web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 183
Most Online Ever: 190
(08 กรกฎาคม 2022 เวลา 19:00:55 )
Users Online
Members: 0
Guests: 152
Total: 152

ผู้เขียน หัวข้อ: Photos to Postcards Chapter 2  (อ่าน 1780 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 2
« เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:13:28 »
Chapter 2

เสียงของหยดน้ำที่กระทบกับระเบียงห้องทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งตัดกระดาษอยู่ต้องหันไปมอง เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง

เมื่อมองจากชั้นสองของเกสต์เฮ้าส์เธอก็เห็นพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ภายในบริเวณถนนข้าวสารรีบวิ่งเก็บของกันอย่างจ้าละหวั่นปะปนกับนักท่องเที่ยวหลายสิบคนที่กำลังวิ่งหาที่หลบฝนที่อยู่ๆ ก็ตกลงมาแบบไม่ทันให้เตรียมตัว

ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า เมฆฝนสีเทาดำที่เบื้องบนนั้นกำลังกระจายหยดน้ำเย็นๆ ลงมาสู่พื้นดินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อน้ำฝนเย็นๆ กระเซ็นโดนใบหน้าของเธอ นิ้วมือเรียวยกขึ้นมาเช็ดหยดน้ำให้ออกจากใบหน้า หลังจากนั้นเธอก็รวบผมยาวสลวยสีเข้มมัดให้เป็นหางม้าแล้วเดินกลับไปหาสิ่งที่เธอกำลังทำค้างอยู่เมื่อครู่

ด้านซ้ายของกระดาษที่ถูกตัดค้างอยู่บนโต๊ะถูกตัดออกจนไม่เหลือขอบสีขาวให้เห็นทั้งสี่มุม ดวงตากลมโตของหญิงสาวจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นนั้น กระดาษขนาดโปสการ์ดที่อยู่บนโต๊ะ เธอหยิบมันขึ้นมาตรวจสอบความเรียบร้อยของกระดาษทั้งแผ่นรวมทั้งขอบและมุมที่ถูกตัดออกเมื่อครู่ หลังจากนั้นก็วางลงกับโต๊ะอีกครั้งแล้วหยิบปากกาขึ้นมา

ข้อความที่เธอเขียนคือชื่อที่อยู่ของคนๆ หนึ่ง ทางด้านขวาของกระดาษ เมื่อเสร็จแล้วเธอก็เขียนข้อความอีกข้อความหนึ่งลงไปทางด้านซ้าย หลังจากนั้นก็ติดแสตมป์ที่เธอซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อลงไป

เมื่อพลิกอีกด้านหนึ่งของกระดาษแผ่นนั้นเธอก็ยิ้มให้กับรูปที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า บนโต๊ะของเธอก็มีรูปภาพแบบเดียวกันนี้อยู่อีกใบหนึ่งเพียงแต่ใบนั้นไม่ได้ถูกเขียนชื่อและที่อยู่ลงด้านหลังเท่านั้นเอง หญิงสาวลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วก้มเก็บเศษกระดาษและอุปกรณ์เข้าที่ เธอวางโปสการ์ดที่ถูกเขียนที่อยู่ไว้บนโต๊ะ ส่วนอีกใบหนึ่งที่มีรูปแบบเดียวกันก็ถูกเก็บเอาไว้ในสมุดหนังเล่มหนึ่งที่เธอดึงออกมาจากกระเป๋าเป้

หญิงสาวมองออกไปที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง หยาดฝนยังไม่มีทีท่าที่จะซาลง แต่เธอไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้อีกต่อไป เธอหันไปดูในเป้ใบเล็กที่มีของที่จำเป็นบรรจุอยู่ด้านในอยู่แล้วเธอหยิบร่มพับคันเล็กออกมาถือเอาไว้ หลังจากนั้นก็ยกเป้สะพายขึ้นไหล่ สวมหมวกแก๊บ หยิบโปสการ์ดที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ในซิปด้านหน้าของกระเป๋าเป้แล้วเดินออกจากห้อง

“Do you want Tuk Tuk? (คุณอยากให้เรียกรถตุ๊ก ตุ๊กมั้ย)” คุณลุงวัยกลางคนเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินลงมาจากชั้นสอง ดูท่าทางแขกของเขาคนนี้กำลังจะออกไปข้างนอก

“No, thank you. I just wanna take a walk (ไม่ค่ะ ขอบคุณ ฉันแค่อยากจะออกไปเดินเล่น)” หญิงสาวตอบแล้วยิ้มให้

“Ok. Have a nice day, miss (ครับ ขอให้มีความสุขครับคุณผู้หญิง)”

“Thank you (ขอบคุณค่ะ)” หญิงสาวตอบรับแล้วเดินออกจากเกสต์เฮ้าส์ไป

ร่างสูงโปร่งเดินหลบหลีกนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าที่ยืนหลบฝนตรงบริเวณทางเท้า เมื่อเธอไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกเธอจึงกางร่มแล้วเดินออกจากทางเท้าลงไปที่ถนน สายฝนเย็นฉ่ำที่โปรยปรายลงมาทำให้บรรยากาศคึกคักของถนนข้าวสารเงียบเหงาลง แต่สองเท้าของหญิงสาวก็ยังเดินต่อไปและไปหยุดยืนที่ตู้ไปรษณีย์สีแดงบริเวณหัวมุมถนน เธอหยิบโปสการ์ดออกมาจากกระเป๋าเป้

‘Ailada Thivasingha (ไอลดา ทิวะสิงห์)’

หญิงสาวอ่านชื่อของผู้รับที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองอีกครั้งแล้วสอดลงไปในช่องที่เขียนว่า ‘Bangkok (กรุงเทพฯ)’

“Gambatte Ne (พยายามเข้านะ)” หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ แล้วหันหลังเดินออกไปตามถนนเพื่อมุ่งหน้าสู่แยกคอกวัว

...

“ไอ... ไอ... ไม่เป็นไรนะลูก! เดี๋ยวแม่จะรีบพาหนูกลับบ้าน” เสียงของพัชรินทร์พูดพลางกอดลูกสาวไว้

อาร์ทพยายามหาทางลงจากทางด่วนให้เร็วที่สุด แต่ด้วยการจราจรที่หนาแน่นประกอบกับฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้รถทุกคันขับเร็วมากไม่ได้ เขาพยายามตีไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อตรงไปที่ทางลงที่ใกล้ที่สุด ช่างซ่อมเครื่องบินเหลือบตามองที่กระจกหลัง น้องสาวของเขายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของแม่

ตอนแรกอาร์ทกับคุณครูประถมรู้สึกดีใจมากเมื่อสาวตาหวานบอกกับพวกเขาว่าเธออยากจะไปสถานที่ๆ ปรากฏอยู่บนโปสการ์ดในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ ช่างซ่อมเครื่องบินถึงกับเอารถออกไปล้างและขัดเงาทั้งๆ ที่ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในฤดูฝน ฤดูที่ไม่ควรล้างรถถ้าไม่จำเป็น เพราะดีใจที่น้องสาวที่เอาแต่เก็บตัวไม่ยอมออกไปไหนเอ่ยปากว่าอยากไปเที่ยว แต่แล้วพอเขาเริ่มเลี้ยวรถขึ้นทางด่วน ไอก็เกิดอาการกระสับกระส่ายแต่ก็ยังยิ้มให้เมื่อเขาบอกถึงเหตุผลที่ต้องขึ้นทางด่วน แต่เหตุการณ์แย่ลงเมื่อฝนเริ่มตกลงมา สาวตาหวานก็เริ่มร้องไห้ออกมา

พัชรินทร์ที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับตกใจมากกับอาการของลูกสาว เธอรีบเอนเบาะไปข้างหลังแล้วปีนไปนั่งปลอบคนที่นั่งร้องไห้อยู่ทันที

“บ้าชะมัดเลย ไอ... พี่ขอโทษนะ เรากำลังจะลงจากทางด่วนแล้ว” อาร์ทหันไปพูดกับน้องสาวเมื่อเขากำลังขับรถลงทางด่วนช้าๆ

เสียงสะอื้นของไอยังคงดังอยู่ แต่ก็เบาลงจากเมื่อครู่มากและเมื่อรถลงมาวิ่งบนถนนด้านล่างเรียบร้อยแล้วสาวตาหวานก็หยุดร้องไห้

“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก” คุณครูประถมประคองหน้าลูกสาวขึ้นมาแล้วเช็ดน้ำตาให้

“ค่ะ... น... หนูขอโทษ”

“พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ ไม่เป็นไรนะ ไม่ร้องไห้แล้วนะ” ช่างซ่อมเครื่องบินพูดขณะที่มองกระจกหลัง

“ค่ะ”

“แม่ว่าวันนี้เราไปกินข้าวกันก่อนดีมั้ยลูก แล้วไปห้องสมุดกับวังวันหลังก็แล้วกัน ฝนตกคงจะเฉอะแฉะแย่เลย” พัชรินทร์เสนอสถานที่อื่นขึ้นมา

“ดีเลยครับแม่ เดี๋ยวเราแวะหาร้านอาหารแถวนี้ดีกว่า”

ไอยังคงนั่งเงียบ ไม่เสนอความเห็นใดๆ อาการลักษณะนี้ทำให้อีกสองคนในรถรับรู้ได้ว่าสาวตาหวานไม่อยากไป แต่พวกเขาก็พยายามจะไม่สนใจเพราะเห็นว่าถ้าสนใจกับอาการของสาวตาหวานแล้วทำตามใจอาจจะทำให้ไอไม่ยอมออกจากบ้านอีก และอาการอาจจะหนักขึ้นเรื่อยๆ อาร์ทเลี้ยวรถเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่บนถนนสายนี้เพื่อหาวิธีที่จะทำให้น้องสาวของเขาผ่อนคลายลง

คุณครูประถมพาลูกสาวตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ไอเดินตรงไปที่ห้องน้ำห้องหนึ่งหลังจากที่ปิดประตูลงเธอก็ถอนหายใจออกมาพลางคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เธอรู้สึกตกใจที่เห็นพี่ชายเลี้ยวรถขึ้นทางด่วน แต่ก็พยายามทำใจและเข้าใจถึงเหตุผลของเขา แต่หลังจากที่เห็นฝนตกเธอก็ไม่สามารถทำใจได้อีกต่อไป เพราะมันเหมือนกับเหตุการณ์ที่ทำให้เธอเสียพ่อของเธอไป

ไอกับอาทิตย์ พ่อของเธออยู่บนทางด่วนที่มีสายฝนโปรยปรายเช่นเดียวกับวันนี้ เมื่อรถที่แล่นด้วยความเร็วสูงบนถนนที่เฉอะแฉะพร้อมกับทัศนะวิสัยที่ไม่ดีทำให้ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นเหยียบเบรคไม่ทันเมื่อมีรถหักเปลี่ยนเลนเข้ามาในเลนที่เขาอยู่อย่างกะทันหัน ทำให้รถของอาทิตย์พุ่งชนรถคันหน้าเข้าอย่างจัง

เสียงกรีดร้องของสาวตาหวานดังเข้ามาในโสตประสาทของตัวเอง เมื่อเห็นภาพของท้ายรถคันหน้าอยู่ใกล้กับเธอมาก แรงกระตุกอย่างรุนแรงจากเข็มขัดนิรภัยทำให้ซี่โครงของเธอหัก ถุงลมนิรภัยที่พองขึ้นหลังจากแรงกระแทกกระทบเข้าที่ศีรษะทำให้เธอมีอาการมึนไปชั่วขณะ รถของเธอพลิกคว่ำหลายรอบจนกระทั่งหยุดนิ่งที่ริมทางด่วน เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเธอก็เห็นพ่อของเธอในสภาพที่เลือดท่วมใบหน้า เสียงหายใจขัดพร้อมกับเสียงลมหายใจที่ดังอย่างทรมานออกมาจากร่างของเขาเพราะกระดูกทิ่มปอดท่ามกลางเสียงฝนที่โปรยปรายและรถคันอื่นๆ ที่กำลังวิ่งไปตามถนนด้วยความเร็วสูงอยู่เช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กว่าจะมีคนมาเข้าช่วยไอก็นอนมองอาทิตย์หมดลมหายใจไปอย่างทรมานโดยที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ เธอขยับตัวไม่ได้เลย ไม่แม้แต่เสียงที่จะเปล่งออกมา สาวตาหวานนอนร้องไห้มองพ่อของตัวเองจากไปจนกระทั่งหน่วยกู้ภัยดึงตัวเธอออกมาจากรถที่พังยับเยิน

“ไอ... ไอ... เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” พัชรินทร์เคาะประตูห้องน้ำด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เห็นว่าลูกสาวอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปแล้ว

“ม... ไม่เป็นอะไรค่ะแม่” ไอตอบกลับพลางยกมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง

“งั้นรีบออกมานะลูก แม่หิวแล้ว”

“ค่ะๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”

บรรยากาศภายในร้านอาหารของครอบครัวทิวะสิงห์ค่อนข้างเงียบเหงา เมื่อลูกสาวคนเล็กของบ้านแทบจะแตะต้องอาหารชนิดใดเลย ทั้งๆ ที่พี่ชายและแม่พยายามคะยั้นคะยอให้เธอทานอะไรบ้าง สาวตาหวานดื่มแต่น้ำเปล่าและนั่งก้มหน้า เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วอาร์ทและคุณครูประถมพยายามไม่ใส่ใจกับอาการของไอที่บ่งบอกว่าอยากกลับบ้านเต็มที่ พวกเขายังคงชวนเดินดูของภายในห้างฯ โดยที่พาเธอไปด้วยในลักษณะบังคับนั่นคือเดินประกบติดเธอโดยตลอด

สาวตาหวานดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อพัชรินทร์พาเธอเดินเข้าไปที่ร้านหนังสือ เธอรักการอ่าน และอ่านหนังสือแทบจะทุกชนิด ร้านหนังสือและห้องสมุดจึงเป็นสวรรค์สำหรับเธอ ไอเดินดูหนังสือตามชั้นต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน เมื่อเธอเดินมาถึงแผนกหนังสือท่องเที่ยวเธอก็พบหญิงสาวร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่

เมื่อสาวเท้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นสาวตาหวานก็รับรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นชาวต่างชาติ เพราะเธอได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ออกมาซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาอะไรกันแน่เพราะเสียงของอีกฝ่ายนั้นเบามาก ไอแอบสังเกตเธอคนนั้น... ร่างสูงโปร่งที่น่าจะสูงกว่าเธอไม่กี่เซนติเมตร ผมสีเข้มถูกมัดเป็นหางม้าแบบไม่เรียบร้อย ใบหน้าขาวใส ดวงตากลมโตรับกับแพขนตายาว จมูกโด่งสวย และริมฝีปากอวบอิ่ม น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชีย ไม่เกาหลี ก็จีน หรือไม่ก็ญี่ปุ่น อายุก็น่าจะพอๆ กับเธอ หรือไม่ก็มากกว่านิดหน่อย เสื้อยืดสีน้ำเงินเปียกเล็กน้อยบริเวณไหล่และชายเสื้อ ชายกางเกงห้าส่วนสีเขียวเข้มก็เปียกเช่นกัน กับรองเท้าผ้าใบมีรอยเปื้อนโคลน ท่าทางผู้หญิงคนนี้คงจะฝ่าสายฝนมาถึงที่นี่

ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้รู้สึกว่ามีคนมองอยู่ เธอจึงหันมาทางสาวตาหวานที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก ไอทำได้แต่ยิ้มตอบกลับไปแล้วหันไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางแล้วทำท่าอ่าน เมื่อเธอแอบเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปแล้วเธอก็วางหนังสือลงที่เดิมแล้วหันหลังเพื่อจะเดินออกจากแผนกนี้แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงของพนักงานหนุ่มที่เพิ่งจะเดินเข้ามาคุยกับสาวต่างชาติคนนี้

“เอ่อ... คือ... book you asked is เอ่อ... no” พนักงานหนุ่มพูดภาษาอังกฤษแบบตะกุกตะกักกับลูกค้าชาวต่างชาติ

“No? What do you mean no? (ไม่เหรอ... คุณหมายความว่ายังไงคะ)” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยความไม่เข้าใจ

“เอ่อ... ยังไงดีวะ คือว่า book มันหมดแล้วนี่จะต้องพูดว่ายังไงเนี่ย” พนักงานหนุ่มยังคงมีปัญหากับการตอบคำถามของอีกฝ่าย

สาวตาหวานส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินตรงเข้าไปหาพนักงานคนนั้นแล้วพูดว่า “เอ่อ... มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”

“ครับๆ คือว่าหนังสือที่คุณคนนี้ถามหามันหมดน่ะครับ แล้วถ้าอยากได้ก็ต้องสั่ง” พนักงานหนุ่มพูดอย่างดีใจเมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วย

“He said the book you asked is out of stock and if you want to have it, you must make an order (เขาบอกว่าหนังสือที่คุณถามหามันหมดน่ะค่ะ แล้วถ้าคุณอยากได้ก็ต้องสั่งซื้อ)”

สาวต่างชาติทำหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วตอบกลับว่า “If I order, how long does it take? (ถ้าสั่งซื้อแล้วหนังสือจะมาเมื่อไหร่เหรอคะ)”

ไอแปลภาษาให้กับพนักงานฟัง เมื่อเขาตอบกลับมาเธอก็หันไปบอกอีกฝ่ายว่า “Around 2 weeks (ประมาณสองสัปดาห์ค่ะ)”

“Ni shu kan ka... (สองสัปดาห์เหรอ...)” สาวร่างสูงพูดออกมาเบาๆ คำพูดนี้ทำให้สาวตาหวานรู้ว่าเธอคนนี้เป็นคนญี่ปุ่น

“I won’t stay in Bangkok such that long, never mind (ฉันคงไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ นานขนาดนั้น ไม่เป็นไรค่ะ)”

พนักงานหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าลูกค้าชาวต่างชาติคนนี้ไม่ต้องการสั่งหนังสือ เขากล่าวขอบคุณลูกค้าสาวที่เข้ามาช่วยเขาแล้วจากไป

สาวญี่ปุ่นมองไอกับพนักงานหนุ่มด้วยท่าทางประทับใจ เมื่อเธอสบตากับสาวตาหวานเธอก็ยิ้มให้แล้วถามว่า “Is it always like this? (เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ)”

“Like what? (ยังไงเหรอคะ)”

“Does Thai people always help like this? (คนไทยช่วยกันแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ)”

“Sort of… but it depends… (ประมาณนั้นแหละค่ะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ...)”

“Depend? (ขึ้นอยู่กับอะไรเหรอคะ)” สาวร่างสูงถามต่อ

ไอมองหน้าอีกฝ่ายนิดหนึ่งแล้วก้มหน้าตอบว่า “Helper’s habit, intention, situation, place, or person who needs help (นิสัยของคนช่วย เจตนา สถานการณ์ สถานที่ หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ)”

สาวญี่ปุ่นขมวดคิ้วกับคำตอบแล้วถามต่อว่า “And what is the reason you helped me? (แล้วอะไรคือเหตุผลที่คุณช่วยฉันล่ะ)”

“I… I don’t know (ฉ... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน)” สาวตาหวานตอบ จริงๆ แล้วเธอก็แค่อยากจะช่วยพนักงานที่สื่อสารกับลูกค้าต่างชาติไม่ได้เลยเดินเข้าไปช่วยเพราะเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าถามว่าช่วยผู้หญิงคนนี้เพราะอะไร เธอเองก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน

“I have to go (ฉันต้องไปก่อนล่ะ)” ไอพูดขึ้นมาอีกครั้งแล้วรีบหันหลังเดินจากไป

“Hey!” สาวร่างสูงร้องเรียกเมื่อเท้าของสาวตาหวานกำลังก้าวออกจากแผนกหนังสือท่องเที่ยว

เมื่อไอหันไปมองเธอก็ได้รับรอยยิ้มจากสาวญี่ปุ่น “Arigatou, thanks for your help (ขอบคุณ ขอบคุณที่ช่วยนะคะ)”

สาวตาหวานไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าให้อีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยท่าทางงงๆ แล้วรีบเดินจากไป

...

บ่ายวันพุธ...

ไอเดินทางจากบ้านไปมหาวิทยาลัยด้วยรถโดยสารสาธารณะ วันนี้ป้อมไม่ได้มารับเธอเพราะมีเรียนตั้งแต่ตอนเช้า สาวตาหวานไม่อยากรบกวนเพื่อนเธอจึงเดินทางไปคนเดียวทั้งๆ ที่ยังไม่ค่อยมั่นใจมากนัก เธอจึงวางแผนการเดินทางโดยหลีกเลี่ยงรถที่ต้องขึ้นทางด่วน และด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงสายเพราะกลัวว่ารถจะติด เมื่อเธอก้าวเท้าออกจากบ้านได้ไม่ไกลมากนักบุรุษไปรษณีย์ก็ขี่มอเตอร์ไซค์สวนทางกับเธอไป ไอหันกลับไปมองที่บ้านของเธอและเห็นว่าเขากำลังนำจดหมายใส่ลงในกล่องรับหลังจากนั้นก็ขี่รถจากไป

สาวตาหวานยืนนิ่งพลางนึกถึงโปสการ์ดที่เธอได้รับ ‘วันนี้จะมีหรือเปล่านะ’ เธอคิดในใจ

หลังจากยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งไอก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่หน้าบ้านแล้วดึงจดหมายออกมาจากกล่อง หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นชื่อของเธอเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่กระดาษแข็งใบหนึ่ง เธอดึงกระดาษใบนั้นออกมาแล้วเก็บจดหมายอื่นๆ กลับลงกล่อง

“มาอีกแล้ว” สาวตาหวานพึมพำเบาๆ แล้วจ้องมองที่รูปภาพบนโปสการ์ดใบนั้น

สถานที่ๆ ปรากฏอยู่บนโปสการ์ดเป็นสถานที่ๆ ไอรู้จัก เสาสี่แดงคู่หนึ่งบนฐานกลมสีขาวที่ตั้งตระหง่านขึ้นบนท้องฟ้าที่สดใสของยามบ่าย ด้านบนของเสามีโครงยึดหัวเสาที่แกะสลักอย่างสวยงาม ด้านหน้าของเสาทั้งสองนั้นมีสวนหย่อมไม้พุ่มที่สวยงาม ด้านซ้ายของภาพซุ้มประตูและอุโบสถของวัดที่อยู่ห่างจากเสาทั้งสองต้นแค่เพียงถนนกั้นกลาง

“เสาชิงช้า... กับวัดสุทัศน์” สาวตาหวานพูดขึ้นมา และเมื่อเธอพลิกอีกด้านหนึ่งของโปสการ์ด เธอก็พบกับลายมือเดิมที่... ลายมือของคนที่เขียนและส่งโปสการ์ดให้กับเธอ

‘The Giant Swing and Wat Suthat Thepwararam (เสาชิงช้ากับวัดสุทัศน์เทพวราราม)’*

*เสาชิงช้า เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย ตรีปวายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พิธีโล้ชิงช้ามีที่มาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพกล่าวไว้ว่าพระอุมาเทวีทรงมีความปริวิตกว่าโลกจะถึงกาลวิบัติ พระนางจึงทรงพนันกับพระอิศวร โดยให้พญานาคขึงตนระหว่างต้นพุทราที่แม่น้ำ แล้วให้พญานาคแกว่งไกวตัวโดยพระอิศวรทรงยืนขาเดียวในลักษณะไขว่ห้าง เมื่อพญานาคไกวตัว เท้าพระอิศวรไม่ตกลงแสดงว่าโลกที่ทรงสร้างนั้นมั่นคงแข็งแรง พระอิศวรจึงทรงชนะพนัน พระราชพิธีตรียัมปวายนี้จะกระทำในเทวสถานสำหรับพระนคร 3 เทวสถาน คือ เทวสถานพระอิศวร เทวสถานพระมหาวิฆเนศวร และเทวสถานพระนารายณ์ โลกบาลทั้งสี่ (พระยายืนชิงช้าและนาลิวัน) จึงต้องโล้ชิงช้าถวายและรับน้ำเทพมนตร์ด้วย

แต่เดิมนั้นพระราชพิธีตรียัมปวายจะจัดในเดือนอ้าย (ประมาณเดือนธันวาคม) ครั้นล่วงเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้เปลี่ยนมาจัดในเดือนยี่ (ประมาณเดือนมกราคม) พิธีนี้ถือเป็นพิธีขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ซึ่งในหนึ่งปีพระอิศวรจะเสด็จมาเยี่ยมโลก 10 วัน พราหมณ์จะประชุมที่เทวสถานพระอิศวร แล้วผูกพรตชำระกายสระเกล้าเตรียมรับเสด็จพระอิศวร

วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2350 พระอุโบสถของวัดสุทัศน์ จัดว่าเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ์มีรูป “เปรต” ตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่ และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีต เป็นที่เลื่องลือกันจนกลายเป็นที่มาของคำว่า “เปรตวัดสุทัศน์”




แถมรูปเปรตวัดสุทัศน์ (อีคนเขียนเคยไปดูมาด้วยตัวเองเลยนะ)



ที่มุมด้านหนึ่งของโปสการ์ดพองขึ้นมาเล็กน้อย แถมยังมีร่องรอยของหยดน้ำเปื้อนเป็นดวงๆ เป็นบางจุดของกระดาษ หมึกปากกานั้นเลือนหายไปบางส่วนแต่ก็พออ่านได้ ไอเดาว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำฝนที่ทำให้โปสการ์ดมีสภาพเป็นเช่นนี้ ช่วงนี้ฝนตกแทบจะทุกวัน สาวตาหวานเก็บโปสการ์ดลงกระเป๋าถือแล้วเดินออกจากหน้าบ้านไป

ระหว่างทางที่นั่งรถไปมหาวิทยาลัย ไอนั่งมองโปสการ์ดใบนั้นไปตลอดทาง


“รูปอะไรอ่ะ ขอดูหน่อยสิ” แพรถามขณะที่นั่งลงบนม้านั่งฝั่งตรงข้ามกับสาวตาหวานที่กำลังรอเรียนในชั่วโมงต่อไป ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ นั้นกำลังอยู่ในชั่วโมงเรียนในวิชาของคณะอื่น

ไอยื่นโปสการ์ดในมือของเธอให้กับเพื่อน “โปสการ์ดน่ะ”

“รูปสวยดีนี่ ใครส่งมาเหรอ” สาวแว่นพูดพลางมองดูภาพบนโปสการ์ดอยู่พักหนึ่ง

“ไม่รู้เหมือนกัน”

แพรขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง... ไม่รู้เหมือนกัน”

“มีคนส่งโปสการ์ดมาให้เรา... ใบนี้ก็ใบที่สามแล้ว ทุกๆ ใบเขียนแค่สถานที่ กับชื่อแล้วก็ที่อยู่ของเราเป็นภาษาอังกฤษ แล้วมันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก” สาวตาหวานอธิบาย

“หมายถึงไม่มีชื่อคนส่งกับข้อความอย่างอื่นเลยเหรอ”

“อื้อ ไม่มีเลย เราไม่รู้จริงๆ ว่าใครส่งมา แม่ก็ไม่รู้ พี่อาร์ทก็ไม่รู้ ได้แต่เดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนเรา หรือใครสักคนที่รู้จักเราแล้วก็ส่งมาให้น่ะ” ไอพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“เหรอ” สาวแว่นรับคำแล้วเธอก็พลิกโปสการ์ดที่อยู่ในมือไปมาอยู่ครู่หนึ่ง “คนที่ส่งมาให้นี่ถ่ายรูปสวยดีนะ... แล้วก็ทำโปสการ์ดออกมาได้เนี้ยบดีด้วย”

“หมายความว่ายังไง เราไม่เข้าใจ” สาวตาหวานถาม

“อันนี้เป็นโปสการ์ดทำมือน่ะไอ” แพรอธิบาย เธอชี้ไปที่รอยยับที่มุมของโปสการ์ด

ไอรับโปสการ์ดคืนมาแล้วมองดูใกล้ๆ ตรงนั้นมีรอยแยกของกระดาษ 2 แผ่น แผ่นหนึ่งเป็นกระดาษอัดภาพเพราะด้านหลังมีโลโก้ของบริษัทผู้ผลิต ส่วนอีกแผ่นหนึ่งเป็นกระดาษแข็งสีขาวที่แปะทับลงบนกระดาษภาพซึ่งเป็นด้านที่ไว้เขียนข้อความและติดแสตมป์

“นี่ขนาดโดนฝนก็ยังไม่เป็นอะไรมาก ฝีมือขนาดนี้ทำขายได้เลยนะเนี่ย รูปที่ถ่ายออกมาก็สวย” แพรพูดต่อ “ไอบอกว่าไอ้โปสการ์ดอันนี้ไอได้มาเป็นอันที่ 3 แล้วใช่ป่ะ”

สาวตาหวานพยักหน้าแทนคำตอบ

“แล้วสองอันที่แล้วเป็นรูปอะไรอ่ะ”

“ห้องสมุดเนลสัน เฮย์ กับพระราชวังพญาไท อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งคู่” ไอตอบ

สาวแว่นทำท่าคิด “อันนี้ก็เป็นรูปเสาชิงช้ากับวัดสุทัศน์... ก็แสดงว่าตอนนี้คนที่ส่งโปสการ์ดพวกนี้ให้ไอน่าจะ...”

“น่าจะอะไรเหรอแพร...”

“น่าอยู่ในกรุงเทพฯ น่ะสิ” แพรพูดออกมาแล้วก็หัวเราะ

สาวตาหวานหัวเราะน้อยๆ ให้กับมุกตลกของเพื่อน แล้วก็ทำหน้างอน “โธ่... แพรอ่ะ เราก็นึกว่าอะไร”

“เอาน่า... อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่าตอนนี้คุณโปสการ์ดทำมือคนนี้เค้ายังอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าเค้าส่งมาให้ไอเป็นรูปอื่นก็แสดงว่าเค้าไปเที่ยวที่อื่นแล้ว”

ไอยิ้มออกมาอีกครั้ง “พูดตลกอีกแล้วนะ ของแค่นี้ใครๆ ก็คิดได้น่า” เธอมองดูข้อความที่อยู่บนโปสการ์ดอีกครั้ง

“นี่...” สาวแว่นพูดขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสาว

“อะไรเหรอ”

“ดูท่าทางไอดีใจนะเวลาที่ดูโปสการ์ดพวกนี้”

“จริงเหรอ... เราแค่สงสัยมากกว่าว่าใครส่งมา ทำไมต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วย แล้วทำไมไม่เขียนอะไรอย่างอื่นมาอีก”

“อื้อ... เป็นเราๆ ก็สงสัย แต่เราก็ดีใจนะที่มีคนคิดถึงเรา”

สาวตาหวานทำหน้างง “คิดถึงเหรอ... ยังไงล่ะ”

“ก็เวลาคนเราไปเที่ยวไหน ส่วนใหญ่ก็ซื้อของฝากกลับมาให้ใช่ม้า แต่สำหรับเราน่ะโปสการ์ดมันก็แทนความรู้สึกคิดถึงหรือนึกถึงนั่นแหละ แบบประมาณว่าเราอยากไปไหนก็อยากให้คนที่เราคิดถึงเห็นภาพด้วยก็เลยส่งโปสการ์ดน่ะ”

“แบบนั้นถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ดูมันไม่ง่ายกว่าเหรอ ทำไมต้องเป็นโปสการ์ดด้วย” ไอถาม

แพรส่ายหน้า “อะไรกันเนี่ย! ไอก็... ชอบอ่านหนังสือซะเปล่าแต่ดันไม่รู้จักถึงเสน่ห์ของการเขียนโปสการ์ดเอาซะเลย” สาวแว่นว่าเพื่อน

“แล้วมันยังไงล่ะ ก็เราไม่รู้นี่นา เราชอบอ่านนะ ไม่ได้ชอบเขียน”

“เสน่ห์ของโปสการ์ดน่ะมันแล้วแต่คนมอง บางคนก็บอกว่าเสน่ห์อยู่ตรงสถานที่ๆ อยู่ในนั้น บางคนก็บอกว่าเรื่องราวที่เขียน เป็นของฝาก เป็นของที่ระลึก เป็นสื่อแทนใจ โน่นนี่นั่น”

ไอพยักหน้า “แล้ว... แพรว่าสำหรับแพรโปสการ์ดมีเสน่ห์ตรงไหนเหรอ”

“สำหรับเราเหรอ เราว่ามันเหมือนไดอารี่ฉบับย่อมที่คอยจดบันทึกว่าเราไปไหนมาบ้าง ตอนนั้นเรารู้สึกยังไง เวลาเราไปไหนเราถึงชอบเขียนโปสการ์ดแล้วส่งให้ตัวเองไง ไอก็เห็นเราทำบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ”

“อื้อ... เราก็เคยได้โปสการ์ดจากแพรด้วย”

“ได้แล้วดีใจมั้ยล่ะ” สาวแว่นถาม

“ดีใจสิ แล้วก็อยากจะไปที่ๆ แพรไปบ้าง”

หญิงสาวเจ้าของชื่อยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบจากอีกฝ่าย “เราว่าเราได้คำตอบแล้วล่ะ”

“คำตอบอะไรเหรอ”

“คำตอบสำหรับไอเกี่ยวกับเจ้านี่... จากคุณโปสการ์ดทำมือ” แพรพูดแล้วชี้ไปที่กระดาษที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย

“แล้ว... ยังไงเหรอ”

“ง่ายๆ เลยว่าโปสการ์ดทุกใบที่ไอได้มันมีเสน่ห์ตรงที่คนส่ง”

เมื่อสาวแว่นเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่เข้าใจเธอจึงพูดต่อไปว่า “โปสการ์ดทุกใบของไอมีเสน่ห์ แต่พิเศษต่างกันก็คือไม่ใช่ส่งมาจากที่ไหน แต่เป็นใครที่ส่งมาต่างหาก...  แล้วก็มีเสน่ห์อยู่ตรงที่การได้ลุ้นและรอคอยฉบับต่อไปจะมาเมื่อไหร่ และที่ๆ เค้าไปที่ต่อไปคือที่ไหน”

สาวตาหวานยิ้ม “อื้อเข้าใจแล้ว”

หลังจากที่ไอกลับจากมหาวิทยาลัยแล้วก็ก็มานั่งทบทวนถึงคำพูดของเพื่อนภายในห้องนอนของตัวเอง สาวตาหวานนั่งมองโปสการ์ดทั้งสามใบที่เธอตั้งเอาไว้ที่หน้ากระจกอย่างใจลอย ในใจพลางคิดไปไกลว่าคนที่ส่งมานั้นจะเป็นใคร

“ถ้าเราได้ไปเที่ยวแบบเค้าบ้าง เราจะส่งโปสการ์ดให้ใครดีน้า” ไอพึมพำกับตัวเองเบาๆ เธออาจจะส่งให้แพร ป้อม มิน เพื่อนที่คอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ ส่งให้พี่อาร์ท ส่งให้แม่ ส่งให้คุณหมอ และส่งให้พ่อ...

เมื่อนึกถึงพ่อ... น้ำตาเธอก็ไหลลงมาอาบแก้ม ภาพที่เธอเห็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุกลับมาอีกครั้ง ภาพเหล่านั้นไหลเข้ามาในหัวของเธอโดยที่เธอหยุดมันไม่ได้ หัวใจของเธอเต้นแรง หายใจขัด และคลื่นไส้ สาวตาหวานรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำแล้วอาเจียนลงชักโครก

ไม่นานนักอาการของไอก็สงบลงๆ พร้อมๆ กับความรู้สึกอ่อนเพลีย เธอเดินช้าๆ ออกมาจากห้องน้ำด้วยอาการของคนหมดแรงแล้วล้มตัวลงบนเตียง

“เราคงไปไหนไม่ได้แล้วสินะ เราคงจะไป... ไหน... ไม่...ได้...” สาวตาหวานพูดกับตัวเองแล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน


------------------

มาอัพตอนที่ 2 ให้ก่อนเทศกาลวาเลนไทน์ค่ะ ไปไหนกับบ้างหรือเปล่าเอ่ย ส่วนอีกคนเขียนไม่ได้ไปไหนค่ะ งานยังเยอะอยู่เช่นเดิม กระซิกๆ

อ่านแล้วคิดยังไงกันบ้างคะสำหรับดราม่าเรื่องนี้ เมื่อไหร่ไอจะกล้าออกจากบ้าน และเมื่อไหร่จะได้รู้ชื่อของ ‘คุณโปสการ์ดทำมือ’ สักที

ก็รอต่อไปสิเคอะ (โดนเตะ)  ~:Emo12:~

ปอลิง
1. ใครอ่านเจ้าลิงกี้กับวีนัสจบแล้วขอคอมเม้นท์ด้วยนะค้า
2. ใครอยากฟังเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ที่ออฟฟิศใหม่ของอีคนเขียนบ้าง ยกมือด้วยยยยยย (รู้สึกว่าจะเจออีกแล้วนะเธอว์)




ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
Photos to Postcards Chapter 2
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 มกราคม 2014 เวลา 23:15:12 »
สิ่งมหัศจรรย์ที่ออฟฟิศใหม่ของอีคนเขียน

แปะให้อ่านก่อนตอนต่อไป (ที่ยังไม่รู้ว่าจะลงเมื่อไหร่) นะเคอะ

หลังจากที่เกริ่นกันมาจากตอนที่แล้วถึงเรื่อง "สิ่งมหัศจรรย์ที่ออฟฟิศใหม่ของอีคนเขียน" ก็จะขอเล่าเลยก็แล้วกันค่ะ

เมื่อวันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ อีคนเขียนโดนงานที่ต้องมาเป็นเลขาและจัดประชุมกับ CEO ที่มาจากออสเตรเลียและมาเลเซีย ซึ่งห้องทำงานของอีคนเขียนอยู๋ที่ชั้น 5 ของตึก ส่วนห้องประชุมอยู่ที่ ชั้น 3

ตอนช่วงพักการประชุม ด้วยความที่เป้นคนที่กินน้ำเยอะ และไม่อยากเปลืองแก้วน้ำของห้องประชุม (แลดูเป็นคนดี จริงๆ แล้วไม่ใช่ อิอิ) อีคนเขียนก็เดินขึ้นไปเอาแก้วน้ำของตัวเองบนห้องทำงานพร้อมกับชงชามัชฉะอันเป็นเครื่องดื่มประจำกาย (ของฟรีจากเพื่อน) เพื่อเติมพลัง และอิฉันขึ้นไปคนเดียวเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไร อีกทั้งในวันเสาร์ก็มีแม่บ้านมาทำงานในทุกๆ ชั้นด้วย

ระหว่างที่กำลังชงชา ก็ได้ยินเสียงกุกกักๆ จากด้านหลัง เลยหันไปดู แต่ก็ไม่มีอะไรก็นึกว่าแม่บ้านที่อยู๋แถวๆ นั้น ยังไม่ทันจะเทน้ำลงแก้ว ก็รู้สึกเหมือนมีคนมองก็หันไปอีกก็ไม่มีอะไร (อีกแล้ว)

'อย่านะ... อย่ามาเดจาวูกะช้านนนนน'

ขณะที่กำลังปิดฝาแก้วก็ได้ยินเสียงลมหายใจพ่นออกทางจมูกแรงๆ และมันดังใกล้มาก ใกล้จนขนลุก

ตัดสินใจหันไปมองรอบๆ อีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรอีก! มือก็จับที่คอโดยอัตโนมัติเพราะตั้งแต่ต้นปีโดยคุณนายแม่ให้ใส่ฮู้ล้างป่าช้าที่อุตส่าห์เอาไปเลี่ยมแล้วคล้องสร้อยให้อย่างดี (Version 2 หลังจากอันที่คุณนายแม่ให้ติดตัวไปต่างจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว แต่สรรพคุณมันก็เหมือนกันเลยนะเธอว์)

พอจับไปปุ๊บ อ้าว! ชิหายและ! กรูไม่ได้ใส่มา!

สองขารีบเดินลงจากชั้น 5 แบบรวดเร็วเพราะรู้สึกไม่ดีเหมือนมีแรงกดดัน เดินไปบอกเพื่อนว่ารู้สึกแปลกๆ แต่คำตอบของเพื่อนตอบกลับมาว่า "คิดปากไปไหรือเปล่าวะ"

เอาล่ะ ไม่เป็นไร ช่างแม่ง อาจจะคิดมากเหมือนที่เพื่อนพูด

แต่มันดันมีครั้งที่ 2 อีกนี่สิ กรูไม่ได้คิดมากแล้วล่ะ!

เมื่อวันศุกร์ก่อนตรุษจีน ทุกคนกลับบ้านกันหมดเหลืออีคนเขียนอยู่คนเดียวเพราะต้องรอเมล์จากเพื่อนร่วมงานอีกคนที่ทำงานอยู่กันคนละชั้น แถมยังชิลเพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องกลับค่ำชัวร์เพราะแถวบ้านรถติดมาก กลับกี่โมงก็ถึงบ้านดึกพอกัน ก็เลยนั่งไปเรื่อยๆ ส่งเมล์เสร็จอะไรเสร็จก็ยังนั่งอยู่ นั่งไปสักพักแอร์ก็ตัด (ตัดอัตโนมัติ ไม่มีอะไร) แต่หลังจากแอร์ตัดไม่ได้ถึงนาทีอยู่ๆ ขนที่คอกับท้ายทอยก็ลุก และลุกแบบตั้งชัน

หันไปมองรอบๆ ก็ไม่มีอะไร มีแค่ตรูอยู่คนเดียวในห้องทำงานกว้างๆ

แต่ขนก็ยังลุกอยู่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหาย

ทนนั่งไปได้อีกสักพักก็แบบ เอิ่มมมม กรูกลับบ้านก็ล่ายยยย แล้วก็รีบเก็บของกลับบ้านอย่างเร็วพลัน

แปลกตรงที่วันเดียวกันตอนที่โดนครั้งที่สอง อีคนเขียนเพิ่งจะเล่าเรื่องวันแรกให้กับพี่ที่ทำงานชั้นเดียวกันให้ฟัง แล้วพี่เค้าก็พูดว่า

"เออ โดนกันมาหลายคนแล้วล่ะ ทั้งชั้น 4 กับชั้น 5 อีกฝั่งนึง" (ออฟฟิศจะมี 2 ฝั่ง ฝั่งตึก กับฝั่งสวนสาธารณะ อีคนเขียนทำงานฝั่งตึก)

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ฟังเรื่องเล่าของคนที่ทำงานฝั่งสวนสาธารณะว่า ก่อนที่จะสร้างตึกนี้มีต้นไทรต้นใหญ่อยู่ในพื้นที่ออฟฟิศ แต่ต้องขุดออกไปเพราะไปขวางทางเข้ารถ (ตึกออฟฟิศสร้างใหม่นะเออ) จึงขุดออกไปไว้ที่สวนสาธารณะที่อยู่ข้างออฟฟิศ และมีคนเจอกันบ่อย - บ่อยมาก (เจอแบบ รปภ. ลาออกไปแล้ว 1 คนถ้วน)

สิ่งที่อีคนเขียนไม่กล้าคือ ไม่กล้าถามพี่ๆ แม่บ้านเพราะเค้าต้องมาทำงานเช้า และกลับค่ำ กลับดึก แถมยังต้องมาทำงานวันที่พวกเราหยุดด้วย สงสารเค้า

ก็ไว้รอสืบกันต่อไป (ไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีกบ้างหรือเปล่าตรู)

เอวังด้วยประการฉะนี้

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.