ้มไปด้วยนะ ไม่ได้เสียหายอะไรนี่" นาราพูดเบาๆ เพราะอยากลองโดนอุ้มวิ่งด้วยความเร็วอีกครั้ง
"ฉันไม่ได้แค่เร็วนะ หูฉันดีด้วย" นาราตกใจเมื่อมะลิพูดขึ้นแล้วมะลิก็โผล่มาตรงหน้าเธออีกครั้ง พอรู้ตัวอีกทีเธอก็โดนอุ้มขึ้นแล้วกลับมาอยู่ด้านนอกตรงที่รถของเธอจอดอยู่
นาราหายใจแรงมือจับรถของตัวเองเมื่อขาของเธอสั่นระริก มันไม่ได้กลัวอย่างก่อนหน้าแล้ว เธอตื่นเต้นมากกว่าในตอนนี้
"คุณ?.วิ่งเร็วมาก แรงเยอะและประสาทสัมผัสไว คุณเหมือนผีดูดเลือดเลยนะคะ" นาราพูดเสียงเบาแล้วหันมามองมะลิ "คุณ?.เป็นแวมไพร์ใช่ไหม?"
"ก็ใช่ ฉันเป็นแวมไพร์" มะลิบอกเสียงเบาเพราะไม่อยากให้ใครมาได้ยิน นาราพิงหลังกับรถอย่างคนหมดแรง
"มันมีจริงงั้นเหรอเนี่ย ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่คนจินตนาการขึ้นมาซะอีก" นาราพูด
"ทุกเรื่องที่เล่าขานต่อกันมามันก็ต้องมีมูลมาจากเรื่องจริงบ้างแหละ เพียงแต่จะมากหรือจะน้อยเท่านั้น ถ้าไม่มีจริงคนคงไม่ตั้งใจสร้างข้อมูลขึ้นมาให้คนอื่นได้รู้เรื่องลึกลับต่างๆ หรอก คิดว่าคนหลายคนจะจินตนาการได้สูงแถมระบุรายละเอียดตรงกันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ก็ข้อมูลมาจากที่เดียวเพียงแต่เผยแพร่ไกลออกไปไงคะ?" นาราบอก อมยิ้มมองนาราด้วยสายตาคล้ายเอ็นดู
"มนุษย์ไม่ได้เชื่ออะไรง่ายๆ นะคะ อีกอย่างสมัยก่อนไม่ได้มีเทคโนโลยีส่งข้อมูลว่องไวทั่วถึงแบบนี้นะ"
"ก็ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นนี่คะ ในโลกโซเชียลก็เป็นแบบนั้น บางข้อมูลก็ไม่จริงแต่คนก็เชื่อ"
"นั่นไม่จริงหรอก?.มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ฉันเห็นพฤติกรรมของพวกเค้ามามาก พวกเค้าแค่กลัวและป้องกันตัวเองจากจิตใต้สำนึกคล้ายกับหลอกตัวเองให้เชื่อ อย่างคนที่กลัวผีไงล่ะทั้งที่ตัวเองไม่เคยเจอผีสักครั้งยังกลัวได้เลย"
"??" นารานิ่งมองมะลิ
"เธอคิดเอาสิ ยกตัวอย่างเรื่องสัตว์หิมพานต์หรือป่าลับแล เรื่องพวกนี้โผล่มาให้พบเจอในหนังสือและบันทึกกี่เรื่องในประวัติศาสตร์ มีข้อมูลเพิ่มมาเรื่อยๆ หลายยุคหลายสมัย บางข้อมูลอาจจะผิดแผกต่างกันไปแต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากกันมากนักมันมีความคล้ายคลึงกันอยู่ในเรื่องพวกนั้น"
"แปลว่ามันมีจริงเหรอเรื่องทั้งหมดนั้น เรื่องลึกลับ เรื่องสัตว์หิมพานต์ มีป่าหิมพานต์งั้นเหรอคะ?" นารารีบถาม
"ไม่รู้สิ?.แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นิ ขนาดปีศาจอย่างฉันยังมีตัวตนเลย" มะลิพูด
"ทำไมพูดเหมือนมันไม่ดีล่ะคะ"
"แล้วคิดว่ามันดีเหรอ เธอคิดสิว่าเรากินอะไรเป็นอาหารล่ะ?" มะลิถาม นารายกมือกุมคอตัวเองทันที
"ละ ละ ละเลือดไง?.คะ คุณกินเลือดเหรอ" นาราตอบ "ที่จริงแล้ววันนั้นคุณกะจะกินเลือดฉันใช่ไหม วันที่แม่ของคุณมาขัดไว้พอดีน่ะ"
"?." มะลิมองท่าทีที่กลัวของนาราก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนใจ
"เลือดฉันไม่อร่อยหรอกนะ แล้วไม่ต้องฆ่าฉันหรอก ฉัน?.ไม่ปากโป้งบอกใครแน่"
"อืม?.ถึงเธอบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก" มะลิบอก "ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ ฉันเพียงแต่อยากจะแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรก็เท่านั้นเอง ต่อไปเธอก็พกนี้ไว้ติดตัวก็แล้วกัน"
มะลิล้วงกระเป๋าหยิบห่อกระดาษเล็กๆ ออกมาแล้วส่งให้นารา แต่นาราไม่ยื่นมือออกมารับสักทีมะลิจึงวางมันไว้บนหลังคารถของอีกคน
"มันจะปกป้องเธอได้ในระดับหนึ่ง?.." มะลิบอกแล้วมองหน้านาราพร้อมกับยิ้มให้ "ขอโทษนะ ต่อไปคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว"
นาราไม่ทันจะได้พูดอะไรมะลิก็หายไปเลย เธอคิดไปเองรึเปล่านะว่ามะลิเจ็บปวดกับความกลัวที่เธอแสดงออกมา แต่เพราะพอรู้ว่าอีกคนกินเลือด เธอก็นึกถึงวันนั้นที่มะลิโน้มตัวเข้ามาใกล้?.คิดว่ามะลิคงจะดูดเลือดเธอแน่ๆ พอตั้งสติได้นาราก็หันหน้าเข้าหารถเพื่อจะกลับบ้าน แต่พอเห็นห่อกระดาษเล็กๆ ที่วางอยู่บนหลังคารถนาราก็หยิบมาก่อนจะแกะดู
ด้านในห่อกระดาษมีแหวนเงินวงหนึ่ง มันเป็นแหวนเรียบๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นารามองแหวนวงนี้สักพักก่อนจะกำไว้ในมือแน่น
?..ให้พกไว้ติดตัวตลอดเหรอ ทำไมล่ะ?
นาราหาข้อมูลของแวมไพร์จากที่ต่างๆ แต่มันก็คล้ายกันหมดและไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากที่เธอเคยได้ยินมา
เหมือนอย่างที่มะลิพูด?..ข้อมูลพวกนี้มีแหล่งมาจากคนล่ะที่ ทั้งเรื่องเล่าขาน เรื่องตำนานของชนเผ่า นั่นรวมถึงข้อมูลจากต่างประเทศที่มีความเชื่อเรื่องผีดูดเลือดมากกว่าประเทศไทย ข้อมูลพวกนี้มีบันทึกมาก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคที่การสื่อสารสามารถส่งถึงกันอย่างรวดเร็วเสียอีก?..แต่ข้อมูลกลับมีความคล้ายคลึงกันมากทั้งๆ ที่เป็นบันทึกจากคนละมุมโลก
แต่ข้อมูลที่ได้รู้กับมะลิคนที่เธอรู้จักมันออกจะผิดแผกไปจากกันสักหน่อย แวมไพร์ไม่ได้กลัวแสงแดด แวมไพร์ไม่มีเขี้ยวแหลม ไม่ได้เหมือนซากศพ มะลิไม่มีตาสีแดงดุร้าย ไม่มีเส้นเลือดสีดำขึ้นตามใบหน้าให้ดูน่ากลัว แต่นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่รู้อะไรมากนัก?.อย่างเรื่องนอนในโลงศพ กลัวกระเทียม กลัวไม้กางเขน กลัวน้ำมนต์ กลัวสายสิญจน์
ตั้งแต่วันนั้นนาราก็ไม่ได้เจอมะลิอีก?..เหมือนที่มะลิบอกไว้ว่าจะไม่เจอกันอีกแล้ว
นาราเฝ้าสังเกตชีวิตของคนทั่วไป ผู้คนเหล่านั้นไม่มีใครรู้ถึงการมีตัวตนของแวมไพร์ พอไม่รู้ก็ไม่สังเกตและกลัว แต่สำหรับนารามันเปลี่ยนไปตั้งแต่รู้เธอก็คอยสังเกตว่าใครสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วอย่างที่มะลิทำไหม สังเกตทุกวันแต่ไม่มีใครทำได้หรือมีลักษณะเอนเอียงไปหาแวมไพร์เลย
นี่ใช่ไหมที่คนชอบพูดไว้ว่า?มองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มี
นาราเดินเข้าบ้านพร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อได้กลิ่นอาหารของยายหอมฟรุ้งทั่วบ้าน ไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยแค่ไหน เจอเรื่องอะไรมาแต่พอเข้าบ้านมาแล้วได้กลิ่นอาหารของยายเธอก็รู้สึกหายเหนื่อยและสบายใจขึ้นมาทุกที
"ยายคะ วันนี้กลิ่นกะทิแกงเขียวหวานหอมฟรุ้งไปยังฟากกระโน้นของบ้านแล้วนะคะ" นาราพูดพร้อมกับทิ้งกระเป๋าลงบนเก้าอี้แล้วเดินไปหายายที่ครัว
"กลับมาแล้วเหรอลูก" พิศมัยถามหลานสาวพลางคนแกงเขียวหวานในหม้อ
"กลับมาแล้วค่ะคุณพิศมัย" นาราพูดแล้วเข้าไปกอดยาย
"คุณนาราอยากจะทอดไข่เพิ่มเติมไหมคะ?" พิศมัยถามหลานตอบกลับ นาราหัวเราะ
"ไม่ค่ะ ดูจากอาหารที่โต๊ะแล้วคิดว่าเพียงพอต่อกระเพาะใหญ่ๆ ของฉันแล้วค่ะ" นาราบอก ทั้งคู่หัวเราะ "ว่าแต่วันนี้ยายไปเก็บยอดตำลึงจากรั้วปากคลองศาลามาอีกแล้วเหรอคะ เดี๋ยวก็พลัดตกน้ำหรอกยาย ดินแถวนั้นยิ่งชุ่มน้ำด้วย มันไม่แข็งแรงสักหน่อย"
"ใครจะโชคร้ายตกคลองเพราะเก็บตำลึงกันล่ะลูก?.อีกอย่างเราชอบกินผัดตำลึงนี่นา"
"ชอบก็ชอบอยู่หรอกค่ะ แต่ว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้ยายซื้อมากกว่า" นาราบอกพร้อมกับหยิบไก่ทอดบนโต๊ะมากิน ตาก็มองจานไก่ทอดและผัดผักกับน้ำพริกที่ยายตำเอง
"อะไรที่ประหยัดได้เราก็ต้องประหยัดนะลูก"
"เราไม่ได้ไม่มีจนถึงขนาดต้องเขียมขนาดนั้นหรอกค่ะ อีกอย่างหนูยอมจ่ายเงินดีกว่าเป็นห่วงยาย ถือว่าซื้อความสบายใจของตัวเอง"
"นี่เราโตขนาดที่ต้องมาห่วงยายตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกอย่างยายว่ายน้ำเป็นนะลูก ยายยังแข็งแรงดีอยู่"
"ต้องให้ห่วงอยู่เรื่อยเลยนะยายคนนี้" นาราพูดก่อนจะหัวเราะเมื่อยายทำท่าจะเอาทัพพีทุบหัวตัวเอง
"ขึ้นไปอาบน้ำก่อนสิลูก เดี๋ยวลงมาแกงเขียวหวานก็คงสุกกำลังดี จะได้กินข้าวกัน" พิศมัยบอกหลานสาว
"ค่ะ" นาราตอบรับแล้วเดินขึ้นบ้านไปอาบน้ำ
"นี่วันนี้ยายเจอคุณมะลิที่หลานรู้จักด้วยนะ" พิศมัยพูด นาราที่กำลังตักข้าวเข้าปากทำช้อนหล่น "อะไรน่ะลูกแค่พูดถึงคนที่รู้จักก็มือไม้อ่อนเลยเหรอ?"
"ก็?.ไม่ได้มือไม้อ่อนเพราะเรื่องนี้ค่ะ ว่าแต่ยายไปเจอคุณมะลิได้ยังไง"
"ยายไปวัดมาแล้วเห็นเธอนั่งตรงศาลาด้านหลังวัดน่ะ ศาลาไม้ที่อยู่หลังวัดนั่นไง จำได้ไหม" พิศมัยถาม นาราพยักหน้าเมื่อนึกถึงวัด "ยายเลยเข้าไปทัก?.แต่คุณมะลิเหมือนจะไม่อยากคุยกันยายเลย ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน"
"?.." นารารู้สึกไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ฟังแบบนั้น ปกติต้องเป็นเธอที่หนีแวมไพร์สิ แต่ทำไมแวมไพร์อย่างมะลิต้องไม่อยากมายุ่งกับเธอด้วย การที่มะลิหายไป การที่มะลิไม่อยากคุยกับยายเธอ?.เป็นเพราะเธอกลัวอีกคน อีกคนเลยไม่อยากยุ่งแน่ๆ แค่นี้มันก็บอกชัดแล้วว่ามะลิเป็นคนดี?.ไม่สิ แวมไพร์ที่ดี
"ยายกำลังจะขอบคุณเรื่องที่เค้าช่วยเราไว้เลย แต่เค้าก็ขอตัวเดินจากไปน่ะ?..คุณเค้าดูเหงานะเหมือนคนไม่มีความสุข"
?ไม่ใช่คนสิยาย? นาราคิดในใจ
"อาหารยายไม่อร่อยเหรอ"
"โหยยาย ถ้ายายทำไม่อร่อยคนบนโลกนี้ก็คงทำอะไรกินไม่เป็นแล้วล่ะ อาหารยายนี่แหละที่อร่อยที่สุด" นาราพูดพร้อมกับตักข้าวกิน
"เรานี่นอกจากกินเก่งก็เอาใจเก่งด้วย"
"ก็เอาใจแค่ยายนี่แหละรู้ไว้ด้วยนะคะ"
พิศมัยหัวเราะ มีความสุขที่ได้กินข้าวกับหลาน นารานั้นเป็นเด็กดีและขยัน การมีหลานดีมันก็จะดีต่อใจแบบนี้ นาราทำงานไม่หยุดสักวัน แถมกลับบ้านตรงเวลาตลอด ไม่เคยทำให้เธอเป็นห่วงหรือรู้สึกเหงาเลย
"เราไม่เหงาบ้างเหรออยู่แต่กับยาย ตั้งแต่เรียนจบมาเพื่อนเราก็หายหมดเลย ยายไม่เจอสักคน"
"ก็คุยกันค่ะ แต่ว่าพอทำงานแล้วเราก็ห่างๆ กันไปแค่นั้นเอง" นาราบอก "อีกอย่างหนูจะเหงาได้ไง เราอยู่ด้วยกันนี่น่า"
พิศมัยยิ้มเมื่อได้ฟังคำพูดและได้รับรอยยิ้มของหลาน
นาราฝากข้อความถึงมะลิโดยฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ของโรงพยาบาล?..เธออยากเจอมะลิและคิดว่าวิธีของเธอน่าจะได้ผล
นารามาไหว้พ่อแม่ก่อนจะมานั่งรอมะลิที่ศาลาเพราะคิดว่ามะลิต้องมาแน่ๆ หากได้รับข้อความของเธอและเธอคิดถูก พอเห็นมะลิเดินเลียบกำแพงมาแต่ไกล นาราก็ยิ้มแล้วจับจ้องทุกท่าทวงทีของอีกคนที่ก้าวย่างเดินมา
?ทำไมถึงไม่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดมานะ? นาราคิดในใจแต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วเพราะเธอจะได้มองอีกคนนานขึ้น
"คุณนารา คุณโกหกเป็นด้วยนะ" มะลิพูดขึ้นหลังจากเดินมาถึงศาลาพร้อมกับยื่นกระดาษที่มีข้อความของอีกคนคืนให้นารา "คุณดูไม่เจ็บไม่ป่วยและไม่มีแวมไพร์ตนไหนทำร้ายคุณ"
"ก็ถ้าไม่ใช่วิธีนี้ฉันคงไม่ได้เจอคุณอีก" นาราพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย "เพราะว่าฉันจะเจอคุณได้ต่อเมื่อคุณต้องการจะเจอเท่านั้น ใช่ไหมคะ"
"??" มะลิไม่ตอบแต่เบนหน้าหนีอีกคนแทน
นารายิ้มออกมา ไม่รู้ทำไมถึงดีใจที่อีกคนมาหาเธอเพียงเพราะเธอโกหกว่าตามหาแวมไพร์ตนอื่นแล้วเจอจึงโดนทำร้าย!
"คุณเป็นห่วงฉันใช่ไหมคะ?"
"ฉัน?.แค่อยากรู้ว่าแวมไพร์ตนอื่นที่ฉันไม่รู้จักในประเทศนี้มันเป็นใครแค่นั้นเอง" มะลิกอดอกแล้วตอบ นารายิ้มเล็กน้อย
"คุณก็หัดโกหกแล้วเนาะ"
"ฉันไม่ได้โกหก" มะลิบอก "ไม่เหมือนเธอ?.อยากเจอฉันทำไม"
"ฉันอยากขอโทษที่วันนั้นกลัวคุณน่ะค่ะ" นาราบอกอีกคนพร้อมกับยกมือไหว้ "ขอโทษนะคะ"
"ไม่เป็นไร?.เธอสมควรจะต้องกลัวฉัน" มะลิบอก "ชีวิตของมนุษย์น่ะบอบบาง การกลัวเป็นเกาะป้องกันอย่างดีที่จะทำให้มีชีวิตรอด"
"คุณพูดเหมือนคุณไม่มีชีวิต"
"เธอมองว่าแวมไพร์มีชีวิตเหรอ?" มะลิถามพร้อมกับยิ้มเยาะตลกคำถามของอีกคน
"ก็มีอยู่นี่ไง คุณยืนอยู่ตรงนี้" นาราพูดพร้อมกับจ้องมองดวงตาที่ว่างเปล่าของอีกคน "วันนั้น?ที่คุณพูดว่า ถ้าบอกว่าคุณเป็นอะไร ฉันจะต้องยอมคุณ"
"??"
"ตอนนี้ฉันมาให้คุณขอไงคะฉันจะทำตามคำขอทุกอย่าง"
"ไม่กลัวฉันเหรอ?" มะลิรีบถามอย่างตื่นเต้นแววตามีประกายขึ้นมา นารามองอีกคนพร้อมกับยิ้มให้
"ไม่กลัวค่ะเพราะคุณเคยบอกว่ามันไม่ถึงตาย"
มะลิกัดริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัวเพราะทนที่จะได้รู้เรื่องที่สงสัยไม่ไหว??
มนุษย์คนแรกที่ไร้กลิ่นเลือด?..พอไม่ได้กลิ่นมันทำให้ติดใจสงสัยว่ากลิ่นเลือดของอีกคนจะเป็นยังไง
|
Rating: This article has not been rated yet.
|
|
ความคิดเห็น
|