web stats

ข่าว

 


Detective girls Season3 - Chapter 1 : เครื่องในที่หายไป 1

โพสต์โดย: anhann วันที่: 03 มกราคม 2017 เวลา 23:15:48 อ่าน: 229








Chapter 1 :  เครื่องในที่หายไป 1




"มันอาจจะเป็นความเชื่อจากตำนานอะไรสักอย่าง"  เจนิสโพล่งขึ้นมาขณะดวงตามองแต่จอคอมพิวเตอร์  สองคนที่นั่งอยู่ด้วยในห้องนี้หันมองหน้าเธอแปลกใจ  หญิงสาวยักไหล่น้อยๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยานั้นทางหางตา

"ฉันแค่พยายามเดาจากพื้นฐานด้านจิตวิทยา  ตอนนี้คิดไม่ออกเลยว่า  คนร้ายมีเหตุจูงใจอะไรให้ทำกับเหยื่อขนาดนี้"

อลิเซียพยักหน้าช้าๆ แล้วหันสายตาไปหาเคธี่ที่นั่งหน้าเครียดดูแฟ้มคดีอย่างเงียบเชียบ  "พี่เคท?"

เคธี่ฮัมรับ  เหลือบตาขึ้นจากแฟ้ม  "มันให้ความรู้สึกน่าขนลุกเหมือนคดีบาทหลวงนั่นเลยค่ะ  พอจำกันได้บ้างไหม?"  เธอว่าพลางลูบแขนตัวเอง  ขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่ใส่เสื้อแขนยาว  หรือห้องนี้เปิดแอร์แรงเกินไป

"อ๋อ  คดีนั้นที่ทำให้หน่วยเรามีคู่รักคู่ใหม่เกิดขึ้น"  เจนิสเอ่ย  หน้าตาเรียบเฉยจนบอกไม่ได้ว่า  กำลังเม้าท์เรื่องคนอื่นตามประสาผู้หญิงอยู่  แต่พอรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในห้อง  เธอก็เลิกสนใจเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มามองคนบ้าง  เป็นไปตามคาดสองสาวที่เหลือทำหน้ามึน 

"อ้าว  นี่ไม่รู้กันเลยหรือคะ  เรื่องผู้หมวดเจเคกับแคโรไลน์"  เธออุทาน  ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่

อลิเซียยิ้มบางๆ  "รู้จ้ะ  แต่ไม่คิดว่าอย่างเธอจะสนใจเรื่องนี้ด้วย"

"นั่นสิ"  เคธี่เห็นด้วย  และหัวเราะคิกคัก 

เจนิสมุ่นคิ้ว  เธอคงไม่คิดว่ากำลังโดนหัวเราะเยาะอยู่หรอก  ถ้าเสียงหัวเราะนั่นไม่ได้มีสองเสียง  และอลิเซียไม่ได้เป็นลูกคู่ไปกับพี่สะใภ้แบบนั้น 

"พวกคุณนี่  เหมาะจะดองกันจริงๆ เลยนะ"  เธอว่า  พลางส่ายหน้าเอือมๆ  แล้วเลิกสนใจคนอารมณ์ดีทั้งสอง  หวนกลับมาทำงานต่อเงียบๆ  แต่ในความเงียบนั้น  ใจเธอยังไม่วายนึกถึงเรื่องเดิมๆ  คุณหมออลิเซียของเธอยังคิดถึงความรู้สึกนั้นอยู่หรือเปล่า  แล้วเรื่องของเราสำคัญบ้างไหม

คิดไปคิดมาจนเกือบจะฟุ้งซ่าน  โชคดีที่เสียงเคธี่ดังขึ้นมาขัดเสียก่อน

"ฉันกำลังนึกถึงเรื่องมัมมี่"

เจนิสอึ้งไปเล็กน้อย  แล้วเหลือบมองคนที่เหลือ  อลิเซียก็มองเธออยู่เหมือนกัน  เธอจึงใช้สายตาชักชวนให้หันไปสนใจเจ้าของประเด็นที่ยังร้อนอยู่  เรื่องที่อยู่ในหัวของเธอก็ปล่อยมันไว้แบบนั้นก่อน

เคธี่กระแอมสองครั้ง  แล้วพูดขึ้นพลางชูแฟ้ม  "ถ้าคิดถึงประเด็นเรื่องความเชื่อต่างๆ  อย่างเคสบาทหลวงไซโค  บวกกับสภาพศพที่เราเจอ  มันก็คิดได้นะคะว่า  คนทำอาจจะคิดไปถึงเรื่องชีวิตหลังความตาย  การหวนกลับคืนร่าง"

"ก็อาจเป็นไปได้ค่ะ"  อลิสเซียสนับสนุน  "แต่ถ้าพูดถึงกรณีของการทำมัมมี่นั้น  จะมีการทิ้งหัวใจเอาไว้ในร่างด้วย  เพราะเชื่อกันว่า  หัวใจเป็นจุดศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณ  แต่ศพที่เราเจอไม่มีอวัยวะภายในหลงเหลือเลยนะคะ  ซ้ำการผ่าตัดเอาเครื่องในออก  ยังแตกต่างจากการทำมัมมี่ในตำนานมาก  ปกติเขาจะกรีดสีข้างแล้วเอาอวัยวะข้างในออก  ส่วนสมองจะเอาตะขอที่ทำจากสำริดเกี่ยวออกมาจากโพรงจมูก  แต่เคสนี้  การผ่าเกิดขึ้นที่ส่วนด้านหน้าของร่าง  ไม่มีรอยมีดที่กะโหลก  และสมองยังคงหลงเหลืออยู่  แล้วถ้าพวกเขาจะทำมัมมี่จริง  ศพที่เราเจอก็จะถูกดองเอาไว้  พอได้ระยะเวลาตามกำหนดจึงจะพันผ้าทั้งตัวเหมือนมัมมี่ที่เราเห็นในหนัง"

เคธี่และเจนิสมองคุณหมอตาค้าง  ใจหนึ่งก็อยากจะลุกขึ้นไปอาเจียนใส่ถังขยะ  แต่อีกใจก็ไม่อยากโดนหัวเราะเยาะเพราะก็ทำงานด้านนี้มานานพอควรแล้ว  ควรจะชินได้สักที  จึงจำยอมข่มอาการสติแล้วหันมายิ้มให้กันทั้งหน้าซีดๆ  พวกเธอเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ได้นัดหมาย  แล้วพยักหน้าให้กำลังใจกันเอง  และเสียงอลิเซียก็ให้ความรู้สึกเหมือนเข็มที่เสียดแทงเข้ามาในสมองของพวกเธอแทนตะขอสำริดอะไรนั่น  จะบอกให้หมอหยุดพูด  ก็เป็นไปไม่ได้  ยังไม่ใช่ตอนนี้

"การนำเนื้อสมองออกจากกะโหลกตามแบบโบราณของการทำมัมมี่  วิธีการจะค่อนข้างหวาดเสียวสักหน่อยก็คือ  ใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูกผ่านฐานกะโหลกส่วน ethmoid ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด  เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก  แล้วจับร่างให้คว่ำหน้าเพื่อให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก  เรียกวิธีนี้ว่า transethmoidal excerebration  หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดิน bitumen ที่ต้มจนเดือดใส่เข้าไปแทนที่สมอง  ให้มันเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก  บ้างก็ใช้ resin  และก็ --"

"พอเถอะค่ะอลิส  พี่คิดว่า  พี่ไม่ไหวแล้วละ"  เคธี่ยกมือขอเวลานอก  รีบล้วงหาลูกอมรสมิ้นต์มากินให้หายคลื่นไส้  พลางยื่นให้เจนิสด้วย   

"ฉันก็ไม่อยากฟังเรื่องที่เหลือต่อแล้วแหละคุณ"  เจ้าหน้าที่แล็ปบอก  ทำท่าสยดสยองเกินจริงจนอลิเซียยิ้มแหย  "ฉันไม่ได้กลัวเลือด  หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ  ไม่งั้นฉันคงทำงานนี้ไม่ได้  แต่ยังไงล่ะ  ที่คุณพูดมันโหดเกินไป"

"แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ  และฉันเชื่อเลยว่า  คนทำมัมมี่จะต้องรู้เรื่องกายวิภาคศาสตร์อย่างดี  ไม่งั้น --"

"งั้นเลิกพูดเรื่องมัมมี่เหอะ  ฉันว่า  มันไม่ใช่แล้วแหละ  ศพยังมีสมองอยู่ใช่ไหมล่ะ"  เจนิสบอกปัด  และหันไปยักคิ้วให้เคธี่ที่ขยิบตาให้เธออย่างรู้กัน

"ก่อนอื่นก็ต้องถามก่อนว่า  ยังสนใจเคสที่เป็นจิตวิทยากันอยู่หรือเปล่า"   

"แล้วถ้าสนใจล่ะคะ"  เคธี่ถามบ้าง  พยายามสลัดภาพการทำมัมมี่ตามคำบรรยายของอลิเซียออกไป  "หรือว่า...  เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการกิน"

"เรื่องการกิน?"  อลิเซียกับเจนิสทวนคำพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย  พวกเธอสบตากันและยิ้มให้กันนิดๆ ก่อนที่เจนิสจะหันไปพูด

"คล้ายความเชื่อของคนจีนหรือเปล่าคะ  ที่ว่าการกินของแปลกๆ และของหายาก  จะทำให้อายุยืน  มีพละกำลังเกินมนุษย์อื่น"

"เรื่องไร้สาระแบบนั้นน่ะเหรอ"  คุณหมอเอ่ยบ้าง  น้ำเสียงและท่าทางเหยียดหยันจนผิดนิสัย  สีหน้าก็ดูขยะแขยงชอบกล  "อุ้งเท้าหมีที่นิยมกินกันน่ะ  มันมีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น  ฉันละเชื่อคนพวกนั้นจริงๆ"

"ค่ะ  พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ"  เคธี่ว่า  "แต่เราจะยึดแค่ความคิดของเรา  ความเชื่อของเราเพียงอย่างเดียวไม่ได้นะคะ  พวกเขาเชื่อกันแบบนั้น  และยังคงสรรหามากินกันอยู่"  เธอบอกและก้มลงมองแฟ้มในมือต่อ  "แต่ถึงอย่างนั้น  มันก็มีอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกันนะ"

"ประเด็นอะไรคะ"  เจนิสสงสัย  เธอรู้สึกชอบบรรยากาศแบบนี้  การได้ใช้ความคิด  ได้พูด  ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น  มันดีกว่าเอาแต่นั่งทำตามคำสั่งเยอะ  "ใช่เรื่องแบบว่า  ควานท้องเหยื่อออกมาแล้วยัดเฮโรอีนใส่เข้าไปแทนหรือเปล่า"  เธอเสนอความเห็นของตัวเองอย่างตื่นเต้น  แต่บางคนก็ยังยกมือขึ้นโบกเหมือนจะปัดมันออกไปอย่างไม่แยแส

"นี่อย่าทำหน้าตาเหมือนฉันพูดเรื่องปัญญาอ่อนไปสิ"  เจนิสลืมตัว  รู้สึกโกรธจนหน้าแดง  แต่ก็มาระลึกได้ว่า  ไม่ได้อยู่ที่นี่กับอลิเซียสองคน  หางตาเธอเห็นเคธี่อมยิ้มอยู่แม้จะไม่ได้มองใคร  คงไม่ได้ยิ้มกับแฟ้มที่มีแต่รูปน่ากลัวๆ นั่นหรอกนะ

ปกติเธอก็ไม่เคยจะหลุดอาการแบบนี้บ่อยๆ  แฟนก็ไม่ได้มีคนนี้คนแรก  แต่กับอลิเซีย... มันประหลาด... หรือเพราะอลิสชอบยิ้มแบบนี้  ยิ้มเหมือนรู้ทันเธอไปเสียหมด

"ก็แค่จะถามว่า  ผลตรวจของอะไรๆ ที่ฉันส่งให้ไปน่ะ  ออกมาหรือยัง  เพราะนั่นน่ะ  จะบอกเธอได้ส่วนหนึ่งว่า  มีการใส่ยาเข้าไปในศพแล้วนำมันออก  และทิ้งศพเอาไว้อย่างสะเพร่าหรือเปล่าไง" 

เจนิสชะงัก  รู้สึกเหมือนถูกโจมตีอีกครั้ง  และครั้งนี้เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อีกแล้ว  ถึงมันจะทำให้เธออายถ้าเกิดแพ้พ่ายขึ้นมาอีก  แต่ก็หวังว่าเคธี่จะนั่งนิ่งๆ ไปแบบนี้นานอีกสักหน่อย  "ถ้างั้น  ฉันขอถามคุณด้วยได้ไหมว่า  ศพถูกผ่าตัดกี่ครั้ง  มีการเย็บแผลที่ผ่ากี่รอบ  เพราะถ้าได้คำตอบนี้มา  มันจะง่ายมากเลยนะ  ถ้าจะบอกว่า  คนผ่าเอาอวัยวะของเหยื่อออกไปเพื่ออะไร"

"เธอคิดว่า  เรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอเจนิส"  อลิเซียย้อน  พยายามไม่ใส่อารมณ์ส่วนตัวลงไป  แต่เหมือนอีกฝ่ายก็พยายามจะยั่วเธออยู่เหมือนกัน  เราก็เลยโยนคำถามใส่กันไปกันมาจนลืมไปว่ามีบุคคลที่สามอยู่ที่นี่ด้วย  จนเคธี่ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้  และเดินไปที่ประตู

"พี่เคท"  คุณหมอร้องหา  เพราะหางตาเห็นพี่สะใภ้พอดี

เจนิสมองตาม  อ้าปากจะถามบ้าง  แต่เคธี่ก็เอ่ยขึ้นก่อน 

"ว่าจะลองกลับไปดูที่เกิดเหตุใหม่ค่ะ  แล้วเจอกันนะ  อย่าทะเลาะกันจนห้องระเบิดละ" 

สองสาวที่ถูกทิ้งไว้มองหน้ากันเมื่อคนที่สามหายลับไปแล้ว  เจนิสย่นคิ้วหงุดหงิดและหันหนีไปก่อน  แกล้งทำเป็นสนใจงานมากกว่าคน  แต่อลิเซียก็ยังอมยิ้ม  ไม่สนใจการเมินแบบนั้น  เธอวางมือลงบนศีรษะแฟนสาวเบาๆ  แล้วจึงออกจากห้องไป

..........................................

"เมื่อหลายปีก่อน  ก่อนฉันจะได้เลื่อนเป็นหัวหน้า  มีเคสหนึ่งที่คล้ายกันกับเคสนี้"  โรซี่พูดขึ้นระหว่างเดินลุยต้นหญ้าเตี้ยๆ และดินเฉอะแฉะเข้ามาพร้อมน้องสาวที่ขอกลับมาตรวจตราสถานที่พบศพด้วยตัวเอง  เคธี่สบตาเธอด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ 

"ครั้งนั้น  เราก็เจอศพที่ไม่พบเครื่องในแบบนี้แหละ"

"แล้วคนร้ายเป็นใครคะ  เป็นหมอหรือเปล่า?"  น้องสาวถามอย่างสนใจ  คนเป็นพี่ส่ายหน้า

"ไม่ใช่นะ  ในเคสนั้นรู้สึกว่าจะเป็นคนจิตวิปลาสที่คิดว่า  การกินเนื้อและเครื่องในคน  จะช่วยทำให้อายุยืน"

"แล้วเคสนี้  พี่ว่าไม่ใช่แบบนั้นเหรอ  ไม่ใช่ว่าคนร้ายในคดีนั้นพ้นโทษออกมาและกลับมาก่อคดีแบบเดียวกันอีก"

"เป็นไปไม่ได้หรอกเคท"  โรซี่ส่ายหน้า

"ทำไมล่ะ  หรือว่า..."  เคธี่ถาม  แต่กลับเดาคำตอบจากสีหน้าของคนเป็นพี่แทนที่จะรอฟัง  "โดนประหารชีวิตเหรอ"

"ไม่ใช่  เขาฆ่าตัวตายเอง"   

"ฆ่าตัวตาย  ทำไมล่ะ"

โรซี่ถอนหายใจ  ปกติก็ไม่ชอบเล่นถามตอบแบบนี้กับใครนัก  แต่เคธี่ดันเป็นน้องของเธอ  และเราก็กำลังคุยกันเรื่องงาน  "เขาเล่ากันว่า  นายคนนั้น  เป็นโรคจิตติดเนื้อมนุษย์ขั้นรุนแรง  ในระหว่างที่ฝากขังอยู่รอการสืบหลักฐาน  และตรวจทางจิตเวท  เขากินเนื้อตัวเองแทนอาหารที่ทางคุกจัดให้  แต่มันก็ค่อนข้างแปลก  ที่เขาเอามีดมาจากไหน  ถึงได้เฉือนเนื้อตัวเองกินจนตายได้  ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดจากคุกนั้น"

คนฟังชะงักค้าง  สมองจินตนาการไปไกลจนน่าตกใจตัวเอง  เคธี่รู้สึกราวกับเธออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย  ได้เห็นผู้ป่วยโรคจิตคนนั้นทำการอัตนิวิบาตกรรม  จากอาการคลุ้มคลั่งของตัวเอง  เธอรู้สึกสมเพชมากกว่าสงสาร  และคิดว่า  เขาน่าจะได้รับการดูแลมากกว่านี้จากผู้ที่เกี่ยวข้อง

"พวกเขาไม่ได้แยกคนที่มีอาการทางจิตออกจากคนอื่นเหรอคะ"  เธอถามขึ้น  โรซี่หันมามองเหมือนประหลาดใจหน่อยๆ

"ปกติก็น่าจะแยกนะ  แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้จริงๆ  พวกเขากันฉันออกมาเหมือนกับว่า  มันเป็นคดีที่สยดสยองเกินไปสำหรับผู้หญิง  แล้วมันก็มีคดีอื่นเข้ามาใหม่  ทำให้ฉันเลิกสนใจคดีนั้นไปเลย  มานึกได้ก็ตอนนี้แหละ"

"แปลกจริงๆ"  เคธี่พึมพำ  พลางล้วงลูกอมมาอม  ส่งให้พี่สาวไปด้วย  เดินต่อมาครู่หนึ่ง  โรซี่ก็ชี้มือไปยังสถานที่ที่พากันมาจนถึง   

หนองน้ำที่อยู่ลึกเข้ามาในที่รกร้าง

"เนี่ยเหรอที่ที่เจอศพ?"  เธอถามอย่างเหลือเชื่อ  พี่สาวพยักหน้า  ท่าทางไม่ได้ล้อเล่นแน่ๆ  เธอก็ไม่ได้ล้อเล่นเหมือนกัน  จึงจับเส้นสีเหลืองที่กั้นเขตแดนของที่เกิดเหตุยกขึ้นและก้มตัวมุดผ่านมันเข้าไปด้านใน  โรซี่ทำตาม  และเดินตามมาด้วย  แล้วเธอก็สะดุดตากับรอยที่ต้นหญ้าล้มเป็นแนวยาว  "รอยที่พวกเราลากศพขึ้นมาเหรอ"

"ไม่ใช่พวกเรา  คนที่เจอน่ะ" 

เคธี่ชำเลืองมองพี่สาวนิดหนึ่ง  "มีคนกล้าพอจะดึงศพขึ้นมาด้วยตัวเองด้วยเหรอ  คงไม่ใช่แค่คนบังเอิญเดินผ่านมาเจอใช่ไหม"

"แฟนเหยื่อน่ะ"  โรซี่ตอบสั้นๆ แต่คนฟังก็ดูเหมือนจะเข้าใจ  "เราเก็บร่องรอยได้ยากมากจากสภาพของสถานที่"  ผู้กองกล่าวต่อพร้อมกับมองไปรอบๆ มีรอยเท้าหลายรอยย่ำไปย่ำมาบนผืนดินเละเทะ  จนแทบแยกไม่ออกว่ามีกี่รอย  และเป็นรอยจากรองเท้าคู่เดียวกันหรือไม่  แต่ตอนนี้ทุกรอยก็มีแผ่นป้ายตัวเลขวางอยู่เคียงข้างแล้ว  "ดูท่าคนร้ายจะทำการบ้านมาค่อนข้างดีทีเดียว"

"เหมือนจะเป็นอย่างนั้นค่ะ"  เคธี่เห็นด้วย  ดวงตาสีน้ำเงินมองอย่างผิดหวังไปยังหลักฐานที่ยังดูเลือนรางอยู่ในความรู้สึก  "บางทีเราคงต้องขอให้ศพเป็นตัวช่วยบอกอย่างที่เคย" 

"งั้นจะกลับไปหาอลิสเลยสินะ"  โรซี่ว่า  พยักหน้าชวนให้น้องสาวที่เป็นคนในปกครองด้วยออกมาจากที่เกิดเหตุด้วยกัน 

"ค่ะ  แล้วพี่จะไปไหนต่อ"  เคธี่ถามตามหน้าที่  สมองเธอวิ่งวุ่นไปหมดจนแทบไม่ได้ยินเสียงพี่ตอบคำถาม

"ว่าจะไปสอบปากคำแฟนเหยื่อเพิ่มน่ะ  ครอบครัวของเขาด้วย"

เธอพยักหน้ารับเมื่อพี่แตะไหล่  "งั้นแยกกันตรงนี้ก็ได้ค่ะ" 

เคธี่โบกมือลาพี่สาว  ยังติดนิสัยชอบมองตามพี่ไปจนกว่าจะลับตา  แล้วก็ได้เห็นโรซี่เดินไปเกี่ยวแขนเจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งให้เดินไปพร้อมกัน  แม้จะรู้สึกแปลกใจที่พี่ดูใจกล้ามากเหลือเกิน  กล้าสวีตกับแฟนต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น  แต่ก็ยอมรับว่าเธอชอบนะ  เพราะหมวดไดอาน่าทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยห่วงพี่มากมายเหมือนเก่า  อย่างน้อยพี่สาวของเธอก็ไม่ได้อยู่ตามลำพัง

"เมื่อไหร่จะแต่งกันสักทีนะ"  นักสืบสาวพึมพำกับตัวเอง  พลางเปิดกระโปรงท้ายรถและเปลี่ยนรองเท้ากลับมาใส่บู๊ตหนังมีส้นแทนบู๊ตยางที่ใช้ลุยดินลุยน้ำเมื่อครู่  เธอมีรองเท้าหลายคู่ในกระโปรงท้ายรถ  และคนบางคนก็แซวเธอด้วย  แต่เธอไม่สนใจหรอก  ผู้หญิงกับรองเท้ามันเป็นอะไรที่ควรอยู่คู่กันนะ 

 "แอมมิ่งเบลส์ค่ะ"  เคธี่กดรับสายกับโทรศัพท์ที่วางอยู่ในช่องเสียบ  เธอไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทรมา  จึงแปลกใจนิดๆ ที่เป็นมาร์กี้  ปกติแฟนเธอจะไม่ค่อยโทรมาเวลาเธอทำงานนอกจากมีธุระสำคัญ  ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังออกรถโดยเงี่ยหูฟังเสียงคุณเอฟบีไอไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา

'เคทคะ  พอจะคุยได้ไหม'

"ค่ะที่รัก  มีอะไรให้รับใช้คะ"  เธอขานตอบอย่างขี้เล่น  แม้จะไม่ได้เห็นหน้าตา  เสียงหัวเราะเบาๆ จากโทรศัพท์ก็บอกได้ว่า  มาร์กี้ไม่ได้มีเหตุร้ายแรงจะมาแจ้งเธอ  และคงไม่ได้มาบอกเลิกกันตอนนี้แน่ๆ 

บอกเลิกเหรอ...ก็ดูลองสิ  เธอจะยอมเสียค่าปรับฐานทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่เลยแหละ  แต่บางทีพี่สาวเธอก็อาจจะชิงลงมือก่อน

'พอดีมีเคสหนึ่งที่ทางฉันได้รับแจ้งมาค่ะ  คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับเคสคุณ'

เคธี่มุ่นคิ้วพร้อมกับพารถกลับขึ้นถนนลาดยาง  ท่าทางเรื่องที่มาร์กี้จะบอกเธอ  คงจะเครียดไม่น้อยกว่าการจำเป็นต้องเลื่อนการแต่งงานของเราออกไปมากนัก

"เรื่องศพที่เครื่องในหายไปเหรอคะ"

'ค่ะ  คือทางเราได้ข้อมูลมาว่า  มีการค้าอวัยวะเกิดขึ้นในเมือง'

"หืมม?"  นักสืบสาวทำเสียงสูง  เธอได้ยินเสียงมาร์กี้พูดอะไรอีกหลายอย่าง  แต่ไม่ได้เอ่ยตอบกลับไป  จนกระทั่งทางนั้นเรียกชื่อเธอดังขึ้น 

"โทษทีค่ะ  ฉันมัวคิดเรื่องคดีอยู่  แต่ขอบคุณนะที่บอก"  เคธี่ออกตัว  กลัวอยู่เหมือนกันว่า  คู่หมั้นจะน้อยใจ  ถึงมาร์กี้จะไม่ใช่คนงี่เง่าเรื่องแบบนี้  และไม่ชอบให้เธอเป็นด้วย  พวกเธอสองคนคบกันได้เพราะบ้างานเหมือนกันนี่แหละ

"กำลังคลำทางไม่เจออยู่พอดีค่ะ  อลิสก็เริ่มจะเล่าเรื่องมัมมี่ให้ฉันฟังแล้วด้วยแหละ  ฉันก็เริ่มกลัวนิดๆ แล้วละ"  เธอบอก  สอดไส้อารมณ์ขันไปด้วย  เพื่อไม่ให้เครียดกันทั้งสองคน  มาร์กี้หัวเราะเบาๆ  คงชอบฟังเรื่องน้องสาวเวลาอยู่ในที่ทำงานด้วย

"ขอบคุณจริงๆ นะ"  เธอย้ำอีกรอบ

'ไม่เป็นไรค่ะ  แต่ถ้ามีเรื่องคืบหน้าหรืออยากให้ช่วยอะไร  บอกมาได้เลยนะคะ  ทางเอฟบีไอจะยังไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับคดีนี้ตอนนี้  จนกว่าทางคุณจะขอมา'

"รับทราบค่ะ"

'ถ้าอย่างนั้น  ไปก่อนนะคะ  แล้วเจอกันที่บ้านค่ะที่รัก'

"ค่ะ  รักคุณนะ"  เคธี่บอกลาด้วยรอยยิ้มและจิ้มวางสายอย่างใจลอย  เธอได้ยินเสียงตัวเองพึมพำ  "แต่งกับงานไปก่อนละกันเนอะ  แอมมิ่งเบลส์"

...........................................

เจนิสเดินกลับมาเข้าในห้องชันสูตรอีกครั้งหลังจากได้ข้อมูลพอที่จะมางัดข้อกับเจ้าถิ่นแล้ว  เดินผ่านเข้าประตูมาก็เจอเข้ากับความหนาวยะเยือกของห้องปะทะทักทายก่อน  แต่แล้วในอกเธอก็กลับรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด  เพราะสายตามองผ่านความน่ากลัวของที่นี่ไปหาคนหน้าตาคุ้นๆ  ผู้หญิงในชุดสีน้ำเงินเข้ม  มีผ้าปิดปากที่ปิดมาถึงจมูก  หมกมุ่นอยู่กับร่างไร้วิญญาณบนเตียงเหล็กเหมือนเคย  และก็อย่างเคย  เธอชอบมัน...

ชอบทุกครั้งเวลาที่เห็นคนคนนี้ตั้งใจทำงาน  มันเซ็กซี่ดี...

จริงๆ ก็ไม่อยากจะขัดจังหวะ  หากงานของเธอก็ต้องเคลียร์ให้จบ  ทำให้เสร็จโดยเร็ว  ไม่อย่างนั้นที่นี่จะมีอะไรให้น่าเข้ามาอีกล่ะ  ไม่มีอะไรน่าพิสมัยเลย  นอกจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้เท่านั้น 

เจนิสกระแอมสองครั้งให้ดังพอจะดึงความสนใจของเจ้าของห้อง

อลิเซียเงยหน้าขึ้น  สบตาแขกที่จำไม่ได้ว่าเชิญมาเมื่อไหร่  แต่ดีใจที่ได้เจออีกครั้ง  ได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ บ้างก็น่าจะดี  หมอชันสูตรก็ไม่ได้ต่างจากคนทำงานด้านอื่นหรอก  ก็ยังเป็นคนอยู่แหละ

"มีอะไรจะให้ดูแล้วสินะ"  คุณหมอพูด  ดูเหมือนเป็นการท้าทาย  ไม่ใช่การทักทายอย่างปกติ  แต่คนที่มาหาก็เตรียมตัวมาดีจนเลิกถือสากันแล้ว

"ผลจากการตรวจออกมาว่า  ไม่มีสารเสพติดในร่างของเหยื่อ"  เจนิสว่า  โชว์กระดาษบันทึกผลให้เจ้าของห้อง  และส่งมันต่อให้คุณหมอไปอ่านเอง

"ฉันคิดว่าคนทำเป็นหมอ"  อลิเซียเอ่ยขึ้นหลังจากอ่านผลไปได้เล็กน้อย

"ว่าไงนะคะ"  เจนิสอุทาน  สมองนึกย้อนไปถึงเรื่องหมอคนนั้นที่พยายามจะทำร้ายเธอ  หมอคนที่ทำให้อลิเซียต้องลั่นไกทำร้ายชีวิตแทนที่จะช่วย  ถึงจะทำไปเพื่อช่วยเหลือเธอซึ่งเป็นอีกชีวิตหนึ่ง  แต่มันก็คงเป็นตราบาปอยู่ในใจคนที่ปฏิญาณตนเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้ว่าจะช่วยเหลือคนไปตลอดชีวิต

"สันนิษฐานได้จากเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัด  วิธีการผ่า  การนำอวัยวะออก  และการเย็บแผล  คนทั่วไปไม่สามารถจะทำมันได้แน่นอน  แม้แต่พยาบาลก็คงจะยาก" 

อลิเซียอธิบายเป็นฉากๆ ปราศจากอารมณ์ส่วนตัวให้น่าเป็นห่วง  เจนิสสั่นหน้า  ไล่ความคิดไม่เป็นประโยชน์นั้นออกไป  และเห็นว่าคุณหมอมองเธออย่างเคลือบแคลง 

"ฉันเพิ่งสังเกตว่า  คุณถนัดซ้าย"

ประโยคนี้เหมือนจะสะกิดอะไรคุณหมอได้อย่างแรง  อลิเซียนิ่งไปสองวินาทีก่อนที่จะทดลองบางอย่าง  มือซ้ายข้างที่ถนัดจับมีดผ่าตัดขึ้นมาและทำท่าทำทางราวกับจะผ่าตัดศพใหม่อีกครั้ง  เจนิสขมวดคิ้ว  เดินเข้ามาดูใกล้ๆ

"คุณทำอะไรอลิส"

"เจนิส"  อลิเซียเรียกแฟนสาว  ดวงตาเรียวมองเธออย่างสนใจ  "คนที่ทำเรื่องนี้ถนัดซ้ายละ"

สองสาวมองหน้ากันอย่างตื่นเต้นราวกับเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก  แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าใครจะทำอะไรต่อไป  ใครบางคนก็โผล่เข้ามาอย่างรู้เวลา  ราวกับซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้  รอจังหวะ 

"สรุปว่า  คราวนี้เราต้องตามหาหมอโรคจิตชอบเล่นเครื่องในคน  และถนัดซ้ายงั้นสิ"

อลิเซียและเจนิสพยักหน้าพร้อมเพรียงเหมือนนัดกันมา  คนที่มาใหม่กุมขมับปวดหัวจี๊ดเหมือนโดนใครเอาเข็มมาทิ่มแรงๆ  เคธี่ส่ายหน้าพลางกลอกตา  เธอบอกกับตัวเองในใจว่า  คงต้องไปตุนลูกอมรสมิ้นต์หรือรสบ๊วยมาอีกสักลังแล้วแหละ




............................................................................


เอาตอนสองมาฝากค่ะ  ใครยังไม่หลับก็มาต่อกันได้เลยนะ

ขอบคุณค่ะ   :44:

Rating: This article has not been rated yet.
***************

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น
anhann
นักเขียน
ขาประจำ
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
04 มกราคม 2017 เวลา 22:28:16
คดีเดิมจากคราวที่แล้วแหละ  ลืมไปแล้วใช่ไหมล่ะ  อิอิ  

เชื้อเพลงจากซีรีส์ไหนเหรอ  จากคนอ่านมากกว่าแหละ  5555   :28:    เพราะช่วงนี้เราดูแต่ซีรีส์ซุปเปอร์ฮีโร่กับเรื่องเหนือธรรมชาติ  ไม่มีทำคดีเลยอะ   :42:
Pizzapim
หน้าใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


ดูรายละเอียด อีเมล์
04 มกราคม 2017 เวลา 21:45:54
 :05: โผล่มาทีก็คดีโหดเลยน๊า...คราวนี้ได้เชื้อเพลิงจากซีรีย์ไหน..วานบอก
แสดงความคิดเห็น